ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 110 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2181 - 2200 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2181 | ระบบการติดตามความคืบหน้าระบบการติดตามความก้าวหน้าในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้สามารถตรวจสอบและติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน จึงขอให้รัฐมนตรีทุกท่านเร่งรัดติดตามให้ส่วนราชการ จังหวัด และผู้เกี่ยวข้องรายงานข้อมูลความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบผ่านเว็บไซต์ www.pmocflood.com ให้เป็นปัจจุบันโดยด่วนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2182 | ระบบการติดตามความก้าวหน้าในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | อื่นๆ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำระบบการติดตามความก้าวหน้าของการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยพัฒนาและจัดทำเว็บไซต์ www.pmocflood.com ซึ่งสามารถเรียกดูได้ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑.๑ ให้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้พัฒนาและจัดทำระบบสารสนเทศการติดตามและรายงานผลความก้าวหน้าตามมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยรายกลุ่มเป้าหมาย ตามเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือฯ ของทุกมาตรการที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดทำแผ่นพับประชาสัมพันธ์การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔) ๑.๑.๒ ให้ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลัง ดำเนินการจัดทำและวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศระบบติดตามและรายงานผลความก้าวหน้าโครงการฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยนำข้อมูลในส่วนวัตถุประสงค์ของโครงการ กรอบวงเงินอนุมัติ วงเงินจัดสรร จำนวนโครงการและรหัสงบประมาณจากระบบ E - Budgeting ของสำนักงบประมาณ และผลการเบิกจ่ายของส่วนราชการจากระบบ GFMIS ของกรมบัญชีกลางมาเชื่อมโยง ๑.๒ ให้ส่วนราชการและจังหวัดดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ รายงานความก้าวหน้าจำแนกกลุ่มเป้าหมายตามเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยของทุกมาตรการที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยให้รายงานความก้าวหน้าตามแบบฟอร์มติดตามความก้าวหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ภายในวันที่ ๓๐ - ๓๑ ของทุกเดือน ทาง Web link ผ่านทางหน้าจอของ www.pmocflood.com ๑.๒.๒ รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ผ่านทาง Web Form และ E-Form ในระบบ GFMIS Web Online ของกรมบัญชีกลาง ๑.๓ ให้ศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศบภ.) เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการและให้ข้อมูลความก้าวหน้าของการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้ส่วนราชการ จังหวัด และผู้ที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ การติดตามและรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ผ่านเว็บไซต์ www.pmocflood.com ควรต้องมีภาพถ่ายแสดงสถานะความก้าวหน้าของงานในพื้นที่ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงปัจจุบันประกอบด้วย ๒.๒ ให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการปรับปรุงข้อมูลความก้าวหน้าของโครงการให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ รวมทั้งให้ระบุพิกัดตำแหน่งบนพื้นโลก (Global Positioning System : GPS) ที่แน่นอนของโครงการต่าง ๆ ที่รับผิดชอบ เพื่อให้สามารถตรวจสอบและติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องชัดเจน ๒.๓ ให้ศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยประสานงานและบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่ส่วนราชการต่าง ๆ ได้จัดทำไว้แล้วด้วย เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
2183 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๒ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนของแต่ละหน่วยงาน ๑.๒ การเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของส่วนราชการ รวมทั้งงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐๐ ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ๑.๔ ให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันรายลงทุนทั้งในส่วนของโครงการปีเดียวและโครงการผูกพันให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๓ เดือน หลังจากได้รับจัดสรรงบประมาณ ๑.๕ ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๖ ให้นำผลการเบิกจ่ายเงินตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเป็นตัวชี้วัดในคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. แนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ ส่วนราชการ จังหวัด และรัฐวิสาหกิจ ๒.๑.๑ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยเร่งดำเนินการโอนจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของแผนงบประมาณ แผนงบประมาณในเชิงบูรณาการ ผลผลิตหรือโครงการ ประเภทงบรายจ่าย และรายการในงบรายจ่ายที่ต้องดำเนินการในเขตพื้นที่จังหวัด ยกเว้นงบบุคลากรประเภทเงินเดือนและค่าจ้างประจำ ไปยังสำนักเบิกส่วนภูมิภาคนั้น ๆ อย่างช้าไม่เกิน ๑๕ วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ๒.๑.๒ ให้ส่วนราชการและจังหวัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณกำหนด ภายใต้วงเงินงบประมาณที่ได้รับตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาก่อนพระราชบัญญัติฯ ประกาศใช้ ประมาณ ๑๕ วัน ๒.๑.๓ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการดำเนินโครงการ/รายการ ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ที่ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัย จากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายเงินของแต่ละหน่วยงาน ๒.๑.๔ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการเร่งดำเนินการ กรณีรายการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณที่ต้องทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ โดยส่งเรื่องให้สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๒.๑.๕ การเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงิน ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัด และให้ส่วนราชการ จังหวัด และรัฐวิสาหกิจแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พร้อมทั้งรายงานปัญหาอุปสรรคจากการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามแผน หรือการปรับแผนต่อคณะกรรมการหรือคณะทำงานดังกล่าวอย่างช้าก่อนสิ้นไตรมาส รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายให้คลังจังหวัดดำเนินการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานในจังหวัดเพื่อให้เป็นไปตามแผนการใช้จ่ายเงิน ๒.