ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 102 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2021 - 2040 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2021 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ 21 - 22 ตุลาคม 2555 | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้กลุ่มอ่าวไทย (จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง) รวม ๔ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๗ โครงการ วงเงินรวม ๕๑๗.๓๔ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้อ่าวไทย รวม ๔ จังหวัด ๙๖ โครงการ วงเงินรวม ๔๐,๒๐๐.๙๙ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีจากการประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ไปดำเนินการโดยเร็วต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการ โดย ๒.๑ โครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และโครงการวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นมรดกโลก ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติบูรณาการแนวทางการดำเนินโครงการร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของงานโยธา การป้องกันน้ำท่วม และการดำเนินการเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกให้เหมาะสมชัดเจน เพื่อนำเสนอสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป ๒.๒ โครงการที่เกี่ยวกับการก่อสร้างและปรับปรุงทางหลวงสายเอเชีย (สาย ๔๑) จำนวน ๒ โครงการ ให้กระทรวงคมนาคมบูรณาการและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการก่อสร้างทางหลวงดังกล่าวตลอดทั้งสายทางมีการเชื่อมต่อในแต่ละช่วงที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ โดยให้จัดทำรายละเอียดโครงการ แล้วส่งให้สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒.๓ โครงการต่าง ๆ ตามพระราชดำริ ของจังหวัดชุมพร ให้จังหวัดชุมพรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการกิจกรรมและแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และเผยแพร่ข่าวสารการดำเนินโครงการให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2022 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๗๐๕.๖๑๗๖ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๕๐๓.๓๓๒๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓๘.๐๗๕๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๓ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๑๐๐,๐๘๗.๖๑๘๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๔.๓๒ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนทั้งสิ้น ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๕,๗๒๙.๕๙๘๕ ล้านบาท คงเหลือเงินส่งคืนที่ยังไม่ได้มีการอนุมัติ จำนวน ๒๘๐.๘๕๑๘ ล้านบาท เมื่อรวมกับวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่จะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกทั้งสิ้น ๕๔๐.๗๙๑๘ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙,๘๓๖.๗๙๒๖ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๒,๐๖๑.๗๓๔๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๗๗๕.๐๕๗๘ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔,๐๐๔.๑๔๔๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๙๖.๘๐๔๓ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒๘.๙๗๐๐ ล้านบาท กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๙.๘๕๐๐ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๗๑.๔๗๐๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
2023 | ขออนุมัติขยายวงเงินค่าก่อสร้างและระยะเวลาก่อสร้างโครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี | กษ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี จากเดิม ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖) เป็น ๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๘) ๑.๒ ขยายวงเงินค่าก่อสร้างโครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี จากเดิม ๔,๙๓๖,๓๓๐,๐๐๐ บาท เป็น ๕,๑๙๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการงานระบบท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระและอาคารประกอบ สัญญาที่ ๑ โดยเพิ่มวงเงินจากเดิม ๑,๙๗๘,๘๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๒,๒๗๐,๑๒๖,๒๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ๑.๔ เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการงานระบบท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระและอาคารประกอบ สัญญาที่ ๒ โดยเพิ่มวงเงินจากเดิม ๒,๑๑๖,๙๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒,๓๔๗,๑๑๕,๘๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในแต่ละปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ตามสัญญาที่ ๒ ที่กำหนดสิ้นสุดสัญญาวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ควรเร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนด หรือก่อนกำหนดเพื่อให้สามารถผันน้ำได้ทันฤดูฝน (มิถุนายน-ตุลาคม) และเนื่องจากโครงการฯ มีการเปลี่ยนแปลงแบบเพื่อให้สอดรับกับแผนการก่อสร้างของกรมทางหลวง ซึ่งเป็นการวางแผนดำเนินการหลังจากที่โครงการได้รับอนุมัติให้ดำเนินการ ดังนั้น การดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐในอนาคตควรประสานและบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนถึงแผนงานในอนาคต เพื่อให้การก่อสร้างของหน่วยงานต่าง ๆ มีความสอดคล้องกัน เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการ ประหยัดงบประมาณ และสามารถดำเนินการได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กรมชลประทานรับไปประสานงานกับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม และกระทรวงพลังงาน เป็นต้น เพื่อเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||
2024 | โครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556 - 2560) | ศธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ตามข้อเสนอของกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้ดำเนินการติดตามประเมินผลโครงการระยะที่ ๑ ซึ่งสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อรับทราบปัญหาอุปสรรคและประมาณการค่าใช้จ่ายต่อบุคคลที่เหมาะสมในโอกาสแรก ก่อนที่จะมีการขยายผลโครงการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างวิทยาลัยในโครงการกับมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงเพื่อให้เกิดเครือข่ายทางวิชาการที่เข้มแข็งในการช่วยยกระดับความสามารถในการจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยในโครงการ การกำหนดให้มีแผนพัฒนาศักยภาพและเพิ่มพูนประสบการณ์ทางวิชาชีพสำหรับครูผู้สอน และส่งเสริมการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นตามความสามารถ การกำหนดทิศทาง นโยบายและแนวทางการพัฒนาที่ชัดเจน การกำหนดเป้าหมายการดำเนินโครงการที่มีการขยายจำนวนนักเรียนและห้องเรียนเพิ่มขึ้น และพิจารณาความพร้อมของบุคลากรครูผู้สอน ครูพี่เลี้ยง และนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการที่จะต้องมีคุณสมบัติและมีความสามารถพิเศษที่พร้อมจะพัฒนาสู่การเป็นนักประดิษฐ์ นักเทคโนโลยี รวมทั้งการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนทรัพยากรอย่างจริงจังทั้งด้านงบประมาณ บุคลากรและสถานที่ฝึกงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2025 | การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก | นร04 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกษตรกรและผู้สนใจโดยทั่วไปได้รับทราบข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึงและถูกต้องตรงกัน นั้น โดยที่โครงการรับจำนำข้าวเปลือกเป็นโครงการที่รัฐบาลมุ่งดำเนินการเพื่อช่วยยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ดังนั้นเพื่อให้ประชาชน สื่อมวลชน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับทราบข้อเท็จจริงและเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดดำเนินการแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่โฆษกของกระทรวงเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวโดยด่วน ๒. กระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาเชิญนักวิชาการและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเข้าร่วมการชี้แจงด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2026 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 | กค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งประกอบด้วย ๓ แผนย่อย ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินในประเทศ ๙๔๓,๙๓๖.