ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 335 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 6683 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 | แจ้งผลการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน (กรณีการไม่ออกใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์) | สผผ. | 21/10/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน (กรณีการไม่ออกใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์)
ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
(องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ
โดยให้กระทรวงการคลังสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน
๓๐ วัน
นับจากวันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์) | พณ. | 14/10/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๘)เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 3 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี | รง. | 14/10/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๔
ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประธานกรรมการ ๒. ปลัดกระทรวงแรงงาน รองประธานกรรมการ ๓. ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กรรมการ ๔. ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรรมการ ๕. ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรรมการ ๖. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรรมการ ๗. ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรรมการ ๘. ปลัดกระทรวงมหาดไทย กรรมการ ๙. ปลัดกระทรวงยุติธรรม กรรมการ ๑๐. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กรรมการ ๑๑. ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรรมการ ๑๒. ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กรรมการ ๑๓. ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรรมการ ๑๔. ปลัดกรุงเทพมหานคร กรรมการ ๑๕. อัยการสูงสุด กรรมการ ๑๖. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรรมการ ๑๗. เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กรรมการ ๑๘. เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรรมการ ๑๙. อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กรรมการ ๒๐. อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กรรมการ ๒๑.
ผู้อำนวยการสำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ กรรมการ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน
กระทรวงแรงงาน ๒๒. ประธานมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก กรรมการ ๒๓. ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก กรรมการ ๒๔. ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย กรรมการ ๒๕. ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กรรมการ ๒๖. หัวหน้าทีมนโยบายเพื่อการพัฒนาสังคม กรรมการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ๒๗. ผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ กรรมการ ประจำประเทศไทย
กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒๘. อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรรมการ และเลขานุการ กระทรวงแรงงาน ๒๙. ผู้อำนวยการกองคุ้มครองแรงงาน กรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
กระทรวงแรงงาน ๓๐. ผู้อำนวยการกลุ่มงานแรงงานหญิง เด็ก กรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการ และเครือข่ายการคุ้มครองแรงงาน
กองคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
กระทรวงแรงงาน
|
|||||||||||||||||||||
| 4 | การเจรจาการค้าระหว่างประเทศของไทยกับสหรัฐอเมริกา | นร.04 | 14/10/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาโดยมีภารกิจเร่งด่วนสำคัญประการหนึ่งคือ
การเร่งดำเนินการเจรจาเพื่อลดภาษีการค้ากับสหรัฐอเมริกาและการเร่งสรุปความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป
เพื่อวางรากฐานทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของประเทศในระยะยาว เนื่องจากแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยแต่นโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกาได้ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจของไทย
รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งการเจรจาในรายละเอียดเพื่อลดอัตราภาษีให้ต่ำกว่าหรืออย่างน้อยไม่เกินระดับปัจจุบันที่ร้อยละ
๑๙ แล้วจัดทำเป็นความตกลง (Agreement) ระหว่างกันต่อไป เพื่อปกป้องภาคการส่งออก ภาคเกษตร
ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการจ้างงานและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ในการนี้จะมีการแต่งตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์เจรจาการค้าสหรัฐอเมริกาขึ้น
โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) เป็นประธาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นรองประธาน ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องหรือผู้แทน และหัวหน้าส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องหรือผู้แทน
เป็นคณะทำงาน โดยมีอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้แทน เป็นคณะทำงานและเลขานุการ
มีหน้าที่และอำนาจประการหนึ่งในการพิจารณากำหนดท่าทีและแนวทางการเจรจาทำความตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทย
และจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานเชิงธุรกิจทั้งด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาเพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในการสั่งการและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
จึงขอกำชับให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกท่านพิจารณาเสนอความเห็น
