ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 101 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2001 - 2020 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2001 | การกู้เงินเพื่อการบริหารหนี้เงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ปีงบประมาณ 2556 | กค | 20/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กู้เงินในประเทศในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินไม่เกิน ๑๑๓,๗๙๘ ล้านบาท เพื่อ Roll Over เงินกู้โครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๑/๕๒ ที่จะครบกำหนดชำระคืน โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยจากการกู้เงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินการ Roll Over ทั้งหมด ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนบริหารจัดการระบายผลผลิตทางการเกษตรและแผนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร เพื่อให้โครงการรับจำนำฯ มีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งลดภาระงบประมาณในการชดใช้ดอกเบี้ยและภาระการค้ำประกันเงินกู้ของรัฐบาล และให้กระทรวงการคลังบริหารจัดการการค้ำประกันเงินกู้ของภาครัฐ โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากภายใต้กรอบวงเงินค้ำประกันเงินกู้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ ๔๘๐,๐๐๐ ล้านบาท มีวงเงินคงเหลือที่รัฐบาลสามารถค้ำประกันเงินกู้ได้อีกเพียงจำนวน ๗๙,๑๓๐ ล้านบาท ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2002 | รายงานผลการดำเนินงานการเข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประจำปี พ.ศ. 2555 | ทก | 20/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานการเข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยสำนักงานฯ ได้ดำเนินการร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นวงเงินไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของมูลค่าโครงการ และไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔ โครงการ งบประมาณจำนวน ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ดังนี้
๑. พัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคลและเงินเดือน โดยบริษัทฮิวแมนิก้า จำกัด ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓-วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ งบประมาณที่ใช้ลงทุนโครงการ ๑๔,๒๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติร่วมทุนจากสำนักงานฯ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่เกินร้อยละ ๒๕) ๒. โครงการภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง Gabriel and the Christmas โดยบริษัท ดิ จิ ดรีม จำกัด ระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓-วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ งบประมาณที่ใช้ลงทุนโครงการ ๔๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติร่วมทุนจากสำนักงานฯ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่เกินร้อยละ ๒๕) ๓. โครงการภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง ปังปอนด์ จอมป่วน โดยบริษัทวิธิตาแอนิเมชั่น จำกัด ระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓-วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ งบประมาณที่ใช้ลงทุนโครงการ ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติร่วมทุนจากสำนักงานฯ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่เกินร้อยละ ๒๕) ๔. โครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบ Internet Billing System โดยบริษัท เทอร์ราไบท์ เน็ท โซลูชั่น จำกัด ระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๔-วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ งบประมาณที่ใช้ลงทุนโครงการ ๑๓,๕๓๖,๙๔๕ บาท งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติร่วมทุนจากสำนักงานฯ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่เกินร้อยละ ๒๕)
|
||||||||||||||||||
2003 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 20/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๑๘๒.๐๑๐๐ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๖๓๔.๙๐๙๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๖๘.๑๐๔๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๖ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๓,๐๘๕.๑๐๕๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๔๙ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรอีกจำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้น จำนวน ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการโดยให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท ๑.๔ โครงการ/รายการ ที่ยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ สำนักงบประมาณได้ตรวจสอบสถานะข้อมูลการขอรับการจัดสรรงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ณ วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ พบว่า ยังมีโครงการ/รายการ ส่วนราชการฯ ยังไม่ขอรับการจัดสรรงบประมาณเหลืออยู่อีก จำนวน ๔ โครงการ/รายการ วงเงิน ๒๖๔.๐๔๔๓ ล้านบาท ซึ่งจะขอรับการจัดสรรมายังสำนักงบประมาณไม่ทันภายในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่สามารถดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ได้ทันภายในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และหากยังมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาการขอรับการจัดสรรงบประมาณโครงการ/รายการที่เกี่ยวข้องเป็นรายกรณีต่อไป
|
||||||||||||||||||
