ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 45 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 881 - 900 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
881 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เรื่อง การยกระดับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 | นร12 | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์กลางในการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย เพื่อให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะนำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย และสามารถดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์กลางที่กำหนดไว้ โดยหลักเกณฑ์กลางดังกล่าวมีสาระสำคัญครอบคลุม ๒ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) ลักษณะขององค์การมหาชนที่จะถือว่าเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย เช่น กฎหมายจัดตั้งองค์การมหาชนกำหนดให้มีภารกิจ “ดำเนินการวิจัย” เป็นหลัก มีงบประมาณเพื่อดำเนินการวิจัยเป็นหลัก มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรวิจัยเป็นหลัก และจำนวนบุคลากรวิจัยมากกว่าบุคลากรสายงานอื่น และ (๒) แนวทางการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย ได้แก่ การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชนที่ยังคงหลักการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ แนวทางการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษแก่ผู้อำนวยการองค์การมหาชน ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนที่กำหนดว่าหากเกินกว่าร้อยละ ๓๐ ของแผนการใช้จ่ายเงิน ก็ให้เสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณายกเว้นให้เป็นรายกรณี การประเมินผลการปฏิบัติงาน และแนวทางการดำเนินการเพื่อเข้าร่วมเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรกำหนดตัวชี้วัดด้านการวิจัยที่สามารถวัดผลการปฏิบัติงานด้านการวิจัยที่มีประสิทธิภาพและแสดงถึงความคุ้มค่า รวมทั้งควรเพิ่มตัวชี้วัดระดับของการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (ที่กำหนดให้สำนักงาน ก.พ.ร. จัดให้มีกลไกในการทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยให้คำนึงถึงภารกิจ รายได้ และเงินทุนสะสมของแต่ละองค์การมหาชน รวมทั้งยึดหลักการที่มิให้มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินกว่าจำเป็น และไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ/และนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเพื่อพิจารณาเป็นประจำทุกปีด้วย เพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การมหาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนด้านการวิจัยด้วย ๓. ให้คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับการพิจารณาปรับปรุงระบบค่าตอบแทนของบุคลากรภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐให้สามารถดึงดูด รักษา จูงใจผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพสอดคล้องตามแผนปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) ต่อไป ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และองค์การมหาชนด้านการวิจัย สถาบันการศึกษา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมประสานงานและบูรณาการการดำเนินโครงการ/แผนงานด้านการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมในเรื่องต่าง ๆ ร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนและยกระดับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดความซ้ำซ้อน และตอบสนองต่อเป้าหมายในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
882 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง (จำนวน 7 คน 1. นางอรทัย ศิลปนภาพร ฯลฯ) | พณ | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี จำนวน ๗ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ กันยายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ นางอรทัย ศิลปนภาพร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตร ๑.๒ นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอุตสาหกรรม ๑.๓ นางอุบล มลิลา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารธุรกิจ ๑.๔ นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าระหว่างประเทศ ๑.๕ นายสิงห์ชัย อรุณวุฒิพงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบัญชีและการเงินการคลัง ๑.๖ นายชยงการ ภมรมาศ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ๑.๗ นางสาวนุชนาถ เกษมพิบูลย์ไชย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้องในครั้งต่อไปให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
883 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (จำนวน 6 คน 1. นายธวัชชัย โสภาเสถียรพงศ์ ฯลฯ) | พณ | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน จำนวน ๖ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งจะครบวาระสี่ปี ในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายธวัชชัย โสภาเสถียรพงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าระหว่างประเทศ ๒. นายประสัณห์ เชื้อพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบัญชี ๓. นายคนิต ลิขิตวิทยาวุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตร ๔. นายศักดา ธนิตกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ ๕. นายเสน่ห์ นิยมไทย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอุตสาหกรรม ๖. นางวริชนันท์ ต่อวงศ์ไพชยนต์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
