ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 48 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 941 - 960 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
941 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น จัดทำแผนการพัฒนาท่าเรือเพื่อเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าและการค้าขายในภาพรวมของประเทศ โดยให้ครอบคลุมทั่งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย โดยให้เร่งจัดทำแผนฯ ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ให้รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนในพื้นที่เพื่อประกอบการจัดทำแผนฯ รวมทั้งให้สร้างการรับรู้แก่สาธารณชนให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศชาติจะได้รับเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการและรายงานผลการปฏิรูปการศึกษาในประเด็นต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการปฏิรูปการศึกษาดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในคราวประชุมครั้งต่อไป ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเด็กนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และบุคลากรทางการศึกษา หลักสูตรและตำราเรียน การศึกษานอกระบบ การอาชีวศึกษา การปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงาน การปรับปรุงกระบวนการทำงาน เป็นต้น ๒.๒ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเพื่อการปฏิรูปตำรวจต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงการปฏิบัติงานภายในองค์กร การแต่งตั้งโยกย้าย กลไกการรับเรื่องร้องเรียน การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบและการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจ เป็นต้น ๒.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ดำเนินการสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลการทำการเกษตรในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศที่อาจก่อให้เกิดผลเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือทำให้เกิดการบุกรุกและตัดไม้ทำลายป่า โดยให้นำข้อมูลจากระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) มาใช้ประกอบการดำเนินการด้วย พร้อมนี้ให้พิจารณากำหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเป็นรูปธรรม แล้วให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
942 | ร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เพิ่มเติม) สำหรับการจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย - ปากีสถาน และ ไทย - ตุรกี | พณ | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) (เพิ่มเติม) ไทย-ปากีสถาน และ FTA (เพิ่มเติม) ไทย-ตุรกี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจาจัดทำ FTA ไทย-ปากีสถาน และ ไทย-ตุรกี ต่อไป โดยปากีสถานเสนอเป็นเจ้าภาพการประชุมเจรจาจัดทำ FTA ไทย-ปากีสถาน ครั้งที่ ๑๐ ภายในปี ๒๕๖๑ และไทยจะเป็นเจ้าภาพการเจรจาจัดทำ FTA ไทย-ตุรกี ครั้งที่ ๔ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ตัดข้อความเกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับศรีลังกาในร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เพิ่มเติม) สำหรับการจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย-ปากีสถาน และ ไทย-ตุรกี ออก ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบการเจรจาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมเรื่องการระงับข้อพิพาท ต้องหลีกเลี่ยงกระบวนการอนุญาโตตุลาการ เพื่อป้องกันการเสียเปรียบของไทย โดยจะต้องแก้ไขข้อพิพาทผ่านการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อยุติ รวมทั้งควรพิจารณาเพิ่มเติมประเด็นการเจรจาที่เป็นประโยชน์ต่อไทย ได้แก่ การเปิดเสรีในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ โดยให้ความสำคัญกับสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพสูง อาทิ ผลไม้ และข้าว การเปิดเสรีบริการจัดส่งพัสดุภัณฑ์เพื่อสนับสนุนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้บริการทางการเงินและระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบรับรองผู้ซื้อผู้ขายที่มีมาตรฐาน การส่งเสริมความร่วมมือในการจัดมหกรรมสินค้าและบริการ และการลงทุนเพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้มากขึ้น รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างกัน โดยเน้นการให้ความช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสาขาที่ไทยเชี่ยวชาญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย-ปากีสถาน และ ไทย-ตุรกี จะมีการจัดทำความตกลงระหว่างกัน และเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบจากการจัดทำร่างความตกลงฯ ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
943 | รายงานผลการศึกษาธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเพื่อเตรียมความพร้อมในการยกร่างมาตรการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่เหมาะสมกับประเทศไทย | พณ | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการศึกษาธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเพื่อเตรียมความพร้อมในการยกร่างมาตรการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่เหมาะสมกับประเทศไทย ของมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) สรุปได้ว่า ประเทศไทยไม่มีความจำเป็นต้องออกกฎหมายค้าปลีกเพื่อกำกับควบคุมร้านค้าปลีกขนาดใหญ่หรือร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์พิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๖๐ จะช่วยกำกับดูแลพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมทางการค้าต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล สำหรับการพัฒนาผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อย กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำโครงการธงฟ้าประชารัฐ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ได้ นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาค้าส่งค้าปลีกไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืน และพัฒนาค้าปลีกชุมชนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันและเติบโตได้ตามนโยบายของรัฐบาล Thailand 4.0 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
944 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการอำนวยการร่วมตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้า และการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล ครั้งที่ 1 | พณ | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการอำนวยการร่วม (Joint Steering Committee : JSC) ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล ครั้งที่ ๑ ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JSC ไทย-บาห์เรน ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๓-๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร เพื่อให้คณะผู้แทนไทย ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานฝ่ายไทย โดยท่าทีไทยสำหรับการประชุม JSC ได้แก่ (๑) การจัดหาผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตรจากไทยไปบาห์เรน (๒) การส่งเสริมการค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร (๓) การอำนวยความสะดวกในด้านการค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร และ (๔) การขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมฮาลาลระหว่างไทยกับบาห์เรน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีการตกลงในเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากท่าทีไทยสำหรับการประชุมฯ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ อันเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับบาห์เรน และอยู่ภายใต้ขอบเขตของสาขาความร่วมมือภายใต้บันทึกความใจฯ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทรายภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการดำเนินการดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับประเด็นที่ผู้แทนไทยควรให้ความสำคัญกับท่าทีไทยในการเจรจาครั้งนี้ ได้แก่ การกำหนดขั้นตอนในกระบวนการสุขอนามัยของสินค้าเกษตรและอาหารที่ชัดเจนระหว่างทั้งสองประเทศ และการยอมรับมาตรฐานฮาลาลของไทย เพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ของบาห์เรน รวมทั้งการพัฒนาความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลตลาดและพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคบาห์เรน อันจะช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
945 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ติดตามการดำเนินโครงการติดตั้งเครื่องตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้แล้วเสร็จและใช้ปฏิบัติงานได้โดยเร็ว เพื่อให้การตรวจสอบบุคคลที่ผ่านเข้า-ออกประเทศไทยเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒. ด้านสังคม ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ให้กระทรวงสาธารณสุขสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคติดต่อต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลที่สำคัญ เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น โดยให้ข่าวสารทั้งในด้านสถานการณ์ ภาวะการระบาดของโรค และความรู้เกี่ยวกับการดูแลและป้องกันโรค รวมทั้งเฝ้าระวังและกำจัดพาหะนำโรคด้วย นั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการเผยแพร่ความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ให้แก่นักเรียนให้ทั่วถึงอีกทางหนึ่งเพื่อสื่อสารไปยังผู้ปกครองและครอบครัวของนักเรียนต่อไป ทั้งนี้ ให้พิจารณาใช้ช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ที่มีความสะดวกและรวดเร็วในการดำเนินการด้วย เช่น ใช้ระบบ QR code เป็นต้น ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เร่งรัดและติดตามการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ในการแก้ไขปัญหาการนำเข้าขยะที่เป็นพิษและก่อให้เกิดมลภาวาะภายในประเทศสูง เช่น ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ขยะปนเปื้อนกัมมันตรังสี เป็นต้น และให้พิจารณากำหนดมาตรการควบคุม ดูแล ตรวจสอบการนำเข้าขยะเหล่านี้ รวมทั้งการขนส่งขยะดังกล่าวไปยังโรงงานกำจัดขยะ และการกำจัดขยะให้ถูกต้องและเป็นไปตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ๓.