ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 46 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 901 - 920 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
901 | รายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights-NAP) | สม | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการดำเนินการเกี่ยวกับรายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights-NAP) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบด้วย ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทั้ง ๑๒ ประเด็น ซึ่งครอบคลุมการจัดทำนโยบายว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติโดยคำนึงถึงปัญหาอุปสรรคและข้อท้าทาย การกำหนดให้รัฐวิสาหกิจเป็นผู้นำในการส่งเสริมการทำธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน รวมถึงแนวทางมาตรการแก้ไขปัญหาช่องว่างทางกฎหมายและกระบวนการทางการปกครองที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม การมีกลไกเยียวยาและร้องทุกข์นอกกระบวนการยุติธรรมของรัฐที่มีประสิทธิภาพ และเห็นควรส่งข้อเสนอแนะดังกล่าวให้กระทรวงยุติธรรมที่เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (NAP) นำไปประกอบการจัดทำแผนดังกล่าวให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติมากยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การยกระดับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประเทศในระยะยาวต่อไป ๒. ที่ประชุมได้มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เช่น การกำหนดคำนิยาม “กลุ่มเปราะบาง” ให้มีความชัดเจน การกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบควรพิจารณาหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในการประกอบธุรกิจเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้วย และการวางแนวทางการติดตามประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อวัดประสิทธิภาพของแผน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
902 | บันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Commission : EEC) | พณ | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Commission : EEC) มีสาระสำคัญเพื่อเป็นช่องทางสร้างความรู้และความเข้าใจ รวมทั้งความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในสาขาที่สองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน โดยมีสาขาความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค นโยบายการค้า กฎระเบียบด้านศุลกากร กฎระเบียบทางเทคนิค มาตรฐาน และกระบวนการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การเงิน การขนส่ง นโยบายพลังงาน อุตสาหกรรมเกษตร นโยบายแข่งขันทางการค้าและกฎระเบียบต่อต้านการผูกขาดทางการค้า อุตสาหกรรม ทรัพย์สินทางปัญญา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและเศรษฐกิจแบบดิจิทัล การค้าบริการและการลงทุน การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เป็นต้น โดยกำหนดลงนาม ณ ประเทศไทย ในช่วงระหว่างการเดินทางเยือนประเทศไทยของประธาน EEC ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ ฉบับภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษารัสเซีย ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบและอนุมัติไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานในระยะต่อไป ควรให้ความสำคัญกับการเจรจาเพื่อลดความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชนในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกันและให้ได้รับประโยชน์จากบันทึกความร่วมมือฯ สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
903 | การเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนการเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อการเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด รายเดือน (๒๐๐/๑๐๐ บาท/คน/เดือน) สำหรับระยะเวลาคงเหลืออีก ๔ เดือน (กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑) เป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ผู้มีสิทธิตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทนด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมกับที่เคยได้รับ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและกำลังซื้อให้แก่ผู้มีสิทธิสามารถนำไปใช้จ่ายตามความต้องการ อันจะช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ และส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การพิจารณาแนวทาง รูปแบบ วิธีการ และการบูรณาการกลไกสนับสนุนมาตรการทางการคลังต่าง ๆ อย่างครอบคลุมและเป็นองค์รวม ตลอดจนพึงเสริมสร้างวินัยให้ผู้มีสิทธิใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างเหมาะสมและเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประชาชนโดยรวม รวมทั้งการเตรียมความพร้อมรองรับการใช้งานกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการ ทั้งความพร้อมด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการให้ทราบถึงช่องทางและวิธีการใช้บัตร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ทราบถึงการเติมเงินสงเคราะห์เข้ากระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม (กรณีที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี ได้รับเงินเดือนละ ๑๐๐ บาท และกรณีที่มีรายได้เกินกว่า ๓๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี ได้รับเงินเดือนละ ๕๐ บาท) รวมทั้งรณรงค์เพื่อเสริมสร้างวินัยให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนำเงินไปใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างเหมาะสมเท่าที่จำเป็น เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์หลักของการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
904 | ผลการประชุม CLMVT Forum 2018 : CLMVT Taking - Off Through Technology | พณ | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม CLMVT Forum 2018 : CLMVT Taking-Off Through Technology ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยผลการประชุมฯ สามารถสรุปได้เป็น ๕ หัวข้อร่วม (Common themes) ดังนี้
