ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 41 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 801 - 820 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
801 | ขอความเห็นชอบเอกสาร Comprehensive Framework on Enhancing Trade and Economic Partnership between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People's Republic of China | พณ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสาร Comprehensive Framework on Enhancing Trade and Economic Partnership between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People''s Republic of China ซึ่งเป็นผลจากการหารือในระหว่างการเดินทางเยือนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๑-๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาที่สำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยและจีน ใน ๗ สาขา ที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน ได้แก่ การค้า อุตสาหกรรมและการลงทุน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การเงิน รวมทั้งการท่องเที่ยว ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามเอกสารฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศและความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่เห็นว่า การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคเกี่ยวข้องกับการดำเนินการและการผลักดันความร่วมมือในสาขาที่หลากหลาย อาทิ การเกษตร อุตสาหกรรม การลงทุน วิทยาศาสตร์ และดิจิทัล จึงเห็นควรพิจารณาเพิ่มกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกไว้ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้การดำเนินความร่วมมือในหัวข้อนี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
802 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงคมนาคม เร่งรัดดำเนินการแสวงหาความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการส่งออกยางพาราและการนำยางพาราไปใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์หรือการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ และวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๒ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหามลภาวะ โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน (PM 2.5) เกินมาตรฐานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นั้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับติดตามการดำเนินการดังกล่าว โดยให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหามลภาวะดังกล่าวให้ชัดเจนทั้งในระยะสั้น (มาตรการเร่งด่วน) ระยะกลาง ระยะยาว และให้ขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาถึงความจำเป็นและเหมาะสมในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถป้องกัน ควบคุม และแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างเป็นระบบและมีความยั่งยืนต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
803 | การมอบหมายผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีและการดำรงตำแหน่งของข้าราชการการเมืองกรณีรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง | นร | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒. เห็นชอบการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรี กรณีที่รัฐมนตรีช่วยว่าการ ไม่มี ไม่อยู่ หรืออยู่แต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามแต่กรณี ดังนี้ ๒.๑ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นผู้รักษาราชการแทน (เพิ่มเติม) ๒.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (นายพิเชษฐ ดุรงคเวโรจน์) และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นผู้แทนราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามลำดับ ๒.๓ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในส่วนของส่วนราชการ ได้แก่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปปรับปรุงแก้ไขคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๒๓/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชกาแทนนายกรัฐมนตรี ให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป ทั้งนี้ กรณีการดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ให้รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนั้น ๆ ปฏิบัติหน้าที่แทน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
804 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี ๒๕๖๒ จำนวน ๕๒ รายการ จำแนกเป็น ๔๖ สินค้า และ ๖ บริการ รวมทั้งการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาราคายาและเวชภัณฑ์ ค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการทางการแพทย์ และค่าบริการอื่นของสถานพยาบาล เพื่อพิจารณาความพร้อมก่อนที่จะกำหนดมาตรการที่เหมาะสมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการแต่งตั้งและการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพิจารณาราคายาและเวชภัณฑ์ ค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการทางการแพทย์ และค่าบริการอื่นของสถานพยาบาล โดยองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ ควรพิจารณาให้ครอบคลุมผู้แทนจากกลุ่มวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การพิจารณากำหนดมาตรการต่าง ๆ ของคณะอนุกรรมการฯ เป็นไปอย่างรอบคอบ มีความโปร่งใส และเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ไปดำเนินการให้เหมาะสมและรอบคอบต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการสร้างการรับรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับการประกาศกำหนดสินค้าและบริการควบคุม รวมทั้งการกำหนดมาตรการที่ใช้สำหรับสินค้าหรือบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้ถูกต้อง ชัดเจน และทั่วถึงโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