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาคูคลองเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ โดยให้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น พิจารณาคัดเลือกคูคลองที่มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจได้ เช่น คลองที่เชื่อมโยงกับสถานที่สำคัญหรือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่เดิม เช่น ตลาดน้ำ เป็นต้น และให้เร่งรัดการพัฒนาคูคลองและพื้นที่บริเวณริมคลองดังกล่าวให้มีภูมิทัศน์ที่สะอาดและสวยงาม โดยการปลูกไม้ดอกและ/หรือไม้ประดับที่มีสีสันสวยงามตามสภาพพื้นที่ รวมทั้งให้มีการจัดกิจกรรมล่องเรือชมทัศนียภาพ และจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวให้เหมาะสมด้วย ทั้งนี้ ในการดำเนินการต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นให้ยึดหลักการที่ให้ประชาชนและชุมชนในพื้นที่มีความรู้ความเข้าใจและเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการให้มากที่สุดด้วย ๓.๓ ให้ทุกส่วนราชการนำหลักการ “บวร : บ้าน วัด โรงเรียน” มาเป็นแนวทางในการดำเนินการเผยแพร่องค์ความรู้และใช้เป็นแหล่งกระจายข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นทั่วประเทศได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาลที่มีความสำคัญ เช่น โครงการไทยนิยม ยั่งยืน กลไกประชารัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นต้น ทั้งนี้ การเผยแพร่ข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวให้มุ่งเน้นความถูกต้องและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ๓.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับและติดตามการดำเนินงานของกรุงเทพมหานครในการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องของการเดินรถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบพระชนมพรรษา (รถไฟฟ้า BTS) อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเพื่อให้สามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติ รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการเชิงป้องกันและเยียวยาแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
946 | รายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนมีนาคม 2561 | พณ | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยในเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๕ ติดต่อกัน อยู่ที่ระดับ ๑๐๘.๕ สูงขึ้นร้อยละ ๓.๖ (YoY) ชะลอลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับร้อยละ ๔.๓ ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ โดยสาขาบริการสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ การขายปลีก การเงิน การขนส่ง และที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สำหรับดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยในไตรมาสที่ ๑ ขยายตัวร้อยละ ๗.๘ เทียบกับร้อยละ ๑๐.๐ ในไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๐ โดยสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวสูงสุด ส่วนสาขาสำคัญอื่น ๆ ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี ทั้งการขายปลีก การขนส่ง การเงิน และอสังหาริมทรัพย์ ๒. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการรายสาขา ขยายตัว ๘ สาขา โดยสาขาที่ขยายตัวเร่งขึ้น ประกอบด้วย ๔ สาขา ได้แก่ กิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย การศึกษา บริการสุขภาพ และกิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ ส่วนสาขาที่ยังคงขยายตัวแต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้ามี ๔ สาขา ได้แก่ การขายส่งและการขายปลีก การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร ขณะที่สาขาที่หดตัวมี ๕ สาขา ประกอบด้วย การก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ กิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์ กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน และศิลปะ ๓. แนวโน้มภาวะการค้าภาคบริการในปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยสาขาบริการที่มีศักยภาพและแนวโน้มขยายตัวได้ดี ได้แก่ สาขาขายส่งและการขายปลีก ที่พักแรม บริการด้านอาหาร สาขาขนส่ง บริการทางการเงิน สาขาสุขภาพ และอสังหาริมทรัพย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
947 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการขอรวมธุรกิจ การขอวินิจฉัยล่วงหน้า และการขอคัดหรือรับรองสำเนาเอกสาร พ.ศ. .... | พณ | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการขอรวมธุรกิจ การขอวินิจฉัยล่วงหน้า และการขอคัดหรือรับรองสำเนาเอกสาร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการขอรวมธุรกิจ การขอให้วินิจฉัยล่วงหน้า และการขอคัดหรือรับรองสำเนาเอกสาร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