รวมทั้งสั่งการกับผู้เข้าร่วมเจรจาในเรื่องจำเป็นที่อยู่ในความรับผิดชอบให้เหมาะสมและละเอียดรอบคอบ เพื่อร่วมกันหาทางออกในการเจรจาการค้าในครั้งนี้ให้ได้ข้อยุติที่พึงพอใจร่วมกันทั้งสองฝ่ายในเวลาที่เหมาะสมและรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์สูงสุดโดยรวมของประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
| 5 | การแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ | นร.05 | 07/10/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ
โดยให้เพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย
และให้จัดทำเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑. นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ ๒. รองนายกรัฐมนตรี รองประธานกรรมการ (นายเอกนิติ
นิติทัณฑ์ประภาศ) ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรรมการ ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กรรมการ ๕. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรรมการ ๖. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรรมการ ๗. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรรมการ ๘. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล กรรมการ เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๙. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กรรมการ ๑๐. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กรรมการ ๑๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรรมการ ๑๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กรรมการ ๑๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กรรมการ ๑๔. ปลัดกระทรวงการคลัง กรรมการ ๑๕. ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กรรมการ ๑๖. ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรรมการ ๑๗. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรรมการ ๑๘. ปลัดกระทรวงคมนาคม กรรมการ ๑๙. ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรรมการ ๒๐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กรรมการ ๒๑. ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรรมการ ๒๒. ปลัดกระทรวงมหาดไทย กรรมการ ๒๓. ปลัดกระทรวงแรงงาน กรรมการ ๒๔. ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กรรมการ ๒๕. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมการ ๒๖. เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรรมการ ๒๗. เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการ ๒๘. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ ๒๙. ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กรรมการ ๓๐. เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กรรมการ และเลขานุการ ๓๑. ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการ ๓๒. รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ กรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการ และสังคมแห่งชาติ
ที่ได้รับมอบหมายจากเลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||
| 6 | โครงการคนละครึ่ง พลัส | กค. | 07/10/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติโครงการคนละครึ่ง พลัส (โครงการฯ)
และให้กระทรวงการคลัง [สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)]
เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการฯ ภายในกรอบวงเงิน ๔๔,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
(สศค.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้กระทรวงคลังดำเนินการตามกฎหมาย
กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นควรให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้งบประมาณ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่อไป และควรพิจารณาหารือกับหน่วยงานที่ขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าวอยู่แล้ว
เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการพัฒนาทักษะความรู้ทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ
และช่วยประหยัดทรัพยากร ๒.
เห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) เร่งดำเนินการยกร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๓. เห็นชอบให้ สศค.
มอบอำนาจให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่ได้รับมอบหมายเพื่อดำเนินการทางกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ
แทน สศค.
โดยให้ร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การมอบอำนาจให้ชัดเจนต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับ
ติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมายกับร้านค้าหรือผู้ที่กระทำการทุจริต ฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อย่างเคร่งครัด ๔. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก)
กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน
และกรุงเทพมหานคร) กระทรวงสาธารณสุข (กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ)
สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่าง
ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
รวมทั้งให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๔.๑
ให้กระทรวงการคลัง (สศค.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพิ่มเติมผู้ประกอบการ ร้านค้าภายใต้โครงการฯ
ให้ครอบคลุมถึงวิสาหกิจเพื่อสังคมด้วย ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ
โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล พื้นที่ชนบท
และพื้นที่ที่ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารได้ยาก
เพื่อให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนได้ตามกำหนดระยะเวลาและได้รับสิทธิประโยชน์จากโครงการฯ
อย่างทั่วถึงและครบถ้วน ๔.๓
ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
กรมเจ้าท่า และกรมการขนส่งทางบก)
สนับสนุนข้อมูลของผู้ประกอบการด้านขนส่งสาธารณะและด้านขนส่งมวลชนสาธารณะให้ สศค.
