ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 107 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2121 - 2140 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2121 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 และ 2 รวม 8 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกาญจนบุรี วันที่ 20 พฤษภาคม 2555 | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดและจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ และ ๒ รวม ๘ จังหวัด (จังหวัดนครนายก กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกาญจนบุรี วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐๓ โครงการ วงเงินรวม ๓๓,๑๑๑.๔๙ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๖๐ โครงการ วงเงินรวม ๑,๐๔๑.๔๓ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๓ สำหรับแผนงาน/โครงการที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ และ ๒ เสนอในส่วนที่เหลือ ให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี และนำเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป เช่น โครงการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์เกษตร (Agricultural Science Park) วงเงิน ๓,๓๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อเสนอโครงการดังกล่าวไปศึกษาความเหมาะสมและดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โครงการพัฒนาวิชาชีพดนตรีสู่ความเป็นเลิศ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ วงเงิน ๗๖๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาโรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หัวหิน สู่ศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและถ่ายทอดนวัตกรรมทางสัตวแพทย์แห่งเอเชีย วงเงิน ๕๐๒ ล้านบาท ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป เป็นต้น ๑.๔ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม/เกษตร ได้แก่ ทรัพยากรน้ำ และเกษตรสิ่งแวดล้อม ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ได้แก่ ระบบขนส่งทางบก ระบบขนส่งทางอากาศ ระบบขนส่งทางน้ำและโลจิสติกส์ และระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว ด้านสังคม และด้านความมั่นคง ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามขั้นต่อไป ๒. สำหรับการดำเนินโครงการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูมะพร้าวและฟื้นฟูสวนมะพร้าว ซึ่งในส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้รับอนุมัติงบประมาณในวงเงิน ๒๔.๗๓ ล้านบาท นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักประสานการดำเนินงานกับจังหวัดในพื้นที่กลุ่มเสี่ยงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการทำงานให้เป็นระบบและไม่เกิดความซ้ำซ้อน และสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2122 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2555 | กษ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการ กนป. เสนอ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ มติ กนป. ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๕) เรื่อง การแต่งตั้งคณะทำงาน ๒ คณะ ผลการดำเนินโครงการการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มเพื่อพลังงานอย่างยั่งยืน และมติคณะอนุกรรมการน้ำมันพืชบริโภค เรื่อง การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันพืชปาล์ม เกี่ยวกับการคำนวณค่าวัตถุดิบน้ำมันปาล์มดิบ รายละเอียดค่าใช้จ่ายการผลิต และส่วนเหลื่อมการตลาดและกำไร ๒. ที่ประชุมมีมติให้กำหนดเกณฑ์การพิจารณาปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศ ๒ ระดับ และให้กระทรวงพาณิชย์ใช้ในการติดตามสถานการณ์น้ำมันปาล์มของประเทศ ได้แก่ ระดับปกติ ๑.๕ เท่าของความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบต่อเดือน (๒๐๒,๕๐๐ ตัน) ระดับเตือนภัย ๑.๒๕ เท่าของความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบต่อเดือน (๑๖๘,๗๕๐ ตัน) และระดับวิกฤต ต่ำกว่า ๑ เท่าของความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบต่อเดือน <= ๑๓๕,๐๐๐ ตัน) (ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยเดือนละ ๑๓๕,๐๐๐ ตัน เป็นฐานคำนวณ) ทั้งนี้ ให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มรายงานข้อมูลสต๊อกน้ำมันปาล์มให้กระทรวงพาณิชย์ทุก ๑๕ วัน ๓. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับการเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ปี ๒๕๕๕ ดังนี้ ๓.๑ กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) ให้เปิดตลาดนำเข้าทั้งปริมาณและอัตราภาษีตามข้อผูกพันคือ ปริมาณในโควตา ๔,๘๖๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๐ นอกโควตาร้อยละ ๑๔๓ การบริหารการนำเข้าให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มจัดสรร ๓.๒ กรอบการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ให้เปิดตลาดเสรีนำเข้าไม่มีโควตาภาษี อัตราภาษีร้อยละ ๐ ๓.๓ กรอบเขตการค้า FTA ๓.๓.๑ อาเซียน - จีน ปริมาณเปิดตลาดนำเข้าตามข้อผูกพัน WTO อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๐ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๓ ๓.๓.๒ ไทย - AUS - NZ เสรีนำเข้าและไม่มีโควตาภาษีอัตราภาษีนำเข้าร้อยละ ๐ โดยกรอบการค้า ไทย - ออสเตรเลีย มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๘ กรอบการค้า ไทย - นิวซีแลนด์ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ๓.๓.๓ ไทย - ญี่ปุ่น ปริมาณเปิดตลาดนำเข้าตามกรอบ WTO ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ - ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๙.๐๙ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๓ ๓.๓.๔ ไทย - เกาหลี ปริมาณเปิดตลาดนำเข้าตามกรอบ WTO อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๘.๘๙ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๓ ๓.๔ การบริหารการนำเข้าตามกรอบการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และกรอบเขตการค้า FTA ให้บริหารการนำเข้าเช่นเดียวกับกรอบ WTO ๓.๕ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังเพื่อทราบและดำเนินการต่อไป ๓.๖ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงพาณิชย์ประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยแนวทางดังกล่าวจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน และสอดคล้องกับโครงสร้างราคาน้ำมันปาล์มที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้นำผลการหารือเข้าพิจารณาในที่ประชุม กนป. ครั้งต่อ
|
|||||||||||||||||||||
