ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 47 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 921 - 940 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
921 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทรัพย์สินอื่นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... | พณ | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทรัพย์สินอื่นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ต้นไม้ตามบัญชีท้ายกฎหมายว่าด้วยสวนป่า เป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ ควรกำหนดประเภททรัพย์สินให้มีความชัดเจนแก่ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย การที่กำหนดให้ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ต้นไม้ ตามบัญชีท้ายกฎหมายว่าด้วยสวนป่าเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ซึ่งมีถึง ๕๘ ชนิด นั้น โดยที่คำว่า “เช่น” หมายถึง ยกตัวอย่างสิ่งซึ่งมีอยู่จำนวนมากที่นำมาแสดงได้ไม่หมด จึงมีผลทำให้เกิดความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดต้นไม้ดังกล่าว เพราะแสดงให้เห็นว่า นอกจากต้นไม้ตามบัญชีท้ายกฎหมายว่าด้วยสวนป่าเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้แล้ว ยังมีต้นไม้อื่นที่ยังมิได้กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงนี้ด้วย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
922 | แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 | กก | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ (อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และยโสธร) โดยมีแนวทางการพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ (๑) พัฒนาและยกระดับคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว สินค้า และบริการ ด้านการท่องเที่ยวให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน บนอัตลักษณ์ และความโดดเด่นของกลุ่มจังหวัด (๒) พัฒนาระบบคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในกลุ่มจังหวัด ทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ และทางราง (๓) พัฒนาและยกระดับศักยภาพของบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวภายในกลุ่มจังหวัด (๔) สร้างความสมดุลให้กับการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัด เน้นการส่งเสริม การเรียนรู้วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชน (๕) ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน และ (๖) ส่งเสริมและกระชับความร่วมมือการบูรณาการการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว พัฒนาความเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ และการอนุรักษ์ทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวในทุกมิติ ผ่านการขับเคลื่อนตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทาง/มาตรการในการดำเนินการเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านให้เข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องศึกษาและกำหนดแนวทางในการดำเนินการ “สร้างภาพจำใหม่” ให้แก่จังหวัดต่าง ๆ โดยให้พิจารณาปรับเรื่องเล่า (story) ที่เกี่ยวข้องของแต่ละจังหวัด และแนวทางการนำเสนอให้มีความทันสมัย น่าสนใจ และสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชุมชนในพื้นที่ที่ชัดเจน รวมทั้งให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความพร้อมและมีศักยภาพให้เป็น “การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูสุขภาพในชุมชน” เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจได้เข้ามาท่องเที่ยวและใช้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
923 | มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 ด้านการตลาด | พณ | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ด้านการตลาด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๒ โครงการ กรอบวงเงินงบประมาณ ๖๕,๐๑๖.๙๘ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี กรอบวงเงินงบประมาณ ๖๔,๕๐๙.๑๗ ล้านบาท และ (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยสถาบันเกษตรกร กรอบวงเงินงบประมาณ ๕๐๗.๘๑ ล้านบาท โดยภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการดำเนินการจริง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับวงเงินชดเชยส่วนต่างที่อาจจะเกิดขึ้น จำนวน ๒,๖๙๘.๕๐ ล้านบาท นั้น เห็นควรที่กระทรวงพาณิชย์และ ธ.ก.ส. ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องบริหารจัดการระบายข้าวที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยคำนึงถึงวิธีการและขั้นตอนที่มีความโปร่งใส ชัดเจน โดยนำข้าวที่ผ่านการตรวจนับปริมาณและมีการตรวจวิเคราะห์และจัดระดับคุณภาพแล้วมาระบายตามจังหวะเวลา และช่องทางที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ การกำหนดเกณฑ์ราคาขั้นต่ำจะต้องไม่เป็นการชี้นำราคาข้าวในตลาด รวมถึงจำกัดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการบริหารจัดการโครงการดังกล่าวอย่างรอบคอบ ตลอดจนมีการติดตามการดำเนินโครงการและพิจารณาทบทวนให้เหมาะสมกับสถาพการณ์ ทั้งนี้ หากได้ดำเนินการตามขั้นตอนและคำนึงถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบแล้ว และยังมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นก็ให้เสนอคณะรัฐมนตรีในโอกาสแรก ๑.