๑. การส่งเสริมทัศนคติและความไว้วางใจด้านดิจิทัล (Digital mindset and trust) ควรร่วมมือกันเสริมสร้างปลูกฝังวิธีคิด ทัศนคติ และความไว้วางใจด้านดิจิทัลผ่านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการปลูกฝังองค์ความรู้ และสร้างความเข้าใจด้านดิจิทัล และควรปรับปรุงกฎหมายด้านเศรษฐกิจดิจิทัลให้ทันสมัยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และสอดคล้องกันระหว่างประเทศภายในภูมิภาค CLMVT ๒. การพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital Development) ควรหาแนวทางพัฒนาทุนมนุษย์ร่วมกัน โดยพัฒนาความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) ในภาคธุรกิจและภาคประชาชน พัฒนาทักษะใหม่และยกระดับความสามารถของแรงงาน (Re-skill & Up-skill) และควรส่งเสริมการเคลื่อนย้ายทุนมนุษย์ระหว่างกัน (People Mobility) เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ผลักดันให้เกิดการพัฒนา และเพิ่มพูนคุณภาพของทุนมนุษย์ในภูมิภาค CLMVT ๓. การพัฒนาระบบนิเวศทางการค้าดิจิทัลและการปรับประสานกฎระเบียบ (Ecosystem & Harmonization) ควรส่งเสริมความร่วมมือเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมดิจิทัลของภูมิภาคอย่างเหมาะสมและเป็นเอกภาพด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลให้มีมาตรฐานและเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเดียวกัน การสร้างโอกาสให้ประชาชนในภูมิภาคสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างทั่วถึง การกำหนดบรรทัดฐานของกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรฐานการดำเนินงานร่วมกัน และควรสร้างกระบวนการพัฒนาผู้ประกอบการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การบ่มเพาะ การเร่งการเติบโต และการสนับสนุนด้านเงินทุน ๔. ความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน (Public-Private Collaboration) ควรสร้างเวทีให้ภาครัฐและเอกชนมาร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านต่าง ๆ และภาครัฐควรลดข้อจำกัดทางกฎหมายและกฎระเบียบ และปรับบทบาทมาเป็นผู้สนับสนุนมากขึ้น ๕. การเติบโตอย่างทั่วถึง (Inclusiveness) ภาครัฐควรสนับสนุนและผลักดัน SMEs และ Startups ให้ใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เช่น การสร้างองค์ความรู้ในการกำหนดรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ การสร้างแพลตฟอร์มในการระดมทุน และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบดิจิทัล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
905 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 21/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ ๒๓๙๙ (ค.ศ. ๒๐๑๘) ว่าด้วยการต่ออายุมาตรการลงโทษทางอาวุธ การห้ามเดินทาง และการอายัดทรัพย์สินต่อสาธารณรัฐแอฟริกากลางตามที่ระบุไว้ในข้อมติฯ ที่ ๒๒๓๙ (ค.ศ. ๒๐๑๗) ตลอดจนข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องออกไปอีก ๑ ปี โดยให้มีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ร่างประกาศฯ มีผลบังคับใช้ จะทำให้มีประกาศกระทรวงพาณิชย์ตามมาตรการลงโทษสาธารณรัฐแอฟริกากลางรวมทั้งสิ้น ๓ ฉบับ หากผนวกรวมปรับให้เป็นฉบับเดียว จะเป็นการอำนวยความสะดวกและสร้างความชัดเจนในการนำไปปฏิบัติของหน่วยงานและผู้ประกอบการต่าง ๆ นอกจากนี้ ข้อมติฯ ที่ ๒๓๙๙ (ค.ศ. ๒๐๑๘) ได้กำหนดระยะเวลาสิ้นผลของมาตรการให้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๒ จึงควรที่จะกำหนดระยะเวลาสิ้นผลของร่างประกาศฯ ให้สอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามข้อมติฯ ดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
906 | การร่วมรับรองเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 21/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๕๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๖ สิงหาคม-๑ กันยายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ จำนวน ๗ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (๒) ร่างกรอบการบูรณาการด้านดิจิทัลในอาเซียน (๓) ร่างหลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน (๔) ร่างบัญชีกฎเฉพาะรายสินค้าในพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี ๒๐๑๗ และบัญชีรายการสินค้าสิ่งทอและผลิตภัณฑ์สิ่งทอของพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี ๒๐๑๗ (๕) ร่างแนวปฏิบัติสำหรับการดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของสินค้า (๖) ร่างแผนการดำเนินงานด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกรอบอาเซียนบวกสาม ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ และ (๗) ร่างเป้าหมายความสำเร็จของการเจรจาในปีนี้ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารทั้ง ๗ ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของกระทรวงการคลังที่เห็นควรผลักดันให้อาเซียนให้ความสำคัญในการเร่งรัดให้ประเทศสมาชิกดำเนินการในเรื่องที่ยังคงค้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว อาทิ การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (ASEAN-Wide Self-Certification) และการเชื่อมโยงระบบ ASEAN Single Window สำหรับความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนควรคำนึงถึงการปรับประสานมาตรฐานหรือแนวทางการดำเนินงานที่ยังแตกต่างกันมากของประเทศสมาชิก เช่น การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ การคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น เพื่อให้อาเซียนสามารถเดินหน้าการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากความร่วมมือภายใต้แผนประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒๐๒๕ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. กรณีร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนที่จะต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนาม ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับประเด็นมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
