ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 108 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2141 - 2160 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2141 | ข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน | นร | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน เพื่อสนับสนุนหน่วยงานภาคราชการให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการปรับตัวของระบบราชการให้สามารถรองรับต่อยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและสร้างอนาคตของประเทศ ตลอดจนการตอบสนองความต้องการของประชาชนตามสภาพแวดล้อมและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอันจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายความสำเร็จในการสร้างคุณค่าแก่ประชาชน ยกระดับธรรมาภิบาลของประเทศ และทำให้ประชาชนมีความเชื่อถือไว้วางใจในการทำงานของภาคราชการ โดยครอบคลุมระยะเวลาดำเนินการรวมทั้งสิ้นประมาณ ๓ ปี เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๕ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ การดำเนินงานแยกออกเป็น ๓ ส่วน ประกอบด้วย ๘ โครงการสำคัญ ๆ ดังนี้ ๑.๑.๑ ส่วนที่ ๑ การส่งเสริมและพัฒนาการบริหาร/ธรรมาภิบาลในภาคราชการผ่านการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ประกอบด้วย ๒ โครงการ คือ โครงการส่งเสริมและพัฒนาความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน และโครงการส่งเสริมและยกระดับธรรมาภิบาลในส่วนราชการ ๑.๑.๒ ส่วนที่ ๒ การพัฒนากลไกการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลในระบบราชการแบบยั่งยืน ประกอบด้วย ๕ โครงการ คือ โครงการทบทวนบทบาทและโอนถ่ายภารกิจของภาครัฐให้แก่ภาคส่วนอื่น ๆ โครงการส่งเสริมให้ภาคส่วนอื่น ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารกิจการบ้านเมือง โครงการจัดวางระบบความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โครงการพัฒนาระบบการบริหารงานแบบบูรณาการ และโครงการออกแบบและวางระบบบริหารราชการรูปแบบใหม่ ๑.๑.๓ ส่วนที่ ๓ การพัฒนาระบบสนับสนุนการพัฒนาธรรมาภิบาล ประกอบด้วย ๑ โครงการ คือ โครงการวัดระดับความเชื่อถือและไว้วางใจในการบริหารงานภาครัฐ ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการตามแผนงาน ให้ใช้จากส่วนที่เหลือจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) ตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาแผนการใช้เงินในรายละเอียดก่อนโอนเงินให้ดำเนินการต่อไป และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอรายละเอียดแต่ละโครงการตามแนวทางและหลักเกณฑ์ของการใช้จ่ายเงินกู้ SAL ตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐเสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณา แล้วเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาแผนการใช้เงินในรายละเอียดก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
2142 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การสร้างโอกาสการมีงานทำของผู้สูงอายุ" | สสป | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การสร้างโอกาสการมีงานทำของผู้สูงอายุ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการขยายโอกาสการจ้างงาน ๑.๑ ภาครัฐ เช่น ควรกำหนดเป้าหมายในการเพิ่มการจ้างงานผู้สูงอายุ รวมทั้งการกำหนดอายุเกษียณที่เหมาะสมตามประเภทอาชีพ ควรเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีประสบการณ์ ความสามารถและมีความเชี่ยวชาญซึ่งได้เกษียณอายุไปแล้วให้สามารถทำงานต่อไปได้ เป็นต้น ๑.๒ ภาคเอกชน เช่น ควรมีมาตรการจูงใจแก่ธุรกิจภาคเอกชนที่มีคนทำงานในวัยสูงอายุ กำหนดแผนงาน โครงการ เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักในการออกเกณฑ์ต่าง ๆ สำหรับการจ้างงานผู้สูงอายุ และทำให้บริษัทต่าง ๆ เกิดการยอมรับการจ้างงานผู้สูงอายุ เป็นต้น ๑.๓ ภาครัฐและเอกชน เช่น ควรเปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าสู่วัยเกษียณและมีความสมัครใจจะทำงานต่อทั้งภาครัฐและเอกชนได้รับการพิจารณา จัดโครงการแนะแนวการจ้างงานผู้สูงอายุ ควรรณรงค์ ส่งเสริม ให้ความรู้ต่อสังคมในการปฏิบัติต่อผู้สูงอายุและการปฏิบัติตนของผู้สูงอายุ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ ตลอดจนการเตรียมตัวเข้าสังคม การให้คำปรึกษาเพื่อการจ้างงาน และการเปิดโอกาสให้มีทางเลือกที่ยืดหยุ่นในตำแหน่งงานได้ เป็นต้น ๒. ด้านการส่งเสริมการแข่งขันลดต้นทุนของแรงงานสูงอายุ เช่น ควรมีการปรับเปลี่ยนการขึ้นค่าจ้างตามอายุงานมาใช้ในการปรับค่าจ้างตามผลงาน ควรส่งเสริมให้สถานประกอบการ บริษัท และโรงงาน มีนโยบายการจัดทำโครงสร้างบุคลากรและการจ้างงานผู้สูงอายุ เป็นต้น ๓. ด้านการเพิ่มทักษะและมูลค่าของแรงงานสูงอายุ เช่น กำหนดคุณสมบัติทางทักษะของกำลังแรงงาน และระบบการจ้างงานตามทักษะ ให้ความช่วยเหลือแรงงานสูงอายุ สำหรับผู้ที่ยังหางานไม่ได้ มุ่งเน้นส่งเสริมความสามารถในการจ้างงานผู้สูงอายุให้มากขึ้น เป็นต้น ๔. ด้านการปรับทัศนคติในทางบวกต่อการจ้างงานผู้สูงอายุ เช่น รณรงค์ ส่งเสริม ให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนทัศนคติเพื่อให้เกิดการจ้างงานผู้สูงอายุ รณรงค์ให้มีการดำเนินโครงการที่มีเป้าหมายให้ลูกจ้างอายุ ๕๐ ปีขึ้นไป ได้เข้าร่วมการสร้างประชาคม เครือข่ายผู้สูงอายุที่คล่องแคล่วกระตือรือร้น และรัฐควรปรับทัศนคติ ให้คนในสังคมเห็นคุณค่าของผู้สูงอายุ และนำภูมิปัญญาของผู้สูงอายุกลับมาพัฒนาสังคม เป็นต้น ๕. ด้านกฎหมาย เช่น ควรมีแนวทางหรือมาตรการในการปรับแก้อายุเกษียณของภาคราชการ จาก ๖๐ ปีให้สูงขึ้น โดยเป็นไปตามความเหมาะสม รวมทั้งการกำหนดอายุการทำงานภาคเอกชนจาก ๕๕ ปี ควรเป็น ๖๐ ปี หรือมากกว่านั้นตามความเหมาะสม ควรมีการปรับแก้ เพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุด้านต่าง ๆ เช่น การจ่ายเงินชดเชย การจ้างงาน การจัดสวัสดิการช่วยเหลือในกรณีต่าง ๆ เป็นต้น ๖. ด้านการดูแลด้านคุณภาพชีวิตและให้บริการสังคมแก่ผู้สูงอายุ เช่น สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีด้านร่างกายและจิตใจ โดยให้ความรู้ด้านสุขภาพ พัฒนาด้านจิตใจให้ผู้สูงอายุในสังคมเป็นคนที่มีคุณค่าอยู่เสมอ ควรส่งเสริมให้มีการเก็บออมเงิน ตั้งแต่เริ่มต้นเข้าทำงาน เพื่อไม่ต้องรอเงินหลังเกษียณอายุ และภาครัฐควรสนับสนุนงบประมาณด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในวัย ๕๐ ปีขึ้นไป ให้เข้ารับการตรวจสุขภาพ เพื่อเป็นการป้องกันโรคมากกว่าการรักษาโรค เป็นต้น ๗. ด้านอื่น ๆ เช่น ควรเปิดโอกาสให้มีการเข้าถึงกองทุนผู้สูงอายุได้ง่ายขึ้น ควรจัดให้มีศูนย์การให้คำปรึกษางานกับผู้สูงอายุ เป็นศูนย์ให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จที่มีทุกภาค ในระดับจังหวัด ควรมีการคัดกรองผู้สูงอายุที่มีความเดือดร้อนแต่ละชุมชนหรือที่อยู่ตามชนบทเพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือในเบื้องต้น และเสนอให้แรงงานที่มีอายุตั้งแต่ ๔๕ ปีขึ้นไป สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนต่าง ๆ ของผู้สูงอายุได้ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
2143 | การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) | พณ | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) ดำเนินการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามแผนการนำเข้าและระบายผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามที่ อคส. เสนอ โดยเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (เมล็ด) ชนิดดีจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ปริมาณ ๓๐,๐๐๐ ตัน ระยะเวลานำเข้า เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕ เพื่อจำหน่ายให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รายย่อยภายในประเทศในราคาต่ำกว่าราคาหน้าฟาร์มของเกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อยที่ซื้ออยู่ โดยให้ อคส. เร่งนำเข้าก่อนผลผลิตฤดูกาลใหม่จะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรขายได้ในประเทศตกต่ำ ๒. ให้ อคส. กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยใช้วงเงินกู้จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของ อคส. (จ่ายขาด) ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ตั้งไว้แล้วสำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำผลิตผลการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และหากไม่เพียงพอ ให้ อคส. ขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอใช้จ่ายจากเงินงบกลางเพิ่มเติมต่อไป รวม ๓๗.๕๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