2123 | โครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง โดยใช้มันเส้นตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2554/55 | พณ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ระบายมันเส้นจากสต็อกของรัฐบาลที่จำนำไว้ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อนำไปผลิตเอทานอล จำนวนประมาณ ๖๕,๐๐๐ ตัน ในราคาตันละ ๗,๙๔๗.๙๐ บาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งเป็นราคาตามที่คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังได้มีมติเห็นชอบไว้ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ สำหรับการชดเชยต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เป็นส่วนต่างของราคาให้ใช้เงินชดเชยส่วนต่างจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติม โดยให้กระทรวงพาณิชย์หารือในรายละเอียดกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วดำเนินการต่อไปได้ และรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดค่าชดเชยส่วนต่างราคาเอทานอลให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และหาแนวทางอื่นเพิ่มเติมในการระบายมันเส้นและแป้งมันจากสต็อก เช่น การส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศโดยตรง หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งทบทวนระดับราคาที่จะจำหน่ายให้สะท้อนต้นทุนการผลิตมันเส้นที่แท้จริง เพื่อไม่ให้การดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ประสบผลการขาดทุน ตลอดจนเร่งหาช่องทางระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่เก็บสต๊อกไว้ให้มีปริมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีการตรวจสอบสต๊อกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการรั่วไหลเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2124 | โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ 1 : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง | พน | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติมขอแก้ไขข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน จากเดิม “อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๗๔.๓ ล้านบาท” เป็น “อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๗๔.๓ ล้านบาท” โดยข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน มีดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ในวงเงินลงทุนจำนวน ๙,๘๕๐ ล้านบาท โดยดำเนินการปรับปรุงและขยายสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๑๕ แนวสายก่อน (รวม ๑๕ โครงการย่อย) และงานปรับปรุงและขยายสายส่งไฟฟ้าเบ็ดเตล็ด จำนวน ๑ โครงการย่อย รวมทั้งหมด ๑๖ โครงการย่อย ๑.๒ อนุมัติในหลักการเบิกจ่ายเงินงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๗๔.๓ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการพิจารณาจัดโครงสร้างทางการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของโครงการฯ ให้มีความเหมาะสม การบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสมรอบคอบและมีประสิทธิภาพ การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Environmental Impact Assessment : EIA) รวมทั้งการบริหารและควบคุมการดำเนินโครงการฯ ให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ประหยัดมากที่สุด การศึกษาทางเลือกสำหรับแนวสายส่งที่จะเสนอปรับปรุงในระยะต่อไป และการบูรณาการการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart grids) ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||
2125 | แนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย) | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการของแนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และการสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของเมียนมาร์ และให้คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน รับไปประกอบการพิจารณาจัดทำแผนงานและโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับเมียนมาร์ ๑.๑.๑ ระยะเร่งด่วน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนของโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย (โครงการทวายฯ) ได้แก่ ๑.๑.๑.๑ การสร้างความร่วมมือในลักษณะรัฐต่อรัฐเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการทวายฯ ของเมียนมาร์ โดยผลักดันให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเพื่อเป็นกรอบความร่วมมือระดับทวิภาคี ๑.๑.๑.๒ การเร่งเจรจากับทางการของเมียนมาร์เพื่อเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวและถาวรควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อม ณ จุดผ่านแดนบ้านพุน้ำร้อน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายคน และสินค้าข้ามแดนและผ่านแดนให้มีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง จัดระบบบริหารจัดการและตรวจปล่อยคนและสินค้า รวมถึงบูรณาการระบบเอกสารและกระบวนการให้บริการให้สอดคล้องกับระบบ National Single Window ๑.๑.๑.๓ การสนับสนุนนักลงทุนไทยไปลงทุนในเมียนมาร์ โดยเร่งออกมาตรการด้านการเงินและการลงทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศ จัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลและให้คำปรึกษาสำหรับนักลงทุนไทย และกำหนดมาตรการลดความเสี่ยงด้านการลงทุนและประกอบธุรกิจ ๑.๑.๑.๔ ความช่วยเหลือทางการเงินโดยรัฐบาลไทย โดยเร่งพิจารณาแนวทางการสนับสนุนเอกชนไทยในการพัฒนาโครงการทวายฯ ๑.๑.๒ ระยะปานกลางช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อกับเมียนมาร์จากบริเวณชายแดนไทย - เมียนมาร์อย่างเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย ระบบถนน รถไฟ สายส่งไฟฟ้า ท่อก๊าซและท่อน้ำมัน รวมทั้งการเตรียมการพื้นที่เศรษฐกิจ ๑.๒ การสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของเมียนมาร์ ๑.๒.๑ การบริการคมนาคมและขนส่ง โดยเฉพาะระบบถนนเชื่อมต่อระหว่างโครงการทวายฯ สู่ด่านพรมแดน รวมทั้งการวางแผนการปรับปรุงสนามบินทวาย การพัฒนาโครงข่ายถนนและรถไฟเชื่อมโยงระหว่างทวายและเมืองสำคัญในเมียนมาร์ และผลักดันการดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกการค้าและการขนส่งข้ามพรมแดนภายใต้แผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Sub-region Cooperation : GMS) เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ ๑.๒.๒ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาระบบบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนและระบบสถาบันการเงินตามมาตรฐานสากล เพื่อให้สามารถรองรับธุรกรรมด้านการเงินและการลงทุนขนาดใหญ่ได้ ๑.๒.๓ การวางแผนและยกระดับแรงงานชาวเมียนมาร์ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพให้สามารถรองรับการพัฒนาและขยายฐานการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการค้าของไทยในอนาคต ๑.๒.๔ การวางแผนระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ให้ความช่วยเหลือด้านการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการและการจัดการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติในการลงทุนพัฒนาท่าเรือและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย รวมทั้งบูรณาการแผนงานและโครงการที่เกี่ยวข้อง โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอเพิ่มเติม ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ จะต้องเป็นนโยบายระดับชาติที่ชัดเจนและเตรียมการให้เป็นระบบครบวงจร โดยเฉพาะเรื่องการจัดทำผังเมืองให้มีการจัดทำเขต (Zoning) ที่ชัดเจนทั้งเขตอุตสาหกรรมและชุมชน และระบบโครงข่ายคมนาคม รวมทั้งโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะลงทุนเพิ่มเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ควรดำเนินการด้วยความรอบคอบและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลตอบแทนทางตรงต่อระบบเศรษฐกิจที่ประเทศจะได้รับและผลตอบแทนอื่นของภาครัฐ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2126 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (ครั้งที่ 10) | วท | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) (ครั้งที่ ๑๐) ช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ - มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนนักเรียนห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของโครงการ วมว. จำนวน ๔ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔) รวม ๑๖ ห้องเรียน ใน ๗ โรงเรียน ประกอบด้วย ๑.