๑๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๑๕,๔๕๕.๗๗ ล้านบาท รวม ๙๕๙,๓๙๑.๘๗ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินในประเทศ ๗๐๓,๓๙๔.๕๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๓๔,๒๐๘.๔๐ ล้านบาท รวม ๗๓๗,๖๐๒.๙๐ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินในประเทศ ๔๗,๑๐๐.๐๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๑๗๖,๐๓๘.๓๘ ล้านบาท รวม ๒๒๓,๑๓๘.๓๘ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๑๒๗,๘๘๕.๒๑ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินของรัฐบาล การกู้มาเพื่อให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ การกำกับดูแลส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้ดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าว เพื่อให้การใช้เงินกู้ตามแผนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้หน่วยงานที่มีความประสงค์ในการกู้เงินให้ความสำคัญกับการกู้เงินในประเทศมากกว่าการกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของสกุลเงินตราต่างประเทศและปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังจะค้ำประกันและให้กู้ต่อ โดยเป็นเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตรตามนโยบายรัฐบาลและเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการปล่อยสินเชื่อ วงเงิน ๑๖๐,๐๐๐ ล้านบาท อาจจะต้องมีการปรับปรุงวงเงินดังกล่าวให้สอดคล้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ที่จำเป็นต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกครั้งหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2027 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2556 [คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลื่อนไปประชุม ครั้งที่ 41/2555 วันที่ 9 ตุลาคม 2555 และให้นำเอกสารงบประมาณของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2556 จำนวน 4 เล่ม ซึ่งเป็นเอกสารประกอบระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 39/2555 (เพิ่มเติม ครั้งที่ 2) เรื่องที่ 14 มาใช้ในการประชุมฯ ครั้งนี้] | นร11 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๗๙,๗๘๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ร้อยละ ๑๓.๕ โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ ๒๑๕,๒๔๙ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ ของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม ๒๒๒,๓๒๒ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๔,๑๐๗ ล้านบาท และการเบิกจ่ายลงทุนรวม ๒,๓๐๕,๔๒๖ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๖๘,๔๗๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๐๔๖,๕๓๓ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๓๗,๑๑๑ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑ การลงทุนโครงการต่อเนื่องที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้วและงานตามภารกิจปกติ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๙๔๖,๕๓๓ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๕๗,๑๑๑ ล้านบาท ๑.๒.๒ การลงทุนที่ขอเพิ่มเติมระหว่างปี (การเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติ) วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการลงทุนที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเพิ่มเติมระหว่างปี โดยให้ สศช. ปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีได้ เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ และมอบคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปีดังกล่าว สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ ให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนตามเป้าหมายร้อยละ ๙๕ ของวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน ๑.๒.๓ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวงและระดับองค์กรไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ สศช. ทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๔ เห็นชอบในหลักการให้ สศช. ปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และการอนุมัติโครงการของคณะรัฐมนตรี ๒. ให้ สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นรายงานเดียวที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้ง สศช. และกระทรวงการคลัง การกำหนดให้การเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นตัวชี้วัดการประเมินผลการดำเนินงานของกระทรวงเจ้าสังกัด คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ การให้กระทรวงเจ้าสังกัดจัดทำกรอบนโยบายและแผนงานโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐวิสาหกิจระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ เพื่อประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ทุกรัฐวิสาหกิจรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนไปยัง สศช. ทุกเดือนภายในวันที่ สศช. กำหนด และให้ สศช. ประมวลข้อมูลของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมทั้งหมดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทุก ๓ เดือน ๓. ในกรณีของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินเบิกจ่ายลงทุนจำนวนมาก โดยมีโครงการจัดหาเครื่องบินปี ๒๕๕๔-๒๕๖๕ จำนวน ๗๕ ลำ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๕๗,๑๒๗ ล้านบาท (ประกอบด้วยโครงการจัดหาเครื่องบินระยะแรก ปี ๒๕๕๔-๒๕๖๐ จำนวน ๓๗ ลำ วงเงินลงทุนรวม ๒๑๖,๐๗๕ ล้านบาท และโครงการจัดหาเครื่องบินระยะที่สอง ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ จำนวน ๓๘ ลำ วงเงินลงทุนรวม ๒๔๑,๐๕๒ ล้านบาท) นั้น โดยที่สภาวะเศรษฐกิจและสภาพการแข่งขันในธุรกิจการบิน รวมทั้งสถานะทางการเงินของ บกท. ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงและมีผลกระทบต่อแผนการลงทุนของ บกท. อย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงคมนาคม โดย บกท. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๔ [เรื่อง โครงการจัดหาเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] อย่างเคร่งครัด โดยนำโครงการจัดหาเครื่องบิน ระยะที่สอง ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ จำนวน ๓๘ ลำ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
