ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 106 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2101 - 2120 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2101 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๗,๖๖๓.๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน ๔๙๖.๔๒๓ ล้านบาท เนื่องจากสำนักงบประมาณได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้กับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงมิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๘,๐๓๐.๐๖๑ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖๔,๗๙๓.๙๓๓ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๒,๖๙๕.๐๔๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔.๓๔ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๙๙,๐๓๒.๖๗๖ ล้านบาท (ร้อยละ ๘๔.๑๗ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑,๙๑๕.๗๒๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๙๗ ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓ จังหวัด เป็นเงิน ๕๒,๘๑๐.๘๓๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๙.๙๙ ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๔๒ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๔,๙๔๕.๑๑๒ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป ๔. การติดตามผลการปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดังนี้ ๔.๑ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ จำนวน ๑๑ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๑,๔๔๙ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒,๗๒๐.๖๔๕ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๑,๐๗๘.๕๔๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๖๔ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๖๗.๑๔ ๔.๒ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดกลางน้ำ จำนวน ๖ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๒,๑๖๐ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๖,๒๓๕.๘๙๕ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๒,๖๑๔.๕๖๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๔.๒๒ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๓๙.๖๒ ๔.๓ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดปลายน้ำ จำนวน ๑๕ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๖,๖๖๔ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒๐,๖๔๒.๖๒๘ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๕,๗๘๓.๑๓๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๘.๒๖ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๗๙.๙๑
|
||||||||||||||||||||||||
2102 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 6 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (Indonesia - Malaysia - Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๕ ณ Peace Palace กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงาน IMT-GT ที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแผนงาน IMT-GT ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๔ ซึ่งมีสาระสำคัญประกอบด้วยการขับเคลื่อนตามข้อสั่งการของผู้นำจากการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๕ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยเฉพาะการเตรียมยกร่างแผนดำเนินการระยะ ๕ ปี ต่อไป (Implementation Blueprint) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และการดำเนินการตามแผนที่นำทางฉบับแรก ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔ จนแล้วเสร็จใน ๖ สาขาความร่วมมือที่สำคัญ เช่น การศึกษาความเหมาะสมการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลกที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส - เมืองเปิงกาลันกุโบร์ รัฐกลันตัน และสะพานข้ามแม่น้ำโกลกแห่งที่สองที่อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส - เมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน การเตรียมการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนไทย - มาเลเซีย ที่จังหวัดนราธิวาส - รัฐกลันตัน การจัดสัมมนานานาชาติเพื่อส่งเสริมการเป็นศูนย์การท่องเที่ยวทางการแพทย์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการท่องเที่ยวเพื่อการมีสุขภาพทีดี (Wellness) ที่ภูเก็ตและบาหลี ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ฮาลาล การจัดนิทรรศการและการส่งเสริมอุตสาหกรรมและธุรกิจฮาลาลระหว่างประเทศ การยอมรับมาตรฐานวิชาชีพแรงงานสาขาการท่องเที่ยว พยาบาล สุขภาพและสปา การเกษตรและชิปปิ้ง และความร่วมมือด้านยางและไม้ยางพารา ๑.๒ เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงาน IMT-GT (The Sixth IMT-GT Summit Joint Statement) โดยมีสาระสำคัญของแถลงการณ์ฯ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการประชุม เพื่อทบทวนความก้าวหน้าของความร่วมมือและกำหนดทิศทางการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ร่วมในการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และยืนยันถึงพันธะที่จะร่วมมือต่อไปอย่างมุ่งมั่นเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดช่องว่างการพัฒนาภายในและระหว่างประเทศในอนุภูมิภาค และนำประชาชนให้พ้นจากความยากจน ๒. นายกรัฐมนตรีไทยได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมในการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงาน IMT-GT ดังนี้ ๒.๑ เน้นย้ำความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของกรอบ IMT-GT ในช่วงแผนดำเนินงานระยะ ๕ ปี ต่อไป (Implementation Blueprint) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ทั้งในด้านบทบาทในการส่งเสริมการบูรณาการและความร่วมมือในพื้นที่สู่การพัฒนา ความเจริญรุ่งเรืองและความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนซึ่งจำเป็นต้องใช้การมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาที่สนองต่อความต้องการจากพื้นที่ ๒.๒ เน้นย้ำความสำคัญของความเชื่อมโยงทั้งในทางกายภาพและการอำนวยความสะดวกด้านกฎระเบียบเป็นปัจจัยชี้วัดการพัฒนาความเชื่อมโยงตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน โดยไทยมีโครงการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม เช่น ทางพิเศษหาดใหญ่ - สะเดา และสะพานข้ามแม่น้ำโกลกแห่งใหม่ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส และสะพานแห่งที่สองที่อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส ซี่งต้องพัฒนาคู่ขนานกับการอำนวยความสะดวกในการผ่านแดน ๒.๓ การดำเนินความร่วมมืออย่างต่อเนื่องในด้านการท่องเที่ยว ในผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวใหม่ ๆ การพัฒนาฐานข้อมูลการท่องเที่ยว รวมทั้งความร่วมมือด้านความมั่นคงของอาหารและพลังงานทางเลือกโดยความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่น พร้อมทั้งการขยายความร่วมมือในด้านที่มีความเป็นไปได้กับหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ ๒.๔ เน้นย้ำความสำคัญในการดำเนินโครงการตามแผนดำเนินงานระยะ ๕ ปี ต่อไป (Implementation Blueprint) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่สะท้อนถึงประโยชน์ในระดับประชาชนในท้องถิ่น ระดับอนุภูมิภาค และระดับอาเซียน และสนับสนุนบทบาทของศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาค IMT-GT (CIMT) ในการขับเคลื่อนการดำเนินการโครงการในแผนดำเนินงาน ๕ ปี
|
||||||||||||||||||||||||