๑ โรงเรียนที่เป็นมหาวิทยาลัย - โรงเรียนนำร่อง ๔ แห่ง โรงเรียนละ ๓ ห้อง ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โรงเรียนดรุณสิกขาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ๑.๒ โรงเรียน - มหาวิทยาลัยที่ขยายเพิ่มเติม ๓ แห่ง ประกอบด้วย โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จำนวน ๒ ห้องเรียน โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จำนวน ๑ ห้องเรียน และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์) - มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน ๑ ห้องเรียน ๒. จัดสัมมนาการดำเนินโครงการ วมว. ระยะที่ ๒ เพื่อระดมความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงาน และนำผลที่ได้มาจัดทำข้อเสนอโครงการ วมว. ระยะที่ ๒ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการต่อไป ๓. การติดตามและประเมินผลโครงการ วมว. ในส่วนของผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการบรรลุเป้าหมายของโครงการ พบว่า ผลสัมฤทธิ์โครงการ วมว. ในภาพรวมมีความโดดเด่นในด้านความร่วมมือของมหาวิทยาลัยกับโรงเรียน โดยสามารถใช้ทรัพยากรที่มีคุณค่าจากมหาวิทยาลัยในการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และแต่ละมหาวิทยาลัยมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านแตกต่างกันไป ๔. งบประมาณในการบริหารโครงการ วมว. ได้ใช้งบประมาณจากการบริหารโครงการ วมว. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๔๓๓,๖๔๐ บาท และใช้เงินกันเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๕๑๒,๖๖๕ บาท และจะดำเนินการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนแก่มหาวิทยาลัยในโครงการ วมว. จำนวน ๑๑๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท ในช่วงเปิดภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๕ (เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕)
|
|||||||||||||||||||||
2127 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นเงิน ๑๑๙,๕๐๓.๓๙๔ ล้านบาท มีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงพฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๐,๒๐๗.๘๙๓ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๕๗,๕๐๗.๙๗๒ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๓,๔๓๒.๐๖๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖.๓๕ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๙๔,๕๙๙.๗๕๕ ล้านบาท (ร้อยละ ๗๙.๑๖ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔,๔๙๘.๗๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔.๙๙ ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟู เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๔ จังหวัด เป็นเงิน ๔๔,๓๖๕.๒๕๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๕.๓๑ ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและการส่งคืนเงินงบประมาณ ๓.๑ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๔,๔๑๓.๐๔๓ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป ๓.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจรายงานสถานภาพของการดำเนินงาน ณ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ว่า ยังมิได้จัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนประกวดราคา จำนวน ๑๑ รายการ วงเงิน ๓๒๖.๓๗๗ ล้านบาท และงานดำเนินการเองที่ยังมิได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๖๘ รายการ วงเงิน ๔๔๖.๓๔๘ ล้านบาท รวมทั้งสิ้น ๗๙ รายการ วงเงิน ๗๗๒.๗๒๖ ล้านบาท ซึ่งอยู่ในข่ายที่ต้องส่งคืนงบประมาณ ๔. ข้อเสนอ ๔.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับ/เร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทำการแจ้งส่งคืน กรณีเงินงบประมาณเหลือจ่ายหรือคาดว่าจะเหลือจ่ายจากการลงนามสัญญาหรือการดำเนินการเองที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ภายในวันพุธที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๔.๒ กรณีเงินงบประมาณของโครงการ/รายการซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคาหรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ที่อยู่ในข่ายต้องส่งคืนงบประมาณ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทำการตรวจสอบ และหากต้องส่งคืนงบประมาณ ก็ให้แจ้งคืนมายังสำนักงบประมาณ ภายในวันพุธที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เช่นเดียวกัน เพื่อให้สำนักงบประมาณดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2128 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นเงิน ๑๑๙,๑๓๕.๖๐๗ ล้านบาท มีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงพฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๐,๖๑๓.๙๗๒ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๔,๐๗๕.๙๐๙ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๑,๔๑๕.๘๗๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒.๖๙ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๙๐,๑๐๑.๐๐๑ ล้านบาท (ร้อยละ ๗๕.๖๓ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓,๓๙๖.๗๘๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๙๒ ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๗๔ จังหวัด เป็นเงิน ๓๗,๐๙๓.๓๓๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๐๑
|
|||||||||||||||||||||
2129 | ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐมนตรีว่า การกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | พน | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ ขอบเขตของความร่วมมือด้านพลังงานลักษณะกว้าง ๆ ในหัวข้อดังต่อไปนี้ ๑.๑.๑.๑ การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานระหว่างสองประเทศเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกัน ๑.๑.๑.๒ การร่วมกันจัดเตรียมข้อเสนอแนะในประเด็นที่เกี่ยวกับด้านพลังงานสำหรับรัฐบาลของแต่ละฝ่ายเพื่อสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งด้านพลังงานระหว่างกัน ๑.๑.๑.๓ การส่งเสริมและสนับสนุนรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศในการดำเนินความร่วมมือในภาคพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนที่จำเป็นจากภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการดำเนินโครงการ ๑.๑.๑.๔ การแลกเปลี่ยนข้อมูลความร่วมมือด้านพลังงานและการประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาซึ่งอาจเกิดจากความร่วมมือด้านต่าง ๆ ๑.๑.๑.๕ การสนับสนุนให้เกิดการดำเนินงานตามความตกลงที่มีอยู่และที่จะมีขึ้นในอนาคตระหว่างสองประเทศ ๑.๑.๑.๖ การกำหนดสาขาความร่วมมือที่เป็นไปได้ตามความเห็นชอบของทั้งสองประเทศ ๑.๑.