2028 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิเป็นเงิน ๑๑๘,๗๐๕.๖๑๗๖ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๔๖๕.๒๕๖๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๓๙.๗๘๔๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๓๙ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๙๙,๗๕๘.๖๕๘๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๔.๐๔ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๙ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๗๐๒.๕๙๘๕ ล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายของสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) จำนวน ๑๖๔.๙๔๐๐ ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาทบทวนค่าใช้จ่ายดังกล่าว และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการเพิ่มเติมให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวม ๒ โครงการ วงเงิน ๔๐.๒๖๓๕ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ สบอช. พิจารณาทบทวน วงเงิน ๑๖๔.๙๔๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการการเป็นเจ้าภาพร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีใต้ในการฝึกซ้อมการบรรเทาภัยพิบัติปี ๒๕๕๖ ภายใต้กรอบการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum-ARF) ของกระทรวงการต่างประเทศ วงเงิน ๒๐.๐๐๐๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารจัดการของสำนักบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วงเงิน ๒๐.๒๖๓๕ ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อรวมวงเงินนำส่งคืนคงเหลือ จำนวน ๓๒๐.๑๓๐๗ ล้านบาท และวงเงินที่สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒๓๘.๑๐๒๙ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกทั้งสิ้น ๕๕๘.๒๓๓๖ ล้านบาท ๑.๔ สถานะเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีวงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกทั้งสิ้น ๕๕๘.๒๓๓๖ ล้านบาท รวมกับวงเงินที่ส่วนราชการฯ อยู่ระหว่างขอรับจัดสรรจากสำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓๖.๑๔๘๘ ล้านบาท ดังนั้น สำนักงบประมาณจึงกันเงินไว้เพื่อเบิกเหลื่อมปี งบกลาง รายการดังกล่าว จำนวน ๑,๒๙๔.๓๘๒๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙,๘๓๖.๗๙๒๖ ล้านบาท และสำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๒,๐๖๑.๗๓๔๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๗๗๕.๐๕๗๘ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔,๐๐๔.๑๔๔๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๙๖.๘๐๔๓ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒๘.๙๗๐๐ ล้านบาท กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๙.๘๕๐๐ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๗๑.๔๗๐๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
2029 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 เมษายน 2539 วันที่ 29 เมษายน 2540 วันที่ 25 กรกฎาคม 2543 และวันที่ 3 เมษายน 2544 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ | กษ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๘ (เรื่อง ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๓๙ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๐ วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ) โดยผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรมชลประทานได้ศึกษาโครงการตามหลักเกณฑ์การประเมินผลกระทบตามแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กันยายน ๒๕๕๑) โดยจำแนกเป็นกรณีที่มีโครงการ และไม่มีโครงการ รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗ แผน และแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๕ แผน ๑.๒ ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร ได้ดำเนินการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมโดยใช้กลไกการสร้างนักวิจัยท้องถิ่น (อาสาสมัครนักวิจัยท้องถิ่น) เพื่อเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนและเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการสำรวจข้อมูลพื้นฐานของชุมชนและที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นและผลกระทบด้านสังคมที่เกิดจากการพัฒนาโครงการ โดยมีการจัดประชุมร่วมกับประชาชนในท้องถิ่นเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและตามข้อเรียกร้องของสมัชชาคนจน ซึ่งชุมชนส่วนใหญ่ในพื้นที่โครงการร้อยละ ๘๕.๔๕ มีแนวโน้มให้การยอมรับต่อการพัฒนาโครงการโปร่งขุนเพชร ๑.๓ ผลการวิเคราะห์ด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมทั้งโครงการตามผลการศึกษา ประกอบด้วย อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) เท่ากับ ๑๓.๕๖% มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ ๖๔.๖๖ ล้านบาท อัตราระหว่างผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) เท่ากับ ๑.๑๑ ๑.๔ ราคาค่าก่อสร้าง (เฉพาะเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบโครงการโปร่งขุนเพชร) ๑.๔.๑ เดิมกรมชลประทานได้ทำสัญญาจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามวัฒนาวิศวก่อสร้าง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ วงเงินค่าก่อสร้างประมาณ ๒๐๐.๒๒๔ ล้านบาท ปัจจุบันห้างฯ ขอยกเลิกสัญญาโดยแจ้งว่าไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินการก่อสร้างงานดังกล่าวโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น และกรมชลประทานได้อนุมัติยกเลิกสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และได้คืนหนังสือค้ำประกันสัญญาให้แก่ห้างฯ ด้วยแล้ว ๑.๔.๒ ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร ได้มีการทบทวนในเรื่องราคาค่าก่อสร้างฯ ของโครงการ แยกเป็น ๒ กรณี คือ กรณีปรับแก้ราคาตามอัตราราคางานต่อหน่วย (Unit Cost) คิดเป็นเงิน ๓๑๙ ล้านบาท และกรณีใช้เงื่อนไขสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) คิดเป็นเงิน ๓๔๓.๘๑๔ ล้านบาท ๑.๔.๓ ปัจจุบันกรมชลประทานได้พิจารณาปรับอัตราราคางานต่อหน่วย (Unit Cost) ให้เป็นปัจจุบัน โดยมีราคาค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๓๖๓,๘๓๒,๒๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรนำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เร่งทำความเข้าใจกับราษฎรที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ เนื่องจากราษฎรบางส่วนยังมีความรู้สึกผูกพันกับพื้นที่ทำกินเดิมและจะต้องลงทุนประกอบอาชีพในที่ทำกินใหม่ และตระเตรียมแนวทางมาตรการช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบซึ่งรวมถึงค่าชดเชยให้พร้อมเพื่อให้การพัฒนาโครงการฯ สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งควรนำเรื่องการพัฒนาโครงการอ่างเก็บน้ำโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ พร้อมรายละเอียดของโครงการและวงเงินการใช้จ่ายที่ขอรับการจัดสรรจากเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ เสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2030 | ขออนุมัติขยายเวลาการดำเนินโครงการยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี 2549 - 2553 | ศธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ๙ แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กรุงเทพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล รัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล สุวรรณภูมิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ตะวันออก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล อีสาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ศรีวิชัย ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ออกไปจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาจารย์ระดับปริญญาโท และปริญญาเอกให้บรรลุตามเป้าหมายเป็นอันดับแรก พร้อมทั้งพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศของอาจารย์ เพื่อการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ด้วย สำหรับงบประมาณส่วนที่เหลือจากกรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ๒๕๔๙-๒๕๕๓) จำนวน ๑,๔๙๒.