ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 50 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 981 - 1000 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
981 | ร่างพระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. .... | กห | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายขอบเขตการดำเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น “สำนักงานเทคโนโลยีป้องกันประเทศ” โดยเป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะซึ่งไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงบประมาณ เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์การร่วมทุนกับสำนักงานเทคโนโลยีป้องกันประเทศ การกำหนดแนวทางป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล และการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง ขั้นตอนการจัดตั้งองค์การมหาชน) และให้กระทรวงกลาโหมเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ เช่น การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะต่อไป รวมทั้งการใช้จ่ายเงินและการกู้ยืมเงินของสำนักงานเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
982 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2561 | พณ | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทย การส่งออกของไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ขยายตัวสูงสุดในรอบ ๗ ปี ที่ร้อยละ ๑๐.๓ (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า ๒๐,๓๖๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งออกกระจายสู่ตลาดศักยภาพและตลาดใหม่อื่น ๆ ได้มากขึ้น ด้านการนำเข้า คิดเป็นมูลค่า ๑๙,๒๒๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๖ (YoY) จากการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ เช่น สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน วัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปเพื่อใช้ในการผลิตในประเทศ และสินค้าอุปโภค ด้านการส่งออกรายสินค้าและรายตลาด โดยสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๖ ที่ร้อยละ ๐.๓ (YoY) โดยเฉพาะข้าว น้ำมันปาล์ม ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และไก่สดแช่แข็งและแปรรูป รวมทั้งการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๒ ที่ร้อยละ ๑๑.๕ (YoY) จากการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ และน้ำมันสำเร็จรูป ขณะที่การส่งออกสินค้าบางชนิดหดตัว เช่น ทองคำ และแผงวงจรไฟฟ้า ด้านการส่งออกรายตลาดยังคงขยายตัวได้ดีในทุกตลาดสำคัญ โดยเฉพาะญี่ปุ่น สหภาพยุโรป อาเซียน และตะวันออกกลาง ๒. แนวโน้มการส่งออกปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความสามารถในการปรับตัวของผู้ส่งออกของไทย และทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นตามอุปสงค์โลก สำหรับสินค้าสำคัญที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ข้าว ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
983 | สรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2561 | พณ | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภค เงินเฟ้อทั่วไป เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๔๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๖๘ (YoY) ในเดือนก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๘ ติดต่อกัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของความต้องการสินค้าและบริการของผู้บริโภค (Demand Pull) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งผลจากการดำเนินนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา โดยเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๖๑ (YoY) ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ปรับตัวลดลงร้อยละ ๑.๙ (YoY) และดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๙ (YoY) ๒. แนวโน้มสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการ การเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภค (ทั้งเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐาน) อย่างต่อเนื่อง สวนทางกับการลดลงต่อเนื่องของดัชนีราคาผู้ผลิต ประกอบกับเครื่องชี้วัดด้านการบริโภคภาคเอกชนต่าง ๆ ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในทิศทางชี้ว่าเศรษฐกิจในประเทศกำลังฟื้นตัวและมีอุปสงค์ในสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการดำเนินนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมาเริ่มส่งผลดี ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อในปี ๒๕๖๑ มีทิศทางที่เข้าสู่เป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ร้อยละ ๒.๕?๑.๕ มากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