948 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2560/2561 | อก | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ในเขตคำนวณราคาอ้อย ๑ ๒ ๓ ๔ ๖ ๗ และ ๙ ในอัตรา ๘๘๐ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ ๕๒.๘๐ บาทต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ เท่ากับ ๓๗๗.๑๔ บาทต่อตันอ้อย ๑.๒ กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ในเขตคำนวณราคาอ้อย ๕ ในอัตรา ๘๓๐ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ ๔๙.๘๐ บาทต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ เท่ากับ ๓๕๕.๗๑ บาทต่อตันอ้อย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการในกรณีที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ให้เกิดความเป็นธรรมต่อเกษตรกรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สอดคล้องกับพันธกรณีที่ไทยมีอยู่กับต่างประเทศ และเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้เร่งดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยอ้อยและน้ำตาลทรายให้สอดคล้องกับแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๑ เรื่อง การแก้ไขปัญหากฎหมายเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ เช่น การพิจารณาแนวทางในการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การค้าน้ำตาลทรายของโลก และเร่งดำเนินการเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด มีความสอดคล้องกับข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการบริหารจัดการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทยในระยะยาวต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
949 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านสังคม ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น เพื่อดำเนินการกวดขันและจับกุมการเล่นการพนันที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการพนันให้สอดคล้องกับสภาวการณ์การเล่นการพนันในปัจจุบัน เช่น การจัดการพนันและเล่นการพนันออนไลน์ เป็นต้น และดำเนินการต่อไปโดยด่วน ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น ศึกษาและพัฒนาความร่วมมือด้านนวัตกรรมและการวิจัยกับประเทศที่มีศักยภาพในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการทำการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น รัฐอิสราเอล เพื่อนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาปรับใช้ในการพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการเพิ่มผลผลิต และมูลค่าสินค้าทางการเกษตรของไทย ทั้งนี้ ให้เผยแพร่องค์ความรู้ดังกล่าวไปสู่เกษตรกรเพื่อต่อยอดและนำไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพต่อไปด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการเปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวชาวเวียดนามเข้ามาประกอบอาชีพในประเทศไทยในสาขาที่มีความจำเป็นเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่กำหนดไว้แล้วในปัจจุบันในงานกรรมกร ในกิจการก่อสร้าง และกิจการประมงทะเล ๒. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับพืชเกษตรอย่างครบวงจร จำแนกเป็น พืชเศรษฐกิจ (ข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา อ้อย และข้าวโพด) พืชเพื่อการพาณิชย์ พืชเพื่อการบริโภค โดยแสดงให้เห็นถึงการดำเนินการที่เกี่ยวกับพืชแต่ละชนิดดังกล่าว ตลอดจนห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง เช่น พื้นที่การเพาะปลูก กระบวนการผลิต กระบวนการแปรรูป การจำหน่าย ความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ แนวโน้มราคาผลผลิต เป็นต้น และให้นำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการสร้างการรับรู้ให้แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วไปให้ถูกต้องและทั่วถึงเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการทำการเกษตรของเกษตรกรได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยนำเสนอข้อมูลดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
950 | ขอให้เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับการฟ้องร้องคดี | นร | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อเป็นการรักษาประโยชน์ของรัฐและเป็นการป้องกันความเสียหายใด ๆ อันอาจเกิดขึ้นจากการที่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการฟ้องร้องคดีต่าง ๆ จึงมีมติให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ดังนี้