884 | แผนปฏิบัติการด้านการรองรับการดำเนินการและลดผลกระทบจากการลงนามข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลของผลิตภัณฑ์ยาสามัญของอาเซียน | สธ | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนปฏิบัติการด้านการรองรับการดำเนินการและลดผลกระทบจากการลงนามข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลของผลิตภัณฑ์ยาสามัญของอาเซียน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ แผนการเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และการลดระยะเวลาในการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้แก่ (๑) จัดทำแผนมาตรการเร่งรัดการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาชีวสมมูล และการขึ้นทะเบียนตำรับยา โดยได้ปรับลดขั้นตอนและลดระยะเวลาในการขออนุญาตก่อนทำการศึกษาชีวสมมูล รวมทั้งลดระยะเวลาในการประเมินรายงานการศึกษาชีวสมมูล ทำให้การพิจารณาอนุญาตรวดเร็วขึ้น และสามารถเป็นไปตามกรอบเวลาหรือสั้นกว่ากำหนดเวลาที่เอกชนเรียกร้องในทุกกระบวนการ และ (๒) จัดทำแผนมาตรการเกี่ยวกับบุคลากรของรัฐที่ทำหน้าที่ตรวจตราศูนย์การศึกษาชีวสมมูล โดยวางแผนให้มีการเตรียมจำนวนบุคลากรอย่างเพียงพอ และพัฒนาศักยภาพให้สามารถตรวจตราศูนย์การศึกษาชีวสมมูลได้เอง ๑.๒ แผนการพัฒนาศูนย์การศึกษาชีวสมมูลให้มีความพร้อมสามารถที่จะขึ้นบัญชีของอาเซียน ได้แก่ (๑) จัดการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศูนย์การศึกษาชีวสมมูลให้มีความพร้อมในด้านความรู้ และมาตรฐานการตรวจตราด้านชีวสมมูลของอาเซียน (๒) การตรวจการประเมินศูนย์การศึกษาชีวสมมูลเบื้องต้นโดยเจ้าหน้าที่ อย. เพื่อแนะนำการพัฒนารองรับการตรวจสอบของอาเซียน และ (๓) การสนับสนุนด้านการเงินต่อการพัฒนาและการศึกษาชีวสมมูล (ไม่จำกัดจำนวนที่ขอรับการสนับสนุนต่อบริษัท) ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินผลแผนการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งก่อนเริ่มแผนฯ ระหว่างดำเนินการตามแผนฯ และหลังจากการดำเนินการตามแผนฯ เพื่อปรับปรุงศูนย์ศึกษาชีวสมมูลให้มีประสิทธิภาพ และทำให้ไทยได้รับผลกระทบจากข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลของผลิตภัณฑ์ยาสามัญของอาเซียนน้อยที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
885 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สำหรับโครงการพัฒนาถนนหมายเลข 11 (R11) ช่วงครกข้าวดอ-บ้านโนนสะหวัน-สานะคาม-บ้านวัง-บ้านน้ำสัง | กค | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการพัฒนาถนนหมายเลข ๑๑ (R11) ช่วงครกข้าวดอ-บ้านโนนสะหวัน-สานะคาม-บ้านวัง-บ้านน้ำสัง ในวงเงินรวม ๑,๘๒๖.๕๐ ล้านบาท ตามขอบเขตของโครงการ แหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขทางการเงินสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว และให้ สพพ. ตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีต่อไป ตามที่กระทรวงการคลัง โดย สพพ. เสนอ และให้ สพพ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้งบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม สำหรับการชดเชยค่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้และดอกเบี้ยที่ สพพ. กู้ รวมทั้งความเสี่ยงกรณี สปป.ลาว ผิดนัดชำระหนี้ เห็นควรให้ สพพ. ใช้เงินสะสมของหน่วยงาน และกำหนดแนวทางและวิธีการบริหารจัดการเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นโดยต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. ประเมินและติดตามความเสี่ยงด้านความสามารถในการชำระหนี้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างต่อเนื่อง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น เร่งผลักดันการใช้ประโยชน์จากเส้นทางคมนาคมตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ เชียงใหม่-นครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อขยายการค้าการลงทุนระหว่างไทยและ สปป.ลาว ให้มากยิ่งขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
886 | มาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระ | กค | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระจากราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตรจากร้านธงฟ้าประชารัฐผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture : EDC) ที่มีการเชื่อมต่อระบบเครื่องบันทึกการเก็บเงิน (Point of Sale : POS) ซึ่งผู้มีรายได้น้อยจะได้รับเงินชดเชยจากข้อมูลตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑-๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ เท่านั้น และให้กรมบัญชีกลางดำเนินการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าว