2103 | ขอความเห็นชอบการดำเนินโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 3 และการปรับองค์ประกอบคณะกรรมการโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน | ศธ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน รุ่นที่ ๓ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดการดำเนินโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน รุ่นที่ ๓ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วยกระบวนการรับสมัคร การสอบคัดเลือก ปฐมนิเทศผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ เตรียมความพร้อมผู้เข้าร่วมโครงการด้านภาษา วิชาพื้นฐาน และทักษะที่จำเป็น โดยกำหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการเดินทางไปศึกษาในต่างประเทศ ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ทั้งนี้ กำหนดเวลาดังกล่าวเป็นการดำเนินงานในปีแรกของโครงการ สำหรับการดำเนินงานตลอดโครงการนั้น จะใช้เวลาในการดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ โดยใช้งบประมาณจำนวน ๗,๑๘๓,๗๖๑,๗๐๐ บาท ๑.๒ ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน เพื่อให้การดำเนินโครงการสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและเกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวม ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้นักเรียนในแต่ละพื้นที่ เขต/อำเภอ มีโอกาสในการสมัครสอบแข่งขันเพื่อขอรับทุนได้อย่างเท่าเทียมกัน ๓. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน และผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม กำหนดเกณฑ์การคัดเลือกผู้รับทุนให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม เผยแพร่และประชาสัมพันธ์โครงการ รวมทั้งพิจารณาหาแนวทางและกำหนดวิธีการแก้ไขกรณีที่เกิดปัญหา ตลอดจนติดตามและประเมินผลสำเร็จของโครงการ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||||||||
2104 | ขออนุมัติจ่ายเงินชดเชยค่าที่ดินเป็นกรณีพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยตาจู จังหวัดศรีสะเกษ | กษ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการจ่ายเงินชดเชยค่าที่ดินเป็นกรณีพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยตาจู จังหวัดศรีสะเกษ หรือทายาทของบุคคลดังกล่าว ตามรายชื่อที่ปรากฏไว้ในแผนที่ ร.ว. ๔๓ ก. จำนวน ๒๑๖ แปลง โดยให้มีสิทธิได้รับการจัดสรรที่ดินเท่ากันรายละ ๗ - ๒ - ๐ ไร่ ภายใต้เงื่อนไขว่า หากเกษตรกรมีที่ดินตามที่ปรากฏในแผนที่ ร.ว. ๔๓ ก. หลายแปลง ให้ได้รับการช่วยเหลือเพียงหนึ่งสิทธิเท่านั้น หรือคิดคำนวณเป็นเงินชดเชยค่าที่ดินแทนการจัดสรรที่ดินในอัตราไร่ละ ๓๐,๐๐๐ บาท (รายละ ๒๒๕,๐๐๐ บาท) ๑.๒ อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินชดเชยค่าที่ดินเป็นกรณีพิเศษแทนการจัดสรรที่ดิน ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานกรรมการ อัยการจังหวัดศรีสะเกษ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ นายอำเภอขุนหาญ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานศรีสะเกษ นายรณชิต ทุ่มโมง (ตัวแทนเกษตรกร) นายคาร มนตรีวงษ์ (ตัวแทนเกษตรกร) เป็นกรรมการ และหัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดิน ๘ กรมชลประทาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่ตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินชดเชยฯ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องเรียบร้อย ด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร และระมัดระวังมิให้มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิ โดยถือเอาความเห็นของคณะกรรมการฯ เป็นหลักฐานประกอบในการอนุมัติจ่ายเงิน รวมทั้งป้องกันมิให้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาประโยชน์จากการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกร ๑.๓ การระบุข้อความในเอกสารการจ่ายเงิน ให้ระบุด้วยว่า “ข้าพเจ้าตกลงและยินยอมรับเงินชดเชยค่าที่ดินเป็นกรณีพิเศษแทนการจัดสรรที่ดิน ตามจำนวนเนื้อที่และอัตราที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้ และจะไม่เรียกร้องขอรับการช่วยเหลือใด ๆ เกี่ยวกับของโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยตาจู จากทางราชการอีก” ๒. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ให้กรมชลประทานพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากแผนงานส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน ภายในวงเงินไม่เกิน ๔๘,๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้กรมชลประทานตรวจสอบความซ้ำซ้อนในจำนวนรายที่มีสิทธิอย่างเคร่งครัดด้วย และให้ทำความตกลงในรายละเอียด วงเงินค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งเมื่อได้ตรวจสอบความซ้ำซ้อนเรียบร้อยแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้มีคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายเงินชดเชยฯ ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ และมีรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมาย และรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม ทำหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยฯ ดังกล่าวในภาพรวมให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกัน แล้วให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนผู้สนใจทั่วไปให้ชัดเจน ถูกต้องตรงกัน ก่อนดำเนินการจ่ายเงินค่าชดเชยฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับในกรณีที่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินชดเชย และ/หรือค่าขนย้ายให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการอื่น ๆ ของรัฐในทำนองเดียวกันในโอกาสต่อไปด้วย เช่น กรณีขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
2105 | ขออนุมัติจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) เป็นกรณีพิเศษให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยขนุน จังหวัดศรีสะเกษ | กษ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) เป็นกรณีพิเศษให้แก่เกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยขนุนหรือทายาทของบุคคลดังกล่าว ตามรายชื่อและเนื้อที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ ร.ว. ๔๓ ก. ซึ่งได้ทำการรังวัดไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ วงเงิน ๔๓,๖๕๖,๒๒๕ บาท แยกเป็นเขตพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน ๖๖ ราย (๗๑ แปลง) เนื้อที่จำนวน ๘๘๑ - ๒ - ๗๖ ไร่ และเขตพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน ๔๐ ราย (๕๒ แปลง) เนื้อที่จำนวน ๕๗๓ - ๒ - ๐๗ ไร่ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๐๖ ราย (๑๒๓ แปลง) เนื้อที่รวม ๑,๔๕๕ - ๐ - ๘๓ ไร่ ในอัตราไร่ละ ๓๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าขนย้าย โดยในเขตพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานกรรมการ อัยการจังหวัดศรีสะเกษ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ นายอำเภอกันทรลักษ์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานศรีสะเกษ นางสาวมยุรี ศรีวิพัฒน์ (ตัวแทนเกษตรกร) นายวิจิตร นารี (ตัวแทนเกษตรกร) เป็นกรรมการ โดยมีหัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดิน ๘ กรมชลประทาน เป็นกรรมการและเลขานุการ และในเขตพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานกรรมการ อัยการจังหวัดอุบลราชธานี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี นายอำเภอน้ำขุ่น ผู้อำนวยการโครงการชลประทานอุบลราชธานี นางสาวมยุรี ศรีวิพัฒน์ (ตัวแทนเกษตรกร) นายเจริญ อักโข (ตัวแทนเกษตรกร) เป็นกรรมการ โดยมีหัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดิน ๘ กรมชลประทาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่ตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าขนย้ายให้เป็นไปอย่างถูกต้องเรียบร้อย ด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร และระมัดระวังมิให้มีการจ่ายเงินค่าขนย้ายให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการเป็นหลักฐานประกอบการในอนุมัติจ่ายเงิน รวมทั้งป้องกันมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาประโยชน์จากการจ่ายเงินค่าขนย้ายให้แก่เกษตรกรในครั้งนี้ ๑.