2144 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๖๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑๑๘,๕๗๑.๘๑๔ ล้านบาท มีการจัดสรรเพิ่มเติม โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๖๗,๕๕๗.๑๘๓ ล้านบาท เปรียบเทียบกับแผนฯ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๕,๙๖๐.๘๔๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๑๑,๕๙๖.๓๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๐.๗๒ เนื่องจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในบางส่วน ๑.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการแล้วมีการเบิกจ่ายสะสม ณ วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๗,๔๖๐.๓๓๙ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๔,๓๔๐.๖๗๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๓,๑๑๙.๖๖๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๐๔ ๑.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาฯ แล้ว เป็นเงิน ๗๒,๒๘๖.๙๙๙ ล้านบาท (ร้อยละ ๖๐.๙๖ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้น ๔,๑๘๙.๗๖๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖.๑๕ และยังไม่ลงนามในสัญญาฯ เป็นเงิน ๔๖,๒๘๔.๘๑๕ ล้านบาท (ร้อยละ ๓๙.๐๔ ของวงเงินจัดสรร) ลดลง ๓,๙๖๑.๐๕๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๘๘ เนื่องจากมีการทำสัญญาฯ เพิ่มเติม แต่ส่วนราชการยังไม่มีการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๓ กลุ่ม ดังนี้ ๒.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่าย ประกอบด้วย (๑) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่ายเนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ จำนวน ๕ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๕๔.๗๑๒ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๑ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒๒.๔๐๙ ล้านบาท (๒) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ แล้ว แต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย จำนวน ๑๐ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๔,๒๘๒.๗๙๘ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๓๖๑.๓๙๖ ล้านบาท ๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการใช้จ่ายสะสม ประกอบด้วย (๑) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ จำนวน ๒๐ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๓๔,๒๓๓.๓๔๐ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๒๐ หน่วยงาน เป็นเงิน ๖,๔๒๗.๕๒๓ ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๑,๒๕๐.๖๐๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๓๕ ของแผนการใช้จ่ายสะสม (๒) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ จำนวน ๕ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๓๑,๘๘๔.๕๓๒ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๕ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒๑,๓๗๙.๖๓๖ ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๕,๐๒๑.๑๑๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๒.๓๒ ของแผนการใช้จ่ายสะสม และ (๓) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๕๐ ถึง ๘๐ จำนวน ๘ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๓,๖๑๐.๓๗๘ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๘ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒,๒๗๑.๙๗๗ ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๒,๑๖๖.๔๘๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๖.๔๓ ของแผนการใช้จ่ายสะสม ๒.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๖ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๔๔,๕๐๖.๐๕๕ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๑๖ หน่วยงาน เป็นเงิน ๔๑,๘๒๔.๐๕๙ ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๓๙,๐๒๒.๑๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๐๖.๐๖ ของแผนการใช้จ่ายสะสม เนื่องจากบางหน่วยงานเบิกจ่ายก่อนแผนฯ ที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2145 | การเร่งรัดดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย | นร | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การเร่งรัดดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย) โดยให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เร่งรัดติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย และรายงานความคืบหน้าในภาพรวมให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ นั้น โดยที่ปัจจุบันการดำเนินโครงการฯ หลายส่วนยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายเท่าที่ควร จึงขอให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการ จังหวัด กลุ่มจังหวัด และผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ โดยใช้ฐานข้อมูลและแผนที่ในการประกอบการดำเนินงานที่มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และ กบอ. สามารถรวบรวมและประมวลข้อมูลในภาพรวมในฐานะหน่วยงานศูนย์กลาง (centre) ในการบริหารจัดการในเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป สำหรับโครงการในระดับจังหวัด ให้รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการเป็นรายจังหวัด โดยจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่บริเวณต้นน้ำให้ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ บริเวณกลางน้ำภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ และบริเวณปลายน้ำภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ตามลำดับ ทั้งนี้ โครงการต่าง ๆ ที่ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เช่น โครงการการติดตั้งกล้องวงจรปิด การติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำและเครื่องสูบน้ำบริเวณคูคลองต่าง ๆ เป็นต้น ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการจัดทำระบบการตรวจสอบติดตาม โดยประสานงานกับ กบอ. ต่อไปด้วย ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ที่มีโครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) และอยู่ในกรอบบูรณาการการบริหารจัดการน้ำของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕] เร่งรัดจัดทำรายละเอียดและคำของบประมาณโครงการที่เกี่ยวข้อง แล้งส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วน โดยคำขอดังกล่าวจะต้องเสนอโดยรัฐมนตรีต้นสังกัด และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพหลักในการพิจารณากลั่นกรองรายละเอียด ความสมบูรณ์ของเอกสาร และความพร้อมของโครงการต่าง ๆ ในเบื้องต้นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก่อนนำเสนอ กบอ. พิจารณาตามขั้นตอนตามระเบียบและอำนาจหน้าที่ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2146 | การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ "โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราชินี" | ยธ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี” สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี” มีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อระดมประชาชนสาขาอาชีพต่าง ๆ ทั่วประเทศร่วมกันแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ด้วยการขับเคลื่อนกิจกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่าต่อเนื่อง ภายใต้ “กองทุนแม่ของแผ่นดิน” และเพื่อใช้แนวทางกองทุนแม่ของแผ่นดิน ลดสถานการณ์ปัญหายาเสพติด สร้างความเข้มแข็งพลังแผ่นดิน สร้างความยั่งยืนให้กับหมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศ โดยมีแนวทางและกลยุทธการดำเนินการ ประกอบด้วย ๖ แนวทางหลัก ได้แก่ ๑.๑.๑ แนวทางที่ ๑ การสร้างกระแสความตื่นตัวและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องสื่อต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น เพื่อรณรงค์กระตุ้นจิตสำนึก สร้างกระแสการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และประชาชน ให้เกิดความตื่นตัวกระทำความดีต่อต้านยาเสพติด และร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี สืบสานปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และปณิธานกองทุนแม่ของแผ่นดิน ๑.๑.๒ แนวทางที่ ๒ การสร้างความมั่นคงให้กับหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินที่ได้รับแต่เดิม ให้สามารถลดและแก้ไขปัญหายาเสพติดให้ได้ โดยเน้นบทบาทภาคประชาชนสมานฉันท์ และสามัคคี เสริมบทบาทแกนนำหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน ๑.๑.