๒ โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน กรอบวงเงินงบประมาณ ๕๗๒ ล้านบาท หากมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการค่าชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าในการเก็บสต็อกที่เสนอตั้งไว้ จำนวน ๑๗๑.๕๑๙๙ ล้านบาท เป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้กรมการค้าภายในปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๓ การดำเนินโครงการในภาพรวมดังกล่าวข้างต้นจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งดำเนินการอย่างโปร่งใส คำนึงถึงความคุ้มค่า ต้นทุนที่เหมาะสม ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ รวมถึงการลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในระยะยาว อันจะนำไปสู่เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของภาครัฐในภาพรวม โดยพิจารณาเป้าหมายและประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาบูรณาการการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องร่วมกันเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับโครงการที่ส่งเสริมให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นหรือดำเนินกิจกรรมทางการเกษตรรูปแบบอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ามากกว่าการปลูกข้าว และควรเชื่อมโยงข้อมูลการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีรายได้น้อยที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงการคลังด้วย เพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังกำกับดูแลโครงการสินเชื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างเคร่งครัดและไม่ก่อให้เกิดภาระทางด้านงบประมาณที่เพิ่มเติมจากกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ๔. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีติดตามและตรวจสอบการดำเนินการตามมาตรการฯ ให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินมาตรการฯ เป็นไปด้วยความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้รายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือนด้วย ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
924 | มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. 2561-2570 | อก | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับคณะทำงานพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) (D5) จัดทำขึ้นเพื่อให้เกิดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยสาระสำคัญของมาตรการฯ เป็นการกำหนดให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Hub) อย่างครบวงจรภายในปี ๒๕๗๐ การกำหนดมาตรการและการดำเนินการที่สำคัญ ๔ มาตรการ คือ (๑) มาตรการขจัดอุปสรรคการลงทุนและสร้างปัจจัยสนับสนุน ประกอบด้วย มาตรการเร่งด่วน และมาตรการสนับสนุน (๒) มาตรการเร่งรัดการลงทุนภายในประเทศ (๓) มาตรการกระตุ้นอุปสงค์ และ (๔) มาตรการสร้างเครือข่ายในรูปแบบของศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านชีวภาพ โดยใช้กลไกความความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) เป็นตัวขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรคำนึงถึงผลกระทบจากมาตรการขจัดอุปสรรคการลงทุนและสร้างปัจจัยสนับสนุนที่จะให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวน ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมอย่างไร และควรมีการวางแผนการบริหารจัดการผลผลิตในภาพรวมตลอดห่วงโซ่คุณค่า และคำนึงถึงภาพรวมการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพที่ประเทศไทยต้องการบรรลุผล เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มสูงบนพื้นฐานของการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย และควรมีการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
925 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และปัญหาอุปสรรค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การผลิตและการแจกจ่ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิ จากจำนวนผู้มีสิทธิได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งหมด ๑๑.๔๗ ล้านราย ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐-๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ มีผู้มีสิทธิมารับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว ๑๑.๐๖ ล้านราย (ร้อยละ ๙๖) ๑.๒ การวางเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture : EDC) จากเป้าหมายที่กำหนดจะวางเครื่อง EDC ณ จุดจำหน่ายสินค้าและบริการของหน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ๔๕,๖๕๕ เครื่อง ณ วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ได้วางเครื่องแล้ว ๓๐,๔๖๐ เครื่อง (ร้อยละ ๖๖) ๑.