๓ การระบุข้อความในเอกสารการจ่ายเงิน ให้ระบุด้วยว่า “ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยขนุน และตกลงยินยอมรับเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ตามอัตราที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้” ๒. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ให้กรมชลประทานพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากแผนงานส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน ภายในวงเงิน ๔๓,๖๕๖,๒๒๕ บาท โดยให้ขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้มีคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าชดเชยฯ ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ และมีรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมาย และรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายเป็นกรรมการและเลขานุการร่วม เพื่อทำหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยฯ ดังกล่าวในภาพรวมให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกัน แล้วให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนผู้สนใจทั่วไปให้ชัดเจน ถูกต้องตรงกัน ก่อนดำเนินการจ่ายเงินค่าขนย้ายดังกล่าว ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับในกรณีที่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินชดเชย และ/หรือค่าขนย้ายให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการอื่น ๆ ของรัฐในทำนองเดียวกันในโอกาสต่อไปด้วย เช่น กรณีขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
2106 | ขออนุมัติจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) เป็นกรณีพิเศษให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยด่านไอ จังหวัดศรีสะเกษ | กษ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) เป็นกรณีพิเศษให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยด่านไอ จังหวัดศรีสะเกษหรือทายาทของบุคคลดังกล่าว จำนวน ๑๗ แปลง (๑๕ ราย) แปลงละ ๘ - ๓ -๐ ไร่ ในอัตราไร่ละ ๓๕,๐๐๐ บาท เนื้อที่รวม ๑๔๘ - ๓ - ๐ ไร่ วงเงิน ๕,๒๐๖,๒๕๐ บาท ๑.๒ อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานกรรมการ อัยการจังหวัดศรีสะเกษ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ นายอำเภอกันทรลักษ์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานศรีสะเกษ นางสาวมยุรี ศรีวิพัฒน์ (ตัวแทนเกษตรกร) และนายรณชิต ทุ่มโมง (ตัวแทนเกษตรกร) เป็นกรรมการ และหัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดิน ๘ กรมชลประทาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่ตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ให้เป็นไปอย่างถูกต้องเรียบร้อย ด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร และระมัดระวังมิให้มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการฯ เป็นหลักฐานประกอบในการอนุมัติจ่ายเงิน รวมทั้งป้องกันมิให้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาผลประโยชน์จากการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกร ๑.๓ การระบุข้อความในเอกสารการจ่ายเงิน ให้ระบุด้วยว่า “ข้าพเจ้าตกลงและยินยอมรับเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ตามจำนวนเนื้อที่และอัตราที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้ และจะไม่ขอรับการช่วยเหลือใด ๆ เกี่ยวกับค่าทดแทนทรัพย์สินของโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยด่านไอจากทางราชการอีก” ๒. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ให้กรมชลประทานพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากแผนงานส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน ภายในวงเงินไม่เกิน ๕,๒๐๖,๒๕๐ บาท ทั้งนี้ การจ่ายค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ให้จ่ายได้ไม่เกินสิทธิที่เกษตรกรถือครองที่ดิน โดยมีหลักฐานของทางราชการมาประกอบ และเนื้อที่ที่จะจ่ายค่าขนย้ายต้องไม่เกินแปลงว่างที่เหลืออยู่ตามที่ปรากฏในแผนที่ ร.ว. ๔๓ ก. โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดวงเงินค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้มีคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าชดเชยฯ ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ และมีรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมาย และรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม เพื่อทำหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยฯ ดังกล่าวในภาพรวมให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกัน แล้วให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนผู้สนใจทั่วไปให้ชัดเจน ถูกต้องตรงกัน ก่อนดำเนินการจ่ายเงินค่าขนย้ายดังกล่าว ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับในกรณีที่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินชดเชย และ/หรือค่าขนย้ายให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการอื่น ๆ ของรัฐในทำนองเดียวกันในโอกาสต่อไปด้วย เช่น กรณีขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
2107 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ รับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) เกี่ยวกับข้อมูลการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และผลการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากรณีโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ๑.๒ พิจารณาแนวทางการบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ดังนี้ ๑.๒.๑ เห็นชอบแนวทางการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ โดยให้สามารถดำเนินการเบิกจ่ายเงินภายใต้พระราชกำหนดฯ ได้จนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จ แต่ต้องไม่เกินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ชี้แจงเหตุผล ความจำเป็น และประมาณการเบิกจ่ายรายเดือน เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ต่อคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาอนุมัติและรายงานผลการพิจารณาต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ๑.๒.๒ รับทราบการขอขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินของกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และสภากาชาดไทย ๑.๒.๓ อนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินสำรองจ่ายให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒.๔ อนุมัติการขยายเวลาลงนามในสัญญา จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มศักยภาพโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและอาคารเรียน) ของจังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๔.๕๔๘ ล้านบาท และโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและอาคารเรียน) ของจังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๓.๑๖๓ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือนนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ๑.๒.๕ ให้สัตยาบันการลงนามในสัญญาก่อนคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาของโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๒ รายการ วงเงินรวม ๑,๓๙๐,๒๖๐ บาท ได้แก่ เครื่องวัดการเปล่งแสงฟลูออเรสเซนซ์ วงเงิน ๑,๓๗๑,๐๐๐ บาท และเตาให้ความร้อนพร้อมชุดกวนสารละลาย วงเงิน ๑๙,๒๖๐ บาท ๑.๒.๖ อนุมัติการยกเลิกโครงการตามที่หน่วยงานเสนอ วงเงินรวม ๕๓๓.๓๒๐ ล้านบาท ได้แก่ กรมทางหลวง จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๑๑.๐๒๗ ล้านบาท กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๔.๘๘๕ ล้านบาท จังหวัดพัทลุง จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๔.