โดยใช้จ่ายจากเงินกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ทั้งสิ้นจำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการลงทุนและการจัดการกับความเสี่ยงในการดำเนินการจัดหาเครื่อง EDC อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง และการพัฒนาระบบการชำระเงิน POS เพื่อรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้ประกอบการร้านธงฟ้าประชารัฐกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงความเป็นไปได้และแรงจูงใจเพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งความพร้อมของระบบงานในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มและระบบงานที่รองรับการใช้เงินชดเชยที่ได้รับ และการประชาสัมพันธ์ให้ร้านค้าที่เกี่ยวข้องสามารถใช้งานระบบงานได้อย่างถูกต้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินมาตรการฯ ให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่มีเหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ จำนวน ๖๐,๐๖๗,๒๐๐ บาท สำหรับส่วนที่เหลือ จำนวน ๒๔,๔๓๒,๘๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ POS ให้กับร้านธงฟ้าประชารัฐกลุ่มเป้าหมาย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับมาตรการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ รูปแบบ และขั้นตอนการดำเนินมาตรการฯ ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ให้ชัดเจนและถูกต้อง ตรงกัน เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการฯ ได้อย่างบรรลุผลและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้กำกับ ติดตามการดำเนินการตามมาตรการฯ อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการบิดเบือนและแสวงหาประโยชน์จากการดำเนินมาตรการฯ ในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยดำเนินการตรวจสอบและติดตามการดำเนินการจำหน่ายสินค้าของร้านธงฟ้าประชารัฐในพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีการนำสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพมาจัดจำหน่ายให้สอดคล้องและเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
887 | ผลการหารือทวิภาคีของนายกรัฐมนตรีในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS Summit) ครั้งที่ 8 ณ กรุงเทพมหานคร | กต | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการหารือทวิภาคีของนายกรัฐมนตรีในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS Summit) ครั้งที่ ๘ ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ โดยนายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สรุปได้ ดังนี้ (๑) การหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น การผลักดันการเปิดจุดผ่านแดนที่ป่าไร่-โอเนียง การผลักดันปริมาณการค้าของทั้งสองฝ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมาย ๑.๕ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๓ และการเร่งรัดการลงนามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างประเทศ เป็นต้น (๒) การหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการซื้อขายสินค้าเกษตรระหว่างกัน การพิจารณาการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว รวมถึงพิจารณาเรื่องราคาไฟฟ้าด้วย เป็นต้น และ (๓) การหารือทวิภาคีร่วมกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น การผลักดันการค้าทวิภาคีบรรลุเป้าหมาย ๒ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๓ และการพิจารณาขยายการจ้างแรงงานเวียดนามให้ครอบคลุมสาขาบริการและสาขาอุตสาหกรรม เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการหารือฯ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดติดตามการดำเนินการของฝ่ายเวียดนามในการแก้ไขปัญหาการส่งออกรถยนต์ของไทยไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และให้ดำเนินการต่อไปโดยยึดหลักการของผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่เท่าเทียมกัน รวมทั้งให้พิจารณาแสวงหาตลาดอื่น ๆ เพื่อการส่งออกรถยนต์ของไทยเพิ่มเติมด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการเปิดจุดผ่านแดนถาวรต่าง ๆ หากการเปิดจุดผ่านแดนที่จะทำการเปิดยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องเขตแดน เห็นควรหารือกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม (กรมแผนที่ทหาร) ตรวจสอบพื้นที่ก่อน เพื่อจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
888 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก | กต | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๐๗๘ (ค.ศ. ๒๐๑๒) ที่ ๒๑๓๖ (ค.ศ. ๒๐๑๔) ที่ ๒๑๙๘ (ค.ศ. ๒๐๑๕) ที่ ๒๒๙๓ (ค.ศ. ๒๐๑๖) ที่ ๒๓๖๐ (ค.ศ. ๒๐๑๗) และที่ ๒๔๒๔ (ค.ศ. ๒๐๑๘) เพื่อต่ออายุมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งประกอบด้วยมาตรการทางอาวุธ การห้ามเดินทาง และการอายัดทรัพย์สิน และหากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (United Nations : UN) https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1533 และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อ UN ต่อไป ทั้งนี้ UN จะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