๓ การจ่ายเงินให้แก่หน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ได้จ่ายเงินแล้วรวม ๓๐,๗๑๖.๔๔ ล้านบาท ๑.๔ การใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกับรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และรถไฟฟ้า ได้พัฒนาระบบเพื่อรองรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามมาตรฐานกลางระบบตั๋วร่วม (แมงมุม) (Version 2.0) และกำหนดให้ผู้มีสิทธินำบัตรมา Reinitialize ที่สถานีรถไฟฟ้าได้ตั้งแต่วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เพื่อให้สามารถเริ่มใช้ชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วงได้ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ รวมทั้งจะขยายการให้บริการให้สามารถใช้ได้กับระบบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ และรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ๑.๕ ปัญหาอุปสรรค จากการลงพื้นที่ติดตามการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ๘ เดือนที่ผ่านมา ยังคงพบปัญหาร้านธงฟ้าประชารัฐทำผิดหลักเกณฑ์ ซึ่งสำนักงานคลังจังหวัดได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเพิกถอนการเป็นร้านธงฟ้าประชารัฐ และกรมบัญชีกลางได้สั่งการให้สำนักงานคลังจังหวัดเรียกคืนเครื่อง EDC จากเจ้าของร้านดังกล่าวแล้ว และจะไม่ให้วางเครื่อง EDC ของโครงการให้แก่ร้านค้าเหล่านี้ ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาเพิ่มช่องทางการชำระเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้มากยิ่งขึ้น เช่น การชำระเงินผ่าน QR code เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและประชาชนผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แล้วให้ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ในเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
926 | รายงานผลการพิจารณากำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมมิให้รถบรรทุกสินค้าบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นไปด้วยความเคร่งครัดของกระทรวงคมนาคม | คค | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณากำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมมิให้รถบรรทุกสินค้าบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นไปด้วยความเคร่งครัด ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) กรมทางหลวง กำหนดมาตรการป้องปราม มาตรการปราบปราม มาตรการประชาสัมพันธ์และรับเรื่องร้องเรียน และข้อเสนอแนะในการควบคุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินเพิ่มเติม (๒) กรมทางหลวงชนบท กำหนดมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานจัดทำข้อกำหนดในการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างและมาตรฐานความปลอดภัยในขณะก่อสร้าง และ (๓) กรมการขนส่งทางบก ดำเนินการควบคุม กำกับดูแลรถบรรทุกสินค้าตามกฎหมาย ตรวจสอบและจับกุมรถบรรทุกสินค้าที่จดทะเบียน และกำหนดมาตรการให้ใช้ประวัติการกระทำความผิดมาประกอบการพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น พิจารณากำหนดมาตรการเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของมาตรการในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมมิให้รถบรรทุกสินค้าบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และมาตรการในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น ด้านพลังงานเชื้อเพลิง ด้านภาษี เป็นต้น เพื่อส่งเสริมการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าจากถนนมาสู่ระบบราง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง การพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าภาระโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน แล้วรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
927 | การทบทวนแผนการดำเนินงานและกรอบงบประมาณ เพื่อใช้จัดงานนิทรรศการ World Expo 2020 Dubai ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) | ดศ | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแผนการดำเนินงานและกรอบงบประมาณ เพื่อใช้จัดงานนิทรรศการ World Expo 2020 Dubai ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๙๕๐,๕๒๙,๑๐๐ บาท ประกอบด้วย (๑) ค่าใช้จ่ายในการบริหารและเตรียมงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๖๐,๘๘๐,๙๐๐ บาท และ (๒) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดงานนิทรรศการ World Expo 2020 Dubai ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๘๘๙,๖๔๘,๒๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและคณะกรรมการจัดงาน World Expo 2020 Dubai รับไปพิจารณาทบทวนแนวคิดและรูปแบบในการนำเสนอนิทรรศการ World Expo 2020 Dubai ให้มีความเหมาะสม ทันสมัย และสามารถถ่ายทอดอัตลักษณ์ของความเป็นไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ดังนี้ ๒.๑ ในส่วนของพื้นที่จัดแสดงโซนที่ ๑ ให้เน้นการนำเสนอเกี่ยวกับพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ รวมถึงพระอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ควบคู่ไปกับการนำเสนอพระราชกรณียกิจที่สำคัญ ๆ ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ๒.