๘๗๐ ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๕๑๒.๕๓๘ ล้านบาท และให้นำวงเงินดังกล่าวรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายภายใต้สาขาเศรษฐกิจนั้นต่อไป ๑.๒.๗ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ให้แก่กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑๙,๘๖๖,๕๒๘.๗๘ บาท และกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง วงเงิน ๓๒,๕๒๓.๐๐ บาท วงเงินรวม ๑๙,๘๙๙,๐๕๑.๗๘ บาท ๑.๒.๘ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๓ พิจารณาแนวทางการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ดังนี้ ๑.๓.๑ อนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมให้กับสภากาชาดไทย เป็นวงเงิน ๘๓๖.๓๒๘๒ ล้านบาท โดยจัดสรรจากเงินกู้ DPL สำหรับการจัดหาครุภัณฑ์ วงเงิน ๗๘๙.๕๐๑๑ ล้านบาท และสภากาชาดไทยรับภาระค่าใช้จ่ายของภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นเอง วงเงิน ๔๖.๘๒๗๑ ล้านบาท ๑.๓.๒ อนุมัติการยกเลิกรายการครุภัณฑ์โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วงเงิน ๒.๓๖๖๔ ล้านบาท ๑.๓.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาทบทวนและแจ้งยืนยันโครงการเงินกู้ DPL มายังกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาภายในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๒. ยกเว้นในส่วนของโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท มอบให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาในรายละเอียด รวมทั้งความเหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลก่อน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีฯ ด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
2108 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน พ.ศ. .... | อก | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ถึงกำหนดเรียกเก็บในวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ ๒ และจำพวกที่ ๓ ทุกขนาด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการโรงงาน โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งได้รับผลกระทบสูงจากนโยบายปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน ของรัฐบาล ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำมาตรการให้ความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน คู่ขนานไปกับมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน และร่วมกับกระทรวงแรงงานและกระทรวงพลังงานเร่งรัดการดำเนินโครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิต และโครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการเพื่อลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานชีวมวล รวมทั้งติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2109 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๗,๑๖๖.๕๗๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน ๔๖๐.๗๐๓ ล้านบาท เนื่องจากสำนักงบประมาณได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้กับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงพฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๐,๕๗๓.๓๗๘ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖๒,๐๙๘.๘๙๓ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๑,๘๓๕.๒๗๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๐๕ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๙๗,๑๑๖.๙๕๑ ล้านบาท (ร้อยละ ๘๒.๘๙ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๙๓๗.๗๗๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๙๘ ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓ จังหวัด เป็นเงิน ๕๐,๘๘๕.๑๗๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๓.๑๕ ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๔๑ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๔,๙๐๗.๗๕๐ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป ๔. การติดตามผลการปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีดังนี้ ๔.๑ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ จำนวน ๑๑ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๑,๔๕๔ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒,๗๒๐.๙๓๔ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๑,๐๐๘.๔๘๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๖๐ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๖๖.๒๕ ๔.๒ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดกลางน้ำ จำนวน ๖ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๒,๑๖๙ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๖,๒๓๗.๔๓๗ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๒,๕๐๒.๙๐๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๒.๘๒ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๓๘.๒๒ ๔.๓ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดปลายน้ำ จำนวน ๑๕ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๖,๗๕๔ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒๐,๙๖๒.๖๓๒ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๕,๔๑๑.๒๖๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๘๙ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๗๕.๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
2110 | ขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล | กษ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล ในแปลงที่ดินที่คณะทำงานแก้ไขปัญหาระดับอำเภอ และคณะทำงานพิจารณาคำร้องคัดค้านประกาศอำเภอ (อุทธรณ์) ได้รับรองการทำประโยชน์และผ่านความเห็นชอบการตรวจสอบจากคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล รวม ๓ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และร้อยเอ็ด โดยประกาศรับรองเนื้อที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคัดค้านครบกำหนด ๓๐ วัน ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลกำหนดไว้ รวมจำนวน ๑,๑๔๒ แปลง เนื้อที่ ๔,๑๗๓ - ๐ - ๘๖.๗๐ ไร่ ๆ ละ ๓๒,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๑๓๓,๕๔๒,๙๓๖ บาท ตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบร่องรอยการทำประโยชน์ที่ดินที่ได้รับผลกระทบฯ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และร้อยเอ็ด ๑.๒ อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงิน ทั้ง ๓ จังหวัด ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลเสนอ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานกรรมการ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด อัยการจังหวัด คลังจังหวัด นายอำเภอท้องที่ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและที่ดิน กรมชลประทาน ผู้แทนกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรอีสาน (นางบุรี อาจโยธา) ผู้แทนกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน (นายศักดา กาญจนเสน) ผู้แทนกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรแห่งประเทศไทย (นายวิพล อุปสิทธิ์) ผู้แทนกลุ่มเกษตรกรฝายราษีไศล (นายจัง ท้าวผา) ผู้แทนกลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน (นายทองวัน อาจสาลี) ผู้แทนกลุ่มอิสระ (นางวันเพ็ญ แสงศร) ผู้แทนกลุ่มสมัชชาลุ่มน้ำมูล (นายบุญมี โสภัง) ผู้แทนกลุ่มสมัชชาคนจน (จังหวัดศรีสะเกษ นายไพฑูรย์ โถทอง จังหวัดสุรินทร์ นายประดิษฐ์ โกศล และจังหวัดร้อยเอ็ด นายพุฒ บุญเต็ม) ผู้แทนกลุ่มชาวนา ๒๐๐๐ (จังหวัดศรีสะเกษ นายอภิรักษ์ สุธาวรรณ จังหวัดสุรินทร์ นายทองอินทร์ นงรักษ์ และจังหวัดร้อยเอ็ด นายวิชัย พันทอง) เป็นกรรมการ โดยมีผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามูลล่าง เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ และจำนวนเงินค่าชดเชย เพื่อให้เป็นไปตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบฯ ๒. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ให้กรมชลประทานพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากแผนงานส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน ซึ่งมีเงินเพียงพอไปดำเนินการ ภายในวงเงินไม่เกิน ๑๓๓,๕๔๒,๙๓๖ บาท และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กรมชลประทานกำกับการตรวจสอบสิทธิของบุคคลให้เป็นไปอย่างถูกต้อง และการจ่ายเงินให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและโปร่งใสด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้มีคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าชดเชยฯ ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ และมีรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมาย และรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายเป็นกรรมการและเลขานุการร่วม เพื่อทำหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยฯ ดังกล่าวในภาพรวมให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกัน แล้วให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนผู้สนใจทั่วไป ให้ชัดเจน ถูกต้องตรงกัน ก่อนดำเนินการจ่ายเงินค่าชดเชยดังกล่าว ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับในกรณีที่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินชดเชย และ/หรือค่าขนย้ายให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการอื่น ๆ ของรัฐในทำนองเดียวกันในโอกาสต่อไปด้วย เช่น กรณีขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
2111 | ขยายระยะเวลารับจำนำมันสำปะหลัง และแผนการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง | พณ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ที่อนุมัติให้ขยายระยะเวลารับจำนำมันสำปะหลัง โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ออกไปอีก ๑ เดือน จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ราคารับจำนำหัวมันสดเชื้อแป้งร้อยละ ๒๕ กิโลกรัมละ ๒.๙๐ บาท ส่วนหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการดำเนินโครงการฯ อื่น ๆ ให้เป็นไปตามเดิม ๑.๒ เห็นชอบแผนการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (มันสำปะหลังเส้นและแป้งมันสำปะหลัง) ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ด้วยวิธีการเจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) การขายเป็นการทั่วไป การขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) และการขายเป็นกรณีพิเศษ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังต้องสอดคล้องกับสถานการณ์แนวโน้มราคาของตลาด และเป็นราคาที่เหมาะสม เพื่อเป็นประโยชน์แก่ภาครัฐมากที่สุด และรายงานผลการดำเนินการระบายและผลกำไรขาดทุนให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่องทุกเดือนจนสิ้นสุดโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2112 | การติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการบริหารจัดการลุ่มน้ำกว๊านพะเยา | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากการลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการบริหารจัดการลุ่มน้ำกว๊านพะเยา เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ พบว่ามีโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๕ มกราคม ๒๕๕๕) อนุมัติให้ดำเนินการในพื้นที่ไว้แล้วทั้งในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำหนดดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ และของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เพื่อดำเนินการโครงการแก้มลิงเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบและพิจารณารายละเอียดการก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม บางโครงการควรดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อรองรับปริมาณน้ำในฤดูฝนนี้ จึงมอบหมายให้ดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาปรับแผนเพื่อดำเนินการขุดลอกทางน้ำและกำจัดวัชพืชในพื้นที่ลุ่มน้ำกว๊านพะเยา และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบถึงกำหนดการที่แล้วเสร็จภายใน ๒ สัปดาห์ ๒. ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการดำเนินงานของทุกหน่วยงานในการแก้ไขปรับปรุงพื้นที่ลุ่มน้ำกว๊านพะเยาให้เป็นระบบ โดยนำรูปแบบ (Model) การพัฒนาของมูลนิธิชัยพัฒนามาดำเนินการเพื่อให้ลุ่มน้ำกว๊านพะเยาเป็นแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร รวมทั้งพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำกว๊านพะเยาซึ่งเป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ โดยให้ดำเนินการตรวจสอบและดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารสิทธิที่ดินให้ถูกต้องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2113 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๖,๗๐๕.๘๗๓ ล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน ๓,๑๐๘.๑๐๓ ล้านบาท เนื่องจากสำนักงบประมาณได้ดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนในระบบ GFMIS จากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้แจ้งส่งคืนงบประมาณอย่างเป็นทางการ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงพฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๐,๒๖๔.๑๐๕ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖๐,๒๖๓.๖๑๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๕.๐๘ ของแผนการใช้จ่ายสะสม ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๙๖,๑๗๙.๑๗๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๒.๔๑ ของวงเงินจัดสรร ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๔ จังหวัด เป็นเงิน ๔๘,๘๘๗.๐๘๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๙๑ ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๓๗ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๔,๗๖๒.๔๘๙ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2114 | ร่างกฎกระทรวงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน สำหรับโครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ ที่ต้องจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม ตามกฎหมายของกรมธุรกิจพลังงาน พ.ศ. .... | พน | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน สำหรับโครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ ที่ต้องจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม ตามกฎหมายของกรมธุรกิจพลังงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้เจ้าของโครงการต้องปฏิบัติในการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน สำหรับโครงการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ ที่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม ตามกฎหมายของกรมธุรกิจพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดคำนิยามต่าง ๆ ได้แก่ ประชาชน รายงานด้านสิ่งแวดล้อม ประมวลหลักการปฏิบัติงาน รายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข ลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการ และเจ้าของโครงการ เป็นต้น ๑.๒ กำหนดให้ก่อนเริ่มดำเนินโครงการ เจ้าของโครงการต้องจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการให้ประชาชนทราบ และต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ๑.๓ กำหนดข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่เจ้าของโครงการต้องเผยแพร่แก่ประชาชน เช่น เหตุผลความจำเป็น และวัตถุประสงค์ของโครงการ สาระสำคัญของโครงการ สถานที่ที่จะดำเนินการ และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ประชาชน เป็นต้น ๑.