984 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ 24 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ ๒๔ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์-๓ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัศร) เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๒๔ ที่ประชุมเห็นชอบประเด็นด้านเศรษฐกิจที่สิงคโปร์ในฐานะประธานอาเซียนปี ๒๕๖๑ เสนอให้สมาชิกอาเซียนร่วมกันดำเนินการให้สำเร็จในปี ๒๕๖๑ อาทิ การหาข้อสรุปความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน การจัดตั้งเครือข่ายนวัตกรรมในอาเซียน การจัดทำระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน การเชื่อมโยงระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียนให้ใช้งานได้จริง การลงนามความตกลงการค้าบริการของอาเซียน การยกระดับความตกลงด้านการลงทุนของอาเซียน และที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับผลการศึกษาของสำนักงานเลขาธิการอาเซียนเกี่ยวกับการประเมินประเทศ/กลุ่มประเทศที่แสดงความสนใจที่จะจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) กับอาเซียนในอนาคต ได้แก่ สหภาพยุโรป แคนาดา สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (EAEU) และกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก (Pacific Alliance) โดยที่ประชุมเห็นว่าการจัดทำความตกลง FTA กับประเทศคู่เจรจาของอาเซียนในอนาคตจะมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยอาเซียนควรใช้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เป็นแนวทางในการเจรจาที่อาเซียนจะต้องได้ประโยชน์มากขึ้นจาก FTA ที่ผ่านมา ๒. การประชุมระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า ที่ประชุมได้หารือการส่งเสริมความสัมพันธ์สองฝ่าย รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าการหารือคณะทำงานร่วมสองฝ่ายเพื่อจัดทำกรอบกำหนดขอบเขตการเจรจา FTA ระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป โดยที่ประชุมมอบให้คณะทำงานร่วมสองฝ่ายหารือกันต่อ เพื่อให้สามารถจัดทำกรอบกำหนดขอบเขตการเจรจาฯ ร่วมกัน และรายงานความคืบหน้าในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับกรรมาธิการยุโรปด้านการค้าครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นในปี ๒๕๖๒ ๓. การประชุมรัฐมนตรีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) สมัยพิเศษ ครั้งที่ ๔ ที่ประชุมย้ำความตั้งใจที่จะให้การเจรจา RCEP มีความคืบหน้าเพื่อให้สามารถสรุปผลได้อย่างมีนัยสำคัญในปี ๒๕๖๑ และมอบแนวทางการเจรจาในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า และการแข่งขัน โดยขอให้สมาชิกมุ่งเน้นการเจรจาสองฝ่าย (Request & Offer Process) พร้อมปรับปรุงข้อเสนอเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุนที่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสมาชิก เพื่อให้การเปิดตลาดเป็นไปอย่างมีนัยสำคัญเชิงพาณิชย์ ๔. การหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัศร) กับผู้แทนสภาธุรกิจอาเซียน-สหภาพยุโรป (EU-ABC) และสมาคมพันธมิตรธุรกิจยุโรป-อาเซียน (Europe-ASEAN Business Alliance : EABA) โดยได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการค้าการลงทุนของไทย โอกาสการขยายธุรกิจในไทย และแนวทางแก้ไขปัญหามาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้า นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยุโรปสนับสนุนการรื้อฟื้นการเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป และรับที่จะช่วยผลักดันให้สหภาพยุโรปเริ่มกระบวนการหารือกับไทยโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
985 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา เป็นประธานร่วมการประชุมฯ และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ต่อไป ซึ่งผลการประชุมฯ ทั้งสองฝ่ายได้มีประเด็นเห็นพ้องร่วมกัน เช่น เป้าหมายการค้า โดยจะร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายการค้า ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๓ การส่งเสริมการค้าชายแดนผ่านยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองด่านชายแดนไทย-กัมพูชา การจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านการค้าสินค้าเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาการค้าสินค้าเกษตร ประมง และปศุสัตว์ระหว่างกัน การยกระดับ/เปิดจุดผ่านแดน การแลกเปลี่ยนสิทธิการจราจร และการลงนามความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีข้อหารือและข้อกังวล เช่น การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากกัมพูชามายังไทย การส่งออกสุกรมีชีวิตจากไทยไปยังกัมพูชา ความร่วมมือเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้า การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปจากไทยไปยังกัมพูชาทางถนน การจำกัดจำนวนภาพยนตร์ไทยที่ฉายในกัมพูชา และการใช้บังคับพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ไทย-กัมพูชา ควรพิจารณากำหนดแนวทางการพัฒนาพื้นที่ตามศักยภาพและความพร้อม และควรเตรียมความพร้อมในพื้นที่ อาทิ การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าและคลังสินค้า การเชื่อมโยงการขนส่งระบบราง และการปรับปรุงพื้นที่ด่านศุลกากรเพื่อรองรับการเติบโตของการค้าชายแดน รวมทั้งควรติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามผลการประชุมฯ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