907 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการลงนามในระหว่างการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 6 | พณ | 21/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการลงนามในระหว่างการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๖ (The 6th Joint Committee on Trade, Investment and Economic Cooperation between Thailand and China : JC) จำนวน ๖ ฉบับ ได้แก่ ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๖ และร่างบันทึกความเข้าใจ/ร่างพิธีสารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก ๕ ฉบับ ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๖ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อส่งเสริมการค้าอย่างไร้อุปสรรคระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างพิธีสารระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ การกักกัน และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน ๑.๕ อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน ๑.๖ อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับกระทรวงพาณิชย์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๗ อนุมัติให้ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของไทยกับสถาบันอวกาศแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีนเรื่องความร่วมมือด้านอวกาศ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี [สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)] สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรปรับแก้ถ้อยคำบางประการในร่างเอกสารฯ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนการลงนาม และให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ประเทศไทยควรเน้นย้ำในเรื่องการดำเนินงาน ๓ ฝ่าย (ไทย-สปป.ลาว-จีน) ตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ ให้สามารถปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่ออำนวยความสะดวกการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย และขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ รวมทั้งควรผลักดันและสนับสนุนการลงทุนจากจีนในอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา โดยเฉพาะการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมฉลุง จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองประเทศภายใต้แผนงานความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาค เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
908 | ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการร่วมตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้า และการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล ครั้งที่ 1 และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 14/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการร่วม (Joint Steering Committee : JSC) ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้า และการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๓-๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม พาณิชย์ และการท่องเที่ยวของบาห์เรน เป็นประธานร่วม ซี่งสาระสำคัญของการประชุมฯ เช่น ไทยได้เน้นย้ำนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” และยืนยันความสามารถของไทยในการเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้แก่บาห์เรน โดยไทยพร้อมที่จะจัดหาและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารตามที่ทางบาห์เรนต้องการ และเห็นพ้องที่จะจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (Mutual Recognition Agreement : MRA) ด้านมาตรฐานสินค้าฮาลาลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ ได้มีการหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม พาณิชย์ และการท่องเที่ยวของบาห์เรน เกี่ยวกับการขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมยางพารา และเชิญชวนบาห์เรนเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมยางพารา (Rubber City) ที่จังหวัดสงขลา และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
909 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 4 ราย 1. นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ฯลฯ) | พณ | 14/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้
๑. นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ๓. นายวิชัย โภชนกิจ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าภายใน ๔. นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
910 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 14/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (Power Development Plan : PDP) ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับหลักการและแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติให้ความเห็นชอบไว้ ๑.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการขยายการดำเนินการจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ไปยังสายการบินต่าง ๆ รวมทั้งให้ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้มีความทันสมัยและน่าสนใจ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาสินค้า OTOP ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง ราคาเหมาะสม และมีความหลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ เป็นต้น ในการพิจารณากำหนดแนวทางการจัดทำภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้พลัดหลงที่วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ให้มีความเหมาะสมทั้งในรูปแบบที่เป็นสารคดี (Documentary) ละคร (Drama) และภาพเคลื่อนไหว (Animation) โดยให้สามารถสื่อถึงความเป็นไทยในแง่มุมต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน เช่น ความสวยงามทางธรรมชาติของประเทศไทย การท่องเที่ยวชุมชน ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชาวไทย อาหารไทย ความสามัคคีและความมีน้ำใจของคนไทย เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการขยะและลดปริมาณขยะทั้งระบบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เช่น การลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่มีการใช้วัตถุดิบรีไซเคิล เป็นต้น เพื่อแก้ไขปัญหาขยะให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป ๒.