ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 43 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 841 - 860 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
841 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับข้อสังเกตในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามกรอบภารกิจของแต่ละหน่วยงานไปดำเนินการต่อไป โดยกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ จะได้ร่วมกันพิจารณาเนื้อหาสาระของประกาศกระทรวงพาณิชย์ที่จะออกตามความในมาตรา ๓๒/๔ แห่งร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับสนธิสัญญามาร์ราเคช และกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ขึ้น โดยได้นำมากำหนดรายละเอียดและลักษณะขององค์กรที่ได้รับอนุญาตหรือได้รับการยอมรับให้เชื่อมโยงกับองค์กรที่ให้บริการแก่คนพิการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการของการทำซ้ำ ดัดแปลง และการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ให้มีรายละเอียดที่ครบถ้วน ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และสอดคล้องกับสนธิสัญญามาร์ราเคชแล้ว โดยภายหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ประกาศในราชกิจจานุเบกษา กระทรวงพาณิชย์จะจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ก่อนออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
842 | ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย 6 ประเด็น) | พณ | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มช่องทางโฆษณาทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์นอกจากทางหนังสือพิมพ์ การส่งเอกสาร การประชุมกรรมการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การเรียกประชุมกรรมการ การมอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นแทนโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-proxy) เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทมหาชนจำกัด และส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของบริษัทมหาชนจำกัดให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยแก้ไขเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อประชาชน สอดคล้องกับรูปแบบการติดต่อสื่อสารในปัจจุบัน ซึ่งดำเนินการผ่านวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยลดภาระ ข้อยุ่งยาก ข้อกฎหมายล่าช้า ให้กับภาคเอกชนและประชาชนตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในส่วนของการแก้ไขเพิ่มเติมให้บริษัทมหาชนจำกัดสามารถประชุมคณะกรรมการโดยการติดต่อสื่อสารด้วยระบบเทคโนโลยี (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๗๙) โดยกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการประชุมดังกล่าว โดยการออกเป็นกฎหมายลำดับรอง นั้น หลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวต้องมีมาตรฐานในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมไม่ต่ำไปกว่ามาตรฐานซึ่งกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๗ และประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง แนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
843 | รายงานงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย | กค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน ศปภ.) ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้แสดงความเห็นอย่างมีเงื่อนไขในหมายเหตุประกอบงบการเงินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายบุคลากร และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับค่าเบี้ยประกันภัยบุคคล พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ซึ่งสำนักงาน ศปภ. ได้ดำเนินการตามประเด็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว สำหรับประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายบุคลากรส่วนที่เป็นค่าตอบแทนตามต้นทุนการบริการในอดีต สำนักงาน ศปภ. ได้หยุดการจ่ายค่าตอบแทนตามต้นทุนการบริการในอดีตเพื่อเป็นบำเหน็จเพิ่มเติมให้กับพนักงานที่เกษียณอายุที่มาจากกรมการประกันภัยและกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ เป็นต้นมาแล้ว เนื่องจากเห็นว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่ได้ข้อยุติในประเด็นที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้แสดงความคิดเห็นอย่างมีเงื่อนไขในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ประกอบกับได้มีพนักงานที่เกษียณอายุและมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามต้นทุนในอดีตตามข้อบังคับ คปภ. ว่าด้วยค่าตอบแทนตามต้นทุนการบริการในอดีต พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ยื่นฟ้องสำนักงาน ศปภ. เพื่อเรียกเงินค่าตอบแทนตามต้นทุนการบริการในอดีตตามข้อบังคับดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดตามกฎหมาย จำนวน ๑๕ ราย ซี่งปัจจุบันคดีความอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