๑๖๕๐ ล้านบาท ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลขอตั้งงบประมาณประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตั้งเป้าหมายการผลิตบัณฑิตที่มุ่งเน้นให้มีการจัดสหกิจศึกษาในทุกสาขาวิชาเพิ่มขึ้น โดยเน้นในสาขาที่ประเทศมีความขาดแคลนเป็นพิเศษ อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร ยานยนต์ แฟชั่น และซอฟต์แวร์ รวมทั้งการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยหรือการเคลื่อนย้ายบุคลากรวิจัยของมหาวิทยาลัยไปปฏิบัติงานในบริษัทเอกชน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการทำงานกับภาคอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด ตลอดจนการให้บริการทางวิชาการที่สนับสนุนความต้องการของชุมชนหรือท้องถิ่นเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ควรจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายในแต่ละปีจนสิ้นสุดโครงการให้ชัดเจน ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดและกรอบวงเงินงบประมาณในส่วนที่ยังเหลืออีก ๑,๔๙๙,๔๐๓,๘๐๐ บาท และให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานประกอบการและชุมชน โดยเฉพาะสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยร่วมกัน เพื่อให้การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลบรรลุผลตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2031 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมสารสนเทศ ครั้งที่ 9 | ทก | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมสารสนเทศ ครั้งที่ ๙ (TELMIN 9) ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย ระหว่างวันที่ ๗-๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรี TELMIN 9 ๑.๑ ประธานคณะทำงานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศได้เสนอผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของคณะทำงานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินโครงการส่งเสริมไอซีทีสำหรับผู้พิการ การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตสีเขียว การดำเนินการหารือร่วมกับภาคอุตสาหกรรมด้านไอซีทีในเรื่องการประมวลผลแบบคลาวน์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันระหว่างสมาชิกเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับปัญหาการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ข้ามแดนอัตโนมัติ รวมถึงการร่วมมือกับคณะกรรมการเอเปคว่าด้วยการค้าและการลงทุนในเรื่องการปกป้องสายเคเบิลใต้น้ำ ๑.๒ รัฐมนตรีจากแต่ละเขตเศรษฐกิจได้นำเสนอวิสัยทัศน์ ข้อคิดเห็น-ข้อเสนอ รวมถึงนโยบายด้านไอซีที โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของไทยได้นำเสนอวิสัยทัศน์ในหัวข้อการเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยได้หยิบยกประเด็นที่สำคัญ ๓ เรื่อง คือ การลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ความมั่นคงปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ และการเสริมสร้างความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ ๑.๓ ที่ประชุมได้รับรอง “ปฏิญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก” (Saint Petersburg Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสาระสำคัญของปฏิญญาฯ ประกอบด้วย การดำเนินการตามแถลงการณ์ของผู้นำเอเปคเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเน้นความสำคัญในเรื่องการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างพื้นฐานในทางข้อมูลข่าวสารในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยมีหัวข้อภายใต้ปฏิญญาฯ ได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนความเจริญเติบโตรูปแบบใหม่ การเสริมสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การส่งเสริมความปลอดภัยและความเชื่อมั่นในสภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การสนับสนุนการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และการเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศได้หารือทวิภาคีกับ Mr. Philip Verveer, Ambassador and Coordinator for International Communication and Information Policy หัวหน้าคณะผู้แทนของสหรัฐอเมริกาในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการเข้าร่วมประชุม World Conference on International Telecommunications (WCIT-12) การรับทราบถึงประสบการณ์ของสหรัฐฯ ในการใช้คลื่นความถี่อย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความตระหนักรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ เป็นต้น รวมทั้งหารือทวิภาคีกับ Mr. Kimiaki Matsuzaki, State Secretary for Internal Affairs and Communications, Ministry of Internal Affairs and Communications หัวหน้าคณะผู้แทนของญี่ปุ่นในประเด็นเกี่ยวกับการใช้ไอซีทีในการบริหารจัดการภัยพิบัติ ประสบการณ์การรับมือกับภัยพิบัติ การเสนอโครงการความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ซึ่งได้ริเริ่มโครงการวิจัยและพัฒนาในการวิเคราะห์ ภัยคุกคามหรือการแพร่ระบาดของโปรแกรมไม่พึงประสงค์
|
|||||||||||||||||||||
2032 | การรับประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 โดยกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติและการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ | กค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ พิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕) ที่เห็นชอบและอนุมัติโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ยกเว้นหลักการให้กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติจะเป็นผู้รับประกันภัยต่อ นั้น เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีเจตนารมณ์ที่ต้องการให้กองทุนฯ เป็นผู้รับประกันภัย แต่ยังมีข้อความที่เกี่ยวกับการรับประกันภัยต่อปรากฏอยู่ในข้อ ๔ ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๑๐๐๘/๑๐๘๘๙ ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วด้วย จึงเห็นควรพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยตัดข้อความที่เกี่ยวกับการรับประกันภัยต่อออกทั้งหมด ๑.๒ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปี ๒๕๕๕ ๑.๒.๑ คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบรูปแบบการประกันภัยตามโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ ที่เหมาะสม โดยให้ภาคเอกชนผู้รับประกันภัยเข้ามามีส่วนในการรับประกันภัยในโครงการฯ ในสัดส่วนร้อยละ ๐.๒๕ ซึ่งรูปแบบการรับประกันภัยร่วม (co-insurance) จะช่วยให้การจัดการข้อมูลการรับประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างรากฐานกลไกการประกันภัยพืชผลให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว และลดความเสี่ยงกับการขัดกับกฎระเบียบขององค์การการค้าโลกในประเด็นการอุดหนุนสินค้าเกษตร ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ได้จัดทำประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดภัยพิบัติอื่นตามพระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้คำจำกัดความคำว่า “ภัยพิบัติ” ครอบคลุมถึงภัยพิบัติต่อพืชผลทางการเกษตร ๑.๒.๒ คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ได้ประชุมเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาพื้นฐานข้อเท็จจริงอัตราเบี้ยประกันภัยและอัตราความเสียหาย โดยเห็นว่า การลดความเสี่ยงการรับประกันภัยของกองทุนฯ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการกระจายความเสี่ยงของพื้นที่เพาะปลูกที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในฐานะที่เป็นผู้บริหารโครงการจะต้องมีการบริหารจัดการที่ดี นอกจากกำหนดเป้าหมายรวมทั้งประเทศตามที่ ธ.ก.