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติร้านค้าเป็นร้านค้าในโครงการฯ
ให้ถูกต้องและครบถ้วนด้วย ๔.๔
ให้กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับ ดูแล และติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการที่เข้าร่วมโครงการฯ อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าและบริการโดยไม่เป็นธรรม |
|||||||||||||||||||||
| 7 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประจำปี 2568 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๘ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ จังหวัดเชจู สาธารณรัฐเกาหลี
โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ ๑) วาระการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประกอบด้วย
วาระนวัตกรรมเพื่อการอำนวยความสะดวกทางการค้า
เพื่อผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ วาระการสร้างความเชื่อมโยงผ่านระบบการค้าพหุภาคี
ซึ่งที่ประชุมหารือถึงการผลักดันการปฏิรูป WTO ให้รองรับความท้าทายในปัจจุบัน
และวาระการสร้างความมั่งคั่งผ่านความยั่งยืนทางการค้า ซึ่งที่ประชุมหารือถึงการพัฒนานโยบายเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจการค้า
๒) ที่ประชุมมีฉันทามติรับรองแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (2025 APEC Ministers Responsible for Joint Statement) และ ๓)
การประชุมที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจของสมาชิกอาเซียนที่เป็นสมาชิกเอเปค
การหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นและการหารือทวิภาคีกับบริษัท
Google ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 8 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 25 | พณ. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ ๒๕ เมื่อวันที่
๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ในขณะนั้น ได้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯทั้งนี้
ที่ประชุมฯ ได้รับรองเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจ จำนวน ๔ ฉบับ โดยรับรองและเห็นชอบเอกสาร
จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ รายงานของคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๒๕
ต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๔๖ และกรอบความร่วมมือโครงการพื้นฐาน ด้านอุตสาหกรรมอาเซียน
และเห็นชอบเอกสาร ๒ ฉบับ ได้แก่ ร่างแผนยุทธศาสตร์ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ค.ศ ๒๐๒๖
- ๒๐๓๐ ภายใต้วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. ๒๐๔๕ และร่างปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 9 | โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในไร่อ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ปี 2568-2570 | อก. | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในไร่อ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
(PM2.5) ปี ๒๕๖๘ - ๒๕๗๐ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย
กลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์การเกษตร หรือสถาบันชาวไร่อ้อย หรือกลุ่มบุคคล
หรือวิสาหกิจชุมชน วงเงินปีละ ๒,๐๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงิน ๖,๐๐๐ ล้านบาท กำหนดระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นตามโครงการโดยแยกตามวัตถุประสงค์การกู้เงิน
หากกู้เงินเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งโดยการพัฒนาแหล่งน้ำและพัฒนาระบบการให้น้ำและเพื่อปรับพื้นที่ปลูกอ้อย
กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี
และหากกู้เงินเพื่อซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน
๘ ปี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
สำหรับการชดเชยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ขอให้รัฐบาลชดเชยให้ ธ.ก.ส. แทนผู้กู้โครงการฯ
ปี ๒๕๖๘ - ๒๕๗๐ อัตราการชดเชยดอกเบี้ย
ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นต่องบประมาณนั้น ให้ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งข้อสังเกตและความเห็นของกระทรวงการคลัง
ตลอดจนข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงพาณิชย์ เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมบริหารจัดการ
กำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ หลักเกณฑ์เงื่อนไข
ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง สอดคล้องกับระเบียบที่เกี่ยวข้อง และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
PM2.5 อย่างยั่งยืน ตลอดจนหามาตรการส่งเสริมการตัดอ้อยสดเพิ่มมากขึ้น
ลดการเผาอ้อย สนับสนุนให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยมีผลผลิตต่อไร่เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นควรควบคุมดูแลให้นำสินเชื่อไปใช้ตรงตามวัตถุประสงค์
รวมถึงควรกำหนดเงื่อนไขการให้สินเชื่อเพิ่มเติม
โดยให้มีการเรียกคืนสินเชื่อเมื่อตรวจสอบพบการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ รวมถึงกำหนดให้มีการนำเครื่องจักรกลการเกษตรที่จัดซื้อมาเป็นหลักประกัน
เพื่อให้มั่นใจว่ามีการซื้อเครื่องจักรจริง และช่วยลดความเสี่ยงให้แก่ผู้ให้กู้ยืม
และควรมีแนวทางการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้โครงการบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
และให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||