844 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน | กต | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๔๑๘ (ค.ศ. ๒๐๑๘) และที่ ๒๔๒๘ (ค.ศ. ๒๐๑๘) เกี่ยวกับสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน โดยข้อมติที่ ๒๔๑๘ (ค.ศ. ๒๐๑๘) และที่ ๒๔๒๘ (ค.ศ. ๒๐๑๘) เป็นข้อมติล่าสุดซึ่งได้รับการรับรองเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามลำดับ เพื่อขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการลงโทษเซาท์ซูดานออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยมีสาระสำคัญเป็นการลงโทษทางอาวุธ การห้ามการเดินทาง การอายัดทรัพย์สิน และเพิ่มมาตรการตรวจค้นและมาตรการทางเรือ ๒. กรณีที่ UNSC ได้ออกข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษเกี่ยวกับสาธารณรัฐเซาท์ซูดานเป็นประจำทุกปี และเนื้อหาของข้อมติใหม่มิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม เห็นควรให้ความเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และหากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน เห็นควรให้ความเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ต้องถูกมาตรการลงโทษให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (http://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/2206) และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ทั้งนี้ สหประชาชาติจะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
845 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 2/2561 | กษ | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางในการจัดทำข้อมูลสินค้ามะพร้าว แนวทางการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าว การป้องกันการลักลอบและนำเข้ามะพร้าวผิดกฎหมาย การกำหนดให้สินค้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าควบคุม และกำหนดมาตรการกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายสินค้าดังกล่าว การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางส่วน สำหรับเมล็ดถั่วเหลือง มะพร้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าวที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๓ และการรับซื้อเนื้อมะพร้าวในราคานำตลาดเพื่อแก้ไขปัญหามะพร้าวงอกที่คงเหลืออยู่ในระบบ ๑.๒ ที่ประชุมเห็นชอบการบริหารการนำเข้าน้ำมันถั่วเหลือง มะพร้าว (มะพร้าวผลและมะพร้าวฝอย) เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าว ปี ๒๕๖๒ ภายใต้กรอบ WTO FTA และ AFTA (ยกเว้นการบริหารนำเข้ามะพร้าวผล) ให้มีการบริหารจัดการเช่นเดียวกับปี ๒๕๖๑ ๑.๓ ที่ประชุมเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษามาตรการปกป้องพิเศษ (Special Safeguard Measure : SSG) ภายใต้ความตกลงเกษตรของ WTO ในเรื่องการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ สำหรับสินค้ามะพร้าว ๒. ให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการกวดขันจับกุมการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ เช่น มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาค ๒๕๖๑ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑) อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง มะพร้าว เป็นต้น ในช่วงฤดูกาลผลิตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งประมาณการปริมาณผลผลิตในฤดูกาลหน้าเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดให้เหมาะสม สอดคล้องกับข้อเท็จจริงต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำข้อมูลดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
846 | มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ | พณ | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอว่า เพื่อเป็นการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่ให้กระทรวงพลังงานนำน้ำมันปาล์มดิบไปใช้ในการผลิตไฟฟ้า ๑๖๐,๐๐๐ ตัน กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ๑๖๐,๐๐๐ ตัน ในราคา ๑๘ บาทต่อกิโลกรัม โดยร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดหาจากเกษตรกรผู้ผลิตที่ลานเทและโรงงานสกัดที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่ง กฟผ. จะรับมอบน้ำมันปาล์มดิบที่ท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าบางปะกง โดยใช้เงินในการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๒,๘๘๐ ล้านบาท คิดเป็นต้นทุนเชื้อเพลิงสูงกว่าค่าไฟฟ้า จำนวน ๑,๓๕๔ ล้านบาท และ กฟผ. จะขอรับเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท สำหรับส่วนต่างส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๒๙ ล้านบาท กฟผ. จะขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเพื่อปรับลดเงินรายได้นำส่งเข้ารัฐเหลือเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (Public Service Account : PSA) เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตในส่วนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนโดยเร็ว เช่น การอนุญาตขนส่งน้ำมันปาล์มดิบจากกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม การอนุญาตการขนส่งน้ำมันปาล์มทางรถบรรทุกจากองค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลตำบลที่เกี่ยวข้อง การอนุญาตการขนย้ายน้ำมันปาล์มจากพื้นที่ภาคใต้และขนย้ายเข้าจังหวัดฉะเชิงเทราจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ การขออนุญาตเพิ่มกำลังแรงม้าเครื่องจักรจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชื้อเพลิงไฟฟ้าจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นต้น เพื่อให้ กฟผ. สามารถดำเนินงานต่อไปได้อย่างรวดเร็วและบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของมาตรการดังกล่าว และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. อนุมัติการใช้งบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท สำหรับการดำเนินมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ โดยการนำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าและผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันให้ทราบอย่างทั่วถึงด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น กระทรวงพาณิชย์ควรหารือกับกระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. ในเรื่องขั้นตอนวิธีการในกรรรับซื้อ การขนส่ง รวมถึงกำลังการผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันปาล์มดิบต่อเดือนให้สอดคล้องกับเป้าหมายและระยะเวลาของโครงการที่จะให้ กฟผ. ลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบมาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า จำนวน ๑๖๐,๐๐๐ ตัน การจัดทำข้อมูลรายละเอียดวงเงินส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการลดพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันทั้งในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันและพื้นที่บุกรุกพื้นที่ป่า โดยให้มีการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก การปลูกพืชเสริม หรือประกอบอาชีพอื่นแทน และการกำหนดมาตรการให้ภาคเอกชนรับซื้อปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรที่ปลูกในพื้นที่ถูกกฎหมายเท่านั้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
847 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 2 | ทส | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๒ ในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส รวมทั้งสิ้น ๒๓ คน ประกอบด้วย (๑) รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย (๒) ประธานอนุกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะฯ (๓) ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๔) ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม (๕) ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข (๖) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (๗) ผู้แทนกระทรวงพลังงาน (๘) ผู้แทนกระทรวงการคลัง และ (๙) ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ๑.๒ เห็นชอบท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ ๒ โดยจะสนับสนุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมายของอนุสัญญามินามาตะฯ โดยคำนึงถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ และความต้องการจำเพาะของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถในระดับประเทศและภูมิภาค ด้านการจัดการสารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจร ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ ๒ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรให้มีการเพิ่มแผนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขและด้านสังคม และแผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ ในกรอบท่าทีของประเทศไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
848 | การลงนามพิธีสารฉบับที่ 1 เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน | พณ | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขข้อบทที่ ๓๘ ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) เพื่อเป็นพื้นฐานทางกฎหมาย (Legal basis) สำหรับรองรับระบบการรับรองถิ่นกำหนดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน (ASEAN-Wide-Self-Certification : AWSC) เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ โดยสามารถขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้โดยการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางไปขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อมาประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงนามในร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างพิธีสารดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักงานเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้ร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนมีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อร่างพิธีสารดังกล่าวแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
849 | การประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร12 | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอกรอบการประเมิน เกณฑ์การประเมิน และรอบระยะเวลาในการประเมินส่วนราชการและจังหวัด ตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยได้ปรับปรุงใน ๓ ส่วนหลัก ได้แก่ ๑.๑ กรอบการประเมิน องค์ประกอบในการประเมินยังคงมี ๕ องค์ประกอบเช่นเดิม ประกอบด้วย (๑) ประสิทธิภาพในการดำเนินงานตามภารกิจพื้นฐาน (Functional base) (๒) ประสิทธิภาพในการดำเนินงานตามภารกิจยุทธศาสตร์หรือภารกิจที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษ (Agenda base) (๓) การดำเนินงานตามหลักภารกิจพื้นที่/จังหวัด กลุ่มจังหวัด (Area Base) (๔) ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและพัฒนานวัตกรรม (Innovation base) และ (๕) ศักยภาพในการดำเนินการของส่วนราชการตามยุทธศาสตร์ชาติ (Potential base) โดยได้ปรับปรุงประเด็นการประเมินในองค์ประกอบที่ ๑ โดยเพิ่มเติมประเด็นการประเมินด้านการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันหลายหน่วยงาน เพื่อให้สะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่า ในปัจจุบันส่วนราชการหลายแห่งมีการดำเนินงานตามภารกิจหลักโดยบูรณาการการดำเนินงานร่วมกัน ๑.๒ เกณฑ์การประเมิน ได้มีการปรับปรุงเกณฑ์การประเมิน เป็นการคำนวณคะแนนเฉลี่ยเป็นร้อยละของทุกองค์ประกอบ ๑.๓ รอบระยะเวลาในการประเมิน ได้ปรับปรุงรอบระยะเวลาในการประเมิน โดยกำหนดให้ส่วนราชการและจังหวัดต้องประเมินปีละ ๑ รอบ (ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๓๐ กันยายน) ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น ควรให้หน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการประเมินส่วนราชการมีการกำหนดตัวชี้วัดในการประเมินส่วนราชการร่วมกัน ควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. แจ้งผลการพิจารณาการประเมินผลการดำเนินงานของส่วนราชการเบื้องต้นต่อส่วนราชการ ก่อนนำเสนอผู้ประเมิน และในส่วนของกรอบการประเมินผลของจังหวัด ควรพิจารณาความสำเร็จของการผลักดันเป้าหมายสำคัญในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และแผนพัฒนาภาคประกอบด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