889 | ร่างพระราชบัญญัติการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. .... | กค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล การกำหนดผู้มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานของระบบการพิสูจน์ตัวตนและยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ตลอดจนการกำหนดแนวทางการคุ้มครองประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลและผู้ใช้บริการระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ปรับแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐ [เรื่อง แนวทางในการจัดทำร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (มาตรา ๒๖ และมาตรา ๘๑ ประกอบกับมาตรา ๒๖๓)] ประกอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ [เรื่อง แนวทางการจัดทำร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เพิ่มเติม)] และให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการกำหนดนิยามและบทบัญญัติของกฎหมายในร่างฉบับนี้ ควรมีความชัดเจนมากที่สุดเพื่อป้องกันการตีความกฎหมาย และเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดหน้าที่ของสมาชิก และการทำหน้าที่ผู้ให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (AS) ของหน่วยงานรัฐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามกระบวนการและขั้นตอนของการเสนอกฎหมายต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
890 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 เฉพาะที่ให้กระทรวงคมนาคม ดำเนินการเสนอร่างกฎกระทรวงเพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบการขนส่งระหว่างประเทศต้องจัดทำประกันภัย และขอถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดเงื่อนไขในการจัดให้มีประกันไว้ในใบอนุญาตประกอบการขนส่งระหว่างประเทศ พ.ศ. .... | คค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคมถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดเงื่อนไขในการจัดให้มีการประกันไว้ในใบอนุญาตประกอบการขนส่งระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรพิจารณาแนวทางในการประกันภัยสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศที่สามารถปฏิบัติและบังคับใช้ตามกฎหมายได้ และกำหนดให้ผู้ประกอบการขนส่งจัดทำประกันภัยสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ เพื่อให้การคุ้มครองการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
891 | การทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/62 | พณ | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการปรับปรุงสัดส่วนการแบ่งค่ารักษาข้าวเปลือก และรับทราบการปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกรในการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ กรณีเกษตรกรฝากเก็บข้าวไว้ที่สหกรณ์หรือสถาบันเกษตรกร ให้ปรับปรุงให้ค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกตันละ ๑,๕๐๐ บาท จากมติคณะรัฐมนตรี (๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑) เดิมให้สหกรณ์ตันละ ๑,๐๐๐ บาท และเกษตรกรได้รับตันละ ๕๐๐ บาท ปรับเป็น “ให้เกษตรกรได้รับตันละ ๑,๐๐๐ บาท และสหกรณ์ได้รับตันละ ๕๐๐ บาท” ๑.๒ เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันไว้ในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บของตนเองเท่านั้น ๑.๓ ปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกโดยบรรจุข้าวเปลือกในกระสอบป่านหรือถุง Big bag และวางเรียงในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บเพื่อสะดวกในการตรวจสอบ หรือเก็บข้าวในยุ้งฉางที่ยกพื้นสูง หรือไซโล (SILO) ยกเว้นกรณีเทกองจะต้องมีระบบการระบายอากาศเพื่อการรักษาคุณภาพข้าวเปลือกไม่ให้เสื่อมสภาพ ตลอดระยะเวลาโครงการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการเพื่อรองรับให้เกษตรกรในภาคกลางมีพื้นที่ในการเก็บข้าวด้วย เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และควรมีการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ได้มีการทบทวนใหม่อย่างทั่วถึงและก่อนการดำเนินโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
892 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายการดำเนินการของตลาดประชารัฐและได้จัดตั้งตลาดกลางเพื่อเป็นศูนย์กลางการขายส่งสินค้าเกษตรครอบคลุมถึงการค้าปลีกและค้าส่งสินค้าเกษตร สินค้าประมง และสินค้าปศุสัตว์ รวมทั้งจัดให้มีระบบการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์เชื่อมโยงการให้บริการขนส่งสินค้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม เช่น การส่งเสริมให้ประชาชนที่มียานพาหนะเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการขนส่งสินค้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เป็นต้น โดยให้เร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดระบบการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ และให้รายงานผลการดำเนินงานให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ด้านสังคม มอบหมายให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวในระยะต่อไปให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เช่น