2004 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี 2555 | กษ | 20/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะอนุกรรมการโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ในการประชุมครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ได้มีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นผู้รับซื้อสับปะรดสดจากเกษตรกร จัดจ้างโรงงานแปรรูปเพื่อผลิตเป็นสับปะรดกระป๋อง และประสานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในเรื่องการใช้เงิน รวมทั้งได้จัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางปฏิบัติ และให้มีการจัดประชุมชี้แจงแก่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถเร่งรัดดำเนินการรับซื้อโดยเร็วที่สุด ๑.๒ อ.ต.ก. ได้ประสานกับจังหวัดในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำจุดรับซื้อและดำเนินการจัดหาโรงงานแปรรูปสับปะรดกระป๋องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะอนุกรรมการฯ กำหนด ๑.๓ สำนักงบประมาณได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๗๕,๖๘๘,๔๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแปรรูปสับปะรดกระป๋อง การประชาสัมพันธ์ และการบริหารจัดการโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ปี ๒๕๕๕ ๑.๔ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้สำรวจความต้องการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดในจังหวัดต่าง ๆ โดยเร่งด่วน เพื่อพิจารณาจัดสรรปริมาณการรับซื้อสับปะรดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ผลผลิต และราคาในแต่ละพื้นที่ หากพบว่าไม่มีความต้องการให้พิจารณาทบทวนเพื่อยุติการดำเนินโครงการฯ ๑.๕ คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้มีมติเห็นสมควรสนับสนุนค่าขนส่งให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดในจังหวัดที่ไม่มีโรงงานแปรรูปเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อขนส่งสับปะรดไปยังจุดรับซื้อหน้าโรงงานแปรรูป และขยายระยะเวลาการรับซื้อสับปะรด จากสิ้นสุด ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นสิ้นสุด ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี ๑.๖ อ.ต.ก. ได้รับแจ้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่าขณะนี้สถานการณ์ราคาสับปะรดผลสดหน้าโรงงาน ณ วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ส่วนใหญ่รับซื้อกิโลกรัมละ ๔.๐๐-๔.๒๐ บาท ซึ่งสูงกว่าราคารับซื้อตามโครงการฯ ๑.๗ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๔ ซึ่งรวมถึงเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ปี ๒๕๕๕ จำนวนเงิน ๕๐๐ ล้านบาท และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ประสานกับ อ.ต.ก. ว่าสามารถดำเนินการกู้เงินจาก ธ.ก.ส. ตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ๑.๘ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ซึ่งสิ้นสุดระยะเวลาการรับซื้อตามโครงการฯ แล้ว ประกอบกับสถานการณ์ราคาสับปะรดอยู่ในเกณฑ์ดี อ.ต.ก. จึงไม่ได้มีการลงนามในสัญญากู้เงินกับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการรับซื้อสับปะรดจากเกษตรกร โดยเห็นว่า หากดำเนินโครงการฯ ต่อไป จะไม่เกิดประโยชน์กับเกษตรกร และทำให้การใช้งบประมาณภาครัฐไม่คุ้มค่า ๑.๙ การใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ วงเงิน ๑๗๕,๖๘๘,๔๐๐ บาท อ.ต.ก. ได้รับอนุมัติค่าใช้จ่ายในการแปรรูปสับปะรดสด จำนวน ๔๐,๐๐๐ ตัน เป็นสับปะรดกระป๋อง วงเงิน ๑๗๒,๖๕๖,๕๐๐ บาท อ.ต.ก. ดำเนินการเบิกจ่ายไปแล้ว จำนวน ๕๙,๗๐๘ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จำนวนเงินคงเหลือ ๑๗๒,๕๙๖,๗๙๒ บาท และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้รับอนุมัติค่าใช้จ่ายในส่วนของการประชาสัมพันธ์ของกรมประชาสัมพันธ์ และการบริหารจัดการโครงการ วงเงิน ๓,๐๓๑,๙๐๐ บาท โดยไม่มีการเบิกจ่าย ทั้งนี้ อ.ต.ก. และ สศก. ได้คืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่กรมบัญชีกลางเรียบร้อยแล้ว ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมกรณีที่โรงงานแปรรูปยังคงมีสับปะรดกระป๋องเหลืออยู่ปริมาณมากในสินค้าคงคลัง จากผลกระทบทางเศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลัก ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อใด จึงมีผลต่อการสั่งซื้อ แนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะสม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หรือโรงงานแปรรูป เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายบนพื้นฐานข้อเท็จจริง เช่น ปริมาณผลผลิต กำลังการผลิต สินค้าแปรรูปคงคลัง เป็นต้น อันจะนำมาซึ่งกระบวนการในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาด้วย ๓. ให้ทุกหน่วยงานถือเป็นหลักปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นว่า หากหน่วยงานไม่สามารถใช้จ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นได้ตามเป้าหมายและมีเงินเหลือ ให้หน่วยงานส่งคืนเงินดังกล่าวให้สำนักงบประมาณเพื่อจะได้นำไปจัดสรรให้กับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||
2005 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2555/56 | พณ | 20/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติเป้าหมายการรับจำนำมันสำปะหลัง ในจำนวน ๑๐ ล้านตัน เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา และให้ปรับลดวงเงินค่าใช้จ่ายลงตามสัดส่วนของปริมาณเป้าหมายที่ลดลง โดยให้ใช้งบประมาณจากกรอบวงเงินเดิม ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕) ซึ่งหากมีความจำเป็นสามารถขอขยายเพิ่มเติมในภายหลัง เพื่อไม่ให้กรอบวงเงินค่าใช้จ่ายสูงเกินไปและส่งผลต่อกรอบวงเงินของสินค้าเกษตรชนิดอื่น ประกอบกับราคามันสำปะหลังในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับราคารับจำนำ ทั้งนี้ ควรดำเนินการรับจำนำเมื่อราคามันสำปะหลังลดต่ำกว่าเกณฑ์ราคาที่กำหนด ตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการ ๑.๒.๑ ปรับลดวงเงินจ่ายขาด จำนวน ๕,๒๒๓.๐๕๖ ล้านบาท ให้สอดคล้องกับปริมาณเป้าหมาย รวมทั้งปรับลดค่าแปรสภาพให้สอดคล้องกับการนำผลผลิตหัวมันสำปะหลังสดไปผลิตเป็นเอทานอลโดยตรง โดยอัตราค่าใช้จ่ายจ่ายขาดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ตั้งงบประมาณรองรับการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ไว้แล้ว โดยให้มีค่าใช้จ่ายต่อหน่วย (Unit Cost) ในอัตราเดียวกับการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ต้นทุนเงิน ในอัตรา FDR+1 และค่าบริหารโครงการ ในอัตราร้อยละ ๒.๒๕ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ปรับระยะเวลาดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับระยะเวลาดำเนินการจริง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๑.๒.๒ นำส่งเงินจากการจำหน่ายสินค้าตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังเพื่อชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในทันทีและ/หรือภายใน ๓ วันทำการ โดยยึดแนวทางการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ๑.๒.