ส. คาดว่ามีความเป็นไปได้ประมาณ ๔ ล้านไร่แล้ว ยังต้องมีการกระจายพื้นที่เพาะปลูกที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความหลากหลาย ทั้งในส่วนที่มีความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงปานกลาง ความเสี่ยงต่ำ และไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีสัดส่วนพื้นที่เพาะปลูกข้าวสูงที่สุดถึงร้อยละ ๕๗.๘ ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการจัดการความเสี่ยงดีที่สุดจะทำให้กองทุนฯ ไม่เกิดความเสียหายจากการรับประกันภัย ส่วนในกรณีเลวร้ายที่สุด กล่าวคือ พื้นที่เพาะปลูก จำนวน ๔ ล้านไร่ ที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงทั้งหมด กองทุนฯ อาจมีภาระการจ่ายค่าสินไหมทดแทน จำนวน ๔,๔๔๔ ล้านบาท ๑.๓ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายประกันภัยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศและมีการบริหารจัดการที่ดีให้มีการกระจายความเสี่ยง โดยทุกภาคยกเว้นภาคใต้เริ่มต้นการขายตั้งแต่วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และภาคใต้จะเริ่มต้นการขายในวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๑.๔ พิจารณาแต่งตั้งนายมานพ นาคทัต ประธานคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ แทนนายเสรี จินตนเสรี ที่ได้ลาออกไป ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ภาคเอกชนผู้รับประกันภัยเข้าร่วมโครงการฯ ในสัดส่วนร้อยละ ๐.๒๕ และกองทุนฯ รับประกันสัดส่วนร้อยละ ๙๙.๗๕ ซึ่งกองทุนฯ จะมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เนื่องจากปีที่ผ่านมาเก็บเบี้ยประกันได้ ๑๓๐ ล้านบาท แต่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินไหม จำนวน ๗๐๐ ล้านบาท จึงเห็นควรให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายประกันภัยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงปานกลาง ความเสี่ยงต่ำ และพื้นที่ที่ไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ปลูกข้าวมากที่สุด เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการบริหารจัดการกองทุนฯ และกระจายความเสี่ยงให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ รวมทั้งกระทรวงการคลังร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการเร่งประชาสัมพันธ์โครงการฯ ให้เกษตรกรรับทราบรายละเอียดและให้เห็นถึงประโยชน์ของการประกันภัย เพื่อรองรับภัยพิบัติที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น และตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2033 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการโชห่วยช่วยชาติ "ร้านถูกใจ" | พณ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” จากกรอบระยะเวลาเดิมซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ขยายต่อไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยใช้วงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม (จำนวน ๔๒๗.๕๒๐๑ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สำหรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป จะเสริมสร้างความเข้มแข็ง โดยยึดหลักการใช้งบประมาณอย่างประหยัด และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ดังนี้ ๑.๑ ตรวจสอบและประเมินผลโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง โดยยกเลิกร้านถูกใจที่ไม่มีศักยภาพ ไม่มีความพร้อมในการจำหน่าย หรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เช่น สั่งซื้อสินค้าน้อย จำหน่ายสินค้าได้น้อย เป็นต้น โดยจะคัดเลือกร้านถูกใจสำรองที่มีอยู่ประมาณ ๖,๐๐๐ ราย มาทดแทน ๑.๒ ปรับลดเงินอุดหนุนให้แก่ร้านถูกใจ โดยส่งเสริมและพัฒนาให้ร้านถูกใจเข้มแข็ง มีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถดำรงอยู่ได้ในระยะยาว ๑.๓ กำกับดูแลให้ร้านจำหน่ายสินค้าต่ำกว่าราคาตลาดเฉลี่ยร้อยละ ๒๐ ๑.๔ กำกับดูแลร้านถูกใจให้จำหน่ายสินค้าตามปริมาณและราคาที่กำหนด ๑.๕ พัฒนาระบบการสั่งซื้อสินค้า การจัดเตรียม และจัดส่งสินค้าให้รวดเร็วและเพียงพอต่อความต้องการ เพื่อลดรายจ่ายของประชาชนให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ๑.๖ อาจจะมีการเพิ่มจำนวนร้านถูกใจมากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๑๐,๐๐๐ ราย เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าจากร้านถูกใจได้สะดวกมากขึ้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการโชห่วยช่วยชาติฯ อย่างเหมาะสม คุ้มค่า ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อประหยัดงบประมาณของรัฐบาล ควรเร่งพัฒนาระบบการสั่งซื้อสินค้าให้รวดเร็วขึ้น โดยเพิ่มระยะเวลาหรือรอบการสั่งซื้อในแต่ละสัปดาห์ จัดระบบการกระจายสินค้า เพื่อลดระยะเวลาการจัดส่งสินค้า และจัดส่งสินค้าให้ตรงตามกำหนดเวลา โดยเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาค เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาร้านค้าขาดสินค้าจำหน่าย รวมทั้งปรับรายการสินค้าและจำนวนการสั่งซื้อขั้นต่ำให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคตามสภาพตลาดและพื้นที่ ดูแลคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ และติดตามประเมินผลโครงการฯ เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดแนวทางการช่วยเหลือในการลดค่าครองชีพของประชาชนที่มีประสิทธิผลในอนาคต รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการโครงการให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับติดตามการดำเนินงานของ “ร้านถูกใจ” ให้มีการจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการครองชีพ สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนผู้บริโภค และเป็นไปตามระดับราคาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาแนวทางการดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมให้ “ร้านถูกใจ” สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างยั่งยืนภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ ด้วย |
|||||||||||||||||||||
2034 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๘๗๒.๗๘๔๗ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๐๒๕.๔๗๑๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑,๒๘๒.๗๔๖๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๑๕ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๙๗,๖๖๓.๗๕๒๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๒.๑๖ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๙ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๔๙ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๔ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๕,๘๒๔.๐๘๒๔ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๓๑๓.๕๔๔๙ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก เป็นเงิน ๖๔๙.๕๔๓๕ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙,๘๓๖.๗๙๒๖ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๒,๐๖๑.๗๓๔๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๗๗๕.๐๕๗๘ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔,๐๐๔.๑๔๔๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๙๖.๘๐๔๓ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒๘.๙๗๐๐ ล้านบาท กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๙.๘๕๐๐ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๗๑.๔๗๐๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