การกำหนดสถานที่ให้บริการรับจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้กระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศให้เพียงพอและทั่วถึง เพื่อให้แรงงานต่างด้าวสามารถเข้ามาติดต่อขอรับบริการขึ้นทะเบียนได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และคล่องตัว เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างด้าวอย่างเคร่งครัดด้วย เช่น ปัญหาเจ้าหน้าที่เรียกรับผลประโยชน์จากแรงงานต่างด้าว ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าว เป็นต้น ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดส่งเอกสารหรือสื่อต่าง ๆ ที่จัดทำขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ/กิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาลให้กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อทำความเข้าใจและนำไปถ่ายทอดหรือเผยแพร่ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบให้ถูกต้อง รวดเร็ว และทั่วถึง โดยให้พิจารณาใช้ช่องทางการเผยแพร่ที่หลากหลายและเหมาะสมตามแต่กรณี นั้น ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยให้ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในเรื่องสำคัญต่าง ๆ เช่น การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก การบริหารงบประมาณและการเงินการคลังภาครัฐ การกระจายอำนาจ หลักธรรมาภิบาลภาครัฐ การพัฒนาด้านการเกษตร การจัดการขยะ และความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้ง เป็นต้น ให้แก่กระทรวงมหาดไทยเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในระดับชุมชนและท้องถิ่นผ่านช่องทางต่าง ๆ ต่อไป เช่น การจัดเวทีประชาคม การประกาศผ่านหอกระจายเสียง การจัดประชุมสัมมนา เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
893 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดสินค้าต้องห้ามส่งออก นำเข้า และนำผ่านตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กรณีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน พ.ศ. .... | พณ | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดสินค้าต้องห้ามส่งออก นำเข้า และนำผ่านตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กรณีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดขั้นตอนการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ไปสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน การกำหนดขั้นตอนการนำเข้าและนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่สั่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก่อน เพื่อให้เป็นไปตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๒๓๑ (ค.ศ. ๒๐๑๕) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรพิจารณากำหนดถ้อยคำหรือหาแนวทางอื่นที่สามารถกระทำได้ เพื่อกำหนดให้ร่างประกาศฯ สิ้นสุดผลบังคับใช้หลังจากวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๓ เพื่อให้เป็นไปตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๒๓๑ (ค.ศ. ๒๐๑๕) ที่กำหนดให้มาตรการเกี่ยวกับการส่งออก นำเข้า และนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์สิ้นสุดลงหลังจาก ๕ ปี นับจาก Adoption Day (วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๘) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
894 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... | วท | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยที่รัฐให้ทุนสนับสนุน โดยกำหนดให้ผู้รับทุนเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นของผู้รับทุนเอง และส่งเสริมกิจกรรมความร่วมมือระหว่างองค์กรภาคธุรกิจกับมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัย รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดระบบบริหารจัดการและใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย เช่น ควรให้ผู้รับทุนที่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่ามีศักยภาพในการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยฯ ทำหนังสือตกลงกับหน่วยงานให้ทุนเป็นรายหน่วยงาน และควรกำหนดให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ภาครัฐ และเอกชนร่วมสนับสนุนงบประมาณในการทำวิจัยให้กับมหาวิทยาลัยตามความต้องการของเอกชนนั้น ๆ และในหมวดที่ ๕ มาตรา ๒๕ ซึ่งอ้างถึงมาตรา ๒๒ น่าจะมีความผิดพลาดในการอ้างถึงมาตรการดังกล่าว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์กลางในการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เหมาะสมเพื่อมิให้เกิดปัญหาข้อขัดแย้งในภายหน้า โดยออกเป็นประกาศเพื่อปฏิบัติการตามมาตรา ๑๑ ของร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... และควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมความพร้อมรองรับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้แก่ การเร่งปรับปรุงระบบการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อรองรับปริมาณการจดทะเบียนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น รวมทั้งการจัดทำระบบบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาที่เชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานทรัพย์สินทางปัญญาระดับประเทศกับหน่วยบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและถ่ายทอดเทคโนโลยีของสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน นอกจากนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำร่างพระราชบัญญัติฉบับที่เสนอคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ ไปรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง และให้นำเอกสารและหลักฐานการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณา ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