๒ การดำเนินงานเพื่อจัดตั้งเวทีความร่วมมือด้านพลังงานจะมีขึ้นตามโอกาสและเวลาที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกัน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ให้ความเห็นชอบในแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้ของบุคลากรและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในสาขาที่มีความสนใจและมีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยอาจเน้นด้านพลังงานทดแทนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาเทคโนโลยี การเตรียมความพร้อมที่จะรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุปสงค์ด้านพลังงานในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นภายหลังการจัดตั้งประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2130 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๙,๑๓๙.๗๕๓ ล้านบาท มีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงเมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๖๖,๖๓๓.๗๒๖ ล้านบาท ๑.๒ สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑.๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๒,๖๖๐.๐๓๔ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๒,๖๗๗.๐๗๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕.๓๖ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๘๖,๗๐๔.๒๒๐ ล้านบาท (ร้อยละ ๗๒.๗๘ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๙,๒๕๙.๘๑๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๙๖ ๑.๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๗๔ จังหวัด เป็นเงิน ๓๔,๖๑๔.๒๖๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๑.๙๖ ๑.๓ การยืนยันหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ และการส่งคืนเงินงบประมาณ ๑.๓.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทำการยืนยันหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณมายังสำนักงบประมาณ จำนวน ๓๖ หน่วยงาน (จากทั้งหมด ๖๖ หน่วยงาน) เป็นเงิน ๔๗,๔๐๑.๖๒๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๗๙ ของวงเงินจัดสรร ๑.๓.๒ ส่วนราชการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่าย จำนวน ๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๘๔.๘๑๖ ล้านบาท ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีหนังสือแจ้งเงินเหลือจ่ายจากการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๒,๗๕๖.๐๐๕ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป ๑.๓.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณ ยังไม่มีส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจแจ้งคืนเงินงบประมาณมายังสำนักงบประมาณ ๑.๔ ข้อเสนอ ๑.๔.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับ/เร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทำการยืนยันหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ และส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายหรือคาดว่าจะเหลือจ่ายจากการลงนามสัญญาและการดำเนินการเองที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ๑.๔.๒ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับ/เร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจแจ้งส่งคืนเงินงบประมาณของโครงการ/รายการซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ มายังสำนักงบประมาณให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒. เห็นชอบให้รัฐมนตรี ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยให้เร่งแจ้งยืนยันข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงบประมาณให้แล้วเสร็จโดยด่วนภายใน ๑ สัปดาห์ ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปกำชับและเร่งรัดการดำเนินการในส่วนของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ประสานสำนักงบประมาณในการรวบรวมข้อมูลในภาพรวมทั้งหมดเพื่อรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2131 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี โครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี 2554/55 | พณ | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง โครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕) จากเดิม “อนุมัติในหลักการโครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการ ให้กระทรวงพาณิชย์ตกลงในรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์รายงานข้อมูลการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมันและโรงแป้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายมันเส้นและแป้งมันจากสต๊อกของรัฐบาลที่รับจำนำไว้ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ด้วย และเมื่อจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังดังกล่าว ให้กระทรวงพาณิชย์นำข้อมูลราคาจำหน่ายเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการจำหน่าย และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการด้วย” เป็น “อนุมัติในหลักการโครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สำหรับวงเงินหมุนเวียนรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมันและโรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้องค์การคลังสินค้ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท จากวงเงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ไปใช้ดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ตกลงในรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายมันเส้นและแป้งมันที่แปรสภาพจากหัวมันสดที่รับจำนำจากเกษตรกรตามโครงการฯ โดยเร็ว โดยให้รายงานผลการดำเนินการระบายและผลกำไรขาดทุนให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่องทุกเดือนจนสิ้นสุดโครงการฯ” ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการที่กระทรวงการคลังจะขอค้ำประกันเงินกู้เฉพาะการกู้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยไม่ต้องค้ำประกันการกู้เงินของหน่วยงานที่มาขอกู้ต่อจาก ธ.ก.ส. และหากสามารถดำเนินการได้ตามแนวทางดังกล่าวก็ให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
2132 | สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง | ทส | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์การปนเปื้อนสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด และมาตรการในการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์การปนเปื้อนสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ได้เกิดเพลิงไหม้และการระเบิดขึ้นบริเวณโรงงาน บริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ จำกัด นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยหน่วยการผลิตที่มีการใช้สารโทลูอีน (toluene) ในการล้างถัง จนเกิดการระเบิดและเพลิงไหม้ รวมทั้งมีการรั่วไหลของสารพิษและควันดำสู่บรรยากาศ โดยมีคนงานเสียชีวิต ๑๒ ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก และเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ได้เกิดกรณีฉุกเฉินจากอุบัติเหตุการปิดวาล์วสารโซเดียมไฮโปคลอไรด์ (สารฟอกขาว) จากโรงงานอดิตยา เบอร์ล่า เคมีคัลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้เกิดก๊าซคลอรีนรั่วไหลออกสู่สิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่ใต้ลมในแคมป์คนงานบริเวณใกล้เคียงกว่า ๑๔๐ ราย และนอกสังเกตอาการที่โรงพยาบาล ๑๒ ราย โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ๑.