850 | การขยายปริมาณการจัดสรรโควตาส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรปสำหรับให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร | กษ | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการขยายปริมาณการจัดสรรโควตาส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรป (EU) ให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ ภายใต้โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าวที่มีการปฏิบัติตามระบบการเกษตรที่ดี (GAP) ครบวงจร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร โดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมกันดำเนินงานโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้จัดสรรโควตาการส่งออกข้าวไป EU ให้กับโครงการ จำนวน ๒,๐๐๐ ตัน (ร้อยละ ๑๐ ของปริมาณโควตาทั้งหมด) สำหรับเป็นแรงจูงใจ (Incentive) ให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์กับกลุ่มเกษตรกร ทั้งนี้ ผู้ประกอบการค้า จำนวน ๒๘ ราย ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงซื้อขายข้าว (MOU) และรับซื้อข้าวจากเกษตรกร เป็นข้าวอินทรีย์ จำนวน ๑,๗๑๖.๓๒ ตัน และข้าว GAP จำนวน ๔,๙๗๕.๑๕ ตัน โดยมีผู้ประกอบการค้าข้าว จำนวน ๙ ราย ได้รับการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวไป EU ปริมาณ ๒,๐๐๐ ตัน โดยส่งออกข้าวปริมาณ ๑,๙๖๒.๓๖ ตัน (ร้อยละ ๙๘) คงเหลือ ๓๗.๖๔ ตัน ซึ่งมีปริมาณคงเหลือจะนำไปรวมเป็นโควตากองกลางสำหรับการจัดสรรต่อไป ๒. การพิจารณาการขยายปริมาณการจัดสรรโควตา โดยข้าวเปลือกตั้งแต่ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๔ จะมีปริมาณรวมสูงถึง ๙๙๗,๐๐๐ ตันข้าวเปลือก และเพื่อให้ปริมาณข้าวอินทรีย์มีตลาดรองรับปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้ขอขยายปริมาณการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวไปยัง EU ให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ ภายใต้โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร จากเดิมร้อยละ ๑๐ (๒,๐๐๐ ตัน) ของปริมาณโควตาทั้งหมด เป็นร้อยละ ๒๕ (๕,๐๐๐ ตัน) ของปริมาณโควตาทั้งหมด ภายในปี ๒๕๖๔ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกร นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวได้มีมติเห็นชอบการขยายปริมาณการจัดสรรโควตาดังกล่าว รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาสัดส่วนโควตาที่เหมาะสมตามการประเมินผลผลิตข้าวในโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสถิติการส่งออกข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ประมวลได้เป็นรายปีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
851 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลจากการเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๗-๑๓ กันยายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้นำคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมรับเสด็จพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ซึ่งทรงเสด็จมาเป็นประธานเปิดนิทรรศการส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในมุมมองใหม่ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ โดยงานนิทรรศการฯ แบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ Welcome to Thailand จัดแสดงนิทรรศการแสดงภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์สินค้าไทยมากกว่า ๓๓ แบรนด์ และ Universe of Sirivannavari จัดแสดงสินค้าแบรนด์ Sirivannavari โดยนิทรรศการฯ เป็นการยกระดับภาพลักษณ์สินค้าของไทย และส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศในมิติใหม่ที่สะท้อนพลวัตทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวของไทยไปยังกลุ่มตลาดบน (ระดับพรีเมี่ยม) ๒. การหารือความร่วมมือกับหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ได้เข้าพบหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สถาบัน Institut Francais de la Mode ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาระดับสูง โดยกระทรวงพาณิชย์มีความสนใจในบริการด้านงานวิจัย เพื่อแสวงหาแนวทางในการพัฒนานักออกแบบไทย และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางแฟชั่นของภูมิภาคต่อไป และหน่วยงาน La French Tech ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง ตั้งอยู่ที่ศูนย์รวมสตาร์ทอัพ โดยมีบริษัทและหน่วยงานภาครัฐรวมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบการให้บริการของไทยที่เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและจุดแข็งของไทยต่อไป ๓. การพบปะหารือผู้ประกอบการไทยในงานแสดงสินค้าด้านแฟชั่น เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับ ได้แก่ งานแสดงสินค้าเมซองแอนด์ออพเจ็ค งานแสดงสินค้า Who’s Next & Premiere Class และงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับบีจอร์ก้า โดยกระทรวงพาณิชย์ได้หาแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทย ซึ่งแนะนำให้ใช้ประโยชน์จากโครงการ SME-Proactive และเชิญชวนให้ผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติที่จัดในประเทศไทยเพื่อขยายช่องทางการเข้าสู่ตลาดใหม่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