๒ หน่วยงานกลาง ๒.๒.๑ ให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาส ๒.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รายงานผลการใช้จ่ายเงินและปัญหาอุปสรรคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งแนวทางแก้ไขปัญหาให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเป็นรายไตรมาส ๒.๒.๓ ให้นำผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและแผนการใช้จ่ายเงินเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการงบประมาณ เร่งรัดการปฏิบัติงานและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ รวมทั้งนำผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเทียบกับแผนการใช้จ่ายเงินให้สำนักงบประมาณใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในปีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2184 | การจัดสรรเงินรางวัลและสิ่งจูงใจของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา และการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | สผ | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบในหลักการและแนวทางการจัดสรรเงินรางวัลและสิ่งจูงใจของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา และการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการของคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา ตามที่คณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. การประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๓ ได้เห็นชอบให้มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาซึ่งเป็นหน่วยงานภายนอกดำเนินการตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๕ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินรางวัล และสิ่งจูงใจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ซึ่งหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินรางวัลดังกล่าวจัดสรรเงินรางวัลให้กับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ โดยมีวัตถุประสงค์และแนวทางเช่นเดียวกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. การดำเนินโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการเพื่อรับเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ได้ดำเนินการสอดคล้องกับการดำเนินการของฝ่ายบริหารทุกประการ โดยส่วนราชการสังกัดรัฐสภาใช้เงินเหลือจ่ายที่ส่วนราชการสังกัดรัฐสภาได้ดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์แล้วมีเงินเหลือจ่ายอย่างแท้จริง รวมทั้งไม่มีหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระและมีงบประมาณเพียงพอสำหรับชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ๓. ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้รับอนุมัติให้กันเงินงบประมาณเพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภากันเงินไว้ จำนวน ๙,๐๔๖,๘๐๐ บาท และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกันเงินไว้ จำนวน ๑๓,๑๕๙,๐๒๐ บาท เพื่อเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2185 | ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา | ศธ | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๑.๑ อนุมัติการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) แบบรัฐต่อรัฐ (G to G) โดยให้ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่งตั้งเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการเจรจากับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ รัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้มีบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย โดยให้ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศใช้รายละเอียดครุภัณฑ์ คุณลักษณะเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) เป็นหลักในการเจรจากับสาธารณรัฐประชาชนจีน หากมีการเปลี่ยนแปลง ให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงร่วมกันเพื่อหาข้อยุติที่เหมาะสมกับการเรียนการสอน และสอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานด้วย ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) จัดวางระบบเครือข่าย Wi-Fi และจัดทำระบบบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน การพัฒนาบุคลากร และสร้างความเข้าใจ เพื่อการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา ๑.๔ อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ของส่วนราชการต่าง ๆ จำนวนเงิน ๑,๗๙๔,๘๓๒,๘๐๐ บาท ยกเว้นงบประมาณของกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เนื่องจากมีกฎหมายเฉพาะ ทั้งนี้ ในส่วนของเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้พิจารณาก่อน สำหรับงบประมาณที่ยังขาดอยู่เพื่อการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา และการวางระบบสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการพัฒนาหลักสูตรสื่อการเรียนการสอน และการพัฒนาบุคลากรของส่วนราชการดำเนินงานโครงการ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการตามผลการเจรจาและข้อตกลงในการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐที่จะจัดทำขึ้น ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการทำสัญญาที่จัดหาในรูปแบบรัฐต่อรัฐ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารควรส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน และในการเจรจาควรแต่งตั้งผู้แทนจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานอัยการสูงสุด เข้าร่วมในคณะเจรจาด้วย ส่วนการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการและส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนการดำเนินงานแก่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในทุกขั้นตอนของโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณและการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ การดำเนินโครงการฯ ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเนื้อหาสาระที่จะบรรจุในคอมพิวเตอร์พกพา เพื่อให้การใช้คอมพิวเตอร์พกพาเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความรู้และการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และเร่งเตรียมความพร้อมในการสร้างความรู้ ความเข้าใจการใช้คอมพิวเตอร์พกพาให้กับบุคลากรทั้งผู้บริหาร ครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งสร้างความรู้ ความเข้าใจในเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับผู้ปกครองควบคู่ไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพาทั้งหมด ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2186 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง รวม 12 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดอุดรธานี วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 | นร | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ (จังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย เลย บึงกาฬ) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๒ (จังหวัดมุกดาหาร สกลนคร นครพนม) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์) รวม ๑๒ จังหวัด จำนวน ๑๙๐ โครงการ วงเงินรวม ๑๘๗,๐๗๒ ล้านบาท ซึ่งมีโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๗ โครงการ วงเงินรวม ๑,๕๙๕.