๔ กำหนดวิธีการในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไว้ ๓ ประการ ได้แก่ การสำรวจความคิดเห็น การประชุมปรึกษาหารือ และวิธีอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๑.๕ กำหนดเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการต้องดำเนินการก่อนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ได้แก่ เสนอแผนการดำเนินงานของโครงการการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อกรมธุรกิจพลังงาน และประกาศให้ประชาชนทราบถึงวิธีการรับฟังความคิดเห็น ระยะเวลา สถานที่ ตลอดจนรายละเอียดอื่นเพียงพอแก่การที่ประชาชนจะเข้าใจและสามารถแสดงความคิดเห็นของประชาชนได้ ๑.๖ กำหนดเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการต้องดำเนินการภายหลังการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ได้แก่ การจัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและประกาศให้ประชาชนทราบ การนำข้อมูลผลการดำเนินงานและการปรับปรุงแก้ไขประเด็นที่เกี่ยวข้องที่ได้รับจากการรับฟังความคิดเห็นผนวกไว้กับรายงานด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการ หรือรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข ลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอต่อกรมธุรกิจพลังงาน และกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบดังกล่าวเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมก่อนเริ่มดำเนินโครงการนั้น และประกาศให้ประชาชนทราบ ๑.๗ กำหนดให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลในการดำเนินการตามกฎกระทรวงนี้ ๑.๘ กำหนดให้โครงการที่ได้ดำเนินการอยู่แล้วก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญในร่างกฎกระทรวงฯ บางประเด็น และความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับคำนิยามคำว่า “ประชาชน” ในร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๑ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “ประชาชนผู้ซึ่งอาจได้รับความเดือดร้อนหรือความเสียหายโดยตรงจากการดำเนินงานโครงการ” แต่ในร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๒ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “ผู้อยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพอยู่ภายในระยะ ๑๐๐ เมตร จากระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อของโครงการ” และการกำหนดให้เจ้าของโครงการต้องจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนทราบและต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้อยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพอยู่ในระยะ ๑๐๐ เมตร จากระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ จะเพียงพอและเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลโครงการให้ประชาชนรับทราบตามร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๓ มิได้มีการกำหนดช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลไว้ อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนและทำให้การเผยแพร่ข้อมูลของแต่ละโครงการอาจมีความไม่ทั่วถึง นอกจากนี้ การกำหนดให้สิทธิแก่ประชาชนที่เห็นว่าตนเองได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายโดยตรงจากการดำเนินโครงการ แต่เจ้าของโครงการยังไม่มีการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่ของตนนั้น อาจร้องขอต่อกรมธุรกิจพลังงานเพื่อวินิจฉัยให้มีการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาเปิดช่องทางในการสื่อสารกับประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และสามารถนำไปปรับปรุง เพื่อให้การดำเนินการตามร่างกฎกระทรวงฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผังเมืองทั้งหมด เพื่อใช้ในการพิจารณาดำเนินโครงการต่าง ๆ มิให้มีผลกระทบต่อการบริหารจัดการน้ำ |
||||||||||||||||||||||||
2115 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 | กค | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เพื่อให้การดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ มีแนวทางและหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน เหมาะสม คุ้มค่า และเกิดความเป็นธรรมแก่เกษตรกรทั้งในกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการและไม่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งไม่เกิดความซ้ำซ้อนกับการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในโครงการอื่น ๆ ของรัฐบาล จึงมอบให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน รับเรื่องนี้ไปพิจารณาในรายละเอียดให้ชัดเจนก่อน ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ จากแหล่งเงินทุนอื่น เช่น กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ภายใต้พระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มเติมขอบเขตการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติให้ครอบคลุมถึงเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี และพิจารณาทบทวนอัตราเบี้ยประกันที่ปรับเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมระหว่างการจ่ายสมทบของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งได้รับความคุ้มครองภัยจากศัตรูพืชเพิ่มขึ้นจากเดิม กับการจ่ายสมทบของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยให้เกษตรกรจ่ายสมทบเพิ่มขึ้นจากอัตราเดิมที่กำหนด ๖๐ บาทต่อไร่ โดยไม่ผลักภาระให้ภาครัฐจ่ายสมทบทั้งหมดในส่วนที่เพิ่มขึ้นฝ่ายเดียว รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ความเข้าใจโครงการฯ อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง เพื่อให้เกษตรกรเห็นถึงความสำคัญและผลประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการฯ นอกจากนี้ ในระยะต่อไป รัฐควรขยายโครงการประกันภัยพืชผลให้ครอบคลุมพืชมากชนิดขึ้น และพิจารณาแนวทางการลดความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือของรัฐในลักษณะเดียวกันในระยะต่อไป เพื่อไม่ให้เป็นภาระด้านงบประมาณของภาครัฐที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นในระยะยาว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
2116 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 5/2555 | วท | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบว่า ในกรณีที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พิจารณากลั่นกรองรายละเอียดของโครงการตามแนวทางที่ กนอช. และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) กำหนดไว้แล้ว ให้ กบอ. สามารถเสนอแผนงานโครงการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติได้โดยตรง และให้ กบอ. นำเสนอ กนอช. เพื่อทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้ กบอ. เร่งจัดทำแผนปฏิบัติการบริหารจัดการน้ำการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยแห่งชาติเสนอต่อ กนอช. และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็ว เพื่อให้การพิจารณาอนุมัติแผนงาน/โครงการของ กบอ. มีทิศทางที่ชัดเจน สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และเป็นไปตามนโยบายที่ กนอช. กำหนด รวมทั้งให้ กบอ. เร่งดำเนินการเสนอขอแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบสรุปรายงานสถานการณ์น้ำของประเทศไทย และความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนการป้องกันบรรเทาอุทกภัย ๒.๒ อนุมัติให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ในการพิจารณาข้อเสนอแผนการพัฒนาประสิทธิภาพการเก็บและการระบายน้ำในพื้นที่รับน้ำนองในพื้นที่ ๑๑ จังหวัด เพื่อดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานในระยะเร่งด่วน ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม ๒.๓ อนุมัติงบประมาณการดำเนินงานตามข้อเสนอแผนการพัฒนาประสิทธิภาพการเก็บและการระบายน้ำในพื้นที่รับน้ำนองในพื้นที่ ๑๑ จังหวัด เพื่อดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานในระยะเร่งด่วน ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๙๖ รายการ วงเงินงบประมาณ ๖๑๔,๑๓๖,๒๐๐ บาท โดยใช้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๒.