๒ พิจารณาทบทวนการกำหนดพื้นที่การจัดนิทรรศการ World Expo 2020 Dubai ในแต่ละโซนใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยให้คำนึงถึงความเหมาะสม สอดคล้องเชื่อมโยงกันในภาพรวม ตั้งแต่ระดับโลก ภูมิภาคอาเซียน และประเทศไทย รวมทั้งให้พิจารณาจัดกลุ่มการนำเสนอผลงานในหัวข้อที่มีลักษณะใกล้เคียงเข้าไว้ด้วยกันด้วย เช่น การท่องเที่ยว อาหารไทย และวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทย เป็นต้น ๒.๓ พิจารณานำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ในการนำเสนอผลงานในการจัดนิทรรศการ World Expo 2020 Dubai เพื่อลดค่าใช้จ่ายค่าก่อสร้างชิ้นงานต่าง ๆ และทำให้การจัดนิทรรศการของประเทศไทยมีความทันสมัยและสามารถดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมงานจากนานาประเทศมากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คณะกรรมการจัดงาน World Expo 2020 Dubai และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรนำเสนอประเด็นการบริหารจัดการพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) ด้วย Actionable Intelligence Policy (AIP) และควรเพิ่มพื้นที่การจัดแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation : EECi) เช่น ศักยภาพด้านเทคโนโลยีและอวกาศของประเทศไทยที่พัฒนาขึ้นเอง คือ Versatile Operation System for Satellite Control and Administration (VOSSCA) เป็นต้น นอกจากนี้ แนวทางการบริหารจัดการกรอบงบประมาณ อาจมีการจัดสรรพื้นที่บางส่วนในคูหาประเทศไทยโดยเชิญภาคเอกชนรายใหญ่ที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมจัดการและบริหารพื้นที่ดังกล่าวตลอดช่วงระยะเวลาการเตรียมงานและช่วงการจัดงาน เพื่อให้การจัดงานเป็นไปตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่ให้คำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศเป็นสำคัญ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
928 | ขอความเห็นชอบข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ของไทยภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และการลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน | พณ | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ ๑๐ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ ๑๐ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน โดยข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ ๑๐ ของไทยฯ มีสาระสำคัญเป็นการผูกพันเปิดตลาดเพิ่มเติมจากข้อผูกพันฯ ชุดที่ ๙ โดยผูกพันเปิดตลาดบริการในรูปแบบที่ ๑ (การบริการข้ามพรมแดน) รูปแบบที่ ๒ (การบริโภคในต่างประเทศ) โดยไม่มีข้อจำกัด รูปแบบที่ ๓ (การจัดตั้งธุรกิจในประเทศ) โดยอนุญาตให้ผู้ให้บริการอาเซียนเข้ามาลงทุนถือหุ้นได้ถึงร้อยละ ๗๐ ตามเป้าหมายของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จำนวน ๖ สาขาย่อย ภายใต้บริการสาขาการสื่อสารและสาขาการขนส่ง โดยสาขาบริการที่ผูกพันเพิ่มเติมดังกล่าวไม่เกินกว่ากฎหมายปัจจุบัน และไม่มีผลให้ไทยต้องแก้กฎหมาย โดยไทยยังคงระบุข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดตามที่ระบุในข้อผูกพันฯ ชุดที่ ๙ ได้แก่ การกำหนดให้กรรมการบริหารต้องมีสัญชาติไทย บุคคลหรือตัวแทนนิติบุคคลผู้ขอใบอนุญาตต้องมีสัญชาติไทย และสงวนสิทธิไม่ให้ต่างชาติถือครองที่ดิน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบต่อไป ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างพิธีสารฯ แล้ว โดยอาเซียนได้กำหนดให้มีการลงนามพิธีสารฯ ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ ๕๐ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๖ สิงหาคม-๒ กันยายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างพิธีสารฯ ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารฯ มีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อร่างพิธีสารฯ และข้อผูกพันดังกล่าวแล้ว ๖. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการป้องกันการให้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างชาติ (นอมินี) เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายซึ่งจำกัดสิทธิไม่ให้คนต่างชาติถือหุ้นเกินเกณฑ์ที่กำหนด และดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ และลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง รวมทั้งเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจและสร้างจิตสำนึกให้คนไทยตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศจากการกระทำดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