895 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ครั้งที่ 7 | พณ | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ครั้งที่ ๗ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ ๕-๖ กันยายน ๒๕๖๑ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการหารือการส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนและแนวทางจัดทำความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกันหรือเอื้อประโยชน์ต่อกัน ได้แก่ (๑) แนวทางผลักดันให้มูลค่าการค้าไทย-สปป.ลาว บรรลุ ๑๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๔ (๒) แนวทางการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน (๓) แนวทางการเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษของทั้งสองประเทศ (๔) ความร่วมมือในการสร้างความเชื่อมโยงเส้นทางและการขนส่งระหว่างสองประเทศและในภูมิภาค (๕) แนวทางส่งเสริมความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร (๖) ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๗) แนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนพบปะหารือ จัดกิจกรรมร่วมกัน และเจรจาจับคู่ธุรกิจ และ (๘) ความร่วมมือด้านอื่น ๆ เช่น ความร่วมมือด้านการเงินการธนาคาร ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคและในภูมิภาค และความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น ๑.๒ หากในการประชุมแผนความร่วมมือฯ มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากประเด็นในท่าทีของไทยอันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับ สปป.ลาว โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมแผนความร่วมมือฯ สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุมแผนความร่วมมือฯ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดหลักการการเจรจาที่ได้รับผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน โดยใช้หลักการต่างตอบแทน และอาจจะหยิบยกประเด็นการลงทุนหรือการให้ความช่วยเหลือของไทยในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เช่น การลงทุนหรือให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ มาใช้ในการหารือเพื่อให้ไทยได้รับประโยชน์จากการประชุมแผนความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ ตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
896 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 | กษ | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ (๒) โครงการขยายการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และ (๓) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ จากสิ้นสุดเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ เป็นสิ้นสุดในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดติดตามให้การจ่ายเงินอุดหนุนเสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาเร่งรัดการจ่ายเงินให้เกษตรกรโดยเร่งด่วน และเร่งรัดดำเนินโครงการในส่วนที่เหลือและกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และทันต่อสถานการณ์ โดยพิจารณาเป้าหมายและประโยชน์ที่ได้รับตามที่กำหนดอย่างรอบคอบ รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนประเมินผลการดำเนินการโครงการและรายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวและคณะรัฐมนตรีทราบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในระยะต่อไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำผลการประเมินการดำเนินโครงการที่ผ่านมาเพื่อประกอบการปรับปรุงโครงการและกำหนดเงื่อนไขของโครงการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายของโครงการอย่างแท้จริงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
897 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 3 ราย 1. นางสาวอรุณี พูลแก้ว ฯลฯ) | พณ | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นางสาวอรุณี พูลแก้ว ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายสุพพัต อ่องแสงคุณ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