๓ จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับปริมาณสต็อกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และแผนการระบายมันสำปะหลัง รวมทั้งร่วมกับกระทรวงพลังงานในการจัดทำแผนการใช้มันสำปะหลังในการผลิตเอทานอล ๑.๓ ให้กระทรวงพลังงานจัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง ผู้ประกอบการด้านการพลังงาน เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันและการส่งออกเอทานอลของประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการลดภาระการรับจำนำมันสำปะหลังของประเทศ ๒. ให้เริ่มดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ สำหรับราคารับจำนำให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังได้กำหนดไว้ (ราคารับจำนำหัวมันสดที่มีเชื้อแป้งร้อยละ ๒๕ ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ กำหนดไว้กิโลกรัมละ ๒.๖๐ บาท) ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ปรับลดวงเงินค่าใช้จ่ายลงตามสัดส่วนของปริมาณเป้าหมายการรับจำนำที่ลดลง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้เงินในกรอบวงเงิน จำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕) และให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณจัดทำแผนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการและแผนการบริหารจัดการสต็อก (stock) มันสำปะหลังอย่างเป็นระบบ รวมทั้งตรวจสอบปริมาณมันสำปะหลังที่รับจำนำไว้เดิมและที่ระบายไปแล้ว และต้องรายงานผลความคืบหน้าในการดำเนินการระบายมันสำปะหลัง ปริมาณ และมูลค่าสินค้าคงเหลือให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาสในแนวทางเดียวกับการดำเนินการเรื่อง ข้าว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ด้วย |
||||||||||||||||||
2006 | ผลการประชุมคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ครั้งที่ 5/2555 | นร | 20/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ประธานกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปความก้าวหน้าในการดำเนินงานเพื่อพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย โดย ๑.๑ คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดฯ มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน ๔ ชุด ได้แก่ คณะอนุกรรมการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย คณะอนุกรรมการพิจารณากรอบแนวคิดด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม คณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณากรอบแนวคิดทางเทคนิควิชาการ ของผู้เสนอกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย และคณะอนุกรรมการชี้แจงข้อมูลโครงการเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับพัสดุในการดำเนินโครงการ เพื่อเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพัสดุสำหรับโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ขึ้น โดยมีระบบควบคุม ตรวจสอบ และติดตามการดำเนินการเป็นการเฉพาะเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะการดำเนินการของโครงการ ๑.๓ ขั้นตอนการยื่นข้อเสนอโครงการประกอบด้วย ปฏิทินขั้นตอนการดำเนินการ การจัดทำ และวิธีการยื่นข้อเสนอ วิธีการประเมิน Conceptual Plan เกณฑ์การพิจารณา Conceptual Plan และวิธีการคัดเลือกผู้รับจ้างในขั้นตอนสุดท้าย (Final Selection) ๑.๔ คณะอนุกรรมการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอกรอบแนวคิดฯ ได้คัดเลือกผู้ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้น จำนวน ๘ กลุ่ม จากผู้ยื่นข้อเสนอทั้งสิ้น ๓๔ กลุ่ม ๑.๕ คณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณากรอบแนวคิดทางเทคนิควิชาการฯ ได้จัดทำเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอแนวคิดเพื่อเป็นหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกผู้เสนอให้เหลือ ๓ รายต่อกลุ่มแผนงาน รวมทั้งกำหนดวิธีการตรวจสอบเอกสารและกลั่นกรองข้อเสนอ Conceptual Plan ๑.๖ คณะอนุกรรมการชี้แจงข้อมูลโครงการเพื่อออกแบบก่อสร้างฯ ได้ชี้แจงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการให้กับกลุ่มผู้เสนอกรอบแนวคิด ๑.๗ การดำเนินงานถึงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ได้ดำเนินการถึงขั้นตอนที่ ๗ และได้เตรียมการในขั้นตอนที่ ๘-๑๑ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ๒. เห็นชอบการปรับปรุงคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย จำนวน ๓ ท่าน โดยเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธ์) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่รองประธานกรรมการ แต่งตั้งอธิบดีกรมบัญชีกลางให้ทำหน้าที่กรรมการแทนประธานคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ และเปลี่ยนตำแหน่งกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ จากนายวีระพงษ์ แพสุวรรณ เป็นนางปราณี สริวัฒน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดฯ มีอำนาจหน้าที่ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||
2007 | การแก้ไขปัญหาของราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยปล้อง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย | นร01 | 12/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้จ่ายเงินเยียวยาค่าชดเชยที่ดินและค่าเสียโอกาสในการทำกินเป็นกรณีพิเศษให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยปล้อง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย จำนวน ๔๘ ราย รวมเนื้อที่ ๖๘๒-๒-๖๒ ไร่ ในอัตราไร่ละ ๔๐,๐๐๐ บาท เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๗,๓๐๖,๒๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๑.๒ ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินเยียวยาค่าชดเชยที่ดินและค่าเสียโอกาสในการทำกินเป็นกรณีพิเศษให้แก่ราษฎรดังกล่าว ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เรียบร้อย ด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร และระมัดระวังมิให้มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการเป็นหลักฐานประกอบในการอนุมัติจ่ายเงิน รวมทั้งป้องกันมิให้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาผลประโยชน์จากการจ่ายเงินให้แก่ราษฎร โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการเยียวยาชดเชยที่ดินและค่าเสียโอกาสดังกล่าว เนื่องจากไม่ได้ตั้งงบประมาณไว้ จึงเห็นควรให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๒๗,๓๐๖,๒๐๐ บาท โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรทำข้อตกลงกับกลุ่มราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยปล้องดังกล่าวว่าจะไม่เรียกร้องค่าชดเชยใด ๆ จากทางราชการอีก และในการโอนเงินผ่านธนาคาร ให้มีการประสานงานกับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจที่เหมาะสมกับการดำเนินการจ่ายเงิน และพิจารณาถึงค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการเพื่อให้สอดคล้องกับเงินงบประมาณรายจ่ายที่จะต้องใช้ด้วย นอกจากนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาวางหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือและกำหนดการชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างรอบคอบ ตามความเหมาะสมกับสภาพในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการจริง ที่มีหลักฐานตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลในการดำเนินการเกี่ยวกับการร้องเรียนของประชาชนในเรื่องทำนองเดียวกันนี้ในแต่ละพื้นที่ให้มีความชัดเจนและมาตรฐานเดียวกัน |