2035 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. ๒๕๕๕ หลังจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินประมาณ ๑๒,๕๗๕.๗๘๕๓ ล้านบาท สำหรับโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถเบิกจ่ายเงินกู้ DPL ได้จนบรรลุวัตถุประสงค์ แต่ไม่ควรเกินเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ส่วนโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๔๙๑ ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการทบทวนเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ต่อไป ๑.๒ รับทราบและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโทของครูและบุคลากรอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ โดย ๑.๒.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของ สอศ. วงเงิน ๑๔.๑๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ อนุมัติการดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาสู่ความทันสมัย รายการอุดหนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตรต่อเนื่อง ๒ ปี เพื่อแก้ไขปัญหาทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโทของครูและบุคลากรอาชีวศึกษา จำนวน ๔๖ ทุน (ทุนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท) ของ สอศ. วงเงิน ๑๓.๘๐ ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) ๑.๒.๓ อนุมัติให้ สอศ. ก่อหนี้ผูกพันหรือดำเนินโครงการก่อนการจัดสรรเงินกู้สำหรับโครงการยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาสู่ความทันสมัย รายการอุดหนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตรต่อเนื่อง ๒ ปี จำนวน ๔๖ ทุน (ทุนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท) วงเงิน ๑๓.๘๐ ล้านบาท ๑.๓ รับทราบและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดย ๑.๓.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของ สอศ. วงเงิน ๕๑๒.๕๓๘ ล้านบาท และอนุมัติการดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารศูนย์วิทยบริการ ของ สอศ. กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๕๖ หลัง วงเงิน ๕๐๙.๖๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ สอศ. จะต้องเร่งรัดการดำเนินโครงการ โดยลงนามในสัญญาก่อสร้างภายในสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ และเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ๑.๓.๒ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของมหาวิทยาลัยมหิดล วงเงิน ๓๘๙,๓๒๘,๑๗๑.๕๑ บาท อนุมัติดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เหลือจ่ายให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดลสำหรับสาขาสาธารณสุขค่าครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จำนวน ๒๘ รายการ วงเงิน ๓๘๑,๓๖๙,๓๐๐ บาท และสาขาศึกษาสำหรับครุภัณฑ์ประจำอาคารเสริมสร้างอุตสาหกรรมชีวภาพจากนวัตกรรม จำนวน ๕ รายการ วงเงิน ๗,๘๓๘,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๓๓ รายการ วงเงิน ๓๘๙,๒๐๗,๓๐๐ บาท ๑.๓.๓ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของสภากาชาดไทย จำนวน ๑๒๐,๕๔๓,๑๐๐ บาท อนุมัติดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เหลือจ่ายให้แก่สภากาชาดไทยสำหรับค่าครุภัณฑ์เครื่องตรวจด้วยคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging) วงเงิน ๘๙,๘๘๐,๐๐๐ บาท และครุภัณฑ์เครื่องเอ็กซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล (Mobile Digital Radiography) วงเงิน ๒๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้สภากาชาดไทยเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายของภาษีมูลค่าเพิ่มวงเงิน ๗,๗๗๗,๑๙๖ บาท โดยใช้เงินรายได้หรือแหล่งเงินอื่นของสภากาชาดไทยตามความเหมาะสม ๑.๔ อนุมัติจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๒,๖๕๗,๔๙๐.๐๐ บาท กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๑๘๑,๑๕๑.๓๔ บาท กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑๓,๒๖๘,๙๗๘.๑๔ บาท กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม วงเงิน ๑,๖๕๖,๙๒๙.๐๐ บาท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕๒,๔๗๕,๗๑๘.๐๐ บาท และกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๒๔,๖๔๑,๕๐๐.๐๐ บาท ๑.๕ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๖ อนุมัติการยกเลิกการจัดสรรวงเงินกู้สำหรับค่าก่อสร้างโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง วงเงิน ๒,๔๒๘ ล้านบาท และนำวงเงินกู้ดังกล่าวมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายในสาขาเศรษฐกิจต่อไป ๒. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเฉพาะหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายฯ เร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งพิจารณาจัดสรรวงเงินกู้ที่เหลือของโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ซึ่งกระทรวงการคลังได้เสนอขอยกเลิกโครงการดังกล่าว โดยอาจพิจารณาการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางรางที่มีความพร้อมในการดำเนินงานเป็นลำดับแรก เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่งจากถนนสู่ระบบรางให้เป็นไปตามเป้าหมาย ตามความเห็นสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2036 | การกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้เงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ วงเงิน ๑๐๕,๙๑๐ ล้านบาทเดิม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต ๒๕๕๕ เพิ่มเติม จากเดิมวงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๘ ล้านตัน เป็นวงเงิน ๑๖๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑๑.๑๑ ล้านตัน ๑.๒ ให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต ๒๕๕๕ เพิ่มเติม จากเดิมวงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๘ ล้านตัน เป็นวงเงิน ๑๖๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑๑.๑๑ ล้านตัน จากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อบริหารจัดการหนี้เงินกู้ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินกู้และดอกเบี้ย รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินโครงการทั้งหมด ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ของ ธ.ก.ส. ที่เกิดจากการกู้เงินและการบริหารจัดการหนี้ของ ธ.ก.ส. โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้งตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๖๑,๐๐๐ ล้านบาท ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมทั้งการบริหารจัดการหนี้ร่วมกับ ธ.ก.ส. ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันจนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๑.๔ การชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในส่วนที่ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) และวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕) สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ๑.๕ ให้ ธ.ก.ส. กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการแยกบัญชีดำเนินงาน การนำส่งเงินที่ได้จากการชำระค่าสินค้า การดูแลสินค้า (Stock) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชี การกำกับ ติดตาม ควบคุม รวมทั้งการรายงานความก้าวหน้า ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวที่เกษตรกรนำมาจำนำ เพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าว การติดตามและตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวเก่าที่เก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าอย่างเข้มงวด โดยรายงานให้กระทรวงการคลังลำนักงบประมาณทราบทุกรายไตรมาส การจัดทำแผนบริหารจัดการระบายข้าวในสต็อกและช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมให้ชัดเจน มีอัตราการขาดทุนที่ยอมรับได้ และร่วมมือกับเอกชนเพื่อสร้างทีมในการพัฒนาตลาดส่งออกข้าว การจัดให้มีการประมูลข้าวจากสต็อคของรัฐโดยกระบวนการที่โปร่งใส และมีแผนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการ โดยไม่ต้องขอรับสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม การสนับสนุนการพัฒนากลไกตลาดกลางสินค้าเกษตรในแหล่งผลิตสำคัญเพื่อใช้เป็นแหล่งอ้างอิงราคาสินค้า การจัดเกรดและมาตรฐาน และสร้างอำนาจต่อรองให้แก่เกษตรกร นอกจากนี้ ในระยะยาว ควรสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตรและความสามารถในการแข่งขันสินค้าเกษตร เพื่อเตรียมรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยสร้างทางเลือกให้เกษตรกรและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลิตภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2037 | รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | พณ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ตามรายงานของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมว่า การดำเนินการระบายข้าวของรัฐบาลได้มีการระบายข้าวไปแล้ว จำนวน ๘.