805 | สถานการณ์และแนวทางการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2561/62 | พณ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๑/๖๒ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี ๒๕๖๑/๖๒ วงเงินงบประมาณ ๔๕ ล้านบาท โดยการสนับสนุนสินเชื่อให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมหรือรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อจำหน่ายออกสู่ตลาด ในวงเงินสินเชื่อ ๑,๕๐๐ ล้านบาท โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปีของวงเงินสินเชื่อให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และคิดจากสถาบันเกษตรกรในอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๑๒ เดือน ระยะเวลาโครงการ เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ (ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และกำหนดชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน ๑๒ เดือน นับแต่วันที่รับเงินกู้) โดยภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงการคลังต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น แนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์เพื่อทำการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และใช้กลไกในการบริหารจัดการราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินโครงการเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อและสามารถดำเนินงานได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และควรมีการติดตามสถานการณ์ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการเพื่อให้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดตลอดปีอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงเวลาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
806 | สถานการณ์และแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปีการผลิต 2561/62 | พณ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์การผลิตและการตลาดสินค้ามันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๑/๖๒ รวมทั้งมาตรการและแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการจัดทำโครงการเสนอสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และรับทราบและแผนการดำเนินงานตามแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ จำนวน ๕ โครงการ วงเงินรวม ๑๘.๓๒๔ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด และโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑๔ ล้านบาท โดยชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา FDR+๑ ในกรอบวงเงินงบประมาณรวม ๘๒.๖๕ ล้านบาท (๕๐.๐๒๕+๓๒.๖๒๕) และให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการปฏิบัติงานจริง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาให้สินเชื่อโดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า การติดตามประเมินผลการดำเนินงานและปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อนำมาปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการในระยะต่อ ๆ ไป เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการพิจารณาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับราคามันสำปะหลังให้กับเกษตรกร เช่น การพัฒนาปรับปรุงดิน การให้ความรู้ในการคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีมูลค่าและโอกาสทางการตลาด และการส่งเสริมการวิจัยพัฒนาและต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมพลาสติกที่ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยดำเนินการร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม (๑) เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่เกษตรกรเกี่ยวกับการปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยดให้ชัดเจนและทั่วถึง และให้เสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการรับซื้อและการตรวจสอบคุณภาพของมันสำปะหลังให้แก่บุคลากรขอสถาบันเกษตรกรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง และ (๒) เร่งกำหนดแนวทางการบริหารจัดการในขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดได้ตลอดปี โดยมีปริมาณที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงเวลา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
807 | มาตรการป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ | ปช | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ได้แก่ มาตรการด้านนโยบาย เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการแทรกแซงกลไกตลาดสินค้าข้าว และมาตรการด้านการดำเนินงานของหน่วยงานในขั้นตอนต่าง ๆ ทั้งขั้นตอนก่อนการระบายข้าว วิธีการระบายข้าว ขั้นตอนการพิจารณาสัญญาก่อนลงนามในสัญญาระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และการเปิดเผยข้อมูลการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้สาธารณชนรับทราบ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐจากโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และแนวทางการปฏิบัติงานในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ของกระทรวงพาณิชย์ที่ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กรมการค้าต่างประเทศจัดทำแนวทางการปฏิบัติงานในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ สำหรับเจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศใช้ในการดำเนินงานต่อไปในอนาคต ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศได้จัดทำแนวทางปฏิบัติดังกล่าวแล้ว โดยเกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาในขั้นตอนการดำเนินการ คือ ขั้นตอนการระบายข้าว ขั้นตอนการพิจารณาสัญญาก่อนลงนามในสัญญาระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และการชี้แจงเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้สาธารณชนทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