๔ อนุมัติงบประมาณการดำเนินงานตามข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม วงเงินงบประมาณ ๓,๒๓๖,๖๙๔,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๒.๕ เห็นชอบข้อเสนอการบริหารจัดการสิ่งก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ ตามที่ กบอ. เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร รับไปดำเนินการ ๓. สำหรับวงเงินอุดหนุนการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยนิคม/สวน/เขตอุตสาหกรรม ๖ แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน สวนอุตสาหกรรมบางกะดี เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค สวนอุตสาหกรรมนวนคร และนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ตามข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามการคำนวณราคาตามแบบมาตรฐานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่ กบอ. ได้พิจารณาเห็นชอบแล้ว ในวงเงิน ๓,๒๓๖,๖๙๔,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการที่ควรคำนึงถึงความซ้ำซ้อนในการขอรับงบประมาณ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัด กำกับ ติดตามการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงการคำนึงถึงมาตรฐานการออกแบบระบบเขื่อนที่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ และควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจกับชุมชนโดยรอบนิคมให้เห็นถึงความจำเป็นที่ภาครัฐได้ให้ความสำคัญในการลงทุนเพื่อปกป้องนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๔. ให้ กบอ. รับไปประสานงานและหารือในรายละเอียดกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่รับน้ำนองในพื้นที่ ๑๑ จังหวัด เพื่อจัดทำแผนเผชิญเหตุและกำหนดแนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการอพยพ การจัดเตรียมพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในศูนย์พักพิง การแก้ไขปัญหาการรุกล้ำที่รับน้ำและทางระบายน้ำ และการป้องกันไม่ให้มีการรุกล้ำพื้นที่เพิ่มเติม และให้มีการซักซ้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ทราบข้อมูลต่าง ๆ อย่างทั่วถึงกันเป็นการล่วงหน้าด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2117 | การซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลอง | กค | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลองตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (กบภ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ได้มอบหมายให้กรมบัญชีกลาง (คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ) พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานเพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติ ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ พิจารณาเห็นว่า ส่วนราชการที่รับผิดชอบโครงการขุดลอกคูคลอง ควรมีการซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานของโครงการขุดลอกคูคลอง ดังนี้ ๑.๑.๑ ก่อนการขุดลอก ขอให้ดำเนินการสำรวจ ตรวจสอบสถานที่ดำเนินการ เช่น สภาพภูมิประเทศและความลึกของท้องน้ำ ค่าระดับท้องคลอง เป็นต้น ๑.๑.๒ ประมาณการปริมาณดินก่อนขุดลอก รวมถึงแบบรูปรายการละเอียดของงานในแต่ละงาน โครงการ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตรงตามมาตรฐานของงานของแต่ละส่วนราชการ เพื่อประกอบการจัดจ้าง ๑.๑.๓ ตรวจสอบปริมาณดินหลังขุดลอก โดยตรวจสอบปริมาณงานดินที่ขุดได้ และเปรียบเทียบกับปริมาณงานที่กำหนดไว้ในรายการ หรือสัญญา ตามวิธีการที่เป็นมาตรฐานที่ส่วนราชการกำหนด โดยที่ผู้รับผิดชอบลงนาม ตรวจสอบ ก่อนการดำเนินงานระหว่างการดำเนินงาน และเมื่อดำเนินงานแล้วเสร็จ เพื่อประโยชน์ในการตรวจรับงานและการเบิกจ่ายเงิน ๑.๑.๔ ขอให้มีการถ่ายรูปสถานที่ก่อสร้างการดำเนินงาน ระหว่างการดำเนินงาน และเมื่อดำเนินงานแล้วเสร็จ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและจัดทำรายงานการตรวจรับงานเสนอต่อหัวหน้าส่วนราชการ ทั้งนี้ หากส่วนราชการใดไม่สามารถดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวได้ อาจขอความร่วมมือจากส่วนราชการอื่นที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญในเรื่องดังกล่าวได้ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยนำหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลอง ไปใช้บังคับกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ๒. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่รับทราบเกี่ยวกับการดำเนินโครงการขุดลอกคูคลอง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2118 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๙,๘๑๓.๙๗๖ ล้านบาท มีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงพฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๗๙,๗๔๖.๙๘๘ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖๐,๓๙๖.๕๔๗ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๒,๘๘๘.๕๗๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕.๐๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๙๗,๔๖๗.๒๐๒ ล้านบาท (ร้อยละ ๘๑.๓๕ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๒,๘๖๗.๔๔๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๐๓ ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๔ จังหวัด เป็นเงิน ๔๕,๘๒๑.๑๔๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๗.๔๖ ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒๖ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๔,๔๙๕.๙๘๑ ล้านบาท สำนักงบประมาณจะดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2119 | โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ระยะที่ 2 | วท | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินโครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ระยะที่ ๒ ระยะเวลา ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๕) โดยมีเป้าหมายรวม ๑๗๔ ห้องเรียน เพื่อสนับสนุนนักเรียนรวมทั้งสิ้น ๕,๒๒๐ คน กรอบวงเงินงบประมาณของโครงการ วมว. ตลอดโครงการเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๓,๒๒๗ ล้านบาท ๑.๒ องค์ประกอบของคณะกรรมการระดับนโยบายและระดับบริหาร ได้แก่ ๑.๒.๑ คณะกรรมการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลโครงการ เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบาย กรอบและทิศทางการดำเนินโครงการในภาพรวม และเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานให้บรรลุตามนโยบาย วัตถุประสงค์ และเป้าหมาย ๑.๒.