๑. ในส่วนของคดีเกี่ยวกับการดำเนินโครงการจำนำข้าวเปลือก ซึ่งมีทั้งคดีความอาญาและคดีความแพ่งซึ่งใกล้จะหมดอายุความและอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อฟ้องร้องคดี นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร) และกระทรวงพาณิชย์ (องค์การคลังสินค้า) เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จทุกคดีโดยเร็ว แล้วส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุดอย่างช้าสุดภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ เพื่อดำเนินการฟ้องร้องคดีให้ทันภายในกำหนดอายุความ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีคดีใดที่ส่วนราชการเจ้าของเรื่องมีประเด็นที่เห็นควรจะประนีประนอม ยอมความ ไกล่เกลี่ย หรือตกลงให้เป็นไปตามคำร้องขอของคู่ความ ส่วนราชการเจ้าของเรื่องจะดำเนินการเช่นนั้นได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีเจ้าสังกัด หรือรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายก่อน แล้วแต่กรณี ๒. ในส่วนของคดีความอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อ ๑ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งที่เป็นเจ้าของเรื่องตรวจสอบและเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินการฟ้องร้องคดีทันภายกำหนดอายุความของคดีนั้น ๆ ทั้งนี้ หากส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐใดปล่อยปละละเลยจนคดีขาดอายุความ จะถือเป็นความบกพร่องของหัวหน้าส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐนั้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
951 | รายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2561 | พณ | 05/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการจัดสถานการณ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ (Special 301) ประจำปี ๒๕๖๑ โดยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative : USTR) ได้ประกาศผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศคู่ค้าตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ซึ่งประเทศไทยได้รับการปรับสถานะให้ดีขึ้นจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List : PWL) เป็นบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List : WL) เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยสหรัฐฯ แสดงความพอใจต่อนโยบายและผลการดำเนินการของประเทศไทย เช่น การให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบการคุ้มครองและป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจากระดับนโยบายสูงสุดของรัฐบาล การแก้ไขปัญหางานค้างสะสม การจดทะเบียนสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า เป็นต้น รวมทั้งมีข้อกังวล/ข้อเสนอแนะ เช่น การบังคับใช้กฎหมายที่ยังคงพบสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาประสานข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการทำงานให้เกิดผลอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านการค้าและการลงทุนของประเทศ และรักษาสถานะของประเทศไทยไว้ในบัญชี WL หรือผลักดันให้ประเทศไทยหลุดจากทุกบัญชีในอนาคต และควรเร่งดำเนินการแก้ไขข้อกังวลของสหรัฐฯ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าและนักลงทุนต่างชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอแนะในประเด็นต่าง ๆ ในรายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายในปี ๒๕๖๑ เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากทุกบัญชีตามผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
952 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 05/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านเศรษฐกิจ ดังนี้
๑. ตามที่ประธานสมาคมการค้า Air Business College พร้อมคณะนักธุรกิจจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกับสาธารณรัฐประชาชนจีนให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมให้นักลงทุนจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้ามาลงทุนในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) ๒. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๑ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการจัดทำความร่วมมือในด้านการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) กับสาธารณรัฐประชาชนจีนให้มากยิ่งขึ้น นั้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับติดตามให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งหน่วยงานรองรับการดำเนินการเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาดังกล่าวในรูปแบบองค์การมหาชนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