929 | โครงการ "ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม" | ทส | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปริมาณขยะมูลฝอย ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และงดใช้โฟมบรรจุอาหาร โดยการดำเนินกิจกรรมร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการฯ ได้แก่ ๑.๒.๑ กิจกรรม : มาตรการลด และคัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงานภาครัฐ (๑) มอบหมายทุกหน่วยงานภาครัฐร่วมมือในการดำเนินงานพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ (๒) ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกำหนดให้ “ผลการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย” เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐ โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๒ และ (๓) ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกันพิจารณากำหนดเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการประเมิน ๑.๒.๒ กิจกรรม : รณรงค์ ทำความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยดำเนินงานพร้อมกันทั่วประเทศ ๑.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นเจ้าภาพหลักในการติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการดำเนินโครงการ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” ไปพิจารณาความเหมาะสมเพื่อกำหนดเป็นตัวชี้วัดเพิ่มเติมในการประเมินผลการปฏิบัติราชการประจำปีของหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐด้วย เพื่อส่งเสริมให้การขับเคลื่อนโครงการฯ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วน รวมทั้งบริษัท ห้างร้าน หรือสถานประกอบการต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการลดการใช้วัสดุที่ผลิตขึ้นจากพลาสติก เช่น การใช้ถุงพลาสติกใส่สินค้าเท่าที่จำเป็นและกระตุ้นให้ผู้ซื้อสินค้านำถุงผ้ามาใส่สินค้าเอง การให้ส่วนลดราคาสินค้า หรือมาตรการอื่น ๆ กรณีที่ลูกค้าไม่ใช้ถุงพลาสติก เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางกำหนดมาตรการทางการเงินหรือการคลังในการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือประชาชนที่สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกที่จะกลายเป็นขยะตกค้างที่ย่อยสลายได้ยาก เช่น การให้สิทธิพิเศษเพื่อลดหย่อนภาษีได้ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
930 | ร่างหนังสือยืนยันการยอมรับผลการเจรจาในกรณีพิพาทโควตาสัตว์ปีก ระหว่างจีน-สหภาพยุโรป (DS492) | พณ | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหนังสือยืนยันยอมรับผลการเจรจาในกรณีพิพาทโควตาสัตว์ปีกระหว่างจีน-สหภาพยุโรป (DS492) เพื่อที่กระทรวงพาณิชย์จะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป มีสาระสำคัญเป็นการแสดงการยอมรับผลการเจรจาทวิภาคีระหว่างสหภาพยุโรปกับจีนตามคำพิพากษาของคณะผู้พิจารณาข้อพิพาทที่ DS492 ภายใต้กระบวนการระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งสหภาพยุโรปตกลงที่จะจัดสรรโควตารายประเทศ (country-specific allocation) ให้แก่จีน โดยไม่กระทบต่อสิทธิของประเทศอื่นที่ส่งออกสินค้าและไม่กระทบต่อสิทธิเดิมของไทยภายใต้ WTO ทั้งนี้ สหภาพยุโรปและจีนจะตกลงกันเพื่อปรับแก้มาตรการภายในระยะเวลาที่เหมาะสม (reasonable period of time) ตามความเข้าใจว่าด้วยกฎและกระบวนการที่ใช้กับการระงับข้อพิพาท ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือยืนยันฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ให้กระทบต่อสิทธิเดิมของไทยภายใต้ WTO และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงแรงงาน ควรให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลระบบควบคุมการผลิตและมาตรฐานแรงงานในกระบวนการผลิตสินค้าที่ส่งออกไปยังตลาดสหภาพยุโรปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ผลิตรักษาคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าสัตว์ปีกของไทยเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดสินค้าสัตว์ปีกในสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดคู่ค้าที่สำคัญของไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
931 | แนวทางการแก้ไขปัญหามะพร้าว | พณ | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหามะพร้าว ตามมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาราคามะพร้าวภายในประเทศไม่ให้ตกต่ำตามอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช) โดยคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชมีมติ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดมาตรการห้ามนำเข้ามะพร้าวชั่วคราวในช่วงเวลา ๓ เดือน (สิงหาคม-ตุลาคม) ของปี ๒๕๖๑ และจะพิจารณาทบทวนสถานการณ์ว่ายังมีความจำเป็นหรือไม่ ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) แก้ไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้อำนาจของประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๑๑) พ.ศ. ๒๕๓๙ และ (ฉบับที่ ๑๑๕) พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยระบุว่า จะไม่พิจารณาออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิชำระภาษีตามพันธกรณีความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับภาษีนอกโควตา สำหรับการนำเข้ามะพร้าว พิกัดศุลกากร ๐๘๐๑.๑๒๐๐ (มะพร้าวทั้งกะลา) ๐๘๐๑.๑๙๑๐ (มะพร้าวอ่อน) และ ๐๘๐๑.๑๙๙๐ (มะพร้าวอื่น ๆ) ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ร่วมกันหารือและติดตามสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาความจำเป็นที่จะต่ออายุมาตรการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรดำเนินมาตรการตามที่จำเป็นและเหมาะสมเพื่อป้องกันการถูกร้องเรียนหรือฟ้องร้องว่ามีการดำเนินการขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