986 | ร่างพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะของการอุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงตามมาตรา ๖๔ ให้รวมถึงการให้การอุดหนุนแก่การส่งออก และการให้การอุดหนุนเพื่อให้มีการใช้สินค้าในประเทศมากกว่าสินค้านำเข้า และแก้ไของค์ประกอบของการอุดหนุนที่ตอบโต้ได้ตามมาตรา ๖๕ ให้ประกอบด้วยการให้อุดหนุนที่มีลักษณะเจาะจงตามมาตรา ๖๔ และการให้การอุดหนุนที่มีผลเสียต่อประโยชน์ของประเทศที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน เพื่อสอดคล้องกับความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้การอุดหนุนภายใต้ WTO ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่างพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กฎหมายดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนรับทราบอย่างทั่วถึงในวงกว้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
987 | รายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนมกราคม 2561 | พณ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทย (Trade in Services Performance and Potential Index : TSPPI) เดือนมกราคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๓ ติดต่อกัน อยู่ที่ระดับ ๑๑๓.๗ สูงขึ้นร้อยละ ๙.๒ (YoY) ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อยจากร้อยละ ๑๑.๙ ในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคบริการขยายตัวในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ เกิดจากจำนวนนิติบุคคลจดทะเบียนเพิ่มทุนในสาขาบริการมากขึ้น มูลค่าทุนจดทะเบียนนิติบุคคลเพิ่มทุนสูงขึ้น และดัชนีราคาหุ้นภาคบริการในตลาดหลักทรัพย์ขยายตัวเร่งขึ้น ๒. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการรายสาขา ขยายตัวเกือบทุกสาขา โดยสาขาที่ขยายตัวเร่งขึ้น คือ การก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ กิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และการศึกษา ๓. แนวโน้มภาวะการค้าภาคบริการในปี ๒๕๖๒ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตามแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับสาขาบริการที่มีศักยภาพและแนวโน้มขยายได้ดี ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน สุขภาพ ขายส่งและการขายปลีก และก่อสร้าง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
988 | การปรับปรุงกลไกการทบทวนนโยบายการค้าขององค์การการค้าโลก | พณ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการขยายกำหนดระยะเวลาการทบทวนนโยบายการค้าของประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทยออกไปรอบละ ๑ ปี (จากเดิมทุกระยะ ๔ ปี เป็นทุกระยะ ๕ ปี) และจะมีผลใช้บังคับในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๒ ตามมติที่ประชุมคณะมนตรีใหญ่ (General Council) เนื่องจากจำนวนสมาชิก WTO เพิ่มขึ้นจากเดิม ฝ่ายเลขาธิการ WTO ซึ่งเป็นผู้จัดทำรายงานการทบทวนนโยบายทางการค้า มีทรัพยากรและบุคลากรจำกัดไม่สามารถจัดทำรายงานฯ ได้ตามกรอบเวลาเดิม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรแจ้งการขยายกำหนดระยะเวลาการทบทวนนโยบายการค้าดังกล่าวให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องรับทราบอย่างทั่วถึง เพื่อประโยชน์ในการศึกษานโยบายการค้าของแต่ละประเทศ และควรประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจัดทำรายงานการทบทวนนโยบายทางการค้าของไทยเป็นไปอย่างถูกต้อง รัดกุม และครอบคลุมมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นด้านการค้ามากยิ่งขึ้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
989 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม 2561 | พณ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม ๒๕๖๑ โดยการส่งออกขยายตัวสูงสุดในรอบ ๖๒ เดือน ที่ร้อยละ ๑๗.๖ (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า ๒๐,๑๐๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความสามารถในการเปิดตลาดใหม่และกระจายประเภทสินค้าส่งออกไทยตามแนวทางการส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ ด้านการนำเข้ามีมูลค่า ๒๐,๒๒๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว ๒๔.๓ (YoY) จากการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ เช่น สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน และวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูป เพื่อใช้ในการผลิตในประเทศ ด้านการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๕ ที่ ๑๖.๒ (YoY) ทั้งในด้านปริมาณและราคา โดยเฉพาะข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๑ ที่ ๑๗.๒ (YoY) ทั้งในด้านปริมาณและราคา จากการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับแนวโน้มการส่งออกปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความสามารถในการปรับตัวของผู้ส่งออกไทย ทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น โดยสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ การรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการดำเนินการเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้เร็วยิ่งขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ การส่งออก และการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย รวมทั้งประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับให้ถูกต้องตรงกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