๓๘ ล้านตัน และมีเงินสดที่ได้รับแล้วประมาณ ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท คาดว่าจะได้รับเงินจากการขายข้าวสารก่อนสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อีกจำนวนประมาณ ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งจะได้รับเงินจากการจำหน่ายข้าวสารในช่วงเดือนมกราคมถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ อีกจำนวนประมาณ ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีกระแสเงินสดที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้งหมดจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ รวมเป็นเงินประมาณ ๑๒๕,๐๐๐ ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินที่ได้รับคืนจากการขายข้าวสารของโครงการดังกล่าวจนถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ ๒๖๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ เฉพาะในส่วนของข้าวเปลือกนาปี จำนวน ๑๕ ล้านตัน โดยเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป และอนุมัติวงเงินเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นเงิน จำนวน ๒๔๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นส่วนของวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม จำนวนไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงบประมาณจัดทำบัญชีหมุนเวียนและกรอบวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยให้นำเงินที่ได้จากการระบายข้าวดังกล่าวไปประกอบการจัดทำบัญชีหมุนเวียนด้วย ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อเพื่อการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในครั้งนี้ จำนวน ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เมื่อรวมกับวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ที่อนุมัติไปแล้ว จำนวน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท จะต้องไม่เกินกรอบวงเงิน จำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕) อนุมัติไว้ สำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และให้กระทรวงพาณิชย์รายงานข้อมูลการเงินและการระบายข้าวให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาสด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณารายละเอียดของวงเงินงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการ ให้คำนึงถึงรายได้ที่จะได้รับจากการระบายข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวของฤดูกาลที่ผ่านมา เพื่อลดยอดวงเงินกู้ในการดำเนินโครงการ และคำนึงถึงกรอบวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของวงเงินจ่ายขาดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อนุมัติให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ได้รับจัดสรรภายใต้โครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยให้ใช้ค่าใช้จ่ายต่อหน่วย (Unit Cost) ในอัตราเดิมเช่นเดียวกับการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรที่ผ่านมา สำหรับค่าบริหารสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้คิดในอัตราต่ำกว่าร้อยละ ๒.๕ เนื่องจากเป็นการดำเนินการต่อเนื่องในลักษณะเดียวกับโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๔/๒๕๕๕ และโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรในอดีต และในกรณีที่ต้องใช้เงินทุน ธ.ก.ส. ดำเนินการก่อน ให้ชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR+1 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรและผู้สนใจโดยทั่วไปได้รับทราบข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึงและถูกต้องตรงกัน |
|||||||||||||||||||||
2038 | ขอความเห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ "รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน" ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556 - 2559) | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” จัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้กรอบแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการพัฒนาในช่วงแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ เพื่อสนองพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพื้นที่ป่าต้นน้ำและพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวทางการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า และเพื่อพัฒนาคนในพื้นที่ลุ่มน้ำ มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและสมดุลกับการอนุรักษ์ ตามแนวพระราชดำริการพัฒนาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๑.๒ ประเด็นการพัฒนา ๑.๒.๑ จัดตั้งถิ่นฐานถาวรในพื้นที่ลุ่มน้ำตามแนวพระราชดำริ สร้างความเข้มแข็งของชุมชน เสริมสร้างการเรียนรู้ และพัฒนาส่งเสริมอาชีพ ๑.๒.๒ บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้ำ ดิน และป่า ในลักษณะองค์รวม มุ่งพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำและสนับสนุนความมั่นคงด้านอาหาร ๑.๒.๓ สร้างความมั่นคงในการดำเนินชีวิตของประชาชน สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการ และใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ และสร้างความมั่นคงในอาชีพ ๑.๒.๔ เตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทุกด้าน ๑.๓ ยุทธศาสตร์การพัฒนา ๑.๓.๑ การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๓.๒ การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ ๑.๓.๓ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน ๑.๓.๔ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ๑.๔ องค์กรบริหารงาน ๑.๔.๑ ระดับนโยบาย ได้แก่ คณะกรรมการอำนวยการโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ ที่ปรึกษาโครงการพระราชดำริ สำนักราชเลขาธิการ (พลเอก นิพนธ์ ภารัญนิตย์) เป็นรองประธานกรรมการ และมีรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ที่ได้รับมอบหมาย) เป็นกรรมการและเลขานุการ ๑.๔.๒ ระดับบริหารและอำนวยการ ได้แก่ คณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ โดยมีหัวหน้าศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทั้งนี้ โดยมีศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นศูนย์กลางการดำเนินงานโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ๑.๔.