๗๕ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ๑.๒ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ แผนงาน/โครงการด้านทรัพยากรน้ำ การพัฒนาแหล่งน้ำ การป้องกันปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคเกษตรกรรมที่เป็นโครงการขนาดเล็กที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และมีความพร้อม ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการพิจารณา สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลต่อการบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาภาคเกษตรกรรมในระยะยาว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๒ แผนงาน/โครงการด้านสิ่งแวดล้อมและเกษตร ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ด้านเศรษฐกิจ และด้านบริการสังคม ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งศึกษาความเหมาะสมของโครงการและจัดทำรายละเอียดโครงการและแนวทางการดำเนินงานเพิ่มเติมโดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมด้านพื้นที่ดำเนินการ บุคลากรเฉพาะทาง และการสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการของประชาชนในพื้นที่เพื่อให้เกิดความชัดเจนก่อนเสนอขอรับการจัดสรรงบจังหวัดหรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามขั้นตอน ทั้งนี้ หากมีโครงการที่จำเป็นเร่งด่วน และได้เตรียมการจนมีความพร้อมทุกด้านแล้ว ก็สมควรที่จะปรับแผนปฏิบัติการและแบบการใช้จ่ายงบประมาณ ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดำเนินการ โดยหากต้องผูกพันงบประมาณ ก็ให้เสนอขอตั้งงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น การจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น ๒. เห็นชอบในหลักการโครงการศึกษาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยอุดรธานี ในวงเงิน ๓๐ ล้านบาท และโครงการศึกษาเพื่อพัฒนาพื้นที่หนองแด เพื่อรองรับศูนย์วัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และสนามกีฬากลางจังหวัดอุดรธานี วงเงิน ๒๕ ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอเพิ่มเติม ๓. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดส่งรายละเอียดของโครงการและข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินไม่เกิน ๑,๖๕๐ ล้านบาท ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2187 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2554/55 | พณ | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ ให้ขยายระยะเวลาการขึ้นทะเบียนและออกหนังสือรับรองเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เกษตรกรที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่นอกเหนือจากพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ ให้ขึ้นทะเบียนได้เฉพาะเกษตรกรที่เคยขึ้นทะเบียนในปี ๒๕๕๒/๕๓ โดยไม่เกินพื้นที่ที่เคยขึ้นทะเบียนปี ๒๕๕๒/๕๓ และไม่รับขึ้นทะเบียนรายใหม่ในพื้นที่ดังกล่าว ๒. รับทราบราคา ระยะเวลา วิธีการ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดำเนินโครงการให้เงินกู้เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๒.๑ เป้าหมายการจ่ายเงินกู้ให้เกษตรกรตามโครงการให้เงินกู้เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ วงเงินไม่เกิน ๙,๐๐๐ ล้านบาท โดยเกษตรกรแต่ละรายกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของมูลค่าหัวมันสด ส่วนที่ยังไม่ได้ขุดแต่ไม่เกินรายละ ๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ การประเมินมูลค่าผลผลิตหัวมันสดส่วนที่ยังไม่ขุดให้คำนวณโดยใช้ราคาจำนำตามที่โครงการรับจำนำมันสำปะหลังกำหนดตามระยะเวลา คือ เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ราคากิโลกรัมละ ๒.๘๐ บาท เดือนเมษายน ๒๕๕๕ ราคากิโลกรัมละ ๒.๘๕ บาท และเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ราคากิโลกรัมละ ๒.๙๐ บาท ๒.๒ ระยะเวลาดำเนินการโครงการ ให้เงินกู้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ - พฤษภาคม ๒๕๕๕ กำหนดระยะเวลาชำระเงินกู้เสร็จสิ้นภายใน ๓ เดือนนับถัดจากเดือนที่รับเงินกู้ ทั้งนี้ เมื่อเกษตรกรนำผลผลิตมันสำปะหลังเข้าร่วมโครงการรับจำนำมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ เกษตรกรต้องยินยอมให้ธนาคารหักชำระหนี้เงินกู้ตามโครงการนี้ ๒.๓ หลักเกณฑ์การให้เงินกู้ ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยรัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินให้แก่ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR + 1 (ปัจจุบันเท่ากับร้อยละ ๓.๔๐๖ ต่อปี) ระยะเวลาไม่เกิน ๔ เดือน ๓. อนุมัติค่าใช้จ่ายการดำเนินโครงการให้เงินกู้เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ให้แก่ ธ.ก.ส. ได้แก่ วงเงินชดเชยต้นทุนเงิน ๑๐๒.๑๘ ล้านบาท และค่าบริหารโครงการของ ธ.ก.ส. อัตราร้อยละ ๒.๕ ของต้นเงินคงเป็นหนี้ระยะเวลาไม่เกิน ๔ เดือน คิดเป็นวงเงินค่าบริหารโครงการ ๗๕ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ตั้งไว้แล้วสำหรับดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรปี ๒๕๕๔/๕๕ หากไม่เพียงพอให้ตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอใช้จ่ายจากงบกลางเพิ่มเติม ทั้งนี้ หากเกิดความเสียหายแก่ ธ.ก.ส. ในการดำเนินโครงการนี้ รัฐบาลจะดูแลชดเชยความเสียหายให้ตามที่เกิดขึ้นจริง
|
|||||||||||||||||||||||||||
2188 | มาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 | พณ | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบกรอบชนิด ราคา ปริมาณ ระยะเวลา วิธีการ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และงบประมาณการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ๑.๒ รับทราบการแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยให้กรมส่งเสริมการเกษตรรับขึ้นทะเบียนและออกหนังสือรับรองเกษตรกรให้แก่เกษตรกรที่เพาะปลูกข้าว ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และจะเก็บเกี่ยวข้าว ตั้งแต่วันที่ ๑ - ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นช่วงผลผลิตข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดยให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกมาจำนำตามโครงการ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ได้ และให้องค์การคลังสินค้า และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร รับฝากข้าวเปลือกของเกษตรกรไว้ก่อนและออกใบประทวนให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป และให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จ่ายเงินให้เกษตรกร โดยใช้วงเงินค่าใช้จ่ายจากโครงการ ทั้งนี้ เกษตรกรที่นำข้าวเปลือกที่ได้จากการเพาะปลูกข้าวในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ มาจำนำในโครงการ ช่วงวันที่ ๑ - ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ไม่สามารถนำข้าวเปลือกมาเข้าร่วมโครงการที่จะเริ่มรับจำนำในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ได้อีก ๑.