953 | รายงานผลการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 28/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๕ เมษายน ๒๕๖๑ เพื่อศึกษาแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากประเทศต้นแบบและนำแนวคิดมาปรับใช้กับประเทศไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้นำคณะเข้าพบหารือกับผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และเอกชนเฉพาะทางที่เกี่ยวข้อง โดยมีประเด็นสำคัญโดยสรุปคือ ภาครัฐควรมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวก กำหนดนโยบาย สร้างเครือข่าย เชื่อมโยงพื้นที่สร้างสรรค์ของเอกชน และสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมให้เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยจัดจ้างงานจากแหล่งภายนอก (outsource) และสนับสนุนให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มากขึ้น โดยปัจจัยความสำเร็จในการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์คือ การสร้างเวทีสาธารณะให้บุคคลจากต่างสาขาได้พบปะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แบ่งปันทักษะและประสบการณ์ (cross discipline) และผู้ประกอบการจะต้องได้รับการปลูกฝังแนวคิด (mindset) การทำธุรกิจแบบมืออาชีพ (entrepreneurship) เพื่อให้เข้าใจถึงการทำธุรกิจตามกลไกตลาด สะท้อนต้นทุน กำไรที่แท้จริง รู้จักคิด วิเคราะห์ วางแผน เพื่อขยายธุรกิจ และเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อ ๒. แนวทางการดำเนินการต่อไปของกระทรวงพาณิชย์ เช่น ร่วมมือกับองค์กรด้านการวิจัยนวัตกรรมทางนโยบาย (Nesta) ในการพัฒนาบุคลากรภาครัฐและยกระดับกระบวนการจัดทำนโยบาย เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจสร้างสรรค์สาขาต่าง ๆ มาเผยแพร่องค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการ นักออกแบบ นักคิด และนักสร้างสรรค์ชาวไทย ศึกษาวิเคราะห์ถึงมาตรการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อออกมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการและพื้นที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
954 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมีนาคม 2561 | พณ | 28/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทย การส่งออกของไทยในเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๗.๑ (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า ๒๒,๓๖๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๓ เมื่อรวมไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวร้อยละ ๑๑.๓ (YoY) ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ ๗ ปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น สินค้าอุตสาหกรรมของไทยมีการยกระดับเทคโนโลยีขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง และการส่งออกกระจายสู่ตลาดศักยภาพและตลาดใหม่อื่น ๆ ได้มากขึ้นตามแนวทางการสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และกระชับความสัมพันธ์เชิงรุก ด้านการนำเข้า คิดเป็นมูลค่า ๒๑,๐๙๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๙.๕ (YoY) โดยเป็นการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ เช่น สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน และวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปเพื่อใช้ในการผลิตในประเทศ ส่งผลให้การค้าเกินดุล ๑,๒๖๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านการส่งออกรายสินค้าและรายตลาด โดยสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวครั้งแรกในรอบ ๑๖ เดือน ที่ร้อยละ ๓.๓ (YoY) สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๓ ที่ร้อยละ ๗.๗ (YoY) และด้านการส่งออกรายตลาดยังคงขยายตัวได้ดีในทุกตลาดสำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และอาเซียน ขณะที่จีนกลับมาหดตัวจากปัจจัยระยะสั้น เนื่องจากฐานมูลค่าส่งออกปีก่อนอยู่ในระดับสูงและมาตรการควบคุมปริมาณส่งออกยางพาราทำให้ส่งออกน้อยลง ส่วนตลาดเอเชียใต้ แอฟริกา ตะวันออกกลางมีการขยายตัวในอัตราสูง ๒. แนวโน้มการส่งออกปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นตามอุปสงค์โลก และความสามารถในการปรับตัวของผู้ส่งออกไทย โดยสินค้าสำคัญที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ข้าว ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
955 | สรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการประจำเดือนเมษายน 2561 | พณ | 28/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการประจำเดือนเมษายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการเดือนเมษายน ๒๕๖๑ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๐๗ (YoY) เป็นการเพิ่มอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๐ และเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบ ๑๔ เดือน รวม ๔ เดือนแรกอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๗๕ ซึ่งเป็นอัตราที่อยู่ในกรอบคาดการณ์เงินเฟ้อของกระทรวงพาณิชย์ร้อยละ ๐.๗-๑.๗ จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาพลังงาน การเพิ่มขึ้นของสินค้าเกษตรบางตัว และกำลังการบริโภคเฉลี่ยของประชาชนที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ในขณะที่ต้นทุนราคาสินค้าอุตสาหกรรมโดยรวมยังชะลอตัว ๒. แนวโน้มสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปจะมีอัตราที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคบางส่วนเริ่มคาดการณ์สถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการว่าจะเพิ่มสูงขึ้นตามราคาพลังงาน ประกอบกับโครงการลงทุนของภาครัฐและเอกชนเริ่มดำเนินการได้เป็นรูปธรรม ส่งผลให้ความต้องการและราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในไตรมาสที่สองจะอยู่ในกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางที่รัฐบาลกำหนด ร้อยละ ๒.๕?๑.๕ และคาดว่าทั้งปีจะอยู่ในกรอบเงินเฟ้อที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ที่ร้อยละ ๐.๗-๑.๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