||||||||||||||||||
2008 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 12/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักงบประมาณ และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เกี่ยวกับความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ ของ รฟท. เรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย ของ รฟท. กระทรวงคมนาคม โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง และงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ โดย ๑.๑ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย เห็นควรสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ที่เหลืออยู่ จำนวน ๑๒ สายทาง เนื่องจากมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าทางรางและการพัฒนาทางคู่ (Double Track) รวมถึงความสอดคล้องกับการปรับปรุงโครงข่ายหลักซึ่งสภาพทางและอายุการใช้งานของสายทางทุกสายทางอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย ๑.๒ โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง เห็นควรสนับสนุนโครงการฯ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินรถ และลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โดยแผนงานที่ รฟท. เสนอมาอยู่ในเส้นทางสายหลักที่มีปริมาณการจราจรตัดผ่านหนาแน่น ๑.๓ งานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ เป็นงานที่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของรางรถไฟ เพื่อรองรับการลงทุนในส่วนของระบบราง โดยการติดตั้งรั้วในเขตสายทางรถไฟจะช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากทางลักผ่านและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านการขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าให้รวดเร็วและตรงเวลามากขึ้น ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ได้แก่ ๒.๑ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย ของ รฟท. กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔ สายทาง ระยะทาง ๒๖๕ กิโลเมตร ได้แก่ ระหว่างสถานีคลองรังสิต-ชุมทางบ้านภาชี ระยะทาง ๑๒๐ กิโลเมตร ระหว่างชุมทางบ้านภาชี-มาบกะเบา (เดิม) ระยะทาง ๔๔ กิโลเมตร ระหว่างชุมทางศรีราชา-ชุมทางเขาชีจรรย์-สัตหีบ ระยะทาง ๖๖ กิโลเมตร และระหว่างชุมทางเขาชุมทอง-นครศรีธรรมราช ระยะทาง ๓๕ กิโลเมตร วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๙๓๙.๒๕๒๓ ล้านบาท ๒.๒ โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง วงเงิน ๑๙๕.๔๒ ล้านบาท ๒.๓ โครงการ GFMIS-SOE ส่วนขยาย (ระยะที่ ๒) ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง วงเงิน ๘๗ ล้านบาท ๓. อนุมัติให้ รฟท. ดำเนินโครงการ และอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ และให้ รฟท. กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัยในสายทางที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรแหล่งเงินลงทุน จำนวน ๘ สายทาง ระยะทาง ๘๔๙ กิโลเมตร รวมวงเงิน ๘,๘๗๔.๖๒ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ส่วนงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ วงเงิน ๓,๐๔๖.๑๓ ล้านบาท ให้มีการทบทวนความเหมาะสมของโครงการให้รอบคอบและนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||
2009 | แผนบริหารจัดการและแผนธุรกิจโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) | กก | 12/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) ต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องด้านการเงินของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ในช่วงเวลาการขายบัตรสมาชิกใหม่ จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แผนงานเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว ผลผลิต การส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานด้านตลาด รายการค่าใช้จ่ายในการชำระค่าหุ้นบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งตั้งงบประมาณไว้ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนการชำระค่าหุ้นบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด เนื่องจากหากยังไม่มีการยกเลิกโครงการฯ จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องจ่ายชำระค่าหุ้นดังกล่าว ทั้งนี้ เห็นสมควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอทำความตกลงเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายงบประมาณกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลการบริหารจัดการโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้การดำเนินโครงการฯ ประสบปัญหา ไม่สร้างภาระด้านงบประมาณ และอำนวยประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศอย่างแท้จริง และในการดำเนินการตามแนวทางบริหารจัดการสมาชิกเดิม อาทิ การเปลี่ยนแปลง การซื้อคืน หรือการยกเลิกสิทธิ์ ควรเป็นไปอย่างรอบคอบและรัดกุมเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย และความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยในระยะยาว รวมทั้งให้ความสำคัญในการสร้างรายได้และสร้างกระแสเงินสดหมุนเวียนให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจเพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณของภาครัฐ และพิจารณาแนวทางการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารบริษัทฯ โดยเพิ่มสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากขึ้น มีกระบวนการสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเชิงธุรกิจเข้ามาบริหารงานเพิ่มเติม และมีการคัดกรองสมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ การให้สิทธิพิเศษบางประการกับสมาชิกบัตร จำเป็นต้องพิจารณาในรายละเอียดที่ชัดเจนและรอบคอบ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของหลายหน่วยงาน ซึ่งในทางปฏิบัติต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานเหล่านี้ก่อน เช่น การให้บริการตรวจลงตราชนิดพิเศษทุก ๕ ปี โดยให้มีสิทธิพำนักชั่วคราวจากเดิม ๓ เดือน เป็น ๑๒ เดือน การถือครองอสังหาริมทรัพย์ การเข้าถึงผู้บริหารระดับสูงของไทย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