990 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Research Center for Agricultural Science : JIRCAS) ร่างแผนปฏิบัติงาน 2559-2564 วนวัฒนวิธีที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกสวนป่าสักและร่างข้อตกลงการใช้ตัวอย่างชีวภาพ | ทส | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถอนเรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Research Center for Agricultural Science : JIRCAS) ร่างแผนปฏิบัติงาน ๒๕๕๙-๒๕๖๔ วนวัฒนวิธีที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกสวนป่าสักและร่างข้อตกลงการใช้ตัวอย่างชีวภาพ คืนไปได้ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติที่เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่างแผนปฏิบัติการฯ และร่างข้อตกลงฯ ดังกล่าวไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมในส่วนของร่างข้อตกลงฯ เช่น ควรพิจารณากำหนดเงื่อนไข (ปริมาณวัสดุที่ต้องส่งในแต่ละครั้ง จำนวนครั้งสูงสุดที่ต้องจัดส่ง) ซึ่งอาจเกิดการร้องขอเกินความจำเป็นและจะมีผลต่อเนื่องในข้อตกลงเรื่องการขนส่งที่กรมป่าไม้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดส่งแต่ฝ่ายเดียว เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
991 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี 2560/61 ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร : ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ | กษ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี ๒๕๖๐/๖๑ ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร : ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ ๓๑ จังหวัด พื้นที่ ๗๐๐,๐๐๐ ไร่ ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนการปลูกข้าวนาปรังเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ กระจายผลผลิตให้ออกสู่ตลาดสม่ำเสมอ เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนการปลูกข้าวที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่า และช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน จากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หมุนเวียนในระบบปลูกข้าว โดยรัฐถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกร รวมทั้งสนับสนุนเงินอุดหนุนในอัตราไร่ละ ๒,๐๐๐ บาท (รายละไม่เกิน ๑๕ ไร่) คิดเป็นเงินสนับสนุนทั้งสิ้น ๑,๔๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศบังคับใช้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ส่วนการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั้น กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. จะต้องไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการฯ ไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับ ธ.ก.ส. เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการฯ จะต้องไม่ดำเนินการเพาะปลูกในพื้นที่ที่ผิดกฎหมาย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จ เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่เป็นการใช้งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและต้องใช้จ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรเร่งรัดประชาสัมพันธ์หลักเกณฑ์การดำเนินงานโครงการฯ ให้หน่วยงานในพื้นที่และเกษตรกรในพื้นที่รับทราบ การตรวจสอบสิทธิการเข้าร่วมโครงการฯ ของเกษตรกรต้องรวดเร็วเพื่อให้ทันต่อรอบการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ควรเข้มงวดกวดขันการลักลอบนำเข้าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และในการลดการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ป่า และควรส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมและมีรายได้ใกล้เคียงกับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
992 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2561 - ปี 2563 | กษ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและแห้งไม่เป็นผง) หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ภายใต้กรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๖๑-ปี ๒๕๖๓ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ และให้คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการบริหารการนำเข้าสินค้าเกษตรดังกล่าวให้สอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยมีอยู่กับต่างประเทศ ดังนี้ ๑.๑ สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ภายใต้กรอบ WTO ให้เปิดตลาดนำเข้าในช่วงปี ๒๕๖๑-ปี ๒๕๖๓ ปริมาณในโควตาปีละ ๓.๑๕ ตัน (๖,๙๔๔ ปอนด์) อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๒๑๘ ๑.๒ สินค้าหอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและแห้งไม่เป็นผง) ภายใต้กรอบ WTO ให้เปิดตลาดนำเข้าในช่วงปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ปริมาณในโควตาปีละ ๗๖๔ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๒ ๑.๓ หัวพันธุ์มันฝรั่ง ภายใต้กรอบ WTO ให้เปิดตลาดนำเข้าในช่วงปี ๒๕๖๑-ปี ๒๕๖๓ ปริมาณในโควตาไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ ๑.