808 | ร่างกรอบเจรจากรณีการจัดทำตารางข้อผูกพันภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ของสหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร อันเป็นผลเนื่องมาจากการออกจากสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) | พณ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างกรอบเจรจากรณีการจัดทำตารางข้อผูกพันภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ของสหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร อันเป็นผลเนื่องมาจากการออกจากสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) เพื่อกระทรวงพาณิชย์จะได้ใช้เป็นแนวทางในการเจรจาร่วมกับสหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักรต่อไป โดยมีสาระสำคัญคือ เจรจาเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์โดยรวมที่ไทยจะได้รับหลังจากสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปไม่น้อยไปกว่าที่ไทยเคยได้รับโดยรวมเมื่อครั้งสหราชอาณาจักรเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า หากผลการเจรจาทำให้เกิดข้อตกลงที่เห็นชอบร่วมกันแล้ว กระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาส่งร่างกรอบเจรจาดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศเพื่อพิจารณาประเด็นที่อาจเข้าข่ายมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาการเจรจาเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการสินค้า ปริมาณโควตา การนำเข้า และอัตราภาษีที่จะดำเนินการร่วมกับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกไก่แปรรูปให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของไทยมากที่สุด และกรณีที่สหราชอาณาจักรออกจากสมาชิกภาพสหภาพยุโรป (Brexit) อาจมีพันธกรณีต่าง ๆ ซึ่งไทยได้เคยจัดทำไว้กับสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักรที่มีความจำเป็นต้องแก้ไข ปรับปรุง หรือจัดทำขึ้นใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักรในปัจจุบันที่สหราชอาณาจักรกำลังจะแยกตัวเป็นเอกเทศจากสหภาพยุโรป จึงเห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในการเจรจากับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรตามแต่กรณี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
809 | การเข้าร่วมร่างแถลงการณ์ร่วมการเริ่มเจรจาจัดทำความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ WTO | พณ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการเริ่มเจรจาจัดทำความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ WTO (Joint Statement on Electronic Commerce) ที่จะมีการรับรองในช่วงการประชุมรัฐมนตรี WTO อย่างไม่เป็นทางการ (Informal WTO Ministerial Gathering : IMG) ในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๒ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส และให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องในรายละเอียด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
810 | รายงานผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีและเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) (สาธารณรัฐเกาหลี) | พณ | 15/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
811 | รายงานผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีและเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) (เขตบริหารพิเศษฮ่องกง) | พณ | 15/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลี และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ ๒๑-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) การจัดกิจกรรม “Thailand-Korea Business Partnership 2018” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เน้นย้ำความพร้อมของไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและการเป็นสะพานเชื่อมสู่อนุภูมิภาคต่าง ๆ ของเอเชีย และได้มอบใบประกาศเกียรติคุณแก่บริษัทผู้นำเข้าเกาหลี รวมทั้งมอบเกียรติบัตรร้านอาหารไทยที่ได้มาตรฐาน (๒) การหารือกับผู้บริหารและเยี่ยมชมบริษัท Coupang (บริษัทอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดในเกาหลี) กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ขยายความร่วมมือกับบริษัทฯ ในการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับจำหน่ายสินค้าไทยบนเว็บไซต์ และ (๓) การหารือกับประธานสมาคมผู้นำเข้าเกาหลี (KOIMA) เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศให้เกิดการขยายการค้าสินค้าและบริการระหว่างไทยและเกาหลี ๒. ผลการเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เมื่อวันที่ ๒๗-๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) การต่อยอดความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนในการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์สองภูมิภาค โดยใช้ประโยชน์จากการเป็นประตูการค้าซึ่งกันและกันอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้มีการหารือกับบุคคลสำคัญต่าง ๆ เพื่อเน้นย้ำศักยภาพและความพร้อมของไทยในการรองรับการค้าการลงทุนจากจีน การจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย และการจัดให้มีความตกลงเสรีการค้าอาเซียน-ฮ่องกง (๒) การขยายตลาดข้าวไทยในฮ่องกง ได้มีการพบกับผู้บริหารสมาคมผู้ค้าข้าวฮ่องกงเพื่อหารือแนวทางผลักดันการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้บริหารสมาคมฯ มีความสนใจที่จะทำ Co-Branding กับผู้ประกอบการท้องถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ ของไทย และ (๓) การเชิญบริษัท Tom Group เยือนไทยเพื่อสำรวจความเป็นไปได้ในการลงทุนยกระดับร้านค้าปลีกดั้งเดิมของไทยเป็นร้านค้าขายผ่านระบบออนไลน์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
812 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 3 - 7 พฤศจิกายน 2561 | พณ | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการเดินทางเยือนนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๓-๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) การเข้าร่วมพิธีเปิดงานมหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติ ครั้งที่ ๑ ซึ่งงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำเข้าและลดการขาดดุลของประเทศคู่ค้าตามนโยบายเปิดเสรีการค้ากับทั่วโลก มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า ๓,๖๐๐ บริษัท จาก ๑๗๒ ประเทศ โดยมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วม ๖๓ บริษัท (๒) การกล่าวปาฐกถาในเวที The Trade and Investment ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ซึ่งได้กล่าวแสดงความยินดีกับจีนในวาระครบรอบ ๔๐ ปี ของการปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศ และย้ำความพร้อมของไทยที่จะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเป็นสะพานเชื่อมอนุภูมิภาคต่าง ๆ ของเอเชีย (๓) การเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรีคนที่ ๑ (นายหาน เจิ้ง) และมนตรีแห่งรัฐ (นายหวัง หย่ง) โดยทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน โดยจีนพร้อมสนับสนุนการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างอนุภูมิภาคกับมณฑลของจีน