2010 | ขออนุมัติการดำเนินโครงการบำบัดน้ำเสียรวม พื้นที่เทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร | ทส | 06/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๑ เห็นชอบโครงการบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร โดยให้องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ลงทุนเฉพาะในระยะที่ ๑ วงเงินลงทุน ๒,๗๕๐.๖๓ ล้านบาทก่อน ส่วนการลงทุนในระยะที่ ๒ ซึ่งเป็นการผูกพันงบประมาณระยะยาวถึงปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ควรประเมินผลการดำเนินการในระยะที่ ๑ รวมทั้งศึกษาทบทวนข้อสมมติต่าง ๆ ก่อนเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ปรับลดระยะเวลาในการบริหารจัดการเดินระบบบำบัดจาก ๒๕ ปี เป็น ๑๕ ปี เพื่อเร่งถ่ายโอนภารกิจให้เทศบาลนครอ้อมน้อย ๑.๒ ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร และเทศบาลนครอ้อมน้อย ร่วมลงทุนในโครงการฯ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโครงการฯ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและสร้างความเป็นเจ้าของโครงการฯ โดยให้ อจน. เร่งเจรจาและจัดทำข้อตกลงเรื่องสัดส่วนการร่วมลงทุนกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาลนครอ้อมน้อยโดยเร็ว โดยเงินร่วมลงทุนดังกล่าว ให้หักจากเงินอุดหนุนประจำปีที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้งสอง ๑.๓ ให้ อจน. เร่งประสานเทศบาลนครอ้อมน้อยให้มีการตราเทศบัญญัติในการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ รวมทั้งจัดทำข้อตกลงกับเทศบาลนครอ้อมน้อยให้รับภาระค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งส่วนที่ไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย โดยต้องมีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนพร้อมทั้งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ๑.๔ ให้ อจน เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้จากการให้บริการจัดการน้ำเสียและเร่งสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนและโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่เพื่อลดการต่อต้านในการจัดเก็บค่าบริการและเพื่อลดภาระจากการพึ่งพาเงินงบประมาณแผ่นดิน และให้ อจน. จัดเตรียมแผนและดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ให้กับเทศบาลนครอ้อมน้อยในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของเทศบาลนครอ้อมน้อยให้พร้อมรับถ่ายโอนภารกิจได้ภายในระยะเวลาของโครงการฯ ๑.๕ ให้ อจน. ร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และกรมควบคุมมลพิษ ในการติดตามตรวจสอบและบังคับใช้พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมและป้องกันการลักลอบระบายมลพิษลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อขอความร่วมมือโรงงานอุตสาหกรรมในการจัดการน้ำเสียโรงงานและการชำระค่าบริการบำบัดน้ำเสีย ๒. เห็นควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุมัติโครงการ ให้เทศบาลนครอ้อมน้อยต้องรับผิดชอบในการสมทบเงินค่าใช้จ่ายในการเดินระบบและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย หากการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนได้ไม่เพียงพอ รวมทั้งให้มีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ ๓. สำหรับการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในระยะที่ ๒ หรือระยะต่อไป ให้พิจารณาจากความต้องการและความจำเป็นโดยพิจารณาจากความรุนแรงของปัญหาหรือปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อยเพียงใด หากปริมาณน้ำเสียมีมากขึ้นจึงค่อยพิจารณาขยายระบบต่อไป โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องในการดำเนินการบำบัดน้ำเสียและระยะเวลาในการก่อสร้าง ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดช่วงในการบำบัดน้ำเสีย |
||||||||||||||||||
2011 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 06/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๐๙๒.๐๑๘๖ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๕๖๖.๘๐๔๘ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๗.๔๗๓๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๒ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๑,๘๑๑.๑๑๐๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๔๙ จากยอดจัดสรร ๒. ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีอีกจำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการโดยให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้เพียง ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ยังมีส่วนราชการฯ ยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลาง รายการดังกล่าว เป็นวงเงิน ๘๙๖.๓๕๕๗ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
2012 | พิจารณาขยายระยะเวลาดำเนินการ "โครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก (ร้อยละ 0 3 ปี)" | กค | 06/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก (ร้อยละ ๐ ๓ ปี) ออกไปอีก ๖ เดือน จากเดิมสิ้นสุดระยะเวลายื่นคำขอกู้เงินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖ (วันทำการสุดท้ายของเดือน) และต้องทำนิติกรรมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้เสร็จสิ้นจากเดิมภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นภายในวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ (วันทำการสุดท้ายของเดือน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารอาคารสงเคราะห์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เห็นควรจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการดำเนินโครงการต่าง ๆ ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และการให้สินเชื่อแก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการบ้านเอื้ออาทรที่มีความพร้อมโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองหลักเป็นประกันกับธนาคาร ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