๓ ให้ทุกส่วนราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการ/คณะทำงานชุดต่าง ๆ ที่แต่งตั้งขึ้นตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี และปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ พิจารณาทบทวนรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการ/คณะทำงาน เช่น อำนาจหน้าที่ องค์ประกอบ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของประธานและกรรมการ เป็นต้น ให้เหมาะสม สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการแต่งตั้ง รวมทั้งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วให้ดำเนินการให้ถูกต้องต่อไปตามแต่กรณี ๒.๔ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น เร่งรัดการดำเนินการซ่อมแซม/ก่อสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาอุทกภัยโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาจัดจ้างแรงงานในพื้นที่และนักเรียนอาชีวะที่ได้รับการฝึกอบรมเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน รวมทั้งขอความร่วมมือและการสนับสนุนจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
911 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "การศึกษาวิเคราะห์การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME" ของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME” ซึ่งกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้ว โดยมีความเห็นไม่ขัดข้องกับรายงานการพิจารณาศึกษาดังกล่าว และได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เช่น กระทรวงการคลังได้มีมาตรการเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจมาอย่างต่อเนื่อง กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดสรรวงเงินส่วนหนึ่งจากกองทุนพัฒนา SMEs ไปจัดทำโครงการฟื้นฟูและเสริมศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสำหรับ Micro SMEs และกระทรวงพาณิชย์ส่งเสริมให้ธุรกิจใช้ทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
912 | ร่างพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขให้ไม้ทุกชนิดในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้าม การทำไม้ไม่ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่อีกต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้แก่ (๑) การมอบอำนาจให้สถาบัน/องค์กรอื่นเป็นผู้ออกหนังสือรับรองไม้ที่ขึ้นหรือปลูกขึ้นในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน และการออกหนังสือรับรองไม้ เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แทนกรมป่าไม้ ควรจะต้องได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลและเป็นที่ยอมรับของประเทศคู่ค้า (๒) การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นคำขอและออกหนังสือรับรองฯ ควรคำนึงถึงการออกหนังสือรับรองผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless) เพื่อให้สอดรับกับระบบการขอรับใบอนุญาตหรือหนังสือรับรองการส่งออกสินค้าไม้ด้วยวิธี Paperless ของกระทรวงพาณิชย์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (๓) ควรมีกระบวนการกำกับดูแลการทำไม้ที่เป็นไม้หวงห้ามซึ่งขึ้นในป่าแล้วแอบอ้างว่าเป็นการทำไม้จากที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๔) ควรเร่งกำหนดมาตรการและกลไกการตรวจสอบแหล่งที่มาของไม้หวงห้าม เพื่อให้สามารถระบุได้ชัดเจนระหว่างไม้หวงห้ามที่เกิดขึ้นอยู่ในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินกับไม้หวงห้ามในพื้นที่ป่าของรัฐ เพื่อป้องกันปัญหาการสวมตอในอนาคต และ (๕) การแก้ไขให้ไม้ทุกชนิดในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้าม อาจก่อให้เกิดปัญหาในการลักลอบตัดไม้ในเขตที่ดินของรัฐ แล้วนำมาสวมเป็นไม้ในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน จึงควรต้องมีมาตรการในการป้องกันปัญหาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
913 | รายงานผลการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศสร่วมกับคณะนายกรัฐมนตรีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศสร่วมกับคณะนายกรัฐมนตรี ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเยือนสหราชอาณาจักร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เข้าพบหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ของสหราชอาณาจักร เช่น สภาผู้นำนักธุรกิจไทย-สหราชอาณาจักร (Thai-UK Business Leadership Council : TUBLC) และได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างภาครัฐและเอกชนของไทย กับหน่วยงานและภาคธุรกิจของสหราชอาณาจักร รวม ๖ ฉบับ เช่น ความตกลงระหว่างกระทรวงพาณิชย์และ Tesco PLC โดย Tesco นำสินค้าจากเกษตรกร/SMEs ไทยมาร่วมพัฒนากับ Tesco Innovation Centre และนำมาส่งเสริมการจำหน่ายในต่างประเทศ รวมถึงสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานและกล่าวเปิดงาน Showcasing Thailand Kitchen of the World และมอบประกาศนียบัตร Thai Select ให้แก่ร้านอาหารในสหราชอาณาจักร จำนวน ๒๙ ร้าน รวมทั้งได้พบปะกับหน่วยงานสำคัญ เช่น British Council เพื่อรับฟังข้อมูลการดำเนินการและโครงการเกี่ยวกับการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy) และแนวทางความร่วมมือซึ่งจะพิจารณานำจุดแข็งของสหราชอาณาจักรมาช่วยสนับสนุนในด้านที่ไทยต้องการ เป็นต้น ๒. การเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เข้าร่วมการประชุมภาคธุรกิจไทยในสาธารณรัฐฝรั่งเศสกับนายกรัฐมนตรี และได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างภาครัฐและเอกชนของไทยกับหน่วยงานและภาคธุรกิจของสาธารณรัฐฝรั่งเศส รวม ๔ ฉบับ เช่น ความตกลงระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับหอการค้านานาชาติ และหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย เรื่อง ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการค้าระหว่างประเทศและการพัฒนาผู้ประกอบการไทย และได้เป็นประธานมอบตราสัญลักษณ์ Thai Select ให้แก่ร้านอาหารในสาธารณรัฐฝรั่งเศส จำนวน ๑๒ ร้าน รวมทั้งได้พบปะกับหน่วยงานสำคัญ เช่น หอการค้านานาชาติ ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส โดยมีแนวคิดหลัก คือ การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สนับสนุนการค้าเสรี และต่อต้านการใช้นโยบายปกป้อง เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