๒ มาตรการในการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาทิ การจัดประชุมเพื่อตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ทั้งน้ำ อากาศ และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ การดำเนินการทบทวนแผนปฏิบัติการฉุกเฉินและเตือนภัยจากสารพิษในระดับพื้นที่และชุมชน การจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อแปรผลข้อมูลคุณภาพอากาศและเผยแพร่สู่ชุมชน การเตรียมความพร้อมและซักซ้อมการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการในระดับต่าง ๆ การดำเนินโครงการจัดทำทำเนียบการปลดปล่อยและการเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Registers, PRTR) ในการดำเนินการจัดทำทะเบียนการปลดปล่อยมลพิษ และการฝึกอบรมการสื่อสารความเสี่ยงเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนในพื้นที่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการดำเนินโครงการฯ การตรวจสอบการควบคุมและการป้องกันการรั่วไหลของสารมลพิษประเภทสารอินทรีย์ระเหยง่ายในโรงงานเป้าหมายที่มีการเก็บ การใช้ และการปลดปล่อยสารอินทรีย์ระเหยง่าย รวมทั้งการควบคุมดูแลการระบายมลพิษ เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการตรวจสอบการออกใบอนุญาตประกอบกิจการอุตสาหกรรมของโรงงานที่ก่อให้เกิดเหตุก๊าซคลอรีนรั่วไหลในครั้งนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เนื่องจากโรงงานดังกล่าวได้เคยเกิดเหตุในทำนองเดียวกันมาแล้วครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น เพื่อทบทวนมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งที่ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมและนอกเขตนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งมาตรฐานความปลอดภัยของพนักงานที่ปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยต้องจัดให้มีแผนประเมินความเสี่ยง แผนการฝึกซ้อมการเผชิญเหตุ และแผนการอบรมพนักงานให้มีความพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน และให้มีการทบทวนใบอนุญาตของโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มาตรฐานทุก ๆ ๓ เดือน ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เป็นต้น เพื่อดำเนินการจัดตั้งศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด (single command) ขึ้น โดยให้มีการบูรณาการแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในทุก ๆ ด้านไว้ด้วยกัน และให้ศูนย์บัญชาการดังกล่าวเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ามาติดต่อสอบถามข้อมูล และได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และให้ส่วนกลางสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2133 | การแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง | นร | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีบางท่านลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าตามตลาดต่าง ๆ รอบกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้รับรายงานโดยสรุปพบว่าในภาพรวมราคาสินค้ามีทั้งที่มีราคาสูงขึ้นและมีราคาลดลงตามสถานการณ์และฤดูกาล สินค้าที่มีราคาสูงขึ้นส่วนใหญ่ ได้แก่ อาหารปรุงสำเร็จและพืชผัก เช่น มะนาว คะน้า เป็นต้น ส่วนสินค้าที่มีราคาลดลง เช่น เนื้อสุกร เนื้อไก่ กุ้ง ปลาหมึก และไข่ไก่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีสินค้าบางชนิดที่มีการปรับราคาสูงขึ้นตั้งแต่ในช่วงที่เกิดเหตุอุทกภัยที่ผ่านมาแล้ว และยังไม่มีการปรับลดลงแต่อย่างใด ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อจัดทำตารางเปรียบเทียบราคาสินค้าแต่ละประเภทตามช่วงฤดูกาล และวางแผนการบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรในฤดูกาลต่าง ๆ เอาไว้ล่วงหน้าให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งการดำเนินการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อป้องกันผลผลิตเน่าเสียและล้นตลาดด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ติดตามดูแลและควบคุมราคาสินค้าแต่ละรายการในความรับผิดชอบให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ๓. ให้รัฐมนตรีที่ยังไม่ได้รับมอบหมายให้ลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าตามตลาดต่าง ๆ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าตามตลาดในสัปดาห์นี้ด้วย โดยให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำตารางกำหนดการลงพื้นที่ดังกล่าว และแจ้งให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินโครงการจัดจำหน่ายสินค้าราคาถูกเพื่อเป็นทางเลือกและช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน โดยขอความร่วมมือในการดำเนินโครงการในด้านสินค้าและสถานที่จัดงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2134 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นเงิน ๑๑๘,๕๗๑.๘๑๔ ล้านบาท มีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงเมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๖๖,๖๓๓.๗๒๖ ล้านบาท ๑.๒ สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑.๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๙,๙๘๒.๙๖๑ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๒,๕๒๒.๖๒๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕.๓๑ โดยส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๗๗,๔๔๔.๔๑๐ ล้านบาท (ร้อยละ ๖๕.๓๑ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕,๑๕๗.๔๑๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๑๓ ๑.๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๗๔ จังหวัด เป็นเงิน ๓๔,๒๕๔.๐๔๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๑.๔๑ ๑.๓ การยืนยันหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕) ๑.๓.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทำการยืนยันหรือปรับแผนฯ มายังสำนักงบประมาณ จำนวน ๒๔ หน่วยงาน (จากทั้งหมด ๖๖ หน่วยงาน) เป็นเงิน ๒๖,๒๖๐.๔๒๗๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๒.๑๖ ของวงเงินจัดสรร ๑.๓.๒ ยังไม่มีส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจรายงานงบประมาณเหลือจ่ายหรือคาดว่าจะเหลือจ่ายจากการลงนามสัญญาและการดำเนินการเองที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เพื่อดำเนินการจัดสรรงบประมาณคืนสำนักงบประมาณ ๒. เห็นชอบ ๒.๑ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีโครงการ/รายการซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ แจ้งส่งคืนงบประมาณรายการดังกล่าวให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๒.๒ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฯ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ในระบบรายงานแผน/ผลของสำนักงบประมาณ ทั้งในมิติส่วนราชการ (Function) และมิติพื้นที่ (Area) ให้ครบถ้วน โดยรายงานผ่าน “ระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย” ทาง website สำนักงบประมาณ www.bb.go.th
|
|||||||||||||||||||||