| 10 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....[กรณีรถยนต์โบราณ (Classic Cars)] | พณ. | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๖๒ ลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ลงวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยยกเว้นให้สามารถนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วตามพิกัดอัตราศุลกากร
๘๗.๐๓ รถยนต์และยานยนต์อื่น ๆ ที่ออกแบบสำหรับขนส่งบุคคลเป็นหลัก
รวมถึงสเตชันแวกอนและรถแข่ง และพิกัดอัตราศุลกากร ๙๗.๐๖ รถยนต์ใช้แล้วที่มีอายุเกิน
๑๐๐ ปีขึ้นไป (รถยนต์โบราณ) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะ
ที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ เมษายน ๒๕๖๘ [เรื่อง (การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ เรื่อง
มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic
Cars)] ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรพิจารณาหลักฐานทางทะเบียนจากประเทศต้นทางที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เป็นมาตรฐานสากล เช่น The Royal Automobile Club ในการรับรองอายุของรถยนต์ที่จะนำเข้าภายใต้มาตรการ
รวมถึงการพิจารณาประเภทพิกัดศุลกากรของรถยนต์โดยเฉพาะรถยนต์ใช้แล้วที่มีอายุเกิน
๑๐๐ ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีอากรที่อาจจะเกิดขึ้นอีกทางหนึ่ง ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์และกลไกการตรวจสอบรถยนต์โบราณให้มีความชัดเจนและพิจารณามาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมรถยนต์โบราณ
สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์โบราณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม
ที่เห็นว่าคำนิยาม หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะสำหรับรถยนต์โบราณ
ที่จะถูกกำหนดในร่างประกาศกรมสรรพสามิต ควรพิจารณาให้มีความชัดเจน รัดกุม สามารถจำแนกรถยนต์โบราณสำหรับงานศิลปะออกจากรถยนต์เพื่อสันทนาการหรือรถยนต์เก่าที่มีอายุการใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน
และเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของแต่ละหน่วยงาน
เพื่อให้ตรงตามเจตนารมณ์ในการดำเนินมาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ และไม่ส่งผลกระทบต่อปัญหามลพิษในประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 11 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ พ.ศ. .... | กค. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ
(Nation Credit Guarantee Agency : NaCGA) โดยมีการกำหนดวัตถุประสงค์
ขอบเขตการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจโครงสร้างองค์กรและการบริหารจัดการ และการกำกับดูแลการดำเนินการของ
NaCGA รวมทั้งกำหนดแนวทางและระยะเวลาในการจัดตั้ง NaCGA
ตลอดจนแนวทางการผนวกบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
กับ NaCGA เพื่อยกระดับกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ
ส่งเสริมความยั่งยืนทางการคลัง และสามารถส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายได้ด้วยต้นทุนทางการเงินในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับระดับความเสี่ยง
(Risk-based Pricing) มากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงาน
ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ
และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
เช่น กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าในประเด็นที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลให้แก่สถาบัน
NaCGA เพื่อเป็นฐานข้อมูลและแบบจำลองด้านเครดิตตามภารกิจของสถาบันฯ
ภายใต้ร่างมาตรา ๕๓ อาจต้องพิจารณากฎหมายของหน่วยงานของรัฐนั้นประกอบด้วย
เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายอื่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาเพิ่มเติมบทบาทสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ
ในด้านการส่งเสริม สนับสนุน และสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าสู่ระบบ (Formalization) และให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการทบทวนภารกิจและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐอื่นที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมผู้ประกอบการ
SMEs ในลักษณะที่เกี่ยวเนื่องและคล้ายคลึงกันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานและช่วยลดภาระทางการคลัง ทั้งนี้ ในการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานหรือลูกจ้างตามมาตรา
๑๓๐ ของร่างพระราชบัญญัติฯ
ควรให้มีการดำเนินการโดยให้ความสำคัญกับความคล่องตัวและการสร้างประสิทธิภาพให้กับ NaCGA
ตามรูปแบบองค์กรที่เปลี่ยนแปลงไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงบประมาณ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย
สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรกำหนดกลไกการบริหารความเสี่ยง
การตรวจสอบความคุ้มค่า และการควบคุมการใช้งบประมาณอย่างเหมาะสม
เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงทางการคลังของประเทศในระยะยาว
และป้องกันไม่ให้เกิดหนี้สินแฝงที่อาจกระทบต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศในอนาคต สำนักงาน ก.พ. เห็นควรมีการพัฒนาความรู้ความสามารถบุคลากรที่มีอยู่ให้มีศักยภาพในการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับภารกิจที่มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น
รวมถึงพิจารณาการถ่ายโอนภารกิจบางส่วนให้ภาคเอกชนดำเนินการแทน
เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐในระยะยาว และมีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงาน
เพื่อให้การขับเคลื่อนภารกิจของสถาบันฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||
| 12 | ขอความเห็นชอบโครงการขอใช้เงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร และขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร โครงการรับซื้อน้ำนมดิบเพื่อการผลิต ขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย | กษ. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย กู้ยืมเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร
จำนวน ๒๐๐ ล้านบาท และอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยกู้ยืมเงินเพื่อไปดำเนินการตามโครงการรับซื้อน้ำนมดิบเพื่อการผลิตขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
มีกำหนดชำระคืนภายใน ๓ ปี ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ พ.ศ. ๒๕๖๘ ถึง พ.ศ. ๒๕๗๑
โดยอนุมัติวงเงิน จำนวน ๒๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ เพื่อรวบรวมและรับซื้อน้ำนมดิบของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม
ในเขตพื้นที่ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
ตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ครั้งที่ ๔/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรมีการดำเนินการตามแผนงานอย่างเคร่งครัด
ตลอดจนการกำกับติดตามการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อให้การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้และเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดย อ.ส.ค. พิจารณาดำเนิน (๑) แก้ไขปัญหานมทั้งระบบ
เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการสินค้าคงคลังและเป็นการกระตุ้นยอดจำหน่าย และ (๒)
กำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการรับซื้อน้ำนมดิบฯ
พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรทราบหากประสบปัญหา ๒. ให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์เร่งรัดดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม)
และเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง การเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยนมและครีม
ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม)
ที่ให้ทบทวนแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรโคนมให้เหมาะสมและตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืน
รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการในการดำเนินการเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมโคนมและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภายในประเทศจากการยกเลิกโควตาภาษีสินค้าเกษตรทั้งหมดตามความตกลงต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาราคาน้ำนมดิบในครั้งต่อไป
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินงานตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีให้ชัดเจนด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 13 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายณัฐวุฒิ กองจันทร์ดี) | พณ. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายณัฐวุฒิ กองจันทร์ดี
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์)]
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 14 | หลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ปะทะกันตามแนวบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา | นร. | 05/08/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม
เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีรายงานว่า
สืบเนื่องจากสถานการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต รวมทั้งที่พักอาศัยและทรัพย์สินจำนวนมากได้รับความเสียหาย
ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
จึงได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีเร่งด่วนร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย
ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์) ในวันที่ ๑
สิงหาคม ๒๕๖๘ โดยถือเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๘ วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ปรับเพิ่มเงินเยียวยาให้กับประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เสียชีวิต โดยมอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราเงินเยียวยาให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวให้เหมาะสม
ชัดเจน โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี
และให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๘ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 15 | การแต่งตั้งรองประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (นายปวริศ ผุดผ่อง) | พณ. | 05/08/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายปวริศ ผุดผ่อง เป็นรองประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า
แทนรองประธานกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๕ สิงหาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
และผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งนั้นดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 16 | หลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ปะทะกันตามแนวบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา | นร.08 | 01/08/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่าสืบเนื่องจากสถานการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