โดยมีไทยเป็นตัวเชื่อม ตลอดจนสนับสนุนบทบาทของไทยในฐานะประธานอาเซียนในปี ๒๕๖๒ และร่วมผลักดันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคให้มีข้อสรุปโดยเร็ว (๔) การหารือร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของเอกชนรายสำคัญของจีน เช่น บริษัทอาลีบาบา ซึ่งยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับไทยในการพัฒนาด้านการส่งเสริมสินค้าเกษตรไทยในตลาดจีน ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้านการพัฒนาศักยภาพและร่วมพัฒนารูปแบบธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ ตลอดจนเสนอให้ไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันโครงการการค้าระหว่างประเทศผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดปัญหาความยากจนของประชาคมโลก โดยให้การค้าออนไลน์และเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญ เป็นต้น และมอบหมายให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
813 | ขออนุมัติกรอบงบประมาณโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทย ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ พ.ศ. 2563 - 2565 | พณ | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทย ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ และกรมการค้าภายใน) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมการข้าว) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยต้องพิจารณาถึงความประหยัดและคุ้มค่า ต้นทุนที่เหมาะสม ผลสัมฤทธิ์ ประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานด้านการวิจัยและนวัตกรรมที่มีอยู่ เพื่อลดความซ้ำซ้อนของกิจกรรมที่จะดำเนินโครงการ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ตามความจำเป็นและเหมาะสม และหากกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นควรดำเนินโครงการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ก็เห็นควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ในโอกาสแรก เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้กับเกษตรกรและประชาชนในเรื่องการบริหารจัดการการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑) นำเสนอข้อมูลภาพรวมการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องตลอดช่วงที่ผ่านมา เพื่อรับทราบถึงโอกาสและอุปสรรคที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการในลักษณะของการส่งเสริมและรณรงค์การเพิ่มการบริโภคข้าว โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่มีการแข่งขันรุนแรง (๒) ให้ความสำคัญต่อการกำหนดเป้าหมายที่สำคัญสำหรับการติดตามประเมินผลโครงการในอีก ๕ ปีข้างหน้า ในลักษณะของปริมาณและมูลค่าการค้าที่เกิดขึ้นจริง และ (๓) ต่อยอดโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทย โดยเชื่อมโยงกับการผลิตและบริโภคสินค้าที่ได้รับมาตรฐาน GAP และมาตรฐานอินทรีย์ ตลอดส่งเสริมผู้ประกอบการโรงสีในการยกระดับการแปรรูปเข้าสู่มาตรฐาน GMP และมาตรฐานอินทรีย์ เพื่อรองรับผลผลิตข้าวที่สอดคล้องกับมาตรฐานอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
814 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (จำนวน 6 คน 1. นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ฯลฯ) | พณ | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา รวม ๖ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งสามปี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ประธานกรรมการ ๒. นายดามพ์ สุคนธทรัพย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นางพิลาสลักษณ์ ยุคเกษมวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นางสีลาภรณ์ บัวสาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
815 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (นายสุรจิตต์ อินทรชิต และนายสุพพัต อ่องแสงคุณ) | อก | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้แทนส่วนราชการเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ แทนผู้ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากเกษียณอายุราชการ จำนวน ๒ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ มกราคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายสุรจิตต์ อินทรชิต ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นายสุพพัต อ่องแสงคุณ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
816 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก พ.ศ. .... | พณ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธทุกประเภทไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก พ.ศ. ๒๕๔๗ ลงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๗ และปรับปรุงประกาศดังกล่าวขึ้นใหม่ โดยกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และเพิ่มเติมข้อยกเว้นที่มิให้ใช้บังคับกับกรณีการส่งออกหรือนำผ่านเครื่องแต่งกายที่ใช้สำหรับการป้องกัน รวมถึงเสื้อเกราะกันกระสุนและหมวกสนามเพื่อนำไปใช้เฉพาะตัวเป็นการชั่วคราวสำหรับบุคลากรของสหประชาชาติ ผู้แทนสื่อมวลชนผู้ปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรมและการพัฒนา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๔๒๔ (ค.ศ. ๒๐๑๘) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ให้เพิ่มเติมการอ้างมาตรา ๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ ในบทอาศัยอำนาจ และควรกำหนดระยะเวลาสิ้นผลของร่างประกาศฯ ให้สอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามข้อมติ ที่ ๒๔๒๔ (ค.ศ. ๒๐๑๘) ซึ่งกำหนดระยะเวลาสิ้นผลของมาตรการให้ใช้บังคับจนถึงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