914 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทางรวมประมาณ ๓๒๓ กิโลเมตร วงเงินลงทุนรวม ๘๕,๓๔๕ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอและตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ ให้โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๖๐ (เรื่อง การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ) เพื่อให้การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของโครงการฯ มีความโปร่งใสและเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล ๑.๒ ปรับกรอบระยะเวลาในการเปิดให้บริการรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ จากเดิมที่แจ้งว่า จะเปิดให้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็น เปิดให้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสถานการณ์ในปัจจุบัน ๑.๓ ให้ รฟท. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. ต้องดำเนินการให้เกิดความชัดเจนก่อนดำเนินโครงการฯ นี้ ใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) การจัดทำแนวทางพัฒนาโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งในพื้นที่ที่ชัดเจน (๒) การจัดทำแผนบูรณาการเส้นทางการคมนาคมของประเทศ (๓) การจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวที่ได้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ และ (๔) การจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม ๒. ให้กระทรวงคมนาคม รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม เช่น การจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่ระบุไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างเคร่งครัด การสร้างความเข้าใจและชี้แจงความจำเป็นของการดำเนินโครงการกับประชาชนในพื้นที่หรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ และการเร่งจัดหาขบวนรถไฟและตู้สินค้าให้เพียงพอและสอดคล้องกับความต้องการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคำนึงถึงเป้าหมายและประเด็นในการพัฒนาจังหวัดตามแนวเส้นทางของโครงการฯ และจังหวัดใกล้เคียงตามแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแล้วเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์แผนพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวให้ทราบโดยทั่วกันควบคู่ไปกับการส่งเสริมทางการตลาดและการพัฒนาคุณภาพของการให้บริการด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เช่น พิจารณาทบทวนออกแบบสถานีของโครงการฯ ให้มีขนาดและรูปแบบที่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณผู้โดยสารและสินค้าที่ได้ประมาณการไว้ เพื่อให้การใช้เงินลงทุนโครงการฯ อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. สร้างการรับรู้และชี้แจงเหตุผลความจำเป็นของการดำเนินโครงการฯ กับประชาชนในพื้นที่ที่ดำเนินโครงการฯ หรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ ให้ถูกต้องและทั่วถึง เพื่อป้องกันปัญหาการร้องเรียน/คัดค้านต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการฯ ๖. สำหรับแนวทางการรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยค่าเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ค่าจ้างที่ปรึกษาสำรวจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเวนคืน และค่าจ้างที่ปรึกษาในการประกวดราคา วงเงินรวม ๑๐,๘๒๐ ล้านบาท ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้กับ รฟท. ส่วนค่าก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง วงเงินรวม ๗๔,๕๒๕ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ที่เหมาะสม และให้ รฟท. กู้ต่อ โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. ๗. ในส่วนของการประกวดราคาจ้างก่อสร้างเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เสนอคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๖๐ (เรื่อง การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ) เพื่อพิจารณาวิธีการประกวดราคาโครงการฯ ที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ๘. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนของโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๙. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ ระยะที่ ๒ โดยให้จัดลำดับความสำคัญของการลงทุนพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่ โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณ ความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศ และศักยภาพของพื้นที่ เพื่อให้การลงทุนของภาครัฐมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งนำไปสู่เป้าหมายการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางและขนส่งสินค้าจากการพึ่งพาถนนเป็นหลักไปใช้การขนส่งทางรางที่มีต้นทุนต่ำกว่าต่อไป ๑๐. ในการจัดหาขบวนรถไฟสำหรับโครงการฯ นี้ (และโครงการอื่น ๆ ด้วย) ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการจัดหา โดยให้ผู้ประกอบการในประเทศที่มีศักยภาพเป็นผู้ดำเนินการแทนการจัดหาจากต่างประเทศทั้งหมด ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความเหมาะสม คุ้มค่า ประโยชน์ที่ได้รับ และการลดภาระงบประมาณด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