2135 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2555 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐ โครงการ วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๔,๙๒๔.๐๒๔ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ประกอบด้วย ๑.๑ โครงการที่มีแหล่งเงินรองรับการดำเนินโครงการ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายระบบประปาภูเก็ต และสามพราน วงเงินลงทุน ๗๗๔.๐๐๘ ล้านบาท ให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) เพื่อลงทุนโครงการ โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ๑.๒ โครงการที่ยังไม่มีแหล่งเงินรองรับ และไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑๘ โครงการ วงเงินรวม ๔,๑๕๐.๐๑๖ ล้านบาท โดยให้ กปภ. บรรจุไว้ในกรอบแผนการลงทุนระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) เพื่อให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปี ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางเลือกเพิ่มเติมในการดำเนินโครงการพัฒนาปี ๒๕๕๕ ของ กปภ. ได้แก่ การพิจารณาปรับโครงสร้าง และอัตราค่าน้ำประปาที่สะท้อนต้นทุนในแต่ละพื้นที่ และที่เป็นธรรมต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ให้บริการ การบูรณาการฐานข้อมูลตั้งแต่ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีผู้ใช้น้ำ การจัดทำแผนที่แหล่งน้ำ การจัดทำแผนที่ระบบท่อประปาเดิม และแผนที่ระบบท่อประปาที่จะวางแนวท่อบริการใหม่ให้สอดคล้องกัน การประเมินผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานของ กปภ. โดยใช้แหล่งอ้างอิงจากผลการดำเนินงานของบริษัทประปาต่างประเทศที่มีระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำประปาของ กปภ. และพิจารณาความคุ้มค่าจากการลงทุนทางด้านการเงิน โดยการควบคุมค่าใช้จ่ายการผลิตและเพิ่มรายได้จากการให้การบริการ และลดอัตราการสูญเสียน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยประสานความร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาโครงสร้างการบริหารกิจการการประปาของประเทศในภาพรวม การผลักดันการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลกิจการประปาของประเทศเพื่อกำหนดมาตรฐานประกอบกิจการประปา โครงสร้างและอัตราค่าบริการ และการติดตามและเร่งปรับลดการใช้น้ำบาดาลของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่ กปภ. สามารถขยายเขตการให้บริการน้ำประปาทดแทนได้แล้ว ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2136 | ขอเปลี่ยนชื่อโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่และแต่งตั้งคณะกรรมการทำหน้าที่บริหารโครงการดังกล่าว | ศธ | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเพิ่มเติมว่า การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการผลิตครูมืออาชีพ กระทรวงศึกษาธิการ ควรพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าร่วมโครงการโดยเน้นในเรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ มีจิตวิญญาณของความเป็นครูที่แท้จริง เอื้ออาทรต่อเด็กนักเรียน สามารถจัดการเรียนการสอนในแนวใหม่โดยยึดเด็กนักเรียนเป็นศูนย์กลาง มีการเปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนได้แสดงออกซึ่งความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นของเด็กนักเรียนด้วย ๒. เห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ เป็น “โครงการผลิตครูมืออาชีพ” และแต่งตั้งคณะกรรมการทำหน้าที่บริหารโครงการครูมืออาชีพ เพื่อเป็นกลไกในการบริหารและขับเคลื่อนการดำเนินโครงการให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ จำนวน ๒ ชุด คือ คณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูมืออาชีพ และคณะกรรมการคัดเลือกสถาบันฝ่ายผลิตและนักศึกษาทุนโครงการผลิตครูมืออาชีพ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของนายกรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดรายละเอียดกระบวนการ วิธีการ ขั้นตอนการดำเนินงานโครงการผลิตครูมืออาชีพให้มีความชัดเจน เช่น แผนการดำเนินงาน หลักเกณฑ์ ขั้นตอนการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสถาบันฝ่ายผลิต และนักเรียน/นักศึกษา เงื่อนไขและข้อผูกพันสำหรับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกรับทุน เป็นต้น รวมทั้งควรเร่งประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการให้มีความครอบคลุม ทั่วถึง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจการดำเนินโครงการ และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2137 | รายงานผลการพิจารณากรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | กค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษางานระบบรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่ได้พิจารณาแล้วตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลัง เป็นวงเงิน ๖๖๕,๔๔๑,๕๐๐ บาท ประกอบด้วย ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ (PMC) วงเงิน ๒๖๕,๓๙๙,๐๐๐ บาท และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า (MESC) จำนวน ๔๐๐,๐๔๒,๕๐๐ บาท ซึ่งต่ำกว่ากรอบวงเงินที่กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓,๕๕๘,๕๐๐ บาท ๑.๒ เห็นชอบให้ รฟม. กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลัง โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณากู้เงินในประเทศและให้กู้เงินต่อแก่ รฟม. สำหรับค่าจ้างที่ปรึกษางานระบบรถไฟฟ้าฯ เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกับค่าจ้างที่ปรึกษางานโยธา โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่แหล่งเงินกู้โดยตรง และเมื่อ รฟม. มีรายได้จากการเดินรถไฟฟ้าในอนาคต เห็นควรให้นำเงินรายได้ดังกล่าวมาชำระเงินลงทุนในส่วนนี้คืนให้แก่รัฐบาล เพื่อให้เป็นไปตามหลักการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ (เรื่อง โครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ซึ่งรัฐบาลรับภาระการลงทุนเฉพาะในส่วนค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานงานโยธาเท่านั้น ๑.๓ ให้ รฟม. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการในขั้นตอนการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อให้เกิดความรอบคอบใน ๓ ประเด็น คือ พิจารณาจำนวน Man - Month ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินโครงการ พิจารณาอัตราค่าตอบแทนบุคลากรให้เป็นไปตามแนวทางการใช้อัตราค่าตอบแทนที่ปรึกษาของศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทย กระทรวงการคลัง และหลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ และให้ รฟม. ดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาให้เป็นไปอย่างประหยัดและถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องของทางราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานเพื่อให้การเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชำระหนี้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ยในอนาคตเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้ เห็นควรเร่งจัดทำแผนพัฒนาเชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้าและตัวรถไฟฟ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินดังกล่าว โดยการจัดทำแผนควรมีความชัดเจนในเรื่องการใช้ประโยชน์พื้นที่ รูปแบบการพัฒนาธุรกิจและกลยุทธ์ทางการตลาด รวมทั้งประมาณการรายรับและรายจ่ายจากการดำเนินการตามแผนธุรกิจดังกล่าวเพื่อเพิ่มรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของ รฟม. และลดภาระในการสนับสนุนทางการเงินของภาครัฐต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องตัว กระทรวงคมนาคมควรประสานงานและหารือแนวทางหรือปัญหาอุปสรรคอันอาจจะเกิดขึ้นร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นการล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเตรียมการงบประมาณและแหล่งเงินรองรับโครงการ ทั้งนี้ ในการกำหนดรายละเอียดสายทางของโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการเชื่อมต่อกับสายทางของโครงการอื่นและเครือข่ายการขนส่งต่าง ๆ ทั้งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