956 | การเสนอข้อมูลการต่ออายุโครงการ GSP ของสหรัฐฯ | พณ | 28/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อมูลการต่ออายุโครงการสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (Generalized System of Preference : GSP) ของสหรัฐฯ ซึ่งได้ประกาศต่ออายุโครงการ GSP แก่ประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนา อีก ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑-๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ รวมทั้งจำเป็นต้องทบทวนรายชื่อประเมินคุณสมบัติประเทศที่ได้รับสิทธิด้วย โดยได้ประกาศรายชื่อประเทศที่ต้องถูกทบทวนประเมินคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย และคาซัคสถาน เป็นต้น โดยไทยไม่อยู่ในรายชื่อดังกล่าว เนื่องจากไทยมีแผนปฏิบัติการด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองสิทธิแรงงาน และการปราบปรามและการบังคับใช้กฎหมาย และการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดี สภาผู้ผลิตสุกรสหรัฐฯ (National Pork Producers Council : NPPC) ได้ยื่นคำร้องขอให้ United States Trade Representatives (USTR) พิจารณาตัดสิทธิ GSP แก่ไทย เนื่องจากไทยไม่เปิดตลาดสินค้าให้แก่สหรัฐฯ อย่างเป็นธรรมและสมเหตุผลจากการที่ไทยห้ามนำเข้าเนื้อสุกรจากสหรัฐฯ ที่มีสารเร่งเนื้อแดง ซึ่ง USTR จะนำประเด็นดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาข้อเท็จจริงก่อนที่จะประกาศรับคำร้องในช่วงพฤษภาคม ๒๕๖๑ ต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การติดตามการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านการคุ้มครองสิทธิแรงงานของไทย และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างใกล้ชิด เพื่อประโยชน์ต่อการทบทวนประเมินคุณสมบัติประเทศที่ได้รับสิทธิ (Country Assessment) เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับสิทธิ GSP อย่างต่อเนื่อง และการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ในอนาคต อาทิ ขยายการค้าไปยังตลาดใหม่ ๆ และส่งเสริมผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนในประเทศที่ได้รับสิทธิดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
957 | การแต่งตั้งเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกดำรงตำแหน่งประธานองค์กรระงับข้อพิพาทของ WTO | พณ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก (WTO) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกให้ดำรงตำแหน่งประธานองค์กรระงับข้อพิพาทของ WTO โดยเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ที่ประชุมคณะมนตรีใหญ่ WTO ได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ให้ดำรงตำแหน่งประธานองค์กรระงับข้อพิพาทของ WTO มีวาระดำรงตำแหน่ง ๑ ปี ซึ่งตามแนวปฏิบัติของ WTO ประธานองค์กรระงับข้อพิพาทจะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีใหญ่ WTO ในปี ๒๕๖๒ ต่อไป ดังนั้น นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ จะเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับการไว้วางใจจากประเทศสมาชิกให้ดำรงตำแหน่งประธานองค์กรสูงสุดของ WTO ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
958 | สรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการประจำเดือนมีนาคม 2561 | พณ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการประจำเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๗๙ (YoY) ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๙ เช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ขยายตัวต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖๓ (YoY) โดยสาเหตุสำคัญของการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจากปัจจัยด้านการบริโภคและการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนในหมวดที่มิใช่อาหารสด รวมทั้งการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาหมวดผักสด โดยดัชนีราคาผู้บริโภค เพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๗๙ (YoY) จากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคากลุ่มพลังงาน และการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาของกลุ่มอาหารบางรายการ เช่น ผักสด (มะนาว กะหล่ำปลี) เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (กาแฟผงสำเร็จรูป ชาสำเร็จรูป) และอาหารสำเร็จรูปและข้าว ในขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต ลดลงร้อยละ ๑.๔ (YoY) จากการลดลงของดัชนีราคาในเกือบทุกหมวด โดยเฉพาะหมวดผลผลิตเกษตรกรรม เช่น อาหาร ผลิตภัณฑ์ยาง ไม้ เป็นต้น และหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า ยานพาหนะ เป็นต้น ส่วนดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ ๒.