932 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านสังคม ดังนี้
๑. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคติดต่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลที่สำคัญ เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการเผยแพร่ความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ให้แก่นักเรียนให้ทั่วถึงอีกทางหนึ่งเพื่อสื่อสารไปยังผู้ปกครองและครอบครัวของนักเรียนต่อไป นั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานของรัฐอื่นเร่งขยายผลการดำเนินการป้องกันโรคไข้เลือดออกให้กว้างขวางมากขึ้น โดยให้พิจารณาเชิญชวนจิตอาสาจากทุกภาคส่วนเข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในพื้นที่สาธารณะ เช่น วัด โรงเรียน สถานที่ราชการ เป็นต้น ด้วย ๒. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพิ่มแหล่งการทำประมงในเขตประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเลซึ่งได้มีการเจรจาความร่วมมือด้านประมงไว้แล้ว เช่น บรูไนดารุสซาลาม กินี โดยให้เพิ่มเติมศรีลังกาซึ่งมีสัตว์ทะเลจำนวนมากด้วย นั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เร่งรัดการดำเนินความร่วมมือด้านการทำประมงกับศรีลังกาให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยให้เน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการทำประมง และการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่าง ๆ ตลอดจนสนับสนุนการค้าและการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนไทยในศรีลังกา ทั้งนี้ ให้กำหนดกลไกการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการเรื่องนี้ให้ชัดเจนด้วย ๓. เพื่อให้การจัดสวัสดิการในด้านที่พักอาศัยให้แก่ข้าราชการผู้มีรายได้น้อยกลุ่มต่าง ๆ เช่น ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร เป็นต้น เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น พิจารณากำหนดแนวทางการจัดสร้างที่พักอาศัย ตลอดจนหลักเกณฑ์การได้สิทธิเข้าพักอาศัยสำหรับข้าราชการดังกล่าว โดยให้คำนึงถึงรูปแบบของที่พักอาศัย ขนาดและทำเลที่ตั้งที่จะจัดสร้างให้เหมาะสม และให้พิจารณากำหนดแนวทาง/มาตรการรองรับเมื่อข้าราชการผู้ได้รับสวัสดิการด้านที่พักอาศัยดังกล่าวเกษียณอายุราชการ และจำเป็นต้องจัดหาที่พักอาศัยเป็นของตนเองด้วย ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
933 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นายสุพพัต อ่องแสงคุณ) | พณ | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุพพัต อ่องแสงคุณ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
934 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2561 (ครั้งที่ 24) | พณ | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๑ (ครั้งที่ ๒๔) และผลการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับฮ่องกง ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัศร) เป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๒๔ รัฐมนตรีการค้าเอเปคได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และพิจารณาแนวทางการดำเนินการของเอเปค ภายใต้แนวคิดหลัก คือ “การสร้างโอกาสอย่างทั่วถึงเพื่อเปิดรับอนาคตทางดิจิทัล” ใน ๔ หัวข้อหลัก ได้แก่ (๑) การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี (๒) การส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึงผ่านประเด็นดิจิทัล (๓) การส่งเสริมความเชื่อมโยงและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคในเชิงลึก และ (๔) วิสัยทัศน์สู่เอเปคภายหลังปี ๒๕๖๓ (ค.ศ. ๒๐๒๐) ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้กล่าวสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี โดยยึดถือกฎเกณฑ์ทางการค้าภายใต้ WTO และแก้ไขปัญหาทางการค้าโดยการหารือร่วมกัน และเห็นว่า เขตเศรษฐกิจควรให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการในประเด็นที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว รวมทั้งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง โดยเห็นว่าเอเปคควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงในพื้นที่ห่างไกล การส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างทั่วถึง และการสนับสนุนให้ MSMEs ใช้ช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจสู่ตลาดโลกในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และรักษาการเป็นส่วนร่วมในห่วงโซ่คุณค่าโลก ๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือทวิภาคีอย่างไม่เป็นทางการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และพัฒนาเศรษฐกิจฮ่องกง เพื่อหารือในประเด็นการค้าระหว่างกัน โดยฮ่องกงขอให้ช่วยสนับสนุนการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (HKETO) ประจำประเทศไทย ซึ่งไทยแจ้งว่าอยู่ระหว่างดำเนินการ และหวังว่าฮ่องกงจะส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการในระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) รวมทั้งได้ขอบคุณฮ่องกงที่เป็นผู้นำเข้าข้าวหอมมะลิรายสำคัญของไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