915 | รายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564) ประจำปี 2560 | กค | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ ๓ (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ประจำปี ๒๕๖๐ โดยได้ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๘ แผนงาน จาก ๔๖ แผนงาน ได้แก่ (๑) การพัฒนาระบบการชำระเงินสำหรับตลาดทุน (๒) การให้บริการระบบงานกลางสำหรับการซื้อขายกองทุนรวม (๓) การปรับกติการองรับรูปแบบการทำธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีแทนคน (๔) การศึกษาการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมและเป็นธรรมสำหรับตลาดทุนไทย (๕) การแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย (๖) การพัฒนาทักษะและความรู้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านตลาดทุนของไทย (๗) การอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการนำเงินไปลงทุนในประเทศ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV) และ (๘) กฎหมายเพื่อรองรับธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ส่วนแผนงานที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำการประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ผ่านตัวชี้วัดผลการดำเนินการ (KPI) ทั้งในระดับวิสัยทัศน์และระดับเป้าหมายหลัก ๔ ด้าน ในระยะครึ่งแผน (สิ้นปี ๒๕๖๒) เปรียบเทียบกับเป้าหมายในปี ๒๕๖๔ เพิ่มเติมต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มีการดำเนินการอื่น ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ ได้แก่ การจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนฯ การพัฒนาและกำกับดูแลตลาดทุนให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ลงทุนรายใหญ่และรายย่อย กลไกในการประสานความร่วมมือในการพัฒนาและกำกับดูแลตลาดการเงินในภาพรวม และการพิจารณาศึกษาผลกระทบและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามแผนงานภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ ๓ (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้บรรลุผลโดยเร็วตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
916 | การยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นจุดผ่านแดนถาวร | นร08 | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินการยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นจุดผ่านแดนถาวร มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยว การค้า การลงทุน การขนส่ง ศิลปวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ เช่น ควรให้ความสำคัญในการบูรณาการการปฏิบัติของหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามที่มาพร้อมกับความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความมั่นคงร่วมกันของทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป และกรณีมีความจำเป็นต้องก่อสร้างหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ บริเวณชายแดน ให้ประสานกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนดำเนินการ โดยการบริหารจัดการชายแดนบริเวณดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามแนวทางและมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการการจัดทำแผนเพื่อรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ ปัญหาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของชุมชน ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และปัญหาการบุกรุกพื้นที่ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมนำประเด็นเกี่ยวกับการเปิดสำนักงานประสานงานแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดน อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ในแผนบริหารจัดการพื้นที่รองรับการยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นจุดผ่านแดนถาวร ไปประสานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปตามแผนที่กำหนดไว้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการเชื่อมโยงการท่องเที่ยว การค้า การลงทุน การขนส่ง ศิลปวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เช่น การก่อสร้างถนนและจุดเปลี่ยนช่องจราจรโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แผนงาน/โครงการในการบริหารจัดการพื้นที่ เป็นต้น ๔. กรณีมีความจำเป็นต้องก่อสร้างหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ บริเวณชายแดนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนการดำเนินการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนหรือกระทำกิจการใด ๆ ตามบริเวณชายแดน) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ (เรื่อง การระงับการก่อสร้างถนนบริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จังหวัดสุรินทร์) ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๕. สำหรับการดำเนินการในระยะต่อไป ที่มีแผนจะดำเนินการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมและการก่อสร้างถนนซึ่งมีพื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
917 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 3 | พณ | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๓ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ ๒-๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดทิศทางการปฏิสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-เวียดนาม และแนวทางการจัดทำความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกันหรือเอื้อประโยชน์ต่อกัน ๑.๒ หากในการประชุมฯ มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากประเด็นในท่าทีดังกล่าวอันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทยกับเวียดนาม โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ขอให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมฯ สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุมฯ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (ถ้ามี) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรมีการผลักดันให้เวียดนามยกเลิกมาตรการการนำเข้ารถยนต์ของเวียดนาม (DECREE 116) และในความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างไทยและเวียดนามและภายในอนุภูมิภาค ควรให้หยิบยกประเด็นการร่วมกันผลักดันให้ สปป.