๓ แนวทางที่ ๓ สร้างศูนย์เรียนรู้กองทุนแม่ของแผ่นดินให้เป็นแบบอย่างการพัฒนาและการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน โดยการสร้าง ๑ อำเภอ ๑ ศูนย์เรียนรู้กองทุนแม่ของแผ่นดิน และให้มีการบูรณาการกับเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน โดยกำหนดหมู่บ้านตัวอย่าง ๘๐ แห่ง เทิดพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี ๑.๑.๔ แนวทางที่ ๔ ขยายหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินเพิ่มใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จังหวัดละ ๒๐ - ๕๐ แห่ง โดยยึดหลักคุณภาพในทุกกระบวนการ เพื่อให้ได้หมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินที่จะเข้ารับพระราชทานเชิงคุณภาพ ๑.๑.๕ แนวทางที่ ๕ สร้างกระแส สร้างกิจกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับกองทุนแม่ของแผ่นดิน หากทุกหมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศได้กระทำอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วย่อมเกิดเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ทั้งพลังแห่งความสามัคคี พลังแห่งความดี และพลังแห่งความจงรักภักดี ๑.๑.๖ แนวทางที่ ๖ การพัฒนาความพร้อมการดำเนินงานเชิงคุณภาพทั้งการพัฒนาวิทยากรกระบวนการกองทุนแม่ของแผ่นดิน การพัฒนาประสิทธิภาพของเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดิน ระดับอำเภอ จังหวัด ภาค ประเทศ การพัฒนากลไกผู้ประสานงานกลางกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับพื้นที่ และการพัฒนาองค์ความรู้ และจัดระบบข้อมูล เพื่อให้โครงการกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมฉลอง ๘๐ พรรษา มหาราชินี อย่างสมพระเกียรติ และเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ๑.๒ โครงสร้างการบริหารจัดการ ๑.๒.๑ ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ เป็นกลไกบริหารจัดการโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน มีบทบาทหน้าที่การวางกรอบนโยบาย มาตรการ กลยุทธ์ แนวทางปฏิบัติ ๑.๒.๒ ระดับส่วนกลาง มีคณะกรรมการอำนวยการโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี (คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดิน ๘๐ พรรษา) ๑.๒.๓ ระดับจังหวัด โดยศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดระดับจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เป็นกลไกบริหารจัดการสูงสุดในงานกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับจังหวัด และมีการจัดตั้งกลไกเพิ่มเติม ได้แก่ คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดิน ๘๐ พรรษา ระดับจังหวัด หรือคณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินระดับจังหวัด ๑.๒.๔ ระดับอำเภอ โดยศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดระดับอำเภอ/เขต เป็นกลไกบริหารจัดการในงานกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับอำเภอ/เขต และมีการจัดตั้งกลไกเพิ่มเติม ได้แก่ คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดิน ๘๐ พรรษาระดับอำเภอ/เขต หรือคณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินระดับอำเภอ/เขต ๑.๓ งบประมาณในการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย งบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด งบประมาณจากกระทรวงมหาดไทย งบประมาณจากจังหวัด งบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น งบประมาณสมทบจากหมู่บ้าน/ชุมชน และงบกลางของรัฐบาล ๑.๔ ระยะเวลาการปฏิบัติงาน ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ - ธันวาคม ๒๕๕๕ ๒. ให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรต่าง ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุน เผยแพร่ รณรงค์ประชาสัมพันธ์การดำเนินงาน “โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี”
|
|||||||||||||||||||||||||||
2147 | โครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี 2554/55 | พณ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยการให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) รับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมัน/โรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ด้วยวิธีการประมูล ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไขให้ลานมัน/โรงแป้งที่ขายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้ อคส. ต้องเร่งดำเนินการรับจำนำหัวมันสดจากเกษตรกรโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ในส่วนของค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการฯ วงเงินรวม ๑๑,๓๔๑.๒๓ ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย วงเงินหมุนเวียนรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมัน/โรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการฯ ระหว่างเมษายน - พฤษภาคม ๒๕๕๕ วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นเงินจ่ายขาดเป็นค่าดอกเบี้ยเงินทุนหมุนเวียน ๓.๗๕% ระยะเวลา ๑ ปี วงเงิน ๓๗๕ ล้านบาท และค่าใช้จ่าย อคส. เป็นค่าดำเนินการรับซื้อ ค่า Overhead ค่าฝากเก็บ ค่าพลิกกอง ค่าตรวจสอบคุณภาพ และค่าแรงงานกรรมกร รวม ๙๖๖.๒๓ ล้านบาท ให้กระทรวงพาณิชย์ตกลงในรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์รายงานข้อมูลการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมันและโรงแป้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ และให้เร่งระบายมันเส้นและแป้งมันจากสต็อกของรัฐบาลที่รับจำนำไว้ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ด้วย และเมื่อจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังดังกล่าว ให้กระทรวงพาณิชย์นำข้อมูลราคาจำหน่ายเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการจำหน่าย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดมาตรการควบคุมและตรวจสอบการดำเนินงานของผู้ประกอบการลานมัน/โรงแป้งที่ขายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้แก่ อคส. ในการรับจำนำผลผลิตหัวมันสดจากเกษตรกรเพิ่มขึ้นภายหลังจากที่รัฐได้ช่วยระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของโรงงานไปบางส่วนแล้ว รวมทั้งพิจารณามาตรการแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ที่ยังไม่มีผู้ประกอบการลานมัน/โรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อรับจำนำผลผลิตหัวมันสดจากเกษตรกรได้อย่างทั่วถึงต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2148 | การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) | ทก | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดหาในคราวเดียวกันด้วย สำหรับงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ เพิ่มเติมให้ครบตามจำนวน ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องปรับแผนจากการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับจัดสรรแล้วไปดำเนินการ รวมทั้งดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย และที่ดเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติมว่า การเสนอเรื่องของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติในหลักการไว้แล้ว และสอดคล้องกับความเห็นของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบในรายละเอียดการดำเนินการตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอได้ ๒. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ๒.๒ อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ให้นักเรียน และครูผู้สอน รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ สำรองกรณีจำเป็น ของโรงเรียนในสังกัดส่วนราชการต่าง ๆ รวมจำนวนประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ เครื่อง วงเงินงบประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ และวงเงินงบประมาณที่จะจัดซื้อจะสูงกว่าที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้แล้ว ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และงบประมาณเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ได้ตามจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ ใหม่ สำหรับการจัดหาดังกล่าวให้รวมกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เพิ่มเติมจากหน่วยงานที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) ๒.๓ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) เฉพาะการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามความตกลง/สัญญาซื้อขายเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาตรวจสอบแล้วกับบริษัทจีนที่ได้รับคัดเลือก โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒.๔ เห็นชอบให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผูกพันสัญญาฯ ได้ตามวงเงินงบประมาณที่ส่วนราชการได้ดำเนินการโอนเบิกจ่ายแทนกันให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเรียบร้อยแล้ว สำหรับเงินงบประมาณที่โอนมาภายหลังให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษแบบ Repeat Order ตามความเหมาะสมต่อไป ๓. ให้แก้ไขข้อความว่า “ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕” เป็น “ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕”