817 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย | กต | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของ ตุน ดร.มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือทวิภาคีระหว่างกันในประเด็นสำคัญ ได้แก่ ด้านการเชื่อมโยงพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ด้านการค้า การเกษตร และการท่องเที่ยว ด้านความมั่นคงบริเวณชายแดน รวมทั้งเร่งรัดให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจและสนธิสัญญาต่าง ๆ ที่คั่งค้างให้แล้วเสร็จ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนดังกล่าว เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับ (๑) ประเด็นการขยายเวลาทำการของด่านศุลกากรสะเดา-บูกิตกายูฮิตัมเป็น ๒๔ ชั่วโมง ควรให้มีการทดลองใช้กับรถขนส่งสินค้าก่อนเป็นเวลา ๖ เดือน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานของทั้งสองฝ่ายและประเมินสถานการณ์ก่อนว่าได้รับประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่ ก่อนที่จะพิจารณาแก้ไขกฎระเบียบและดำเนินการอย่างเป็นทางการต่อไป (๒) ฝ่ายไทยควรเตรียมการรองรับการปรับเปลี่ยนรัฐบาลมาเลเซียชุดต่อไป เนื่องจากอาจมีการปรับเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ (๓) ประเด็นบุคคลสองสัญชาตินั้น การดำเนินงานทางเทคนิคที่เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลทางชีวภาพบุคคล (Biometrics) ด้วยระบบฐานข้อมูลของทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างกัน ควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทางเทคนิคของไทยได้มีโอกาสหารือร่วมกันเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
818 | การเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ | พณ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อรองรับการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเกี่ยวกับการเชื่อมโยงดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการรักษาความลับของทะเบียนประวัติราษฎรอย่างเคร่งครัด และให้คำนึงถึงแนวทางการดำเนินการให้เกิดความเป็นมาตรฐานเดียวกันกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลตามกรอบการกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance Framework) พร้อมทั้งดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศตามวิธีการแบบปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๕ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งพิจารณากำหนดมาตรการคุ้มครองและรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งระบบการตรวจสอบหรือการป้องกันการนำข้อมูลไปใช้นอกเหนือภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ให้ชัดเจนด้วย ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงยุติธรรม เป็นต้น เร่งพิจารณากำหนดกลไกคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
819 | การทบทวนข้อเสนอให้จัดตั้งหน่วยงานของรัฐตามแผนการปฏิรูปประเทศ | นร12 | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๑.๑ ให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ตัดข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งหน่วยงานต่าง ๆ ออกจากแผนการปฏิรูปประเทศ ๑.๒ ในการเสนอขอจัดตั้งหน่วยงาน ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) โดยเคร่งครัด ทั้งนี้ การขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง กับต้องมีข้อเสนอให้ยุบเลิกหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม (One-In, X-Out) เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนทั้งในด้านภารกิจและงบประมาณ และให้เสนอแผนการนำ Digital Technology มาใช้ในการปฏิบัติงานทุกขั้นตอนประกอบคำขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ ๑.๓ ในการจัดทำแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการภายใต้ยุทธศาสตร์ชาตินั้น มิให้กำหนดเรื่องการจัดตั้งหน่วยงาน เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับแผนการปฏิรูปประเทศอีก ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อห้ามไม่ให้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ แต่เป็นการเน้นการยุบเลิกภารกิจที่ไม่จำเป็น ซึ่งการจัดตั้งหน่วยงานอาจจะเป็นกลไกที่มีความจำเป็นและเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ จึงเห็นควรให้ส่วนราชการยึดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด และเห็นควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาทบทวนบทบาท/ภารกิจที่ภาครัฐควรดำเนินการทั้งระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ๓.๑ ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) และ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม) อย่างเคร่งครัด ๓.๒ ระบุข้อเสนอให้ยุบเลิกหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนทั้งในด้านภารกิจและงบประมาณ ๓.๓ เสนอแผนการนำ Digital Technology มาใช้ในการปฏิบัติงาน ประกอบคำขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
820 | โครงการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลเพื่อจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติ | ยธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลเพื่อจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติในภาพรวมทั้งระบบให้มีความชัดเจน เหมาะสม และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น (๑) ความครบถ้วนของข้อมูลที่อยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน (๒) การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างศูนย์ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (๓) แนวทางการบริหารจัดการข้อมูลของศูนย์ฯ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ (๔) เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการ (๕) ภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว (๖) ความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงข้อมูลของศูนย์ฯ กับระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เป็นต้น แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้นำความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเชื่อมโยงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องการรักษาความลับ (Confidentiality) จึงควรพิจารณาการเข้ารหัสข้อมูลตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง (End-to-end encyption) การพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และขอบเขตของการเข้าถึงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลสำหรับการให้บริการภาคเอกชน เพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนและไม่ให้มีการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่เหมาะสมหรือเป็นผลร้ายต่อเจ้าของข้อมูล รวมถึงการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการในระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
.....