๗ จากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก หมวดซีเมนต์ หมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต และหมวดไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ๒. แนวโน้มสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการ อุปสงค์โดยรวมยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะอุปสงค์ในภาคนอกเกษตรที่เกิดจากการลงทุนต่าง ๆ ของประเทศ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมทั้งภาคบริการและการส่งออกที่ยังขยายตัวได้สูงอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาคเกษตร แม้ว่าจะยังคงมีปัญหากับราคาสินค้าเกษตรที่ยังหดตัว ส่งผลต่อรายได้และกำลังซื้อของประชาชนกลุ่มนี้ แต่ราคาสินค้าเกษตรสำคัญในเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะข้าวเปลือก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลังสด รวมทั้งอาหารทะเลบางชนิด ในขณะที่สินค้าเกษตรสำคัญอื่น ๆ ยังมีปัจจัยด้านผลผลิตและความต้องการที่ยังไม่สมดุล โดยคาดว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในปี ๒๕๖๑ จะสามารถปรับตัวเข้าสู่กรอบเป้าหมายนโยบายการเงินตามที่รัฐตั้งไว้ที่ร้อยละ ๒.๕?๑.๕ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ ๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
959 | รายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2561 | พณ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทย (Trade in Services Performance and Potential Index : TSPPI) เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๓ ติดต่อกัน อยู่ที่ระดับ ๑๐๖.๕ สูงขึ้นร้อยละ ๔.๙ (YoY) โดยสาขาบริการสำคัญที่ขยายตัวสูงขึ้น ได้แก่ การขายส่งและขายปลีก การเงินและการประกันภัย การขนส่งและสถานที่จัดเก็บสินค้า ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร โดยปัจจัยที่ทำให้ภาคบริการขยายตัว มาจากการขยายตัวสูงของจำนวนนิติบุคคลจดทะเบียนเพิ่มทุน มูลค่าส่งออกบริการ และดัชนีราคาหุ้นภาคบริการในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของมูลค่าทุนจดทะเบียนนิติบุคคลเพิ่มทุน จำนวนนิติบุคคลและมูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สุทธิ เงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ และความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SMEs ๒. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการรายสาขา มีสาขาภาคบริการที่ขยายตัว จำนวน ๘ สาขา โดยสาขาที่ขยายตัวเร่งขึ้น ได้แก่ การขายส่งและการขายปลีก การเงินและการประกันภัย การขนส่งและสถานที่จัดเก็บสินค้า ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และศิลปะ ส่วนสาขาที่ยังคงขยายตัวแต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ กิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์ และการศึกษา ขณะที่สาขาที่หดตัว ได้แก่ การก่อสร้าง ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร กิจกรรมด้านสุขภาพ กิจกรรมการบริหาร และกิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ ๓. แนวโน้มภาวะการค้าภาคบริการในปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสเห็นการปรับรูปแบบการบริการที่ชัดเจนมากขึ้น เพื่อรองรับยุคดิจิทัล สำหรับสาขาบริการที่มีศักยภาพและแนวโน้มขยายตัวได้ดี ได้แก่ สาขาการขายส่งและขายปลีก สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาสุขภาพ และสาขาอสังหาริมทรัพย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
960 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเยเมน | กต | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๔๐๒ (ค.ศ. ๒๐๑๘) ที่ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เพื่อต่ออายุมาตรการลงโทษสาธารณรัฐเยเมน โดยมีสาระสำคัญเป็นการห้ามการเดินทางและการอายัดทรัพย์สิน ตลอดจนข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องออกไปจนถึงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ๒. กรณีที่ UNSC ได้ออกข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษเกี่ยวกับสาธารณรัฐเยเมนเป็นประจำทุกปี และเนื้อหาของข้อมติใหม่มิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และหากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐเยเมน เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ถือปฏิบัติ และปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐเยเมน โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ต้องถูกมาตรการลงโทษ (ห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สิน) ให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (United Nations : UN) (http://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/2140) รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อ UN ต่อไป ทั้งนี้ UN จะปรับปรุงรายชื่อบุคคล องค์กรภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
|
.....