|
|||||||||||||||||||||||||||
2149 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาสุราษฎร์ธานี ปี 2554 | มท | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุน ๙๒๖.๒๐๘ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) เพื่อลงทุนโครงการโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับสาระสำคัญของโครงการ ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบผลิต ระบบส่งน้ำ และระบบจ่ายน้ำประปาในพื้นที่เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เทศบาลตำบลวัดประดู่ เทศบาลเมืองท่าข้าม เทศบาลตำบลท่าทองใหม่ เทศบาลตำบลกาญจนดิษฐ์ เทศบาลตำบลพุมเรียง เทศบาลตำบลตลาดไชยา เทศบาลตำบลท่าฉาง และชุมชนรอบนอกให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้เพิ่มขึ้นในอีก ๑๐ ปีข้างหน้าอย่างพอเพียง ใช้เวลาดำเนินการก่อสร้างประมาณ ๓ ปี เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก ๙๖,๐๐๐ ลบ.ม./วัน สามารถให้บริการผู้ใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีก ๔๖,๒๐๐ ราย โดยจะมีการก่อสร้างวางท่อส่งน้ำ ท่อจ่ายน้ำ และท่อบริการขนาดต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนทดแทนท่อเก่าและวางท่อใหม่ในเขตจ่ายน้ำต่าง ๆ และพื้นข้างเคียง รวมความยาวทั้งสิ้นประมาณ ๕๔.๑๕ กม. และก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปาประกอบด้วยระบบสูบน้ำแรงต่ำ - แรงสูง โรงกรองน้ำ ระบบจ่ายสารเคมี ถังน้ำใส และหอถังสูง รวมทั้งก่อสร้างระบบชักน้ำดิบและขุดสระระบายตะกอนเพิ่มด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียรวมกับค่าน้ำประปา โดยเฉพาะในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนและใช้บริการน้ำประปาจาก กปภ. การศึกษาผลกระทบจากการดำเนินงานของประปาในภาวะเหตุฉุกเฉิน ภัยแล้ง และอุทกภัย โดยจัดทำแผนการรองรับในกรณีดังกล่าว การพิจารณาแนวทางการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) การตรวจสอบการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียในระบบให้เหลือในเกณฑ์ที่ยอมรับได้เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำดิบ การพิจารณาขยายเขตจ่ายน้ำไปยังชุมชนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดในพื้นที่ใกล้เคียง การเร่งรัดจัดหาที่ดินให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินโครงการฯ เพื่อมิให้การดำเนินโครงการเกิดความล่าช้า และส่งผลกระทบต่อขอบเขตแผนงานโครงการ การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและค่าใช้จ่ายในการผลิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมควบคู่กับการเพิ่มรายได้จากการให้บริการให้เป็นไปตามเป้าหมาย การพิจารณาปรับโครงสร้างและอัตราค่าน้ำประปาที่สะท้อนต้นทุน เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว การเร่งดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ ๒๕ การติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของผู้รับจ้างปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำเสียทั้งระบบ และพิจารณาจัดทำแผนป้องกันและลดผลกระทบต่อการให้บริการน้ำประปาในกรณีเกิดอุทกภัยหรือภัยแล้งในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2150 | ข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่ คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ออกจากราชการ ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕) ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของกรอบระยะเวลาที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ [เรื่อง ข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด)] ทั้งนี้ หากจะดำเนินตามมาตรการดังกล่าวในอนาคต จะต้องมีการทบทวน ผลการดำเนินการและกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ๑.๒ กำหนดประเด็นการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็น ๔ กรณี คือ ๑.๒.๑ กรณีที่ ๑ คณะรัฐมตรีมีมติให้ส่วนราชการปรับเปลี่ยนสถานภาพโดยออกจากระบบราชการ ไม่กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ๑.๒.๒ กรณีที่ ๒ ส่วนราชการประสงค์จะยุบเลิกบางภารกิจ ไม่กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ๑.๒.๓ กรณีที่ ๓ ส่วนราชการที่อัตรากำลังเกิน กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของกลุ่มเป้าหมาย ๑.๒.๔ กรณีที่ ๔ ส่วนราชการที่มีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขึ้นไป) มากกว่าร้อยละที่กำหนด โดยส่วนราชการที่มีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขึ้นไป) ตั้งแต่ร้อยละ ๒๐ ขึ้นไป กำหนดกลุ่มเป้าหมายของผู้ร่วมมาตรการฯ ได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของกลุ่มเป้าหมาย และส่วนราชการมีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขี้นไป) ตั้งแต่ร้อยละ ๑๐ แต่ไม่ถึงร้อยละ ๒๐ กำหนดกลุ่มเป้าหมายของผู้ร่วมมาตรการฯ ได้ไม่เกินร้อยละ ๓ ของกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ กรณีที่ ๑ - ๓ ส่วนราชการต้องยุบเลิกตำแหน่ง ส่วนกรณีที่ ๔ ไม่ต้องยุบเลิกตำแหน่งของผู้ที่ออกจากราชการตามมาตรการฯ ส่วนราชการรายละเอียดการดำเนินมาตรการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เป็นเช่นเดียวกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการคัดกรองข้าราชการที่เข้าร่วมมาตรการฯ ตามความเหมาะสม เพื่อมิให้มีผลกระทบและเกิดความเสียหายแก่ราชการ ๑.๓ ให้ผู้มีเงินได้ที่ออกจากราชการตามมาตรการฯ และได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อน (เงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการฯ) ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำเงินก้อนดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ๑.๔ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดแนวทางหรือแผนการบริหารจัดการอัตรากำลัง เพื่อให้การลาออกตามมมาตรการฯ ของข้าราชการครูไม่กระทบต่อประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาในภาพรวม รวมทั้งให้การเรียนการสอนมีความต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจอนุญาตการลาออกจากราชการตามมาตรการฯ ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประสิทธิภาพการเรียนการสอนประกอบในการพิจารณาอนุญาตให้ข้าราชการครูออกจากราชการตามมาตรการฯ ด้วย ๒. ให้ คปร. และส่วนราชการต่าง ๆ รับข้อเสนอเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีกรณีที่ส่วนราชการจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการการดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ที่ดี คือ จะต้องมีกระบวนการคัดกรองผู้เข้าร่วมมาตรการดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้รักษาบุคลากรที่มีคุณภาพและมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานมานานให้อยู่ในระบบราชการต่อไป เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติงานขององค์กรในระยะยาว ส่วนการคัดสรรบุคลากรเข้ามาทดแทนควรพิจารณาให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กรเพื่อให้องค์กรได้รับประโยชน์คุ้มค่า ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้ คปร. รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเร่งนำผลการประเมินผลโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดมาพิจารณาร่วมกับบทบาทภารกิจของภาครัฐในภาพรวม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขยายการดำเนินโครงการในระยะต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณากลุ่มเป้าหมายและสัดส่วนผู้ที่สามารถเข้าร่วมโครงการอย่างเหมาะสมกบสถานการณ์ รวมทั้งการปรับปรุงและพัฒนาระบบราชการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ควรคำนึงถึงการทบทวนบทบาทภารกิจของส่วนราชการให้เชื่อมโยงกับการกำหนดประเด็นการบริหารทรัพยากรบุคคลในกรณีที่ ๒ (ส่วนราชการประสงค์จะยุบเลิกบางภารกิจ) และกรณีที่ ๓ (ส่วนราชการมีอัตรากำลังเกิน) เพื่อให้การกำหนดขนาดกำลังคนรองรับภารกิจในอนาคตได้อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการ ๔. ให้ สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการศึกษาผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงการดำเนินงานให้เหมาะสม คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2151 | รายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2554 และ ครั้งที่ 1/2555 | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมเกียรติ ศรลัมพ์) เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมมีมติสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายในการปฏิบัติงานแก่คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีดำเนินการ ๓ ประการ ได้แก่ การติดตามนโยบายของรัฐบาลตามที่ได้แถลงต่อรัฐสภาและประชาชน และนำแผนงานของแต่ละกระทรวงเป็นหลักในการติดตามงาน การติดตามการฟื้นฟูเยียวยาจากปัญหาอุทกภัย และการนำเสนอนโยบาย โดยให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีเชื่อมโยงกับรัฐมนตรี ซึ่งให้เน้นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอย่างแรก ๑.๒ เห็นชอบกรอบแนวทางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ๑.๓ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการแจ้งเวียนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๖ เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี และจัดสัมมนาส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจในการทำงานให้ตรงกันมากขึ้น ๑.๔ รับทราบการดำเนินงานในโครงการศึกษายุทธศาสตร์ผลกระทบและแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วม รวมทั้งการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษายุทธศาสตร์ ผลกระทบ และการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมเกียรติ ศรลัมพ์) เป็นประธานคณะทำงาน ๑.๕ ให้ตั้งคณะทำงานพิจารณาจัดทำร่างแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน (พลตำรวจโทวิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) เป็นประธานคณะทำงาน ๑.๖ รับทราบตามความเห็นของผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีมีบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑.๗ เห็นชอบให้แต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักประสานงานการเมือง และผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานการเมือง ๔ สำนักประสานงานการเมือง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ๑.๘ เห็นชอบให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน (พลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ ๒. การประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ ซึ่งมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน (พลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมมีมติสรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ให้กำหนดแนวทางการดำเนินการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการฟื้นฟูเยียวยาและป้องกันน้ำท่วม โดยให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีจัดทำคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีมอบหมายภารกิจในการติดตามงานดังกล่าวให้แก่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีให้ชัดเจน โดยแบ่งพื้นที่ในการตรวจติดตาม (ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ) และให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีติดตามการดำเนินงานในพื้นที่และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบผลการดำเนินการและปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ๒.๒ รับทราบนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรกในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาล ได้แก่ การชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การดำเนินโครงการบัตรเครดิตพลังงาน การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การจัดทำแผนปฏิบัติการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี โดยลดระดับการใช้พลังงานต่อผลผลิตลดลงร้อยละ ๒๕ ภายใน ๒๐ ปี และมีการพัฒนาอย่างครบวงจร ๒.๓ รับทราบการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาจัดทำร่างแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ และการจัดทำประมวลสรุปประเด็นการแก้ไข/เพิ่มเติมระเบียบดังกล่าวของฝ่ายเลขานุการฯ และเห็นชอบให้มีการจัดทำเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาจัดทำร่างแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ ทั้งนี้ ให้ปรับปรุงองค์ประกอบ โดยให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมเกียรติ ศรลัมพ์) เป็นรองประธาน แทนกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง (นายภาคิน สมมิตร) และให้มีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะกรรมการเพิ่มเติม ๒.๔ ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม (นายปรีชา ธนานันท์) ทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ ในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
2152 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๖๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑๑๖,๑๓๙.๓๑๙ ล้านบาท มีการจัดสรรเพิ่มเติม โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๕,๙๖๐.๔๙๕ ล้านบาท เปรียบเทียบกับแผนฯ ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๖,๒๖๒.๐๕๗ ล้านบาท ลดลง ๓๐๑.๕๖๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๕๔ เนื่องจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในบางส่วน ๑.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการแล้วมีการเบิกจ่ายสะสม ณ วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๒,๗๒๘.๖๕๙ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓๙,๖๙๔.๙๐๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๓,๐๓๓.๗๕๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๖๔ ๑.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาแล้ว เป็นเงิน ๖๓,๒๐๖.๔๐๔ ล้านบาท (ร้อยละ ๕๔.๔๒ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้น ๑๓,๖๙๔.๙๘๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๗.๖๖ และยังไม่ลงนามในสัญญา เป็นเงิน ๕๒,๙๓๒.๙๑๕ ล้านบาท (ร้อยละ ๔๕.๕๘ ของวงเงินจัดสรร) ลดลง ๑๒,๗๐๕.๖๓๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๓๖ เนื่องจากมีการทำสัญญาเพิ่มเติม แต่ส่วนราชการยังไม่มีการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ๒. สถานการณ์เบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๓ กลุ่ม ดังนี้ ๒.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่าย ประกอบด้วย (๑) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่ายเนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ จำนวน ๑๑ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๓,๗๒๖.๖๕๔ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๓ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒๒๗.๘๐๗ ล้านบาท (๒) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ แล้ว แต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย จำนวน ๘ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๒,๖๘๖.๘๘๑ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๓ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑,๓๑๘.๘๗๒ ล้านบาท ๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการใช้จ่ายสะสม ประกอบด้วย (๑) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ จำนวน ๑๕ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๔๓,๖๓๓.๐๘๙ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๑๕ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑๓,๒๖๔.๐๐๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๐.๔๐ ของวงเงินจัดสรร และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๒,๓๕๕.๖๑๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๘.๔๓ ของแผนการใช้จ่ายสะสม (๒) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ จำนวน ๑ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๕,๔๐๒.๙๘๘ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๑ หน่วยงาน เป็นเงิน ๕,๒๐๓.๑๔๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๓๐ ของวงเงินจัดสรร และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๒,๔๖๔.๐๖๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๒.๘๙ ของแผนการใช้จ่ายสะสม และ (๓) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๕๐ ถึง ๘๐ จำนวน ๘ ห่นวยงาน วงเงินจัดสรร ๕,๒๔๔.๓๘๔ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๘ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒,๘๓๙.๔๔๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๔.๑๔ ของวงเงินจัดสรร และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๒,๔๖๔.๐๖๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๒.๘๙ ของแผนการใช้จ่ายสะสม ๒.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมสูงกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๒๑ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๕๕,๔๔๕.๓๒๓ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๒๑ หน่วยงาน เป็นเงิน ๔๐.๓๕๓.๑๒๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๒.๗๘ ของวงเงินจัดสรร และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๓๗,๒๑๓.๙๐๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๐๑.๗๔ ของแผนการใช้จ่ายสะสม เนื่องจากบางหน่วยงานเบิกจ่ายก่อนแผนฯ ที่กำหนดไว้ ๓. ข้อเสนอ ๓.๑ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังมิได้ดำเนินการหรือยังมิได้เบิกจ่ายหรือเบิกจ่ายล่าช้ากว่าแผนฯ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง/ลงนามในสัญญา หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายในวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการเยียวยาฯ ได้อย่างเหมาะสม ๓.๒ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ลงนามในสัญญาแล้ว และมีวงเงินจัดซื้อจัดจ้างหรือวงเงินดำเนินการเองต่ำกว่าวงเงินที่ได้รับการจัดสรร ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการจัดสรรงบประมาณคืนสำนักงบประมาณโดยด่วนภายใน ๑๕ วันหลังจากทราบผลการจัดซื้อจัดจ้างหรือวงเงินดำเนินการเองตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลางรายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ) ๓.๓ หากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจยังไม่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานตามแผนฯ ภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ให้สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมและความจำเป็นในการดำเนินการโครงการอีกครั้ง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลางรายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ) หากเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ของแผนงานตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้แจ้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้นำเสนอโครงการต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อพิจารณาใช้จ่ายจากเงินกู้ดังกล่าวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2153 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ | กษ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินงานโครงการเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานเริ่มดำเนินการโครงการเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ระยะเวลาดำเนินการโครงการทั้งสิ้น ๘ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๒) วงเงินโครงการทั้งสิ้น ๑๓,๒๘๐.๔๔๕ ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นการดำเนินการสำรวจธรณี ปฐพีวิทยา สภาพภูมิประเทศ รังวัด ปักหลักเขต ซึ่งกรมชลประทานจะเจียดจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาใช้เพื่อดำเนินการตามความเหมาะสม ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำรายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนครบถ้วน เช่น แผนปฏิบัติการของโครงการ การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในพื้นที่โครงการ การดำเนินการเกี่ยวกับมวลชน และแผนการเงินของโครงการ เป็นต้น แล้วนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พิจารณาตามขั้นตอนตามนัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน (กรมพัฒนาที่ดิน) เกี่ยวกับการดำเนินโครงการควรคำนึงถึงสภาพตามธรรมชาติและความเป็นจริงโดยรับฟังความคิดเห็นและทำความเข้าใจกับประชาชนผู้ที่ได้รับประโยชน์และผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการ การให้ความสำคัญกับการจัดทำและปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การพิจารณาหาแนวทางให้มีการจ้างงานแรงงานในพื้นที่เพื่อให้แรงงานในพื้นที่มีงานทำและมีรายได้เพิ่มขึ้น การจัดหาและบริหารแหล่งน้ำขนาดเล็กในระดับชุมชนภายในพื้นที่รับประโยชน์ของโครงการเพื่อรองรับน้ำหลากและเป็นแหล่งน้ำสำรอง การศึกษาสภาพทางธรณีวิทยาในพื้นที่โครงการโดยเฉพาะในเชิงลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาเพื่อเป็นข้อมูลในการออกแบบทางวิศวกรรมโยธา รวมทั้งการวางแผนป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพ คุณภาพชีวิต และทุนทางสังคม การวิเคราะห์ความอ่อนไหวของโครงการ (Sensitivity Analysis) อันเนื่องมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนและผลประโยชน์ของโครงการในระยะยาวเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาความเหมาะสมโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมของโครงการคู่ขนานกันไปได้ เช่น การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและการศึกษาสำรวจด้านวิศวกรรม เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
2154 | โครงการทุนศึกษาต่อในประเทศของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระยะที่ 3 (ปี 2556 - 2560) | กษ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการทุนศึกษาต่อในประเทศของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระยะที่ ๓ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐) เพื่อให้บุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัยในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อภารกิจขององค์กร และสามารถใช้ทักษะภาษาอังกฤษเชิงวิชาการอย่างมีประสิทธิภาพ จำนวน ๕๐ คน ภายในระยะเวลา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐) แบ่งเป็นระดับปริญญาโท จำนวน ๒๕ คน และระดับปริญญาเอก จำนวน ๒๕ คน สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ได้กำหนดการจัดสรรทุนในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ จำนวน ๕๐ ทุน แบ่งเป็นทุนระดับปริญญาโท ๒๕ ทุน ๆ ละ ๘๘๔,๐๐๐ บาท รวม ๒๒,๑๐๐,๐๐๐ บาท และทุนระดับปริญญาเอก จำนวน ๒๕ ทุน ๆ ละ ๑,๓๔๔,๐๐๐ บาท รวม ๓๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๕๕,๗๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยที่เห็นควรมีการกระจายการผลิตบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการเกษตรในพื้นที่นั้น ๆ โดยอาจให้สถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ดำเนินการร่วมกันในรูปแบบเครือข่าย (Consortium) และการขยายขอบเขตการดำเนินงานให้สถาบันอุดมศึกษาและสถาบันวิจัย เช่น หน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านการวิจัยให้กับบุคลากรผู้รับทุน รวมทั้งควรมีกลไกส่งเสริมให้ผู้สำเร็จการศึกษาได้ทำวิจัยอย่างจริงจังหลังสำเร็จการศึกษา มีการวิเคราะห์ให้เห็นภาพรวมของปริมาณบุคลากรที่มีความขาดแคลนในแต่ละสาขาที่จะศึกษาต่อและปริมาณบุคลากรทั้งหมดที่ต้องการพัฒนาเพื่อทดแทนบุคลากรเดิมที่จะเกษียณอายุราชการ และพิจารณาแนวทางสนับสนุนการศึกษาในสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในประเทศ ที่มีการจัดการศึกษาในหลักสูตรนานาชาติในสาขาที่มีความต้องการ นอกจากนี้ ควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ การพิจารณาเปิดกว้างไปยังสถาบันการศึกษาอื่น ๆ และมีการบูรณาการในการพัฒนาบุคลากรของภาคราชการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2155 | การลงนามในร่างแผนปฏิบัติการตามกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนระหว่างไทยกับสหประชาชาติ ปี ค.ศ. 2012 - 2016 | กต | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการตามกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนระหว่างไทยกับสหประชาชาติ ปี ค.