2013 | การดำเนินโครงการนำร่องระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน | พณ | 02/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบมติที่ประชุมคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน ครั้งที่ ๒๖ เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ที่ให้ขยายเวลาเป้าหมายที่อาเซียนจะเริ่มต้นดำเนินระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองในภูมิภาค จากเดิมภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และเห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน โครงการที่ ๑ (ซึ่งมีภาคี ๔ ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย) ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการให้ความเห็นชอบของไทยต่อการขยายระยะเวลาโครงการนำร่องฯ โครงการที่ ๑ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ต่อเลขาธิการอาเซียน ก่อนวันสิ้นสุดอายุโครงการฯ ในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้นำเสนอบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของภาคีสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน โครงการที่ ๒ โดยมีเอกสารภาคผนวกระเบียบปฏิบัติในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแนบบันทึกความเข้าใจฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนที่ไทยจะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันสำหรับการภาคยานุวัตรเป็นภาคีสมาชิกของบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการติดตามและประเมินผลโครงการนำร่องฯ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและแก้ไขปัญหาอุปสรรค เพื่อให้การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจถึงความแตกต่างของระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของโครงการที่ ๑ ซึ่งให้ทั้งผู้ผลิตและผู้ประกอบการค้าขอรับอนุญาตรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง และโครงการที่ ๒ ซึ่งให้เฉพาะผู้ผลิตเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ และสามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
2014 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 02/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) และให้รัฐมนตรีและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการ/รายการที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๙๐๔.๖๖๒๐ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๕๔๙.๓๓๑๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๒๖.๙๓๑๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๒ ผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๑,๒๕๗.๔๙๖๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๒๓ จากยอดจัดสรร ๒. ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง ส่วนมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้เพียง ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางฯ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการ/รายการ ให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนก่อนวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ พบว่า มีส่วนราชการฯ ยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางรายการดังกล่าวเป็นวงเงิน ๕๔๓.๐๗๔๒ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
2015 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๘๒๐.๑๖๗๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓.๕๒๒.๔๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๙.๐๖๗๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๒ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๑๐๐,๘๙๙.๑๐๒๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๔.๙๒ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนทั้งสิ้น ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๕,๗๒๙.๕๙๘๕ ล้านบาท คงเหลือเงินส่งคืนที่ยังไม่ได้มีการอนุมัติ จำนวน ๒๘๐.๘๕๑๘ ล้านบาท เมื่อรวมกับวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่จะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกทั้งสิ้น ๕๔๐.๗๙๑๘ ล้านบาท ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้ตรวจสอบข้อมูลการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางฯ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการ/รายการ ให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืน พบว่ามีส่วนราชการฯ ยังมิได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณกลางรายการดังกล่าวเป็นวงเงิน ๖๒๖.๗๖๑๙ ล้านบาท ๒. เห็นชอบให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการฯ ภายใต้กำกับที่มีโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางฯ เร่งดำเนินการจัดทำรายละเอียดให้แล้วเสร็จพร้อมขอรับการจัดสรรงบประมาณโครงการ/รายการดังกล่าว มายังสำนักงบประมาณโดยด่วน
|
||||||||||||||||||
2016 | การพิจารณาโครงการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันออก | นร11 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการการพิจารณาโครงการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันออก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ จังหวัดชุมพร ได้แก่ โครงการป้องกันน้ำท่วมและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในเขตทางหลวง [ทางหลวงหมายเลข ๔๑ (AH18) บริเวณใกล้สะพานแม่น้ำสวี] วงเงิน ๔๕ ล้านบาท โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ และโครงการป้องกันน้ำท่วม และเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในเขตทางหลวง [ทางหลวงหมายเลข ๔๑ (AH18) บริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรทุ่งตะโก] วงเงิน ๑๕ ล้านบาท ๑.๒ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แก่ โครงการบริหารจัดการน้ำ (แก้มลิงพรุค้อ) วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างแก้มลิงพรุกง วงเงิน ๓๖ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างแก้มลิงพรุคลองช้าง พร้อมอาคารประกอบ อำเภอบ้านนาเดิม วงเงิน ๑๙ ล้านบาท โดยให้กรมชลประทานตรวจสอบสภาพพื้นที่ที่จะดำเนินการขุดลอกและปรับแผนดำเนินการให้เหมาะสม โดยให้ชุมชนเข้ามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ ๑.