935 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. .... | นร | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จะช่วยส่งเสริมหรือสนับสนุนจากภาครัฐ และจะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบกิจการจากภาคเอกชนเข้ามาประกอบกิจการหรือดำเนินการเพื่อสังคมมากขึ้น ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ตัดร่างมาตรา ๒๙ (๑) เงินประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้ ออก ตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน และให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม เช่น การจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ตามมาตรา ๑๘ และกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ตามมาตรา ๒๙ ของร่างพระราชบัญญัติฯ จะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานหรือกองทุนหมุนเวียนอื่นที่จัดตั้งไว้แล้ว และมาตรา ๑๙ (๒) ของร่างพระราชบัญญัติฯ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม มีอำนาจการกู้ยืมเงินตามความเห็นชอบของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม นั้น ขอให้พิจารณาตามนัยมาตรา ๗ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กรณีการก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ที่จะได้รับ เป็นต้น นอกจากนี้ การกำหนดลักษณะของวิสาหกิจเพื่อสังคมที่กำหนดให้ต้องนำผลกำไรไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ กลับไปลงทุนในกิจการของตนเอง หรือใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมอื่น ๆ อาจทำให้ขาดความยืดหยุ่นและไม่สอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการสนับสนุนให้วิสาหกิจเพื่อสังคมสามารถขอรับเงินสนับสนุนจากผู้ลงทุนภาคเอกชน นอกเหนือจากการสนับสนุนของภาครัฐและเงินบริจาค ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง ขั้นตอนการจัดตั้งองค์การมหาชน) และให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
936 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับศรีลังกา | พณ | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับศรีลังกา และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยจะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ซึ่งร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับศรีลังกาและการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจร่วมกันอย่างยั่งยืน รวมถึงการเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันผ่านความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานการดำเนินงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงยุทธศาสตร์การพัฒนาและการค้าระหว่างประเทศของศรีลังกา เพื่อให้มีการติดตาม ประเมินผล และปรับปรุงการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพบรรลุผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
937 | แต่งตั้งข้าราชการการเมืองแทนตำแหน่งที่ว่าง (ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) (นางวิไลวรรณ ทัพวงศ์ศรี) | พณ | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นางวิไลวรรณ ทัพวงศ์ศรี เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
938 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนเมษายน 2561 | พณ | 03/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนเมษายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนเมษายน ๒๕๖๑ ด้านการส่งออกขยายตัวสูงขึ้นที่ร้อยละ ๑๒.๓ (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า ๑๘,๙๔๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปัจจัยสนับสนุน เช่น (๑) อุปสงค์ที่แข็งแกร่งในตลาดศักยภาพสอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องส่งผลให้การส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัวในระดับสูงกว่าเป้าหมาย (๒) ราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้นส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และ (๓) การส่งออกกระจายสู่ตลาดศักยภาพ และตลาดใหม่อื่น ๆ ได้มากขึ้น เป็นต้น ด้านการนำเข้าคิดเป็นมูลค่า ๒๐,๒๒๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๒๐.๔ (YoY) เป็นการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ เช่น เชื้อเพลิง สินค้าทุน และวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปเพื่อใช้ในการผลิตในประเทศ ส่งผลให้การค้าขาดดุล ๑,๒๘๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวที่ร้อยละ ๑๒.