ศ. ๒๐๑๒ - ๒๐๑๖ โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างแผนปฏิบัติการฯ ที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ ทั้งนี้ ร่างแผนปฏิบัติการฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ ร่างแผนปฏิบัติการฯ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ โดยมีความร่วมมือหุ้นส่วนด้านต่าง ๆ (Joint Partnership) ใน ๖ สาขา ได้แก่ สาขาการคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) โดยมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เป็นประธานร่วม, สาขาสิทธิมนุษยชนและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม (Human Rights and Access to Justice) โดยมีกระทรวงยุติธรรมกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เป็นประธานร่วม, สาขาข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Information) โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) เป็นประธานร่วม, สาขาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เป็นประธานร่วม, สาขาความร่วมมือระหว่างประเทศ (International Cooperation) โดยมีสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เป็นประธานร่วม และสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) โดยมีกระทรวงพาณิชย์กับองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เป็นประธานร่วม ๑.๑.๒ ร่างแผนปฏิบัติการฯ ยังมีร่างแผนปฏิบัติการย่อยที่เรียกว่า Country Programme Action Plans ขององค์การสหประชาชาติ ๓ องค์กร รวมอยู่ด้วย ได้แก่ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) กองทุนเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) และกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ๑.๑.๓ ร่างแผนปฏิบัติการฯ กำหนดให้มีคณะกรรมการสามฝ่าย (Tripartite Committee) เป็นกลไกตรวจสอบและปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ ทุกปี ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN Resident Coordinator) ในฐานะประธานร่วม (co - chair) และผู้แทนอื่น ๆ จากองค์กรสหประชาชาติ และหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้อง โดยมีอำนาจตามที่ระบุใน Annex 9 ของร่างแผนปฏิบัติการฯ ได้แก่ อนุมัติรายงานความคืบหน้าในการดำเนินโครงการต่าง ๆ มอบแนวทางเพื่อปฏิบัติตามโครงการ และเห็นชอบการแก้ไขปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ ตามความจำเป็น ๑.๑.๔ การดำเนินการตามร่างแผนปฏิบัติการฯ จะมีการจัดทำแผนดำเนินงานประจำปี (Annual Work Plans) และเอกสารโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยกับองค์กรต่าง ๆ ขององค์การสหประชาชาติที่เป็นหุ้นส่วนเพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องกับเป้าหมายของ UNPAF ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานไทยที่เป็นประธานร่วมของแต่ละความร่วมมือหุ้นส่วน ๖ สาขา เป็นผู้ลงนามในแผนปฏิบัติการฯ ร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ อนุมัติให้ผู้แทนส่วนราชการที่อยู่ในคณะกรรมการสามฝ่าย ได้แก่ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN Resident Coordinator) ให้ความเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขแผนปฏิบัติการฯ และสามารถพิจารณาดำเนินการได้เฉพาะในเนื้อหาสาระที่ไม่เกินอำนาจหน้าที่ กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ โดยรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง ๑.๔ ในกรณีที่มีการจัดทำแผนดำเนินงานประจำปี (Annual Work Plans) ระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของไทยกับองค์กรของสหประชาชาติที่เป็นหุ้นส่วนสำหรับความร่วมมือหุ้นส่วนทั้ง ๖ สาขา อนุมัติให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสามารถพิจารณาดำเนินการจัดทำและลงนาม รวมทั้งหากจำเป็นสามารถปรับปรุงแก้ไขแผนดำเนินงานประจำปีร่วมกับองค์กรของสหประชาชาติได้ โดยรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง เพื่อความคล่องตัวและรวดเร็วในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ๒. ให้เพิ่มเติมหน่วยงานที่ทำหน้าที่ประธานร่วมใน ๒ สาขา คือ สาขา ๕ ความร่วมมือระหว่างประเทศ (International Cooperation) ให้เพิ่มสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสาขา ๖ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ให้เพิ่มสำนักนายกรัฐมนตรี ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการป้องกันภัยพิบัติ เห็นควรเพิ่มการดำเนินงานในด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติจากน้ำท่วม น้ำแล้ง และโคลนถล่ม ที่อาจมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2156 | สรุปผลการดำเนินการโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ | มท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการได้ก่อให้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในเรื่องของการสวมหมวกนิรภัย มีการบังคับใช้กฎหมาย ว่ากล่าวตักเตือนและจับปรับ เพิ่มขึ้นมา ๓ เท่า (เพิ่มจาก ๘๕๐,๐๖๐ ราย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็น ๒,๗๐๗,๔๔๐ ราย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔) และผลจากการสำรวจการสวมหมวกนิรภัยทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวน ๑,๒๓๐,๑๙๗ คน พบว่า สัดส่วนการสวมหมวกนิรภัยในภาพรวมของประเทศเพิ่มสูงขึ้นเพียง ๒ เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น โดยเพิ่มจาก ๔๔ เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็น ๔๖ เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ แนวทางที่จะดำเนนการในระยะต่อไป ๑.๒.๑ ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการต่อไปอีก ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) เพื่อให้มีการเพิ่มสัดส่วนของผู้สวมหมวกนิรภัยอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเร่งรัดให้มีการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ ๒๐ ในแต่ละปี ๑.๒.๒ ให้คณะอนุกรรมการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (เสาหลักที่ ๔ ตามแนวทางทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก พร้อมทั้งมีการติดตามกำกับ การรายงานความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคต่อศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ๑.๒.๓ รัฐบาลควรมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็นและกลางคืน เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีข้อจำกัดในด้านบุคลากรและงบประมาณในช่วงเวลาดังกล่าว ๑.๒.๔ ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนประสานงานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลและตรวจจับหมวกนิรภัยที่ไม่ได้มาตรฐานในสถานประกอบการและในท้องตลาด รวมทั้งเร่งรัดและหามาตรการในการส่งเสริมมาตรฐานหมวกนิรภัยที่จะประกาศใช้ ให้มีกลไกที่เอื้อต่อการผลิตในราคาที่ถูก เช่น การใช้มาตรการด้านภาษี หรือการอุดหนุนผู้ประกอบการที่ผลิตหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะหมวกนิรภัยสำหรับเด็ก ๑.๒.๕ ให้คณะอนุกรรมการด้านการบริหารจัดการข้อมูลและการติดตามประเมินผลในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน พัฒนาระบบข้อมูลเพื่อติดตามสถานการณ์การบาดเจ็บศรีษะและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ (ที่ไม่สวมหมวกนิรภัย) พร้อมทั้งนำเสนอข้อมูลให้กับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเป็นประจำทุก ๒ เดือน ๑.๒.๖ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด โดยเฉพาะในสถานประกอบการ สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งกำหนดให้มีการนำเสนอข้อมูลการดำเนินงานด้านการบังคับใช้กฎหมาย และข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านที่ประชุมจังหวัดทุกเดือน ๑.๒.๗ ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนขยายความร่วมมือกับภาคีภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคธุรกิจ หน่วยงาน องค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการรณรงค์ประชาสัมภันธ์ในรูปแบบที่หลากหลาย โดยเฉพาะการรณรงค์ผ่านสื่อศิลปิน เพลง ภาพยนตร์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ เด็ก/เยาวชนเพิ่มมากขึ้น ๑.๒.๘ ให้กระทรวงคมนาคมวางแนวทางการดำเนินการเพื่อให้สภาพถนนและสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการขับขี่รถจักรยานยนต์ได้อย่างปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การออกแบบจุดกลับรถที่ปลอดภัยสำหรับรถจักรยานยนต์ เช่น การทำทางลอดใต้สะพาน การทำสะพานลอยรถจักรยานยนต์ การหาแนวทางการเพิ่มช่องทาง/เลนรถจักรยานยนต์ในถนนที่กำลังออกแบบใหม่ หรือถนนที่มีปริมาณรถจักรยานยนต์สัญจรเป็นจำนวนมาก โดยควรมีการจัดทำมาตรฐานช่องทางรถจักรยานยนต์และจัดโครงการถ่ายทอดความรู้ให้กับหน่วยงานด้านงานทางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อนำไปวางแผนให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ และการสนับสนุนให้กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเข้าร่วมในการรณรงค์ส่งเสริมการใช้หมวกนิรภัยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ๒. ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเล็งเห็นถึงความปลอดภัยที่จะได้รับจากการสวมหมวกนิรภัยโดยให้มีการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องทุก ๆ ปี และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังด้วย รวมทั้งเห็นควรทำการศึกษาเพื่อประเมินผล วิเคราะห์สาเหตุและเสนอแนะมาตรการที่รัดกุม เพื่อให้ทราบถึงประเด็นปัญหาที่สำคัญที่ทำให้การรณรงค์ไม่ได้ผลตามเจตนารมณ์ และเพื่อสามารถวางแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบพร้อมทั้งตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติอันจะทำให้การณรงค์นั้นมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการรณรงค์เรื่องการสวมหมวกนิรภัย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2157 | การเร่งรัดดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย | นร | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเร่งรัดดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑.๑ ให้ส่วนราชการที่มีโครงการที่ได้รับการอนุมัติกรอบในการดำเนินโครงการแล้วเร่งจัดทำรายละเอียดของโครงการเพื่อเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พิจารณาโดยด่วน ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการทำความเข้าใจในโครงการให้ชัดเจนด้วย ๑.๑.๒ ให้ส่วนราชการที่ยังไม่ได้รับอนุมัติกรอบในการดำเนินโครงการแต่เห็นว่ามีความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยเร่งเสนอขออนุมัติโครงการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยดังกล่าวให้ กบอ. พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๑.๒ โครงการที่ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๒.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยโดยเร็ว ทั้งนี้ โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ) ๑.๒.๒ ให้ส่วนราชการรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบต่อ กบอ. ทุกสัปดาห์ ๒. ให้ กบอ. เร่งรัดติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย และรายงานความคืบหน้าในภาพรวมให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การเร่งรัดดำเนินการบริหารจัดการน้ำและการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2158 | รายงานผลการดำเนินโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย | พณ | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การขออนุมัติโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย) เพื่อให้การช่วยเหลือด้านสินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย วงเงิน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๓ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยมีผู้ยื่นขอกู้ จำนวน ๑,๔๘๓ ราย วงเงิน ๔,๕๓๔.๘๘ ล้านบาท ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ จำนวน ๑,๐๓๒ ราย วงเงิน ๒,๙๙๘.๗๒ ล้านบาท เบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน ๑,๐๐๘ ราย วงเงิน ๒,๙๑๓.๗๒ ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินคงเหลือ จำนวน ๑.๒๘ ล้านบาท การดำเนินงานสิ้นสุดเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๒. ผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ [เรื่อง การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย (เพิ่มเติม)] เพื่อให้การช่วยเหลือด้านสินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ธุรกิจแฟรนไชส์ และธุรกิจขายตรง วงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ ๖ มิถุนายน - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๒.๑ การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย มีผู้ยื่นขอกู้ จำนวน ๗๓๔ ราย วงเงิน ๒,๒๖๔.๐๐ ล้านบาท ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ จำนวน ๖๕๐ ราย วงเงิน ๑,๙๒๐.๒๕ ล้านบาท เบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน ๖๒๖ ราย วงเงิน ๑,๘๕๒.๓๕ ล้านบาท ๒.๒ การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรง มีผู้ยื่นขอกู้ จำนวน ๙๘ ราย วงเงิน ๗๖.๕๑ ล้านบาท ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ จำนวน ๖๔ ราย วงเงิน ๔๓.๒๑ ล้านบาท เบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน ๖๒ ราย วงเงิน ๔๐.๙๖ ล้านบาท ทั้งนี้ มีวงเงินคงเหลือ จำนวน ๓๖.๕๔ ล้านบาท และการดำเนินโครงการสิ้นสุดเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
2159 | หนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อต่ออายุบันทึกความเข้าใจโครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้านการสาธารณสุข (มาลาเรีย) ครั้งที่ 2 | กต | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อต่ออายุบันทึกความเข้าใจโครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้านการสาธารณสุข (มาลาเรีย) ครั้งที่ ๒ เพื่อต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ โดยเนื้อหาของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฉบับนี้เหมือนกับหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ ครั้งที่ ๑ ๑.๒ อนุมัติให้พลเอก วาภิรมย์ มนัสรังสี รองสมุหราชองครักษ์ เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฝ่ายไทย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ ครั้งนี้ ได้ขยายความช่วยเหลือเพื่อให้ครอบคลุมถึงโรคอื่น ๆ ที่มียุงเป็นพาหะ อาจทำให้งบประมาณในการดำเนินการเพิ่มมากขึ้น จึงควรกำหนดขอบเขตในเรื่องพื้นที่และระยะเวลาในการดำเนินงาน รวมทั้งชื่อโรคในพื้นที่ให้ชัดเจน เพื่อความสะดวกต่อการประมาณการค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. สำหรับงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินโครงการฯ ช่วงที่ขยายระยะเวลา ครั้งที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้กรมราชองครักษ์ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจแก่ต่างประเทศ จำนวน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
2160 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณ | มท | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินโครงการใหม่ ๔ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๕,๙๓๙,๒๐๐ บาท ส่วนงบประมาณในการดำเนินให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ประสานกับเทศบาลนครเชียงใหม่และสำนักงบประมาณ ประกอบด้วย ๑.๑ โครงการก่อสร้างปรับปรุงผิวจราจรถนนราชดำเนิน วงเงิน ๑๔,๒๓๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ โครงการปรับปรุงและซ่อมแซมก่อสร้างสนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่และลานกีฬาภายในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ วงเงิน ๘,๑๘๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ โครงการติดตั้งตู้ควบคุมสัญญาณไฟจราจรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ATC และระบบบันทึกภาพภายในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ วงเงิน ๑๙,๒๘๙,๒๐๐ บาท ๑.๔ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ไฟฟ้าแสงสว่างและพัฒนาภูมิทัศน์คูเมือง วงเงิน ๔,๒๓๐,๐๐๐ บาท ๒. โดยที่โครงการอุทยานการเรียนรู้แห่งใหม่ของเทศบาลนครเชียงใหม่มีความสำคัญในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตของภูมิภาค และมีความจำเป็นต่อการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบกับโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายในการดำเนินงานสอดคล้องกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ : สบร. (Office of Knowledge Management and Development : OKMD) ซึ่งปัจจุบันได้มีการขยายพื้นที่ให้บริการความรู้สู่ภูมิภาค รวมถึงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วยแล้ว จึงมอบให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ และกระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ดำเนินโครงการดังกล่าว โดยในเรื่องสถานที่ก่อสร้างให้ประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ส่วนเรื่องงบประมาณดำเนินการให้ประสานกับสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับปรุงโครงการอุทยานการเรียนรู้ใหม่ของเทศบาลนครเชียงใหม่ ทั้งการยกระดับเนื้อหาสาระโครงการและขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมระดับภูมิภาค รวมทั้งการจัดหาที่ตั้งโครงการที่เหมาะสม โดยประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ภาคเอกชนและหน่วยราชการในพื้นที่ และผลักดันการดำเนินโครงการให้เกิดประสิทธิผลต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
.....