๔ หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ภายใต้กรอบ WTO ให้เปิดตลาดนำเข้าในช่วงปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ปริมาณในโควตาปีละ ๕๒,๐๐๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่เกษตรกรเกี่ยวกับการเปิดตลาดสินค้าเกษตรที่ไทยมีพันธกรณีกับต่างประเทศ และให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการนำเข้าและการตลาดสินค้าเกษตรให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรภายในประเทศ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การบริหารการนำเข้าภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมั่นฝรั่ง ควรมีการติดตามสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด ความเคลื่อนไหวของราคา และความต้องการใช้สินค้าดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง) ดำเนินการเพิ่มเติม (๑) พิจารณาศึกษาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเปิดตลาดเสรีการนำเข้าสินค้าหอมหัวใหญ่ เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่งตามพันธกรณีตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) และพันธกรณีตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) รวมทั้งแนวทางการบริหารการนำเข้าและมาตรการอื่นเพื่อไม่ให้การเปิดตลาดเสรีที่จะมีขึ้นในปี ๒๕๖๓ ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งภายในประเทศ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวควรพิจารณาให้เป็นไปตามความตกลงที่ไทยมีอยู่กับต่างประเทศด้วย และ (๒) พิจารณากำหนดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และคุณภาพของผลผลิตหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งของเกษตรกรภายในประเทศ เพื่อให้เกษตรกรมีขีดความสามารถในการแข่งขันกับสินค้าจากต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกัน ปราบปราม และจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าสินค้าหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งอย่างเข้มงวด ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures) ให้มีความเหมาะสม รวมทั้งบังคับใช้มาตรการที่ได้กำหนดขึ้นแล้วอย่างเข้มงวดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
993 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการจัดทำความร่วมมือในกรอบความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) และเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ให้มีความคืบหน้าโดยเร็ว รวมทั้งให้เร่งพิจารณาการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership : TPP) ให้ชัดเจนโดยเร็วด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกำหนดแนวทางพัฒนาพื้นที่และการดำเนินกิจการต่าง ๆ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้พิจารณาความเหมาะสมด้านการลงทุน ทั้งการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน และการลงทุนของภาคเอกชนฝ่ายเดียว รวมทั้งการนำเรื่องที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐไปดำเนินการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษด้วย เช่น เรื่อง Smart Farmer เป็นต้น ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดรายละเอียดและหลักเกณฑ์ในการดำเนินการ รวมทั้งผลประโยชน์ที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะได้รับให้ชัดเจน และให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำเรื่องนี้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกในครั้งต่อไปด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เป็นผู้รับผิดชอบหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำสรุปผลงานต่าง ๆ ของรัฐบาลที่สำคัญในรูปแบบวีดิทัศน์เพื่อใช้ในการสร้างการรับรู้แก่สาธารณชนให้ถูกต้องต่อไป โดยให้เร่งจัดทำให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวให้หารือรายละเอียดและประสานการดำเนินงานกับรองนายกรัฐมนตรีท่านอื่น ๆ ด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน รวมถึงกองทุนออมทรัพย์อื่น ๆ ที่ประสบปัญหาทางการเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหรือต้องนำมาตรการทางกฎหมายมาใช้บังคับให้หารือรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ก่อนดำเนินการต่อไปด้วย ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ ๒๐๑๘ ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๑ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๓.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดของรูปแบบการจัดการศึกษาของออสเตรเลียเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการจัดการศึกษาของไทย เช่น การจัดการศึกษาทางเลือกโดยการศึกษาอยู่กับครอบครัว (Home School) การกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เพื่อใช้เทียบระดับกับการศึกษาปกติ การคัดแยกผู้เรียนตามความถนัดที่มีอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นศึกษา เป็นต้น เพื่อให้สามารถสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาให้เหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียนต่อไป ๒.๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดของการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของออสเตรเลีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่ส่วนราชการในระดับท้องถิ่น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาด้านการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของไทยต่อไป ๒.