ที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
รวมทั้งที่พักอาศัยและทรัพย์สินจำนวนมากได้รับความเสียหาย
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
ซึ่งตามมาตรา ๘ วรรคสอง
แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘
บัญญัติให้ในกรณีจำเป็นเพื่อเป็นการรักษาประโยชน์สำคัญของประเทศ หรือมีกรณีฉุกเฉิน
นายกรัฐมนตรีอาจพิจารณาเรื่องใดกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องตามที่นายกรัฐมนตรีเห็นควรเพื่อมีมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นได้ รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
จึงได้ประชุมร่วมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย
ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายฉันทวิชญ์
ตัณฑสิทธิ์)
แล้วมีมติเห็นชอบในหลักการให้ปรับเพิ่มเงินเยียวยาให้กับประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เสียชีวิต
โดยมอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราเงินเยียวยาให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวให้เหมาะสม
ชัดเจน โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี
และให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๘ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 17 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นางสาวจิตติมา ศรีถาพร ฯลฯ จำนวน 4 ราย) | พณ. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย
เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
ดังนี้ ๑. นางสาวจิตติมา ศรีถาพร ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ๓. นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
|
|||||||||||||||||||||
| 18 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒ ราย ตามลำดับ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสุชาติ
ชมกลิ่น)
|
|||||||||||||||||||||
| 19 | การร้องขอข้อยกเว้นเพิ่มเติม (Extension of Exemption Period) ตามข้อบทที่ 4 ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท ภายใต้อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอทของประเทศไทย ให้ยังคงมีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท | ทส. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการร้องขอข้อยกเว้นเพิ่มเติม (Extension of Exemption Period) ของประเทศไทยสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท
จำนวน ๖ รายการ ที่ถูกกำหนดให้ยกเลิกการผลิต นำเข้า และส่งออกผลิตภัณฑ์ภายในปี
พ.ศ. ๒๕๖๘ ได้แก่ (๑) สวิตช์ไฟฟ้าและรีเลย์ (๒) หลอดฟลูออเรสเซนต์ชนิดคอมแพกต์ (๓)
หลอดฟลูออเรสเซนต์ชนิดตรง (๔) หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบแคโทดเย็น
และหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบอิเล็กโทรดภายนอก (EEFL) ในจอภาพอิเล็กทรอนิกส์
(๕) หลอดไอปรอทความดันสูง และ (๖) เครื่องมือวัดที่ไม่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์
ให้ยังคงมีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท ออกไปอีก ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๓)
ภายใต้อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนและดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อให้สามารถยกเลิกการผลิต
นำเข้า และส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท จำนวน ๖ รายการ ที่เสนอในครั้งนี้ได้โดยเร็ว
ภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ |
|||||||||||||||||||||
| 20 | การทบทวนแนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ | นร.10 | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบการทบทวนกรอบแนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ กันยายน ๒๕๖๔ (เรื่อง แนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ) ตามที่สำนักงาน
ก.พ. เสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของการประเมินในมิติด้านผลสัมฤทธิ์ ข.
การดำเนินการในวาระเร่งด่วนหรือภารกิจที่ถูกมอบหมายเป็นพิเศษ (Urgency/assigned Tasks) ให้สำนักงาน ก.พ.
นำความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กรุงเทพมหานคร และข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปพิจารณาทบทวนร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ
เพื่อปรับปรุงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ”
และประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมและได้ข้อยุติ โดยให้เป็นไปตามแนวทาง ดังนี้ ๑.๑ รอบที่
๑ การประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้บริหารระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ถึง ๓๑ มีนาคม
ให้นำตัวชี้วัด “การก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ” มาใช้ในการพิจารณา ๑.๒
รอบที่ ๒ การประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้บริหารระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ถึง ๓๐
กันยายน ให้นำตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ” มาใช้ในการพิจารณา แล้วให้สำนักงาน ก.พ. นำข้อยุติดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งโดยเร็วก่อนสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ |
|||||||||||||||||||||