2138 | โครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี 2555 | กษ | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี ๒๕๕๕ โดยการรับซื้อสับปะรดสดส่วนเกินในจังหวัดแหล่งผลิต จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัน เพื่อนำออกนอกระบบปกติ แล้วนำไปทำอาหารสัตว์ ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ และแปรรูปเป็นสับปะรดกระป๋อง กำหนดระยะเวลาดำเนินการ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ระยะเวลาโครงการ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ - ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ประธานกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติเสนอ และอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ในฐานะประธานกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรให้ความเห็น โดยให้ดำเนินการเฉพาะในส่วนการรับซื้อสับปะรดสดเพื่อการแปรรูป ดังต่อไปนี้
๑. ค่าใช้จ่ายเป็นค่ารับซื้อผลผลิตสับปะรดสดส่วนเกินในราคาสับปะรดคละ ณ จุดรับซื้อกิโลกรัมละ ๔ บาท ในวงเงินไม่เกิน ๘๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากเงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต่อไป โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวให้เป็นไปในทำนองเดียวกันกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโครงการอื่น ๆ ๒. ค่าใช้จ่ายเป็นค่าจ้างผลิตสับปะรดสดที่รับซื้อตามข้อ ๑ เป็นสับปะรดกระป๋องเพื่อระบายจำหน่ายต่อไป ประกอบด้วย ค่าจัดจ้างแปรรูป ค่าเช่าคลัง ค่าขนส่งในการระบายสินค้า ค่าประกันภัยสินค้า รวมทั้งการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าให้ได้มาตรฐาน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการชี้แจงโครงการฯ และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการฯ ในวงเงินรวมไม่เกิน ๖๗๔ ล้านบาท และให้ใช้จ่ายโดยถัวจ่ายกันได้และเป็นเงินจ่ายขาดเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามวงเงินที่ใช้จ่ายจริง โดยให้กระทรวงพาณิชย์ โดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการโครงการฯ ต่อไป ทั้งนี้ ให้สอดคล้องกับปริมาณสับปะรดและระยะเวลาดำเนินการจริงที่ปรับลดลงเป็นตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕) และระยะเวลาโครงการฯ เป็นตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ - ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการระยะยาวในการปรับโครงสร้างการผลิตและการค้าสับปะรด พร้อมไปกับการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าสับปะรดไทย เพื่อสร้างความมั่นคงแก่เกษตรกรอย่างยั่งยืนและลดความจำเป็นของโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดในอนาคต และควรให้ความสำคัญกับการกระจายการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยอย่างทั่วถึง เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากราคาสับปะรดตกต่ำ และไม่มีพันธะสัญญากับโรงงานแปรรูป รวมทั้งควรมีการศึกษาแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์สับปะรดต่าง ๆ ของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อใช้ในการวางแผนการผลิตและการพัฒนาอุตสาหกรรมสับปะรด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบและเร่งดำเนินการจำหน่ายสับปะรดกระป๋องที่ผลิตได้จากโครงการฯ โดยให้ประมาณการรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเสนอคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและคณะรัฐมนตรีทราบตามลำดับ และให้นำรายได้จากการจำหน่ายสินค้าดังกล่าวส่งคืนคลังเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดำเนินการเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่กำหนดกรอบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการรับซื้อ ตลอดจนการจัดทำแผนการใช้เงิน การเบิกจ่ายเงิน รวมทั้งจัดทำแผนการระบายจำหน่ายสับปะรดกระป๋อง เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยต่อไป และรายงานความคืบหน้าในการดำเนินโครงการฯ ให้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและคณะรัฐมนตรีทราบทุก ๆ เดือน จนสิ้นสุดโครงการฯ |
|||||||||||||||||||||
2139 | การปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักการปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ดังนี้ ๑.๑.๑ ปรับปรุงเงื่อนไขการดำเนินงานโครงการพักหนี้ฯ ที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แล้ว โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ร่วมโครงการพักหนื้ฯ ซึ่งมีลูกหนี้ที่ต้องเข้ากระบวนการฟื้นฟูศักยภาพต้องเร่งรัดการจัดทำแผนฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้และเริ่มฟื้นฟูลูกหนี้อย่างเป็นรูปธรรมภายหลังสิ้นสุดการรับยื่นแบบแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ ตามแผนงานที่คณะทำงานฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้โครงการพักหนี้ฯ กำหนด พร้อมจัดทำแผนการชำระหนี้ใหม่ร่วมกับลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้เริ่มชำระหนี้คืนได้หลังจาก ๑๒ เดือนนับแต่วันที่สิ้นสุดการฟื้นฟูลูกหนี้แต่ละราย หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ตามแผนชำระหนี้ใหม่ได้ หรือไม่สามารถแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดีขึ้นจากก่อนเข้าโครงการ ลูกหนี้ดังกล่าวจะยังคงมีสถานะเป็นลูกหนี้พักหนี้ในโครงการพักหนี้ฯ แต่รัฐบาลจะไม่ต่อระยะเวลาชดเชยต้นทุนเงินสำหรับการพักหนี้ในอัตราร้อยละ ๔ ต่อปี ๑.๑.๒ ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการซึ่งได้รับการชดเชยต้นทุนเงินจากรัฐบาลในอัตราร้อยละ ๔ ต่อปี สามารถนำเงินชดเชยที่ได้ไปขยายการให้สินเชื่อพัฒนาภาคเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีการขยายวงเงินสินเชื่อใหม่สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากเงินชดเชยที่ได้รับ ๑.๑.๓ ขยายกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มเติมรูปแบบการช่วยเหลือ โดยเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สถานะปกติของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) เข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ โดยมีคุณสมบัติคือ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ และมีสถานะหนี้ปกติ ณ วันที่มายื่นความจำนงเข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ ต้องไม่เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อ/ลิสซิ่ง และสินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้ประจำ และต้องไม่เป็นลูกหนี้ที่ได้รับการลดอัตราดอกเบี้ย หรือได้รับอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษตามข้อตกลงจากสถาบันการเงินนั้น ๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ปกติตามเงื่อนไขดังกล่าว สามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดยลูกหนี้สามารถสมัครใจเลือกพักเงินต้นและลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรือลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปีโดยไม่พักเงินต้น เป็นระยะเวลา ๓ ปี และลูกหนี้สามารถมีสิทธิ์ขอกู้เพิ่มจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้นตามความสามารถในการชำระหนี้ได้ทั้ง ๒ กรณี โดยการกู้ยืมเพิ่มจะชำระดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ณ วันที่ได้รับการอนุมัติให้กู้เพิ่ม ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาและดำเนินการในรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้าพักหนี้หรือลดภาระหนี้ และเงื่อนไขโครงการสำหรับการเกษตร ตามที่เสนอ ๑.