๓ เห็นชอบงบประมาณดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดยให้นำวงเงินงบประมาณที่ใช้ดำเนินการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ มาใช้ในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ไปก่อน หากไม่เพียงพอจึงขออนุมัติเพิ่มเติมในภายหลัง กรณีกระทรวงการคลังยังไม่สามารถจัดหาเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. เพื่อนำมารับจำนำตามโครงการได้ทัน ให้ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเงินไปก่อน และให้สำนักงบประมาณชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ตามอัตราที่กำหนดไว้เดิม ๒. รับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมว่า ขอตัดข้อความในหนังสือกระทรวงพาณิชย์ ด่วนที่สุด ที่ พณ ๐๔๑๔/๕๕๓ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ความว่า “... ทั้งนี้ เกษตรกรทุกรายจะจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี ๒๕๕๕ ได้ไม่เกินวงเงินรายละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท” ออก ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปกำกับติดตามการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดยให้มีการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ถูกต้องตรงตามพื้นที่เพาะปลูกและปริมาณผลผลิตของเกษตรกรแต่ละราย ๔. โดยที่จะมีพื้นที่ซึ่งรวมพื้นที่เพาะปลูกด้วยจำนวนรวมประมาณ ๒ ล้านไร่ ที่ต้องใช้เป็นพื้นที่รองรับน้ำ (แก้มลิง) ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยด้วย จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับเรื่องนี้ไปประสานงานและบูรณาการการดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบริหารจัดการให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูก เก็บเกี่ยว ตลอดจนการดำเนินการโครงการรับจำนำพืชผลการเกษตรของรัฐบาลแล้วเสร็จทันก่อนการใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อรองรับน้ำต่อไป ทั้งนี้ ควรประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรและประชาชนทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2189 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2555 | นร | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ จังหวัดอุดรธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) รวม ๕ เรื่อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการเร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ กรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ - หนองคาย โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ขอนแก่น (บ้านไผ่) - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และโครงการปรับปรุงขยายช่องทางการจราจรเพื่อการคมนาคมและการท่องเที่ยวเลียบแม่น้ำโขงเส้นทางหมายเลข ๒๑๑ และเส้นทางหมายเลข ๒๑๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของ กกร. ไปพิจารณา ดังนี้ ๑.๑.๑ ศึกษาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนพัฒนารถไฟทางคู่เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ ระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่กันไป ๑.๑.๒ ศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ศึกษาไว้ และเร่งเสนอโครงการฯ ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๓ ศึกษารายละเอียดถึงความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ขอนแก่น (บ้านไผ่) - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๑.๑.๔ ศึกษาความเหมาะสมปรับปรุงโครงข่ายทางถนนบริเวณชายแดนไทย เส้นทางหมายเลข ๒๑๑ และ ๒๑๒ เชื่อมโยงหนองคาย บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร เพื่อรองรับการลงทุนและเชื่อมโยงการท่องเที่ยวสู่ประชาคมอาเซียน ๑.๒ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนจังหวัดมุกดาหาร นครพนม และหนองคาย การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industrial Estate) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และการขยายเวลาเปิดด่านสากลจังหวัดนครพนม (ชายแดนไทย - ลาว) ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง และเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕) ๑.๒.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและขอนแก่น ๑.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมของการขยายเวลาเปิดทำการของจุดผ่านแดนถาวรจังหวัดนครพนมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับโครงการจัดการน้ำ โขง - เลย - ชี - มูล โดยแรงโน้มถ่วงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมและความสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และให้ดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ ๑.๔ ข้อเสนอของ กกร. และ สทท. เกี่ยวกับการสนับสนุนโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย การพัฒนาระบบบริหารจัดการของพิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้มีความคล่องตัว และการพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการในกลุ่มพื้นที่ให้สามารถแข่งขันได้เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย ๑.๔.๒ เห็นชอบในหลักการที่จะให้มีการปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการเพื่อให้พิพิธภัณฑ์สิรินธรสามารถเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และค้นคว้าทางวิชาการ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกาฬสินธุ์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณารูปแบบที่คล่องตัวในการบริหารที่เหมาะสม ๑.๔.๓ ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสถาบันการศึกษาในพื้นที่พิจารณาจัดให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนและการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาทักษะด้านภาษาที่สอง เช่น ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และภาษาท้องถิ่นที่ใช้ในประเทศสมาชิกอาเซียนให้กับผู้ประกอบการและบุคลากรที่อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว ๑.