852 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 5/2561 | นร04 | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๑ ตามที่ กขร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการธนาคารต้นไม้ กขร. มีมติมอบหมายสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) เร่งดำเนินการจัดทำแนวทางการขับเคลื่อนโครงการธนาคารต้นไม้ให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ๒. การแก้ไขปัญหาหมอกควัน กขร. มีมติ เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำข้อเสนอ “แม่แจ่มโมเดลพลัส” ของคณะอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเชิงพื้นที่ ไปพิจารณา โดยกำหนดระยะเวลาภายใน ๑ เดือน (ภายในเดือนตุลาคม ๒๕๖๑) ๓. โครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ กขร. มีมติเห็นควรให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักในการรับจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการ โดยให้หารือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อคำนวณความคุ้มค่าในการดำเนินโครงดังกล่าวว่า จะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการนำคดีขึ้นสู่ศาลได้เพียงใด ทั้งนี้ ให้พิจารณาแนวทางการจัดให้มีการบริการให้คำปรึกษาทางคดีผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๒ เดือน (ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑) ๔. ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย ๖ ประเด็น) กขร. มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ ของคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน ในเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และสามารถแก้ไขปรับปรุงได้โดยไม่กระทบกับบทบัญญัติอื่นใน ๖ เรื่อง คือ (๑) การเพิ่มช่องทางโฆษณาทางอื่นนอกจากทางหนังสือพิมพ์ (๒) การส่งเอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (๓) อำนาจของรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมาย (๔) การประชุมกรรมการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (๕) การเรียกประชุมคณะกรรมการ และ (๖) การมอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นแทนในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (e-proxy) ทั้งนี้ เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ เพื่อเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๕. โครงการโซลาร์ภาคประชาชน กขร. มีมติเห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยดำเนินการจัดทำโครงการโซลาร์ภาคประชาชนในส่วนที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๑ (ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
853 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการของคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการกลุ่มจังหวัด (อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด) เรื่อง การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ | นร12 | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการของคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการกลุ่มจังหวัด (อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด) เรื่อง การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดย อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัดได้ตรวจสอบและประเมินผลการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง ๑๐ แห่ง (ตาก เชียงราย มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา ตราด หนองคาย นราธิวาส นครพนม และกาญจนบุรี) และได้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัดจึงได้ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา รวมถึงได้เปรียบเทียบกับกรณีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ ตลอดจนได้วิเคราะห์และเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จึงได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษบรรลุตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด ได้แก่ (๑) การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนของพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ (๒) การกำหนดให้มีกฎหมายเฉพาะรองรับเพื่อบริหารจัดการภายในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และ (๓) การกำหนดเจ้าภาพรับผิดชอบเต็มเวลา โดยจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบ กำกับดูแล และติดตามการดำเนินการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละพื้นที่เป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในประเด็นอื่น ๆ เช่น การกำหนดมาตรการจูงใจให้มีการลงทุนเพิ่มเติม การสร้างความรู้ความเข้าใจกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมทวิภาคีหรือพหุภาคีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีแนวชายแดนเชื่อมต่อกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการจัดทำข้อตกลงระหว่างประเทศที่เอื้อประโยชน์ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน ก.