๓ ระดับปฏิบัติ ได้แก่ คณะทำงานโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน จังหวัด...... รับผิดชอบดำเนินงานในระดับจังหวัดแต่ละจังหวัด โดยมีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดและหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในแต่ละจังหวัดร่วมเป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงานฯ และเป็นแกนกลางดำเนินงานระดับจังหวัด ๒. ให้ประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงหรือผู้แทน ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการอำนวยการโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน และให้ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือผู้แทน ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ๓. สำหรับการดำเนินการตามแผนแม่บทโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปพิจารณาในคณะกรรมการโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ร่วมกับคณะกรรมการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาในรายละเอียดและค่าใช้จ่ายของโครงการต่าง ๆ และบูรณาการการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการปลูกป่าของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นระบบ มีเอกภาพ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน และดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ในระดับนโยบาย/ระดับบริหารและอำนวยการ ควรมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบริหารจัดการและผลักดันการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ให้ครอบคลุมประเด็นทั้งด้านสุขภาพอนามัย ด้านการศึกษาในท้องถิ่นทุรกันดาร และการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และควรมีกลไกทำงานเชิงรุก ประสานและบูรณาการร่วมกับแผนแม่บท/แผนปฏิบัติการ/กิจกรรมในพื้นที่เป้าหมายที่หน่วยงานทั้งภายในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงต่าง ๆ ที่มีอยู่เพื่อดำเนินการให้บรรลุตามเป้าหมายของแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดข้อมูลและความรู้ในการประกอบอาชีพให้กับเกษตรกรเพื่อสร้างศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง และพัฒนาผู้นำกลุ่มและเครือข่ายการผลิตให้มีความเข้มแข็ง สามารถเข้าใจและเชื่อมโยงกับหน่วยงานรัฐในกระบวนการผลิตที่สอดคล้องกับสภาพนิเวศน์บนพื้นที่สูง ส่งเสริมและสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่บริเวณต้นน้ำเพื่อแก้ปัญหาดินขาดอินทรีย์วัตถุและป้องกันการปนเปื้อนสารเคมีไปยังปลายน้ำ และการนำวัตถุดิบที่เหลือใช้จากการเกษตรมาผลิตพลังงานทดแทนสำหรับใช้ในระดับครัวเรือนและชุมชน รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถมีส่วนร่วมในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับภาครัฐมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานให้เน้นการส่งเสริมการปลูกป่าที่เป็นพืชพลังงานทดแทน ๕. ให้คณะกรรมการโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษาฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงข้อมูลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ กบอ. ให้เหมาะสมสอดคล้องกันต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2039 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิเป็นเงิน ๑๑๙,๐๙๖.๒๙๙๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๑,๗๔๒.๗๒๕๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑,๐๙๔.๗๓๐๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๙๘ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๙๔,๖๑๖.๘๔๓๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๙.๔๕ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๙ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๔๖ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๗ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๕,๖๐๐.๕๙๘๖ ล้านบาท และเงินที่ส่วนราชการจะใช้จ่ายจริงน้อยกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เป็นเงิน ๑๓๙.๐๐๖๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะจัดสรรเพิ่มเติมได้ จำนวน ๕,๗๓๙.๖๐๔๖ ล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรวม ๗ ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๓๑๓.๕๔๔๙ ล้านบาท (สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว ๔,๗๑๐.๑๕๓๐ ล้านบาท) คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก เป็นเงิน ๔๒๖.๐๕๙๗ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙,๘๓๖.๗๙๒๖ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๒,๐๖๑.๗๓๔๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๗๗๕.๐๕๗๘ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔,๐๐๔.๑๔๔๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๙๖.๘๐๔๓ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒๘.๙๗๐๐ ล้านบาท กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๙.๘๕๐๐ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๗๑.๔๗๐๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
2040 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 8/2555 | นร11 | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (กรณีเร่งด่วน ๔ ประเด็น) ที่มีมติเห็นชอบและรับทราบผลการประชุมดังกล่าว และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กยอ. รวบรวมข้อมูลความคืบหน้าการดำเนินโครงการ/แผนงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการแล้วให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน เพื่อรายงานให้ กยอ. ทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ๒. รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส ๒/๒๕๕๕ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๔.๒ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๔ ในไตรมาสแรก โดยด้านการผลิตมีปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มขยายตัวเป็นบวกหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และการขยายตัวเร่งขึ้นของสาขาก่อสร้าง การค้าส่งค้าปลีก โรงแรมและภัตตาคาร ด้านการใช้จ่ายมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ เศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๕.๕ - ๖.๐ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ ๒.๙ - ๓.๔ การบริโภคภาคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๔.๘ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๑.๓ มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๗.๓ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลประมาณร้อยละ ๐.๑ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ๓. รับทราบความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตามที่ผู้แทน กนอ. เสนอ โดยสถานภาพการประกอบกิจการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม ณ วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ มีโรงงานเปิดดำเนินการแล้วรวมทั้งสิ้น ๖๘๔ โรงงาน จากโรงงานทั้งหมด จำนวน ๘๓๙ โรงงาน หรือคิดเป็นร้อยละ ๘๑.๕๓ ที่เหลือประมาณร้อยละ ๘ มีการย้ายฐานการผลิตซึ่งโดยส่วนใหญ่ย้ายไปยังพื้นที่อื่น เช่น ฉะเชิงเทรา กบินทร์บุรี และระยอง เป็นต้น และอีกร้อยละ ๕ ยังอยู่ระหว่างการซ่อมแซมโรงงาน สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วม ส่วนใหญ่ดำเนินการล่าช้ากว่าเป้าหมายที่จะต้องแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เนื่องจากอยู่ระหว่างงานเก็บความเรียบร้อย ๔. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (อยอ.) โดยนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง ประธานอนุกรรมการ อยอ. รายงานว่า ขณะนี้ได้แต่งตั้งคณะทำงาน จำนวน ๓ คณะ ได้แก่ คณะทำงานกำหนดยุทธศาสตร์แนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำและบริหารทรัพยากรน้ำเพื่อความมั่นคงของลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด คณะทำงานกำหนดยุทธศาสตร์และกรอบด้านการใช้ที่ดิน ประชากร ผังเมือง มลภาวะ และระบบนิเวศน์ และคณะทำงานกำหนดยุทธศาสตร์นโยบายด้านการพัฒนาพื้นที่เพื่อความมั่นคงอย่างยั่งยืน รวมถึงด้านกฎหมายและองค์กรที่จำเป็น เพื่อระดมความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดในการบริหารทรัพยากรน้ำในพื้นที่ ๙ จังหวัด และจัดทำแผนยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ ๓ เดือน
|
.....