ลาว เร่งรัดการควบรวมเส้นทางหมายเลข ๑๒ ใน สปป.ลาว รวมทั้งสะพานข้ามแม่น้ำโขงนครพนม-แขวงคำม่วน และเส้นทางเชื่อมต่อสะพาน (ต่อกับเส้นทางหมายเลข ๘) เข้าไว้ในพิธีสาร ๑ ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross Border Transport Agreement : CBTA) โดยให้เป็นผลลัพธ์การหารือสำหรับการประชุมฯ นอกจากนี้ ให้คณะกรรมการร่วมทางการค้าสนับสนุนให้มีการหารือระหว่างหน่วยงานไทยและเวียดนามที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงินการธนาคารเป็นประจำ เพื่อต่อยอดไปสู่ความร่วมมือด้านการเงินการธนาคารที่เข้มแข็งภายในภูมิภาคและตอบสนองต่อนวัตกรรมทางด้านการเงินที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
918 | ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560-2564 | ทส | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ มีการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนา คือ “การบริหารจัดการทรัพยากรแร่แบบองค์รวมเพื่อสนับสนุนวัตถุดิบให้เป็นฐานการผลิตเพื่อการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิต เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน” โดยวางแนวนโยบายการบริหารจัดการแร่ในระยะ ๒๐ ปี ไว้ดังนี้ (๑) ประเทศมีความมั่นคงของฐานทรัพยากรแร่และวัตถุดิบเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (๒) การนำแร่มาใช้ประโยชน์ต้องมีดุลยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน (๓) การพัฒนากลไกในการอนุมัติอนุญาตให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ลดความซ้ำซ้อน การปรับปรุงระบบการจัดสรรผลประโยชน์ให้มีความเป็นธรรม และการเยียวยาปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามหลักความรับผิดชอบ และ (๔) การเสริมสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จ ๑.๒ แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ มีการกำหนดประเด็นยุทธศาสตร์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาให้มีความเชื่อมโยง สอดคล้อง สัมพันธ์ และส่งเสริมกับการปฏิรูปและขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การจำแนกเขตแหล่งแร่ เพื่อกำหนดพื้นที่แหล่งแร่อุดมสมบูรณ์และพื้นที่แหล่งแร่ เศรษฐกิจ เพื่อให้มีการรักษา ใช้ทรัพยากรแร่อย่างรอบคอบ ใช้ประโยชน์เท่าที่จำเป็นและคุ้มค่าสูงสุด ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การกำหนดนโยบายบริหารจัดการแร่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิดความมั่นคงของฐานทรัพยากรแร่ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีความมั่นคั่งภายใต้ดุลยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนากลไกระบบอนุญาตประทานบัตร ระบบหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บค่าภาคหลวงแร่ และระบบกำกับ ดูแล ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลการดำเนินงาน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ การเสริมสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเกี่ยวกับการบริหารจัดการแร่ของประเทศ โดยทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมทุกขั้นตอน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการแร่อย่างสมดุลและยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข เช่น การกำหนดนโยบายบริหารจัดการแร่ ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าและบริการในชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย และก่อนยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการสำรวจแร่หรือการทำเหมืองแร่ การพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตต่าง ๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศเป็นไปอย่างสอดคล้องและสนับสนุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณี ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติชุดใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นำความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการกำหนดพื้นที่เพื่อเป็นเขตอุตสาหกรรมสำหรับการทำเหมืองแร่และการจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรแร่ ควรนำประเด็นดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเพื่อพิจารณาว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปรับรายละเอียดของยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ หรือไม่ก่อนที่จะนำไปสู่กระบวนการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ ที่เสนอในครั้งนี้ ยังไม่ได้มีการกำหนดอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ใดสามารถใช้ดำเนินการทำเหมืองแร่ได้ พื้นที่ใดควรเป็นพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ หรือพื้นที่ใดที่เป็นพื้นที่เพื่อการสำรวจ ศึกษา วิจัยสำหรับการทำเหมืองแร่ในอนาคตได้ จึงควรนำประเด็นดังกล่าวเสนอคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติชุดใหม่เพื่อประกอบการพิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