๓ แนวทางเบื้องต้นสำหรับการบรรเทาผลกระทบทางการเงินให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๔ กรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงของสถาบันการเงินเฉพาะกิจจากการดำเนินโครงการที่ปรับปรุงใหม่ ในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อปี คิดเป็นวงเงินในช่วงโครงการพักหนี้ ๓ ปี รวมเป็นเงิน ๒๒,๘๕๑.๘๒ ล้านบาท โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ร่วมโครงการทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอเพิ่มเติมว่า เห็นควรปรับปรุงคุณสมบัติของลูกหนี้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการ จากเดิม “๔.๒.๑ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ ...” เป็น “๔.๒.๑ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ...” ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้กับสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรด้วย เพื่อให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรดังกล่าวพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้กับสมาชิกต่อเนื่องได้ และในการจัดทำแผนฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ ควรให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเงิน การออม การลงทุน การบริหารความเสี่ยง และการสร้างวินัยทางการเงิน รวมทั้งการเพิ่มรายได้จากการพัฒนาประสิทธิภาพและมูลค่าของสินค้าและผลิตภัณฑ์ การลดรายจ่ายและต้นทุนในการประกอบอาชีพ และการสร้างความมั่นคงด้านอาหารในครัวเรือนควบคู่ไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2140 | ผลการเจรจาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 เรื่อง รายงานปัญหาอุปสรรคของการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXXI - 1 | คค | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการเจรจาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ (เรื่อง รายงานปัญหาอุปสรรคของการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXXI - 1 เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ แนวทางการย้ายแนวท่อน้ำมันของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด ทางด้านเทคนิค ให้มีการรื้อย้ายลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ ๑๓ จุด เหลือเพียง ๒ จุด คือ บริเวณสถานีบางซื่อ มีทางเลือกในการรื้อย้ายจำนวน ๒ ทางเลือก โดยทางเลือกที่ ๑ ระยะทาง ๒.๙ กิโลเมตร วงเงินดำเนินการ ๒๑๗ ล้านบาท และทางเลือกที่ ๒ ระยะทาง ๔.๔ กิโลเมตร วงเงินดำเนินการ ๒๔๕ ล้านบาท ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับบริษัทฯ จะได้พิจารณาทางเลือกที่มีความเหมาะสมที่สุดทางด้านเทคนิคเมื่อถึงเวลารื้อย้ายต่อไป และบริเวณสถานีดอนเมือง วงเงินค่ารื้อย้าย ๙๖ ล้านบาท ทำให้วงเงินค่ารื้อย้ายทั้งหมดรวม ๓๔๑ ล้านบาท สำหรับบริเวณแนวท่อน้ำมันอีก ๑๑ จุดที่เหลือ ผู้รับเหมาก่อสร้างจะต้องใช้ความระมัดระวังและจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการดำเนินการ ๑.๑.๒ สำหรับประเด็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการรื้อย้าย รฟท. ยืนยันให้บริษัทฯ รับภาระค่าใช้จ่าย ตามเงื่อนไขข้อ ๘ วรรคหนึ่ง ของสัญญาเช่าที่ดิน เพื่อให้การดำเนินการรื้อย้ายเป็นไปในมาตรฐานเดียวกันกับหน่วยงานด้านสาธารณูปโภคอื่น ๆ ที่ยินยอมรับภาระค่าใช้จ่ายในการรื้อย้ายแล้ว ส่วนบริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือในการรื้อย้ายแต่คงยืนยันว่าไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในการรื้อย้ายได้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งการรับภาระค่ารื้อย้ายดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ มีความเสี่ยงที่จะเกิดสภาพล้มละลาย ๑.๒ รับทราบแนวทางการดำเนินการต่อไป รฟท. จะแจ้งให้องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ทราบว่า รฟท. จะดำเนินการรื้อย้ายท่อขนส่งน้ำมันของบริษัทฯ ไปก่อน เนื่องจาก บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือในการรื้อย้ายทางด้านเทคนิค ส่วนการรับภาระค่าใช้จ่ายในการรื้อย้าย รฟท. จะดำเนินการฟ้องร้องตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๑.๓ รับทราบหลักการการพิจารณาให้หน่วยงานด้านสาธารณูปโภคเช่าพื้นที่ของ รฟท. ในอนาคต กระทรวงคมนาคมได้กำหนดเป็นหลักการการให้หน่วยงานด้านสาธารณูปโภคเช่าพื้นที่ของ รฟท. ว่า “รฟท. จะสงวนสิทธิ์พื้นที่ของ รฟท. เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการระบบรถไฟทางคู่ เป็นลำดับแรก จึงจะพิจารณาให้หน่วยงานสาธารณูปโภคอื่น ๆ เช่าที่ดินต่อไป” ๑.๔ เห็นชอบให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการให้ รฟท. ใช้กรอบวงเงินกู้ของโครงการฯ สำหรับการรื้อย้ายท่อน้ำมันไปก่อน และในกรณีที่แหล่งเงินกู้ JICA ไม่อนุญาต ให้กระทรวงการคลังพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการรื้อย้ายท่อน้ำมันของบริษัทฯ ตามแนวการก่อสร้างโครงการตามแผนที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเร่งดำเนินการเรียกร้องภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากปัญหาการรื้อย้ายท่อน้ำมันดังกล่าวทั้งในส่วนของภาระค่ารื้อย้ายท่อน้ำมัน ๒ แห่ง คือ บริเวณสถานีบางซื่อ และบริเวณสถานีดอนเมือง รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างการก่อสร้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากกระทรวงคมนาคม โดย รฟท. จำเป็นต้องขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณหรือกู้เงินเพื่อการดำเนินการรื้อย้ายท่อน้ำมันของบริษัทฯ ให้ รฟท. เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓. เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของการดำเนินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อลดภาระงบประมาณที่จะต้องจ่ายเป็นค่าชดเชย รื้อถอน โยกย้ายสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ในพื้นที่ หรือในสายทางที่จะดำเนินโครงการลงทุนดังกล่าว ให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการเร่งสำรวจความพร้อมของพื้นที่หรือในสายทางของโครงการ และดำเนินการรื้อย้ายสาธารณูปโภค สิ่งปลูกสร้าง และผู้บุกรุกพื้นที่ที่ผิดกฎหมายให้แล้วเสร็จก่อนขออนุมัติดำเนินโครงการและประกวดราคา และสำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ ให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการเร่งสำรวจและติดตามดูแล รวมทั้งมีมาตรการป้องกันมิให้มีการก่อสร้างสาธารณูปโภค สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เพิ่มเติม หรือมีการบุกรุกพื้นที่ที่ผิดกฎหมายอันจะเป็นอุปสรรคและก่อให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินโครงการนั้น ๆ ด้วย |
.....