๕ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการเร่งรัดการจัดตั้งมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ และโครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... และนำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาจัดเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการโอนทรัพย์สินและการบริหารจัดการทั้งบุคลากร และการเงิน รวมทั้งการเตรียมการด้านวิชาการ ส่วนโครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนพัฒนารถไฟทางคู่เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ นั้น เห็นควรพิจารณาถึงความเหมาะสมคุ้มค่าในการลงทุนและการใช้ประโยชน์ โดยให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ - หนองคาย ที่กำลังจะเกิดขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2190 | โครงการ 1 คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ต่อ 1 นักเรียน | นร | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารนโยบาย ๑ คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ต่อ ๑ นักเรียน ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๙๖/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ไม่เป็นปัจจุบัน จึงเห็นควรปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าว โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นรองประธานกรรมการ และให้ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นกรรมการและเลขานุการร่วม ๒. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการแก้ไขคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ประธานกรรมการเร่งรัดจัดการประชุมคณะกรรมการโดยด่วน เพื่อพิจารณาแนวทางในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันพุธที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2191 | การลงพื้นที่ตรวจติดตามงานเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยของนายกรัฐมนตรีและคณะในระหว่างวันที่ 13 - 17 กุมภาพันธ์ 2555 | นร | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายเป็นการทั่วไปให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณากลั่นกรอง จัดลำดับความสำคัญ และความจำเป็นเหมาะสมของการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ที่นายกรัฐมนตรีและคณะได้ตรวจติดตามงานเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำในเขตจังหวัดภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตลอดจนอนุมัติ เห็นชอบ เปลี่ยนแปลง หรือมีคำสั่งในเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้น ๆ โดยให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมลงพื้นที่อยู่ด้วย เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น ให้ข้อมูล ความเห็น หรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ประกอบการพิจารณาตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีด้วย และให้สำนักงบประมาณแจ้งเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติ เห็นชอบ เปลี่ยนแปลง หรือมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อสรุปเรื่องแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ตามมาตรา ๗ ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘
|
|||||||||||||||||||||||||||
2192 | ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐชุดใหม่ | ยธ | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ ชุดใหม่ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลให้องค์กรในภาครัฐจัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ดำเนินการจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนแผนงาน โครงการ ตามแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ อำนวยการและประสานการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ รวมทั้งติดตามประเมินผลและแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ ๑.๒ ให้ส่วนราชการหน่วยงานภาครัฐจัดสรร/เจียดจ่ายเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในโครงการต่าง ๆ แบ่งไปใช้จ่ายดำเนินการสนับสนุนในโครงการ/กิจกรรมตามแผนมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินการตามแผนมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐพิจารณาปรับแผนการดำเนินงานและแผนใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของหน่วยงานมาดำเนินการ โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และรายงานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ทราบ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ควรเน้นส่งเสริมให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาเป็นพลังร่วมในการแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ โดยเฉพาะการส่งเสริมบทบาทของภาคธุรกิจเอกชนในการป้องปรามการทุจริตคอรัปชั่น และการสร้างภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมต่าง ๆ การเร่งพัฒนาช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารการปฏิบัติงานภาครัฐ การดำเนินโครงการขนาดใหญ่ การจัดสรรทรัพยากร และมีส่วนร่วมในการตรวจสอบค่าใช้จ่ายภาครัฐในทุกระดับ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวชี้วัดใหม่ ๆ ที่มีความสอดคล้องกับบริบทของสังคมและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งสนับสนุนให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2193 | โครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะกูด เกาะหมาก จังหวัดตราด) | มท | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะกูด และเกาะหมาก จังหวัดตราด) ในวงเงินลงทุนรวม ๑,๔๑๓ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๑,๐๕๙ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน ๓๕๔ ล้านบาท รวมทั้งการกู้เงินในประเทศ จำนวน ๑,๐๕๙ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้าให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของเกาะกูด และเกาะหมาก ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ๑.๑.๒ เป้าหมายและพื้นที่ดำเนินการ เชื่อมโยงระบบจำหน่าย ๒๒ กิโลโวลต์ ด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะกูด เกาะหมาก จังหวัดตราด ๑.๑.๓ ปริมาณงาน ก่อสร้างเชื่อมโยงระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำระบบ ๒๒ กิโลโวลต์ ไปยังเกาะกูด เกาะหมาก จังหวัดตราด รวมระยะทางประมาณ ๕๐ วงจร - กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างระบบจำหน่ายแรงสูง หม้อแปลง และระบบจำหน่ายแรงต่ำ ๑.๑.๔ ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ได้แก่ เพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าบนเกาะให้สามารถจ่ายไฟได้อย่างเพียงพอและมีคุณภาพเชื่อถือได้ รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับโรงจักรไฟฟ้าดีเซลทั้งของ กฟภ. และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟ ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ตามนโยบายของรัฐบาล ๑.