พ. เช่น ควรกำหนดเป้าหมายของแต่ละเศรษฐกิจพิเศษ โดยคำนึงถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงการค้า และศักยภาพของกลุ่มจังหวัดทั้งของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ควรสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายเชิงนโยบายของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้แก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และอาจพิจารณาตัดโอนอัตราข้าราชการที่เพิ่มใหม่เพื่อรองรับการปฏิบัติภารกิจที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษมากำหนดเป็นอัตรากำลังของสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. สำหรับกรณีที่ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด มีข้อเสนอแนะให้จัดตั้งสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละพื้นที่เป็นการเฉพาะ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ เสนอคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าว ทั้งนี้ ในกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่า มีความเหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าว ให้ดำเนินการให้ถูกต้องและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้คำนึงถึงแนวทางการจัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงานใหม่ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
854 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมผู้นำ RCEP ครั้งที่ 2 ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และขออนุมัติเป็นหลักการให้จ่ายเงินอุดหนุนสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการดำเนินโครงการจัดทำระบบรักษาความลับข้อมูลเกี่ยวกับ RCEP | พณ | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมผู้นำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Joint Leaders’ Statement on the Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ครั้งที่ ๒ รวมทั้งเอกสารประกอบที่แนบหรือที่อ้างอิง ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของ RCEP ว่าเป็นความตกลงที่ทันสมัยเพื่ออำนวยความสะดวก สร้างสภาวะแวดล้อมทางการค้าและการลงทุน และเร่งสรุปผลการเจรจา RCEP ให้แล้วเสร็จโดยเร็วในประเด็นต่าง ๆ เช่น การค้าสินค้า พิธีการศุลกากร มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบการเข้าร่วมการแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายในการประชุมผู้นำ RCEP ครั้งที่ ๒ ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ ๑.๓ อนุมัติให้จ่ายเงินอุดหนุนสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำระบบรักษาความลับข้อมูลเกี่ยวกับ RECP (RCEP Secured Online Platform) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบออนไลน์ในการสนับสนุนด้านความปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวกับการเจรจา RCEP โดยจะดำเนินการช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ๒๕๖๒ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการจัดทำระบบรักษาความลับข้อมูลเกี่ยวกับ RCEP งวดแรก จำนวน ๑,๖๒๕ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๕๓,๖๒๕ บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๓ บาท) เห็นควรให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ส่วนงวดถัดไป (ทุก ๒ ปี) จำนวน ๒๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๘,๒๕๐ บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๓ บาท) เพื่อเป็นค่าบำรุงรักษาระบบ เห็นควรให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
855 | เอกสารสำคัญที่จะมีการรับรองในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 26 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 30 | กต | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๖ และภาคผนวก และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๖ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี ๑.๒ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๓๐ และภาคผนวก และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๓๐ ในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ และร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
856 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | พณ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๓,๑๖๔,๗๖๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๕๙๐,๐๔๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๒,๕๗๔,๗๒๐ บาท และยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี กรณีเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการต่ำกว่า ๕ ปี ด้วย หากการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวมีระยะเวลาต่ำกว่า ๕ ปี ๒. สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ควรดำเนินการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ตามความจำเป็นและเหมาะสมกับเงื่อนเวลาของภารกิจ โดยอัตราค่าเช่าไม่เกินอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนให้สอดคล้องกับวงเงินตามสัญญาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