๓ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ โครงการขุดลอกคลองหัวตรุด ตำบลท่าไร่ ตำบลปากนคร อำเภอเมือง วงเงิน ๓๒.๙ ล้านบาท โครงการประตูระบายน้ำควนกรด ตำบลควนกรด อำเภอทุ่งสง วงเงิน ๔๗.๗ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองท่าซัก ตำบลท่าซัก อำเภอเมือง โดยในส่วนของโครงการขุดลอกคลองท่าซัก ให้กรมชลประทานศึกษารายละเอียดความเหมาะสมก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อพิจารณาต่อไป ๒. สำหรับโครงการในพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นพรุหรือแหล่งซับน้ำ ซึ่งหากมีการขุดลอกหรือสูบน้ำออกจากพื้นที่ดังกล่าวอาจเกิดผลเสียและมีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ให้ กบอ. ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาทบทวนและปรับปรุงการดำเนินโครงการให้เหมาะสมต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
2017 | ผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเซีย (Asia Cooperation Dialogue - ACD) ครั้งที่ 1 | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue-ACD) ครั้งที่ ๑ ที่รัฐคูเวต เมื่อวันที่ ๑๖-๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. ไทยในฐานะผู้ประสานงาน ACD ได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกดำเนินการร่วมกันเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของเอเชีย และเสนอให้มีการจัดทำ Blueprint on Enhanced Infrastructure Connectivity เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายการคมนาคมและสร้างเสริมความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน พร้อมทั้งได้เสนอเป็นเจ้าภาพจัดการหารือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานของ ACD เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒. คูเวตได้เสนอให้มีการระดมทุน จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านโลจิสติกส์ ด้านอาหารและพลังงานในประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย โดยจะจัดสรรเงินทุนให้ จำนวน ๓๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) ซึ่งประเทศไทยในฐานะผู้ประสานงานกรอบความร่วมมือ ACD จะต้องประสานงานกับประเทศคูเวตเพื่อกำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขในการจัดสรรเงินทุนดังกล่าว ๓. ไทยเสนอเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำ ACD ในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘) ๔. การหารือทวิภาคี ๔.๑ คูเวต สนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นอย่างมาก โดยจะมาลงทุนในตลาดการท่องเที่ยวของประเทศไทย และเสนอให้ใช้การประชุมคณะกรรมการร่วม (Joint Committee : JC) เป็นกลไกในการหารือร่วมกัน ซึ่งการประชุมครั้งแรกประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ ได้มอบให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการเรื่องดังกล่าวต่อไป ๔.๒ ศรีลังกา สนใจในการดำเนินโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และเนื่องจากในปีหน้าจะครบ ๒๖๐ ปี ของการก่อตั้งพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ขึ้นในประเทศศรีลังกา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญดังกล่าว จึงมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดต่อไป ๔.๓ ทาจิกิสถาน เป็นประเทศที่เป็นตลาดใหม่ของไทย โดยเน้นเรื่องความมั่นคงทางอาหารและการท่องเที่ยว ๔.๔ อิหร่าน ให้ความสำคัญกับการหารือการค้าในรูปของ Barter Trade ๔.๕ ปากีสถาน เป็นประเทศที่มีประชากรมาก ควรขยายความร่วมมือในหลายด้าน เช่น ทางการค้า การพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน รถยนต์ อาหาร และอัญมณี เป็นต้น ๔.๖ ในประเด็นการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ประเทศสมาชิก ACD หลายประเทศ เช่น คูเวต ปากีสถาน และอิหร่าน ยินดีให้ความร่วมมือดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ องค์การการประชุมอิสลาม (Organization of the Islamic Conference : OIC)
|
||||||||||||||||||
2018 | โครงการแนวร่วมดูแลคูคลอง "รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง" | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ให้ชัดเจนทั่วถึง และให้เพิ่มมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการ ตลอดจนการอบรมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอ ๒. ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดถึงภาคเอกชนและชุมชนต่าง ๆ ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” โดยให้แต่ละหน่วยงานแจ้งผลการดำเนินการไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยนำแนวทางการดำเนินโครงการนี้ไปปรับใช้กับการดูแลรักษาคูคลองต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยประสานงานและขอความร่วมมือให้กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนและร่วมดำเนินการให้บรรลุผลอย่างยั่งยืน ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) รับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลรักษาคูคลองให้อยู่ในสภาพดี รวมทั้งสนับสนุนให้มีการตกแต่งคูคลองให้เรียบร้อยสวยงาม เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||
2019 | โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี | มท | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุนรวม ๑,๐๙๔ ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ในประเทศ ๘๒๐ ล้านบาท และเงินรายได้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) วงเงิน ๒๗๔ ล้านบาท และให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๘๒๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการฯ โดยให้ กฟภ. ดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เห็นควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้รัฐวิสาหกิจในสังกัดของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของโครงการฯ และลดความซ้ำซ้อนในการลงทุน สำหรับในขั้นตอนการวิเคราะห์ผลตอบแทนของโครงการฯ ยังไม่ได้รวมถึงรายได้อื่น เช่น การให้เช่าสายเคเบิลใต้น้ำ เนื่องจากไม่ได้เป็นภารกิจหลักของ กฟภ. อีกทั้งยังเป็นรายรับที่ไม่แน่นอน ซึ่งในระยะต่อไปหากมีผู้มาขอเช่าใช้ประโยชน์จากสายเคเบิลใต้น้ำจะทำให้ผลตอบแทนทางการเงินเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในบริเวณแนวสายเคเบิลใต้น้ำ และพื้นที่ใกล้เคียงน้อยที่สุด และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อแนวปะการังอย่างเคร่งครัด ไปดำเนินการด้วย ๒. เห็นชอบการผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศในการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ทั้งนี้ ให้ กฟภ. หารือกับสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม และให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในบริเวณแนวสายเคเบิลใต้น้ำและพื้นที่ใกล้เคียงให้มากที่สุด |