๒ (YoY) สินค้าที่มีการขยายตัวในระดับสูง ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก และน้ำมันกึ่งสำเร็จรูป ในขณะที่การส่งออกรายตลาดขยายตัวเกือบทุกตลาด ๒. แนวโน้มการส่งออกปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในเกณฑ์ดีและมีการกระจายตัวมากขึ้น โดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีพื้นฐานการขยายตัวแข็งแกร่งจากการจ้างงานและมาตรการกระตุ้นทางด้านภาษี กลุ่มประเทศยูโรโซน แนวโน้มขยายตัวในด้านการส่งออกและการปรับตัวของตลาดแรงงานอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นตามการสนับสนุนจากนโยบายการเงิน นอกจากนี้ เศรษฐกิจหลายประเทศในเอเชียขยายตัวได้ดีเช่นเดียวกัน อาทิ เศรษฐกิจจีน แนวโน้มยังไปได้ดีโดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกขยายตัวสูง ในขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่น มีแนวโน้มขยายตัวต่ำ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม การส่งออกยังขยายตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีอันจะส่งผลดีต่อการส่งออกไทยที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
939 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดสินค้าต้องห้ามส่งออก นำเข้า และนำผ่านตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กรณีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี พ.ศ. .... | พณ | 03/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดสินค้าต้องห้ามส่งออก นำเข้า และนำผ่านตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กรณีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดสินค้าต้องห้ามส่งออก นำเข้า และนำผ่านตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กรณีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี พ.ศ. ๒๕๖๑ ลงวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ และปรับปรุงประกาศดังกล่าวใหม่ โดยเพิ่มเติมรายการสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี เพิ่มเติมรายการสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร รวมทั้งกำหนดให้สินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออก ห้ามนำเข้า และห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังกองกำลังติดอาวุธ เพื่อใช้สนับสนุนกองกำลังติดอาวุธของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๓๗๑ (ค.ศ. ๒๐๑๗) ที่ ๒๓๗๕ (ค.ศ. ๒๐๑๗) และ ที่ ๒๓๙๗ (ค.ศ. ๒๐๑๗) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับความคลาดเคลื่อนของการกำหนดพิกัดศุลกากรในบัญชีท้ายร่างประกาศฯ ในบางรายการ รวมทั้งในร่างประกาศฯ ยังไม่ครอบคลุมสินค้าบางรายการ ได้แก่ อุปกรณ์กีฬาเพื่อการนันทนาการ และสิ่งของทั่วไปที่อาจไม่ได้อยู่ในขอบข่ายของสินค้าที่ใช้ได้สองทางโดยตรง รวมทั้งเห็นควรกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามพันธกรณีของข้อมติฯ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
940 | การยกระดับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 | วท | 03/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์กลางในการบริหารองค์การมหาชนที่เป็นหน่วยงานด้านการวิจัยทั้งระบบ (รวมถึงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทน การประเมิน และการบริหารงานของคณะกรรมการองค์การมหาชน) โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ และคณะอนุกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เช่น ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หาแนวทางสนับสนุนให้ผู้ปฏิบัติงานมีขีดความสามารถด้านวิจัยสูงขึ้น และให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์กลางในการบริหารองค์การมหาชนที่เป็นหน่วยงานด้านการวิจัยทั้งระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยในการนำเสนอให้แบ่งเป็นระยะ ๆ ตามความจำเป็นเร่งด่วนของแต่ละหน่วยงาน ๒. เห็นชอบในหลักการของการพัฒนานวัตกรรมตามความต้องการของภาครัฐ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดในการจัดทำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนานวัตกรรมตามความต้องการของภาครัฐ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เช่น ควรคำนึงถึงประชาชนหรือกลุ่มผู้รับประโยชน์เป็นเป้าหมายหลัก และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารืออย่างใกล้ชิดกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมในทุกระดับของหน่วยงานในระบบวิจัยและผู้ใช้ประโยชน์ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแนวทางการจัดตั้ง Holding Company ที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบเอกชน ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๓๔ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเช่น ควรศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ สวทช. สำหรับการจัดตั้ง Holding Company ที่ดำเนินการในรูปแบบเอกชน และควรคำนึงถึงการนำระบบธรรมาภิบาลมาใช้ในการกำกับดูแลกิจการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของงานวิจัยและนวัตกรรมต่าง ๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้เป็นข้อมูลในการกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนการยกระดับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมของประเทศให้เหมาะสมและมีความยั่งยืนต่อไป |
.....