๓.๓ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดของรูปแบบการตั้งด่านตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ยานพาหนะของออสเตรเลียซึ่งมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีความรวดเร็ว และประชาชนให้ความร่วมมือในการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์เป็นอย่างดี เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงกระบวนการดำเนินการดังกล่าวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒.๓.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงแรงงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดูแลคนไทยที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย คนไทยที่ประกอบการร้านอาหารไทย และแรงงานไทยเป็นไปอย่างเหมาะสมและตอบสนองต่อข้อเรียกร้องต่าง ๆ ได้ ๒.๓.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของออสเตรเลียเพื่อจัดทำความร่วมมือด้านการค้าสินค้าทางการเกษตรให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เช่น การขายข้าวพันธุ์ กข ๔๓ เป็นต้น ๒.๓.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการบริหารจัดการของออสเตรเลียบริเวณอ่าวซิดนีย์ (Sydney Harbour) ที่มีการจัดระเบียบพื้นที่ริมอ่าวอย่างสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย น้ำในแม่น้ำไม่เน่าเสีย รวมทั้งมีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น โรงอุปรากรซิดนีย์ (Sydney Opera House) และสะพานซิดนีย์ฮาเบอร์ (Sydney Harbour Bridge) ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากร้านอาหารในบริเวณดังกล่าว เพื่อนำมาพิจารณาปรับใช้ให้เหมาะสมกับโครงการต่าง ๆ ของรัฐ เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นต้น ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ร่วมกันอย่างเหมาะสมด้วย ๒.๔ เพื่อให้การดำเนินโครงการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับธุรกิจหลัก (SAP) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเป็นประโยชน์สูงสุด ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) เร่งนำเรื่องนี้เสนอคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างพิจารณาโดยด่วน ก่อนดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
994 | การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | นร | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และเห็นชอบการเปิดตลาดและบริหารการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลือง พิกัดอัตราศุลกากร ๒๓๐๔.๐๐.๙๐ รหัสย่อย ๐๒ เฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค บริโภค (รหัสสถิติ 002/KGM) และรหัสย่อย ๒๙ เฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (รหัสสถิติ 090/KGM) เป็นคราวละ ๓ ปี คือปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเปิดตลาดสินค้ากากถั่วเหลืองมาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค เมื่อนำมาเป็นวัตถุดิบหรือผลิตผลิตภัณฑ์อาหารต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐานเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด การกำกับดูแลการปฏิบัติตามแนวทางการบริหารการนำเข้าอย่างเคร่งครัดเพื่อควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยทางอาหาร อันจะนำไปสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทยตลอดห่วงโซ่อุปทาน การติดตามสถานการณ์การผลิต การตลาด และความเคลื่อนไหวราคาสินค้าเกษตรดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชได้รับทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเปิดตลาดในระยะต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กำกับดูแลและติดตามการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค และกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่จะมีการเปิดตลาดภายใต้กรอบการค้าต่าง ๆ ในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งพิจารณาทบทวนมาตรการการนำเข้าและแนวทางการบริหารการนำเข้าภายใต้กรอบการค้าต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นระยะ ๆ ให้ทันต่อสถานการณ์การนำเข้าและสถานการณ์การตลาดภายในประเทศด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
995 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายที่ 2370 (ค.ศ. 2017) และ 2396 (ค.ศ. 2017) | กต | 13/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบและรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายที่ ๒๓๗๐ (ค.ศ. ๒๐๑๗) และ ๒๓๙๖ (ค.ศ. ๒๐๑๗) ที่ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ และวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ตามลำดับ โดยข้อมติ UNSC ที่ ๒๓๗๐ (ค.ศ. ๒๐๑๗) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำจัดการได้มาซึ่งอาวุธของผู้ก่อการร้าย โดยผลักดันให้รัฐสมาชิกเสริมความแข็งแกร่งของการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการควบคุมชายแดน และการพัฒนาศักยภาพในการสอบสวนเครือข่ายการค้าและถ่ายโอนอาวุธอย่างผิดกฎหมาย ส่วนข้อมติ UNSC ที่ ๒๓๙๖ (ค.