919 | การขอความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 51 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสาร จำนวน ๑๐ ฉบับ ซึ่งจะมีการรับรอง (โดยไม่มีการลงนาม) ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๑ และการประชุมรัฐมนตรีอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓๑ กรกฎาคม-๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ประกอบด้วย (๑) ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๑ (๒) ร่างแถลงการณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๓) ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการสนับสนุนสตรี สันติภาพ และความมั่นคงในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ARF) (๔) ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการบิน : ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน (๕) ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติ (๖) ร่างรายการกิจกรรมที่เป็นทางการ (Track 1) สำหรับปีกิจกรรม ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๐ ของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (๗) แผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้านความมั่นคงทางทะเล ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๐ (๘) แผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้านการไม่แพร่ขยายและการลดอาวุธ (๙) แผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้านการทูตเชิงป้องกัน และ (๑๐) แผนการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้านการบรรเทาภัยพิบัติ ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๐ โดยการร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวจะเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมของประเทศไทยในการสนับสนุนการดำเนินงานต่าง ๆ ในกรอบอาเซียน รวมทั้งการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจาในกรอบต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างและส่งเสริมผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคงของประเทศไทย รวมถึงการร่วมกันแก้ไขปัญหาท้าทายที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยและภูมิภาคในภาพรวม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ในร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๑ ควรเพิ่มเติมเรื่องการพัฒนามาตรการป้องกันการฟอกเงินผ่านนวัตกรรมทางการเงิน และการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์และการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการเร่งรัดความร่วมมือเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทชนิดใหม่ในอนุภูมิภาค ตลอดจนการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาลข้อมูลทางดิจิทัลเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (๒) ในร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติ ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate resilience) โดยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ (Economic instrument) และ (๓) ในร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการสนับสนุนสตรี สันติภาพและความมั่นคงในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ควรเพิ่มเติมประเด็นการสนับสนุนบทบาทสตรีในการมีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารและการตัดสินใจในทุกระดับเพื่อพัฒนาการด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
920 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๐ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้มีการจัดตั้งตลาดกลางเพื่อเป็นศูนย์กลางการขายส่งสินค้าเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ระหว่างผู้ผลิต/เกษตรกรและผู้จำหน่ายสินค้าปลีกในพื้นที่ให้ครบทุกจังหวัดภายในปี ๒๕๖๑ โดยพิจารณากำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสม และพิจารณานำกลไกประชารัฐมาสนับสนุนการดำเนินการด้วย นั้น เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนมากขึ้นและส่งเสริมให้เกิดตลาดประชารัฐอย่างยั่งยืน ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายการดำเนินการของตลาดดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงการค้าปลีกและค้าส่งสินค้าเกษตร สินค้าประมง และสินค้าปศุสัตว์ และให้พิจารณาจัดระบบการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ให้เหมาะสม โดยให้พิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงตลาดในแต่ละภูมิภาคโดยใช้กลไกประชารัฐด้วย เช่น การส่งเสริมให้ประชาชนที่มียานพาหนะเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการขนส่งสินค้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ การสนับสนุนให้มีการซื้อขายสินค้าในรูปแบบออนไลน์ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการดังกล่าวข้างต้นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน ๑.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๑ และวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้มีการบริโภคน้ำนมข้าวให้มากยิ่งขึ้น และส่งเสริมสินค้าที่แปรรูปมาจากข้าวและให้เป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สามารถบริโภคผลิตภัณฑ์นมที่มาจากสัตว์ รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาวิจัยคุณค่าทางโภชนาการของน้ำนมข้าว นั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการผลิตน้ำนมข้าว โดยเพิ่มสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้นด้วย เช่น โปรตีน แคลเซียม ไอโอดีน เป็นต้น ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่จะมีการจัดการประกวด Miss Universe 2018 ขึ้นในประเทศไทยในช่วงปลายเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ประเทศไทยได้ในหลากหลายมิติทั้งในด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ นั้น ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ แก่ผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมงานตามความเหมาะสม เช่น การเยี่ยมชม การใช้สถานที่ การอำนวยการจราจรและความปลอดภัย เป็นต้น เพื่อให้การจัดงานและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดงานด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีศูนย์รับบริจาคหนังสือและสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ขึ้นที่ศูนย์ดำรงธรรมของทุกจังหวัด และให้นำหนังสือและสิ่งพิมพ์ดังกล่าวไปให้ห้องสมุดประชาชน โรงเรียนต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ตามความเหมาะสม เพื่อสนับสนุนและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสอ่านหนังสือดี มีประโยชน์ และเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาตนเองผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิตต่อไป
|