898 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ (จำนวน 12 คน 1. นายสมพร มณีรัตนะกูล ฯลฯ) | พณ | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ชุดใหม่ จำนวน ๑๒ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ กันยายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ นายสมพร มณีรัตนะกูล ผู้แทนสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย ๑.๒ นายสุพล สิทธิธรรมพิชัย ผู้แทนสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ๑.๓ นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร ผู้แทนสมาคมโรงแรมไทย ๑.๔ นางกนกวลี กันไทยราษฎร์ ผู้แทนสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ๑.๕ นายสมศักดิ์ รักษ์สุวรรณ ผู้แทนสมาคมศิลปินทัศนศิลป์นานาชาติแห่งประเทศไทย ๑.๖ นางสุชาดา สหัสกุล ผู้แทนสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ๑.๗ นางสาวอรพรรณ พนัสพัฒนา ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๘ นายพิเศษ จียาศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๙ นางมรกต กุลธรรมโยธิน ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๑๐ นายปีเตอร์ รุ่งเรืองกานต์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๑๑ นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๑๒ นายสรณันท์ จิวะสุรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ในครั้งต่อไปให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
899 | ผลการสรรหากรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (จำนวน 7 คน 1. นายสุธรรม อยู่ในธรรม ฯลฯ) | พณ | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายชื่อบุคคลที่ได้รับคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ให้ได้รับเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จำนวน ๗ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ กันยายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไป และให้บุคคลดังกล่าวประชุมร่วมกันเพื่อเลือกกันเองเป็นประธานกรรมการและรองประธานกรรมการหนึ่งคนก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อมีคำสั่งแต่งตั้งต่อไป ดังนี้
๑. นายสุธรรม อยู่ในธรรม ๒. นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์ ๓. นายสมชาติ สร้อยทอง ๔. นางอร่ามศรี รุพันธ์ ๕.นายวิษณุ วงศ์สินศิริกุล ๖. นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ ๗. นายสมเกียรติ ตันกิตติวัฒน์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
900 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านสังคม ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสงบและความเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นในสังคม เช่น การจัดระเบียบที่อยู่อาศัยในชุมชน พื้นที่ริมแม่น้ำคูคลอง พื้นที่ค้าขาย หาบเร่ แผงลอย การปราบปรามการขายสินค้าหนีภาษี สินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ให้ถูกต้อง ด้วยความเหมาะสม รอบคอบ รวมทั้งให้คำนึงถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้านและให้พิจารณากำหนดแนวทาง/มาตรการรองรับเพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการ/ประชาชนผู้เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการให้เหมาะสมตามแต่กรณีด้วย ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของกองทุนยุติธรรมให้ประชาชนทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึงด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการนำเงินจากกองทุนยุติธรรมมาใช้ในการช่วยเหลือผู้ยากไร้และด้อยโอกาสให้สามารถเข้าถึงและได้รับความเป็นธรรมได้ตามกระบวนการยุติธรรม เพื่อลดช่องว่างและความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น การใช้เป็นเงินช่วยเหลือประชาชนในการฟ้องร้องดำเนินคดี การใช้เป็นเงินประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย เป็นต้น ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วน รวมทั้งบริษัท ห้างร้าน หรือสถานประกอบการต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการลดการใช้วัสดุที่ผลิตขึ้นจากพลาสติกเนื่องจากจะกลายเป็นขยะตกค้างที่ย่อยสลายได้ยาก เช่น การใช้ถุงพลาสติกใส่สินค้าเท่าที่จำเป็น และกระตุ้นให้ผู้ซื้อสินค้านำถุงผ้ามาใส่สินค้าเอง การให้ส่วนลดราคาสินค้ากรณีที่ลูกค้าไม่ใช้ถุงพลาสติก รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการจูงใจสำหรับบริษัท ห้างร้าน และสถานประกอบการต่าง ๆ เพื่อลดปริมาณการใช้วัสดุที่ผลิตจากพลาสติกอีกทางหนึ่งด้วย นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น เร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยให้สามารถเริ่มดำเนินมาตรการลดการใช้ถุงพลาสติกได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ๓.๒ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำหนังสือชุดความรู้ “ร้อยเรื่องเล่า” โดยมีรูปแบบของเอกสารและวิธีการนำเสนอเนื้อหาที่เข้าใจได้ง่าย นั้น ให้ทุกส่วนราชการพิจารณานำรูปแบบและวิธีการนำเสนอของเอกสารดังกล่าวมาเป็นต้นแบบ/แนวทางในการจัดทำเอกสารหรือสื่อสิ่งพิมพ์ของส่วนราชการเองเพื่อใช้ในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่ส่วนราชการนั้น ๆ ได้ดำเนินการ ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากการดำเนินการ รวมทั้งข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนได้ทราบอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการจัดทำให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๑ เดือน แล้วให้ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ รวมทั้งจัดส่งไปยังหน่วยงานและสถานศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศให้ทั่วถึงด้วย
|
.....