ศ. ๒๐๑๗) มีสาระสำคัญเป็นการเสริมสร้างมาตรการตรวจจับความเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้าย ผ่านการแบ่งปันข้อมูลด้านความมั่นคงชายแดน ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานอัยการสูงสุดถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการดำเนินการตามวรรค ๑๑-๑๓ และวรรค ๑๕ ของข้อมติ UNSC ที่ ๒๓๙๖ (ค.ศ. ๒๐๑๗) รวมทั้งปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ก่อการร้าย รวมถึงนักรบก่อการร้ายต่างชาติ ซึ่งต้องถูกมาตรการอายัดทรัพย์สิน ห้ามเดินทาง ตรวจจับความเคลื่อนไหว และมาตรการอื่น ๆ ตามข้อมติ UNSC ที่เกี่ยวข้อง ให้ทันสมัยตามข้อมูลในเว็บไซต์ https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1267/aq_sanctions_list และ https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1988/materials ซึ่งปรับปรุงโดยสหประชาชาติเป็นประจำ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ๒. การดำเนินการตามวรรค ๑๕ ของข้อมติ UNSC ที่ ๒๓๙๖ (ค.ศ. ๒๐๑๗) ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการรวบรวมข้อมูลทางชีวภาพ (biometric data) ให้เป็นระบบ ถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อให้สามารถใช้บ่งชี้ผู้ก่อการร้ายได้อย่างถูกต้องแม่นยำต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
996 | กรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม (WIPO IGC) ภายใต้กรอบองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก | พณ | 13/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม [WIPO (World Intellectual Property Organization) Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore : WIPO IGC] เพื่อให้คณะผู้แทนเจรจาของไทยสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการเจรจาการประชุม WIPO IGC หรือจนกว่าจะสรุปผลการเจรจา WIPO IGC ได้ หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การประชุม WIPO IGC ครั้งต่อไป (ครั้งที่ ๓๔) กำหนดจัดระหว่างวันที่ ๑๙-๒๓ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ สำนักงานใหญ่ WIPO นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การกำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติให้การเปิดเผยแหล่งที่มาในการขอสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรพันธุกรรมอย่างชัดเจนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การกำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้กฎหมาย (Transition period) ของร่างกรอบเจรจาการประชุม WIPO IGC สำหรับประเทศต่าง ๆ ให้คำนึงถึงระดับความพร้อมและศักยภาพของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ การบูรณาการทำงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยที่สมบูรณ์ครบถ้วนและเป็นระบบ สร้างความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและสนับสนุนให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยเฉพาะประชาชนและชุมชนตระหนักถึงความสำคัญ และสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นได้อย่างจริงจัง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกรอบเจรจา WIPO IGC ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ในการเจรจา WIPO IGC ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเจรจาบนพื้นฐานของนโยบายรัฐบาลในการห้ามทำการผลิตสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) เชิงพาณิชย์ และเน้นการคุ้มครองในการปกป้องภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชน ทั้งในด้านการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ [เรื่อง กรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม (WIPO Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore : WIPO IGC) ของไทย ในปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐] อย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
997 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 13/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้มีการบริโภคน้ำนมข้าวให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้สร้างการรับรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์จากการบริโภคน้ำนมข้าวเพื่อเป็นการส่งเสริมสินค้าที่แปรรูปมาจากข้าวและให้เป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สามารถบริโภคผลิตภัณฑ์นมที่มาจากสัตว์ด้วย นั้น มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)/วิสาหกิจชุมชนผลิตและจำหน่ายน้ำนมข้าวให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ประกอบการเกี่ยวกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่มาจากข้าว เพื่อให้วิสาหกิจดังกล่าวมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ๑.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาวิจัยคุณค่าทางโภชนาการของน้ำนมข้าว โดยอาจเปรียบเทียบกับผลงานวิจัยของต่างประเทศด้วย แล้วเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวให้ประชาชนผู้บริโภคได้ทราบโดยทั่วกันต่อไป ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานในระดับท้องถิ่นเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำจัดขยะมูลฝอย กำจัดผักตบชวา และบำบัดน้ำเสียในแม่น้ำลำคลองในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝนที่จะมาถึง ทั้งนี้ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยที่ดีของประชาชน รวมถึงเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่เกิดจากสิ่งปฏิกูลกีดขวางทางน้ำด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