||||||||||||||||||
2020 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 7/2555 | นร11 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และเห็นชอบตามมติที่ประชุม กรอ. โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษารายละเอียดและความเหมาะสมในการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางเพื่อทำหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร รวมทั้งมาตรการและสิทธิพิเศษเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากพืชปาล์มน้ำมันไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ และเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ ให้พิจารณาในรายละเอียดโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามระเบียบและขั้นตอน ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายป่าไม้ยุโรป (EU FLEGT) และเร่งรัดการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย รับข้อเสนอการเร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าภาคใต้ ทุ่งสง ไปศึกษารายละเอียดด้านการจัดการธุรกิจ ผู้บริหารโครงการและการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมในโครงการ เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๑.๔ ให้กระทรวงพลังงานศึกษาในรายละเอียดข้อเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนการพัฒนาโรงงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวลเพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าทดแทนและลดมลภาวะของเสียในโรงงานให้ครอบคลุมมาตรการที่ภาคเอกชนเสนอ ๒. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการบำรุงรักษาทางและกิจกรรมฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นลำดับแรกให้สอดคล้องเหมาะสมกับวงเงินงบประมาณที่ได้รับ สำหรับการปรับปรุงถนนเพื่อขยายเป็น ๔ ช่องจราจร ให้กรมทางหลวงจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามเกณฑ์การขยายเพิ่มช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ส่วนการพัฒนาและปรับปรุงเส้นทางสายรองเลียบชายฝั่งอ่าวไทยเป็น ๔ ช่องจราจร ควรให้ความสำคัญในการใช้เป็นเส้นทางเพื่อการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวและการปรับปรุงเส้นทางเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการก่อสร้างท่าเรือรองรับการขนส่งและการท่องเที่ยวของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เพื่อเชื่อมโยงอ่าวไทย-อันดามัน โดยเร่งรัดการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของท่าเรือน้ำลึกเขาประจำเหียง อำเภอสวี จังหวัดชุมพร และศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าเรือที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และท่าเรือที่อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๓. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเร่งรัดแผนการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการแม่น้ำตรัง-ลุ่มน้ำตาปี-แม่น้ำชุมพร ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการแก้ปัญหาภัยแล้ง/น้ำท่วมของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยเสนอต่อ กบอ. ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำดี/น้ำดิบของเกาะสมุย และแจ้งผลการดำเนินงานให้ภาคเอกชนทราบ รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการบำบัดน้ำเสียในแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนนครขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๔. ข้อเสนอของ กกร./สทท. เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๔.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาความเหมาะสมของกลุ่มท่องเที่ยวมหัศจรรย์สองสมุทรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติพิจารณาประกาศเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยว พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขต ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ระเบิดหินเก่าที่รกร้างให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุง ๔.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพทางการแพทย์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภาคใต้ตอนบน ประกอบด้วยโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีแห่งที่ ๒ โครงการจัดตั้งศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และโครงการจัดตั้งสถาบันการแพทย์ชั้นสูง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภาคใต้ตอนบน เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน ๕. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุม กรอ.ภูมิภาค ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานฯ มารายงานให้ทราบเป็นระยะ ๖. รับทราบเรื่องอื่น ๆ ที่ กกร./สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเสนอเพิ่มเติม ๖.๑ การเร่งรัดกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ๖.๒ การผลักดันและสนับสนุนให้ บริษัท ปตท. จำกัด เข้ามาลงทุนสร้างสถานีบริการ NGV ที่สอดคล้องกับการขยายท่อก๊าซช่วงขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช-จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๖.๓ การเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ทันในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๖.๔ การพิจารณาทบทวนการขยายสิทธิให้นักลงทุนนอกภาคีอาเซียน (Non Party) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีบริการ (ASEAN Framework Agreement on Services) ๖.๕ การเร่งรัดการเจรจา Thai-EU FTA เพื่อให้มีผลบังคับใช้ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรักษาตลาดและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหภาพยุโรป ๖.๖ การดำเนินโครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้
|
.....