857 | ขอความเห็นชอบต่อเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - จีน ที่จะมีการลงนามในระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | พณ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ที่จะมีการลงนามในระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๑-๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือฯ โดยเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยและจีนในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน ได้แก่ ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและการลงทุน ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ความร่วมมือด้านการเงิน ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารยกระดับความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดผลักดันการอำนวยความสะดวกคมนาคมขนส่งและการค้าตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor : NSEC) ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross Border Transport Facilitation Agreement : CBTA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเส้นทางถนน R3A เชื่อมไทย-จีน ผ่าน สปป.ลาว ให้เกิดผลทางปฏิบัติโดยเร็ว สำหรับการระบุถึงกรอบและแผนงานความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในร่างเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือฯ ควรมีการปรับปรุง โดยขึ้นต้นด้วยแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ที่เริ่มดำเนินงานในปี ๒๕๓๕ มีขอบเขตกว้างกว่ายุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ที่เริ่มดำเนินงานในปี ๒๕๔๖ และจึงตามด้วยกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC) ในปี ๒๕๕๘ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
858 | การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี ๒๕๖๑ เพิ่มเติม จำนวน ๑ รายการ คือ มะพร้าวผลแก่ และผลิตภัณฑ์ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งกำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการ และเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการนำเข้ามาในราชอาณาจักรและการเคลื่อนย้ายสินค้าดังกล่าวตามบทบัญญัติมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อเป็นการป้องกันการลักลอบนำเข้ามะพร้าวผลแก่และผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ รวมถึงรักษาเสถียรภาพและสร้างความเป็นธรรมด้านราคาสินค้าให้แก่เกษตรกร และควรมีการติดตาม กำกับดูแล และแก้ไขปัญหาการลักลอบนำสินค้าเกษตรเข้ามาในประเทศได้ทันทวงที ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
859 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๕๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม-๑ กันยายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัศร) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ร่วมลงนามในเอกสาร ๒ ฉบับ คือ พิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ ๑๐ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Services : AFAS) และพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) และได้มีการรับรอง/เห็นชอบเอกสารรวม ๗ ฉบับ อาทิ ความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน กรอบการบูรณาการด้านดิจิทัลของอาเซียน หลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน บัญชีกฎเฉพาะรายสินค้าในพิกัดศุลกากรระบบฺฮาร์โมไนซ์ ๒๐๑๗ (HS2017) และบัญชีรายการสินค้าสิ่งทอและผลิตภัณฑ์สิ่งทอของพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ๒๐๑๗ (HS2017) แนวปฏิบัติสำหรับการดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของสินค้า นอกจากนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการที่สำคัญ อาทิ การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าบริการอาเซียน (ASEAN Trade in Services Agreement : ATISA) การใช้งานระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window) และการจัดทำร่างพิธีสารแก้ไขความตกลงการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ ๔ [The 4th Protocol to Amend the ASEAN Comprehensive Investment Agreement (ACIA)] ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่เห็นควรสนับสนุนการดำเนินการและติดตามผลการประชุมฯ เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ในปี ๒๕๖๒ ซึ่งไทยจะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนนั้น ควรตอกย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาค (Subregional cooperation) ที่มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและเกิดประสิทธิผล ช่วยลดช่องว่างทางการพัฒนาในภูมิภาคอาเซียนซึ่งจะส่งผลต่อความสำเร็จในการรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างกัน (Connectivity) ทั้งทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
860 | รายงานประจำปี 2559 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | พณ | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๙ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน ได้แก่ การจัดการฝึกอบรม ประชุม สัมมนา ให้กับประชาชน บุคลากรภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ การสนับสนุนการจัดทำผลงานทางวิชาการ และการขยายเครือข่ายการสร้างองค์ความรู้และการให้บริการวิชาการเพื่อการค้าและการพัฒนาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ๒. ผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในภาพรวม ได้คะแนน ๔.๗๐๒๙ ๓. งบแสดงฐานะทางการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว โดยเห็นว่า งบการเงินดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้
|
.....