998 | การขยายผลธนาคารปูม้า เพื่อ "คืนปูม้าสู่ทะเลไทย" | นร04 | 06/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายผลธนาคารปูม้าเพื่อ “คืนปูม้าสู่ทะเลไทย” ไปสู่ชุมชนอื่น ๆ อย่างรวดเร็วในชุมชนชายฝั่ง จำนวน ๕๐๐ ชุมชน ในระยะเวลา ๒ ปี โดยให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเป็นหน่วยงานบูรณาการหลักและหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมดำเนินการ ประกอบด้วย (๑) กรมประมง (๒) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (๓) ธนาคารออมสิน (๔) บริษัทประชารัฐรักสามัคคี (๕) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และ (๖) กระทรวงพาณิชย์ โดยการนำผลงานวิจัยที่มีองค์ความรู้เดิมและมาต่อยอดเพื่อเพิ่มอัตราการรอดของลูกปูม้า ก่อนปล่อยคืนสู่ทะเล และการขยายผลของธนาคารปูม้าที่มีอยู่และประสบความสำเร็จไปสู่ชุมชนอื่น ๆ อย่างเหมาะสมกับบริบทพื้นที่และสภาวะชุมชน โดยการสนับสนุนเงินทุน (สินเชื่อ) ในการจัดตั้งธนาคารปูม้า และสนับสนุนการตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการจำหน่ายสินค้าผ่านระบบ e-commerce เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้า ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) เสนอ ทั้งนี้ ให้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าวในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณที่กรมประมงได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมให้ความรู้แก่ชุมชน เรื่อง การจัดตั้งธนาคารปูม้าและติดตามผล ๑๕ แห่ง จำนวน ๙๐๐,๐๐๐ บาท และที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมการจัดการความรู้และเผยแพร่ผลผลิตจากผลการวิจัย และสิ่งประดิษฐ์ไปสู่การใช้ประโยชน์ จำนวน ๑๕๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายและพื้นที่ดำเนินงาน ควรคำนึงถึงความพร้อมและความต้องการของชุมชนเป็นหลัก โดยประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนรับทราบประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงจากปัญหาหนี้สิน ในกรณีที่ชุมชนไม่สามารถบริหารจัดการสินเชื่อที่ได้รับจากธนาคารออมสินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความเสี่ยงจากการขาดความต่อเนื่องในการดำเนินงานร่วมกันของคนในชุมชน รวมทั้งควรจัดให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเพื่อรับทราบปัญหาอุปสรรค ความสำเร็จ และผลกระทบจากการดำเนินงาน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์และเกิดความยั่งยืนในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
999 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 06/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้มีการบริโภคน้ำนมข้าวให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้สร้างการรับรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์จากการบริโภคน้ำนมข้าว เพื่อเป็นการส่งเสริมสินค้าที่แปรรูปมาจากข้าวและให้เป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สามารถบริโภคผลิตภัณฑ์นมที่มาจากสัตว์ด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการส่งเสริมให้เกษตรกรมีอาหารที่ให้สารโปรตีนไว้บริโภคเองให้มากยิ่งขึ้น เช่น การส่งเสริมให้เลี้ยงสุกรไว้บริโภคในครัวเรือน เป็นต้น ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งนำเรื่องเกี่ยวกับการจัดจ้างผลิตและให้บริการจัดทำหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ ระยะที่ ๓ (E-PASSPORT PHASE 3) เสนอคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างพิจารณาโดยด่วน ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1000 | รายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ปี 2560 | พณ | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หรือสินค้า GI (Geographical Indication : GI) ปี ๒๕๖๐ ประกอบด้วย การส่งเสริมและคุ้มครองสินค้า GI การส่งเสริมการจดทะเบียนสินค้า GI และการส่งเสริมการรับรองมาตรฐานสินค้า GI และสร้างโอกาสทางการตลาด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย พิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กำหนดเป้าหมายมูลค่าการตลาดของการจำหน่ายสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) ในปี ๒๕๖๑ เป็น ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒.๒ ให้กำหนดมาตรการในการดำเนินการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนและการจำหน่ายสินค้า GI เพื่อให้มีชนิดสินค้าและจำนวนผู้ประกอบการเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้า GI ที่เป็นผลผลิตทางการเกษตรชนิดต่าง ๆ ที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานในพื้นที่พิจารณานำกลไกประชารัฐและกลไกไทยนิยม ยั่งยืน มาสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้นเพื่อสร้างแรงจูงใจและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการด้วย ๒.๓ ให้เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้และความนิยมเกี่ยวกับสินค้า GI ให้ทั่วถึงและต่อเนื่อง
|
.....