๒ ผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ ในการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสาเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะกูด เกาะหมาก จังหวัดตราด) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการพิจารณาแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินงานอย่างรอบคอบและเหมาะสมเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของ กฟภ. ในอนาคต การพิจารณาจัดทำแผนและเส้นทางการวางสายเคเบิลใต้น้ำที่ชัดเจน การกำหนดมาตรการป้องกันการเกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในระหว่างการก่อสร้างและระบุไว้เป็นเงื่อนไขสำคัญในขอบเขตการดำเนินงาน (TOR) ของโครงการฯ เพื่อลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระหว่างการก่อสร้าง การดำเนินการตามมาตรการและแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลในพื้นที่เกาะกูด และเกาะหมาก ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าของประเทศ การพิจารณากำหนดอัตราค่าไฟฟ้าพิเศษสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และบังกะโล บนเกาะต่าง ๆ รวมถึงเกาะกูด และเกาะหมาก จังหวัดตราด โดยกำหนดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการให้มีอัตราที่สูงกว่าผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย เพื่อให้สะท้อนต้นทุนโครงการฯ ที่เกิดขึ้นจริง และค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อควบคุมการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยวไม่ให้เกินขีดความสามารถในการรองรับการพัฒนาของพื้นที่ การศึกษาขีดความสามารถในการรองรับการพัฒนา (Carrying Capacity) ของเกาะกูด และเกาะหมาก การจัดทำแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ แผนการจัดการสิ่งแวดล้อม รวมทั้งแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ เพื่อกำหนดทิศทางและควบคุมการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และธุรกิจท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต เป็นต้น ไปดำเนินการด้วย ๓. ให้ กฟภ. ดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลโดยเฉพาะแนวปะการังให้น้อยที่สุด รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมดูแลและรักษาทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อย่างเคร่งครัด เพื่อรองรับการพัฒนาของพื้นที่ การขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคมและธุรกิจท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ให้ กฟภ. พิจารณากำหนดอัตราค่าใช้ไฟฟ้าให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าเดิมประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ควรรับภาระในอัตราที่ต่ำกว่าผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทผู้ประกอบการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2194 | ขออนุมัติการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์แห่งสาธารณรัฐเกาหลีกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อความร่วมมือด้านพลังงานปรมาณู | วท | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ แห่งสาธารณรัฐเกาหลีกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อความร่วมมือด้านพลังงานปรมาณู (Memorandum of Understanding between the Korea Institute of Nuclear Safety of the Republic of Korea and the Office of Atoms for Peace’ the Ministry of Science and Technology of the Kingdom of Thailand for Atomic Energy Cooperation) โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีขอบเขตความร่วมมือทางเทคนิคและกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ เช่น กฎหมาย กฎเกณฑ์ มาตรฐานด้านความปลอดภัย แนวทางปฏิบัติที่ออกโดยหน่วยงานกำกับดูแล เป็นต้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการศึกษา และการฝึกอบรมความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ การป้องกันรังสีและการเตรียมการรองรับเหตุฉุกเฉิน การทบทวนความปลอดภัย การประเมินค่าและการประเมินสถานปฏิบัติการทางนิวเคลียร์ การออกแบบและการดำเนินโครงการ และระบบด้านการเฝ้าติดตามต้นกำเนิดรังสีและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขอบเขตอื่น ๆ ตามที่คู่สัญญาอาจทำความตกลงร่วมกัน ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมายเพื่อพิจารณาดำเนินการแทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นผู้ลงนาม ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นผู้ลงนาม |
|||||||||||||||||||||||||||
2195 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และ โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายให้แก่โครงการส่งเสริมเพิ่มศักยภาพการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒ รายการ วงเงิน ๑,๑๕๕,๘๕๒ บาท และอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับการจัดสรรเงินสำหรับโครงการผลิตและพัฒนาศักยภาพแพทย์และบุคลากรทางด้านสาธารณสุข ของสถาบันบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๖๖,๗๙๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ในส่วนของโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท (โครงการพัฒนาระบบบริการระดับตติยภูมิ โครงการพัฒนาบริการตติยภูมิศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์โรคมะเร็งและเครือข่ายการบาดเจ็บแห่งชาติ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ และโครงการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน) และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ของกระทรวงคมนาคม จำนวน ๓ โครงการ วงเงิน ๑,๘๒๑.๘๘ ล้านบาท (โครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วรวม โครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง และงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ) โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง แล้วแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาดำเนินการ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการที่ตอบสนองต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยก่อนเป็นลำดับแรก ๓. ให้กระทรวงการคลังจัดทำข้อมูลภาพรวมเกี่ยวกับการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ครบถ้วน เช่น เหตุผลความจำเป็น ขั้นตอนการขออนุมัติโครงการ และผลการดำเนินการ เป็นต้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เหมาะสม เพื่อให้การใช้เงินกู้ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ มีความชัดเจน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕. ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ และเร่งรัดการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ โดยให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งรัดติดตามการดำเนินการด้วย ทั้งนี้ หากโครงการไม่แล้วเสร็จและเบิกจ่ายไม่ทันภายในกำหนดก็ควรให้มีการขยายเวลา โดยให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อรวบรวมข้อมูลและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2196 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ปี 2554 | กษ | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินโครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินงานโครงการฯ ในแหล่งผลิตสำคัญ ๔๖ จังหวัด พื้นที่ดำเนินการ ๔,๐๗๒,๐๒๕ ไร่ ซึ่งมีกิจกรรมหลักที่สำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดงานรณรงค์การควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง เพื่อให้เกษตรกรมีการปลูกมันสำปะหลังอย่างถูกวิธีตั้งแต่การเตรียมดิน การแช่ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังด้วยสารเคมีก่อนปลูกให้กับเกษตรกร และการสนับสนุนศัตรูธรรมชาติควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง จำนวน ๒ ชนิด คือ แมลงช้างปีกใส และแตนเบียนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง (Anagyrus lopezi) ๒. จัดตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน จำนวน ๓๗๗ ศูนย์ เพื่อใช้ในการถ่ายทอดความรู้และเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน รวมทั้งการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ๓. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์การจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ให้กับเจ้าหน้าที่และเกษตรกร โดยมุ่งหวังให้เกษตรกรได้ตระหนักถึงภัยของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังและดำเนินการควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังตามคำแนะนำของทางราชการ ๔. สนับสนุนการดำเนินงานและบริหารจัดการโครงการฯ ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด อำเภอ การประชุมประธานศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนเพื่อวางแผนการพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน การนำร่องการใช้ภูมิสารสนเทศในการติดตามสถานการณ์เพลี้ยแป้งมันสำปะหลังใน ๓ จังหวัด และการติดตามการดำเนินงานโครงการฯ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๕. การดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ การกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับสารเคมีแช่ท่อนพันธุ์ก่อนปลูกให้กับเกษตรกรทั้งในระดับจังหวัด ระดับอำเภออย่างชัดเจนสามารถตรวจสอบได้ การถ่ายทอดความรู้ในการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการเฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง และวางแผนการพัฒนาศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนให้เกิดความยั่งยืน รวมทั้งการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลิตขยายศัตรูธรรมชาติ และแบ่งพื้นที่รับผิดชอบในการปล่อยศัตรูธรรมชาติเพื่อควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ๖. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ได้ใช้งบประมาณจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๘๐.๖๔ ล้านบาท จากงบประมาณทั้งสิ้น ๔๘๙.๐๒ ล้านบาท ๗. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ เนื่องจากในช่วงระยะเวลาดำเนินการมีฝนตกเร็วกว่ากำหนดและกระจายในหลายพื้นที่ทำให้มีสภาพอากาศเหมาะสมต่อการเพาะปลูก เป็นผลให้เกษตรกรประมาณร้อยละ ๕๐ ของพื้นที่เป้าหมายในโครงการปลูกมันสำปะหลังก่อนฤดูการปลูกถึง ๓ เดือน ๘. แนวทางแก้ไขปัญหา ได้แก่ การสนับสนุนเคมีแช่ท่อนพันธุ์มันสำปหลังก่อนปลูกอย่างต่อเนื่อง การรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ และถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรให้ตระหนักถึงความเสียหายที่เกิดจากการทำลายของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง การให้ความสำคัญของการสำรวจแปลงปลูกมันสำมันปะหลังอย่างสม่ำเสมอ และการส่งเสริมให้เกษตรกรดูแลต้นมันสำปะหลังให้สมบูรณ์ แข็งแรง มีการควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังโดยวิธีผสมผสาน รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังของกรมส่งเสริมการเกษตร
|
|||||||||||||||||||||||||||
2197 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง โอกาสและศักยภาพในการขยายการค้าการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน | สว | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง โอกาสและศักยภาพในการขยายการค้าการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ รวมทั้งผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการ ฯ ของหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยมีผลการดำเนินงานสรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงพาณิชย์มีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินโครงการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์สู่เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพธุรกิจรองรับอาเซียน (+๖) การจัดกิจกรรมร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้หัวข้อ Business Summit โดยมี ๓ กิจกรรมหลัก คือ การแสดงสินค้า เจรจาธุรกิจ และสัมมนาแลกเปลี่ยนมุมมองและมาตรการการค้าในสาขาต่าง ๆ การดำเนินการตามแผนจัดตั้ง National Single Window โดยเชื่อมโยงข้อมูลการออกใบอนุญาตภาครัฐ ๖ หน่วยงานเข้าสู่ระบบเดียวผ่าน Internet รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลระบบสารสนเทศกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ การจัดกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจ SMEs เพื่อการส่งออกโดยเน้นการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การจัดการธุรกิจ การวิเคราะห์ SWOT เพื่อกำหนดศักยภาพให้กับผู้ประกอบการทั้งส่วนกลางและภูมิภาค การจัดหลักสูตรความรู้ด้านธุรกิจการค้า และการดำเนินโครงการภายใต้คณะกรรมการเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดในส่วนของการจัดจ้าง ออกแบบติดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๒. กระทรวงแรงงานได้ดำเนินมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงาน โดยกำหนดให้ต่างด้าวต้องทำงานอยู่กับนายจ้างตามเขตจังหวัดที่จดทะเบียนหากจะออกไปทำงานนอกเขต ต้องได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน และผู้ว่าราชการจังหวัด (ยกเว้นทำการประมงทะเล) ๓. กระทรวงสาธารณสุขมีความเห็นเกี่ยวกับการคัดกรองป้องกันและควบคุมโรค โดยเฉพาะโรคติดต่อจากประเทศที่มีการสาธารณสุขล้าหลังกว่าประเทศไทย ๔. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนดูงานของเจ้าหน้าที่เพื่อยกระดับการทำงานให้มีเกณฑ์มาตรฐานเดียวกัน เพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลาในการตรวจสอบ ณ ด่านการค้า ๕. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมเตรียมแผนการลงทุน Contract Farming กับประเทศเพื่อนบ้าน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเห็นชอบการจัดทำสัญญาซื้อขายสินค้าเกษตร รวม ๙ รายการ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดหวาน มันสำปะหลัง งา ละหุ่ง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง และลูกเดือย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2198 | การพัฒนาพื้นที่ในเชิงพาณิชย์และการบริการสาธารณะควบคู่กันไปตามแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษ | คค | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยที่ประชุมได้มีมติร่วมกันว่า กทพ. สามารถนำพื้นที่เขตทางพิเศษที่ได้เวนคืนและก่อสร้างทางพิเศษเสร็จเรียบร้อยแล้วมาพัฒนาเชิงพาณิชย์ควบคู่ไปกับการให้บริการสาธารณะได้ เนื่องจาก กทพ. ได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืนที่ดินเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กทพ.) รับเรื่อง การดำเนินการโครงการเชิงพาณิชย์ควบคู่ไปกับการให้บริการสาธารณะระหว่างกระทรวงคมนาคม (กทพ.) กับกระทรวงสาธารณสุข กรณีการใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้เขตทางพิเศษภายใต้ “โครงการเสริมสร้างสุขภาพและแหล่งการเรียนรู้สำหรับเด็ก เพื่อประโยชน์สาธารณะ” ของกระทรวงสาธารณสุขควบคู่ไปกับการจัดทำ “โครงการเชิงพาณิชย์จำหน่ายสินค้า OTOP” ของ กทพ. ไปพิจารณาทบทวนในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน รวมทั้งเกณฑ์การพิจารณาให้สอดคล้อง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยนำความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการความชัดเจนของการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการฯ การบริหารจัดการพื้นที่และการนำรายได้ส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ การพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการใช้ประโยชน์พื้นที่ระหว่างเชิงสังคมและเชิงพาณิชย์ให้มีความสมดุล การกำหนดแนวทางการรับผิดชอบในการลงทุนและบำรุงรักษาพื้นที่ และการกำหนดแนวทางบริหารสัญญาที่ชัดเจนโดยเฉพาะการควบคุมการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามผลการศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย รวมทั้งการกำหนดมาตรการจัดการจราจรและการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการและผู้สัญจรบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
2199 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2554/55 | พณ | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการค่าใช้จ่ายดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยใช้จ่ายจากเงินทุนหมุนเวียนรับจำนำมันสำปะหลัง จำนวน ๒๘,๒๕๐ ล้านบาท จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ทั้งนี้ หากในระหว่างที่ยังไม่สามารถใช้วงเงินกู้ตามโครงการฯ ดังกล่าวได้ ให้ใช้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินการไปพลางก่อน และให้ชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR + 1 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. สำหรับวงเงินจ่ายขาด จำนวน ๓,๘๔๖.๒๗๗ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรับฝากและออกใบประทวน ค่า Overhead ค่าฝากเก็บ ค่าพลิกกอง ค่าตรวจสอบคุณภาพ และค่าแรงกรรมกร ขององค์การคลังสินค้า ค่าดอกเบี้ยเงินทุนหมุนเวียนและค่าบริหารสินเชื่อ ของ ธ.ก.ส. ค่าใช้จ่ายดำเนินการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ระดับจังหวัด ค่าใช้จ่ายกำกับดูแลตรวจสอบ และค่าประชาสัมพันธ์โครงการ ของกรมการค้าภายใน ค่าออกใบรับรองเกษตรกรเพื่อการรับจำนำมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ของกรมส่งเสริมการเกษตร และค่าจัดจ้างเจ้าหน้าที่ช่วยปฏิบัติงาน จัดอบรมความรู้การตรวจสอบคุณภาพ/ปริมาณผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง จัดซื้อวัสดุอุปกรณ์การตรวจสอบผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและสุ่มตรวจสอบคุณภาพ/ปริมาณผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่รับจำนำ ของกรมการค้าต่างประเทศ ให้หน่วยงานดังกล่าวใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ตั้งไว้แล้วสำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และหากไม่เพียงพอให้ขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอใช้จ่ายจากเงินงบกลางเพิ่มเติม แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||
2200 | การรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินงานตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดย ๑.๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ ให้แก่สถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการและผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการบริหารโครงการระดับจังหวัด และให้แก่องค์การสวนยาง ซึ่งกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ยกเว้น สถาบันเกษตรกรที่เคยได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการสนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพิ่มมูลค่าเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำมาแล้วสามารถได้รับการจัดสรรได้ทันที ๑.๑.๒ ให้สถาบันเกษตรกร และองค์การสวนยาง ซื้อยางจากสมาชิก ผลิตและเก็บรวบรวม โดยการแนะนำและตรวจสอบคุณภาพยางให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานกรมวิชาการเกษตร รวมทั้งเก็บรักษายางไว้ในโกดังของสถาบันเกษตรกร หรือสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง หรือของกรมวิชาการเกษตร หรือจำหน่ายในราคาที่เหมาะสม ๑.๑.๓ จัดตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง กำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและดำเนินงาน การบริหารโครงการฯ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกำกับ ดูแล ตรวจสอบ ติดตามและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคเกษตรกร ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะสั้นสำหรับยางแผ่นรมควันของสถาบันเกษตรกรที่ยังไม่สามารถขายได้ เนื่องจากปัญหาราคายางพาราตกต่ำ โดย ๑.๒.๑ ให้ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อวงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท โดยใช้ผลผลิตยางพาราจำนำเป็นประกัน ทั้งนี้ ให้สถาบันเกษตรกรเป็นผู้รับภาระดอกเบี้ย ๑.๒.๒ รัฐจะรับภาระดำเนินการเรื่องประกันวินาศภัย โดยจะขอรับการสนับสนุนงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๓.๓๓๓ ล้านบาท ๑.๓ สำหรับเงินที่ ธ.ก.ส. จะให้กู้เป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ เพื่อให้สถาบันเกษตรกร และองค์การสวนยาง ใช้ในการรับซื้อยางนำไปแปรรูปและรอขายในราคาที่เหมาะสม ในวงเงินสินเชื่อรวม ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท นั้น อนุมัติให้ใช้จากงบช่วยเหลือโครงการรับจำนำข้าว จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งจะจัดสรรให้สถาบันเกษตรกร จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท และองค์การสวนยาง จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. อนุมัติงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะสั้นสำหรับยางแผ่นรมควันของสถาบันเกษตรกรที่ยังไม่สามารถขายได้ วงเงินรวม ๑,๐๓๙.๖๘๗ ล้านบาท ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติม และให้ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติกำกับดูแลในการรักษาเสถียรภาพราคายางพารา เพื่อช่วยประหยัดงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าวด้วย
|
.....