๒ คณะกรรมการบริหารโครงการ เพื่อทำหน้าที่กำหนดหลักการ แนวทาง และหลักเกณฑ์การบริหารจัดการ ให้คำแนะนำ ส่งเสริมและติดตามผลการดำเนินงานของโครงการในภาพรวม ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณตามข้อเสนอโครงการ วมว. ระยะที่ ๒ ต่อไป ๒. ยกเว้นในส่วนของงบประมาณของโครงการ วมว. ระยะที่ ๒ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวรองรับไว้ จำนวน ๗๗ ล้านบาท สำหรับในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เกี่ยวกับการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายเงินทุก ๆ ๓ ปี เพื่อปรับปรุงรูปแบบของโครงการหรือการบริหารจัดการให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงการประชาสัมพันธ์โครงการให้แพร่หลาย และส่งเสริมการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ การวางระบบการบริหารจัดการในระดับต่าง ๆ ให้สอดรับกัน เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ การวางแผนและกำหนดแนวทางการดำเนินงานจัดการเรียนการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพและสามารถนำไปสู่การจัดการเรียนการสอนในระบบปกติในระยะยาว รวมทั้งความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เกี่ยวกับการดำเนินโครงการควรเน้นเนื้อหาให้สอดคล้องสัมพันธ์กับชีวิตความเป็นอยู่ การสร้างงาน สร้างอาชีพ และโอกาสในการทำงานในอนาคตของนักเรียน โดยไม่มุ่งเน้นศึกษาแต่เพียงวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure Science) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2120 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 4/2555 | นร | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดกาญจนบุรี โดยพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ ณ จังหวัดกาญจนบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการตามมติที่ประชุมและรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๙ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ การพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการสนับสนุนการพัฒนาโครงการดังกล่าว และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนพัฒนาความเชื่อมโยงของไทยกับท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย รวมทั้งบูรณาการแผนงานและโครงการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๑.๒ การเร่งรัดการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงภาคตะวันตก ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งเพื่อรองรับการพัฒนาท่าเรือทวายและการเปิดด่านบ้านพุน้ำร้อน พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของถนนสายทางหลักและสายทางรอง และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๓ การเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย และการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ Southern Economic Corridor (SEC) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และจังหวัดกาญจนบุรี ประสานงานกับรัฐบาลเมียนมาร์ในการเร่งรัดการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว และเจรจาเพื่อขอเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรีต่อไป ๒.๑.๔ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดนไทย - เมียนมาร์ ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๔.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องของพื้นที่ที่มีศักยภาพในการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเจรจากับรัฐบาลเมียนมาร์ ๒.๑.๔.๒ รับทราบแนวทางการดำเนินงานของกองกำลังสุรสีห์ กระทรวงกลาโหม ในการแก้ไขปัญหาร่วมกับเมียนมาร์ เพื่อให้มีการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวพระเจดีย์สามองค์ และเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความพร้อม เห็นควรส่งเรื่องให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสมในการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวร และให้กระทรวงกลาโหมประสานกับกระทรวงมหาดไทยในด้านความมั่นคงอย่างใกล้ชิด ๒.๑.๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ติดตามและประเมินสถานการณ์การพัฒนาในเมียนมาร์ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง หากเห็นสมควรให้มีการเปิดจุดผ่อนปรนการค้าตะโกบนให้ดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๔.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาผลกระทบจากการเปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทย - เมียนมาร์ โดยเฉพาะการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาความสามารถแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย ๒.๑.๕ โครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิต และโครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการเพื่อลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานชีวมวล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ โดยให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมนำโครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิตไปพิจารณาดำเนินการ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงพลังงานดำเนินการในรายละเอียดของการดำเนินโครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานอุตสาหกรรม สามารถลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานชีวมวล ๒.๑.๖. การส่งเสริมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในกลุ่มภาคกลางตอนล่าง ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๖.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงสภาพคลองตาหลวงจากสำนักงบประมาณ ภายใต้กรอบวงเงินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๖.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อเสนอโครงการปรับปรุงระบบนิเวศคลองดำเนินสะดวกและคลองสาขา จังหวัดราชบุรี - สมุทรสาคร - สมุทรสงคราม และการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการของแม่น้ำท่าจีนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ (จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) ไปพิจารณาในรายละเอียดแล้วเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อขอรับการสนับสนุนในการดำเนินการต่อไป ๒.๑.๖.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาโครงการนำร่องสู่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง โดยให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมเมืองอุตสาหกรรมนิเวศ และให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายและการพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่น ๒.๑.๗ โครงการถนนท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทย จังหวัดสมุทรสาคร - สมุทรสงคราม (Royal Coast Road) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปศึกษารายละเอียดของโครงการดังกล่าว เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๘ การประกาศเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองหัวหินและพื้นที่เชื่อมโยง (ชะอำและปราณบุรี) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการประกาศเมืองหัวหินและพื้นที่เชื่อมโยง (ชะอำ - ปราณบุรี) ภายในกลุ่มท่องเที่ยว The Royal Coast ให้เป็นเขตพื้นที่พิเศษตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๙ การปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชีวิต ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงกลาโหมขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชีวิต โดยหารือกับกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการต่างประเทศในรายละเอียดของการจัดแสดงนิทรรศการด้วย ๒.๒ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ได้แก่ ๒.๒.๑ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... (ผลกระทบตามประกาศ Financial Action Task Force : FATF) ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้นำความเห็นที่ประชุมที่เห็นว่าประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงในการป้องกันและปราบปรามในการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายที่เข้มงวดในการติดตามธุรกรรมทางการเงิน การอายัดทรัพย์ หรือการดำเนินทางกฎหมายผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการก่อการร้าย ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ รวมทั้งการออกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของภาคเอกชนไทย และความเป็นไปได้ในการบังคับใช้ ไปประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งจะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ๒.๒.๒ การปรับกลไกและกระบวนการบริหารจัดการด้าน Climate Change ของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย กำหนดยุทธศาสตร์ นโยบายและเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศโดยสมัครใจ และจัดทำแผนแม่บทการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการ
|
.....