ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 44 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 861 - 880 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
861 | ร่างพระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพื่อยกเลิกมาตรา 14 และมาตรา 41) | พณ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกมาตรา ๑๔ และมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๗ เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นการคืนเสรีภาพแก่ผู้ส่งสินค้าทางเรือในการเข้าเป็นสมาชิกสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยได้โดยความสมัครใจ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กฎหมายดังกล่าวให้ผู้ประกอบการรับทราบอย่างทั่วถึงในวงกว้าง รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายในโอกาสต่อไป ควรคำนึงถึงกรอบระยะเวลาในการแก้ไขกฎหมาย เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง และคำนึงถึงความคุ้มค่าของงบประมาณที่ต้องใช้ในการพิจารณาร่างกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
862 | ผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ครั้งที่ 7 | พณ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ครั้งที่ ๗ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๕-๖ กันยายน ๒๕๖๑ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของ สปป.ลาว (H.E. Mrs. Khemmani Pholsena) เป็นประธานร่วม และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามผลการประชุมฯ เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-สปป.ลาว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ทั้งสองฝ่ายได้ปรึกษาหารือในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การร่วมกันบรรลุเป้าหมายการค้า ๑๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๔ การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร ความร่วมมือระหว่างสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกับแผนกอุตสาหกรรมและการค้าแขวงตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือภาคเอกชน รวมทั้งความร่วมมืออื่น ๆ ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือกันในการจัดเก็บข้อมูลด้านการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การระงับข้อพิพาททางเศรษฐกิจ และการคุ้มครองผู้บริโภค และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ และการลงพื้นที่ Container Yard ณ ท่านาแล้ง เพื่อสำรวจความคืบหน้าการพัฒนาโครงข่ายเส้นทางรถไฟของลาว และโครงการเชื่อมต่อระบบรางรถไฟไทย-ลาว-จีน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เช่น ในขั้นตอนการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานควรดำเนินการในประเด็นความร่วมมือต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ มิให้การปฏิบัติงานกระทบต่อความมั่นคงของทั้งสองประเทศ ประกอบกับรัฐบาลไทยและ สปป.ลาว ควรหารือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การดำเนินงานมีความสอดคล้อง ต่อเนื่องและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทั้งสองประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการให้ความช่วยเหลือ สปป.ลาว ในประเด็นการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำให้เหมาะสมเพื่อใช้เป็นท่าทีในการประชุมการเจรจาความร่วมมือด้านพลังงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
863 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 3 และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๓ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยผลการประชุมฯ มีประเด็นสำคัญ ได้แก่ การร่วมกันบรรลุเป้าหมายการค้า ๒๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๓ และทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันในด้านความร่วมมือเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านการส่งเสริมการค้า ด้านมาตรการเยียวยาทางการค้า ด้านเกษตร ป่าไม้ และประมง ด้านการเชื่อมโยงการขนส่ง ด้านศุลกากร ด้านการธนาคาร ด้านการลงทุน ด้านพลังงาน ด้านแรงงาน และความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคและภูมิภาค รวมทั้งกิจกรรมจับคู่ธุรกิจคู่ขนานไปกับการประชุม JTC นอกจากนี้ นักธุรกิจไทยยังได้แสดงความสนใจที่จะหาคู่ค้าด้านโลจิสติกส์ในเวียดนาม ในขณะที่ฝ่ายเวียดนามได้เชิญชวนภาคเอกชนไทยมาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของเวียดนาม ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และธนาคารแห่งประเทศไทย เร่งรัดการดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๓ เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-เวียดนาม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดติดตามการดำเนินการของฝ่ายเวียดนามในการแก้ไขปัญหาการส่งออกรถยนต์ของไทยไปยังเวียดนามโดยหาข้อตกลงที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันของทั้งสองฝ่าย โดยยึดหลักการของผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่เท่าเทียมกันให้ได้ผลโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรติดตามและผลักดันให้เวียดนามผ่อนคลายมาตรการกีดกันรถยนต์ส่งออกจากไทยไปเวียดนามเพื่อต่อยอดผลการประชุม JTC เรื่องการแก้ไขปัญหามาตรการกีดกันทางการค้าของเวียดนาม ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยอย่างมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเสนอแนวทางการผลักดันประเด็นนี้กับฝ่ายเวียดนามด้วยมาตรการอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากการจัดทำความตกลงยอมรับร่วม MRA ด้วย และควรพิจารณาความสอดคล้องระหว่างระเบียบ Decree 54 ของเวียดนามที่จำกัดสิทธิของธุรกิจดังกล่าวกับกฎระเบียบขององค์การการค้าโลก ทั้งนี้ ควรเร่งรัดหารือแนวทาง และกรอบการดำเนินงานร่วมกันให้ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงยอมรับร่วมระหว่างไทย-เวียดนาม (Bilateral MRA) สำหรับความร่วมมือด้านการตรวจสอบรถยนต์ระหว่างไทย-เวียดนาม อาจผลักดันให้เวียดนามยอมรับเกณฑ์การทดสอบตามมาตรฐานทดสอบมลพิษของสหประชาชาติ (UN Regulations)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
864 | ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO Copyright Treaty) | พณ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก และให้ส่งสนธิสัญญาฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป โดยสนธิสัญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการคุ้มครองสิทธิแก่ผู้สร้างสรรค์ในการนำงานลิขสิทธิ์ออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนบนสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ และกำหนดให้คุ้มครองงานภาพถ่ายตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และต่อไปอีก ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองมาตรการทางเทคโนโลยี และการคุ้มครองข้อมูลบริหารสิทธิที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองมาตรการทางเทคโนโลยี ปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับข้อจำกัดความรับผิดของผู้ให้บริการ และสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการและเจ้าของลิขสิทธิ์ในการส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรมบนสื่ออินเทอร์เน็ต เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางสากลและสนธิสัญญาขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรปรับถ้อยคำในร่างพระราชบัญญัติฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์มีการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ประกอบการ และประชาชน รับทราบ และภายหลังการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ กรมทรัพย์สินทางปัญญา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการกำกับดูแลให้มีการดำเนินการตามสนธิสัญญาฯ อย่างจริงจัง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
865 | ร่างพระราชบัญญัติหอการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสมาคมการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | พณ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหอการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสมาคมการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ และพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ โดยแก้ไขบทนิยาม อำนาจหน้าที่ของหอการค้าและสมาคมการค้า การเลิกหอการค้าและสมาคมการค้า และปรับปรุงบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของหอการค้าตามร่างมาตรา ๒๘ (๕) ที่เพิ่มเติมให้หอการค้าสามารถปฏิบัติตามสัญญาหรือความร่วมมือที่ทำกับราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมาสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ทำสัญญาร่วมดำเนินการในโครงการต่าง ๆ กับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขในประเด็นนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์บทบัญญัติที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ รวมทั้งอัตราค่าธรรมเนียมใหม่ท้ายพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ให้กับสมาคมการค้าต่าง ๆ และผู้ประกอบการรับทราบอย่างทั่วถึง ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
866 | ขออนุมัติลงนามเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 2 | พณ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ ๒ ที่ประเทศสมาชิกทุกประเทศยกเว้นประเทศไทย ได้ลงนามแล้วในการประชุมดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ เป็นเอกสารสรุปผลการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าการค้าระหว่างประเทศสมาชิกให้ถึง ๒๕๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๓ ตามที่ได้ประกาศไว้ในแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน โดยประเทศสมาชิกเห็นพ้องกันในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การเสนอให้มีความร่วมมือในการส่งเสริมการค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการเพิ่มมูลค่าการค้า โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเปิดตลาดให้กับสินค้านำเข้าจากประเทศสมาชิกมากขึ้น การกระชับความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุน การจัดทำแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี สำหรับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน การส่งเสริมการอำนวยความสะดวกทางการค้าในภูมิภาคโดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ โดยเอกสารผลลัพธ์การประชุม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทรายภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการดำเนินธุรกรรมทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันที่เป็นธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
867 | (ร่าง) ฐานข้อมูลและแผนที่นำทางด้านเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานและขนส่ง ภาคการจัดการของเสีย และภาคกระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ | วท | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ ๒ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙-๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งประเทศสมาชิกทุกประเทศ ยกเว้นประเทศไทยได้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์ฯ แล้วเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ โดยเอกสารผลลัพธ์ฯ เป็นเอกสารสรุปผลการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าการค้าระหว่างประเทศสมาชิกให้ถึง ๒๕๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๓ ตามที่ได้ประกาศไว้ในแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน และอนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการดำเนินธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันที่เป็นธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
868 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและนำผ่านไปยังสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย และกำหนดให้ถ่านไม้ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าและนำผ่านมาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและนำผ่านไปยังสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย และกำหนดให้ถ่านไม้ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าและนำผ่านมาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและนำผ่านไปยังสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย และกำหนดให้ถ่านไม้ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าและนำผ่านมาในราชอาณาจักร เพื่อให้สอดคล้องตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๓๘๕ (ค.ศ.๒๐๑๗) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
869 | ผลการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2561 | กษ | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกำหนดมาตรการห้ามการนำเข้ามะพร้าวชั่วคราวในช่วงเวลา ๓ เดือน (สิงหาคม-ตุลาคม) ของปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ) เสนอ โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) แก้ไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้อำนาจของประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำเข้าสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๑๑) พ.ศ. ๒๕๓๙ และ (ฉบับที่ ๑๑๕) พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยระบุว่า จะไม่พิจารณาออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิชำระภาษีตามพันธกรณีความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) สำหรับภาษีนอกโควตา สำหรับการนำเข้ามะพร้าวพิกัดศุลกากร ๐๘๐๑.๑๒๐๐ (มะพร้าวทั้งกะลา) ๐๘๐๑.๑๙๑๐ (มะพร้าวอ่อน) และ ๐๘๐๑.๑๙๙๐ (มะพร้าวอื่น ๆ) เป็นระยะเวลา ๓ เดือน (สิงหาคม-ตุลาคม) ของปี ๒๕๖๑ และมอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ร่วมหารือและติดตามสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาความจำเป็นที่จะต่ออายุมาตรการ โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ) นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบมาตรการต่อไป ๑.๒ ที่ประชุมมีมติให้คงคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการจัดสรรโควตาสินค้ามะพร้าว มะพร้าวฝอย เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าว ตาม WTO และเห็นว่า การให้สิทธินำเข้ามะพร้าวแก่ผู้ประกอบการไม่ควรเกิดกรณีการนำเข้าเพื่อกักตุนและส่งผลกระทบต่อราคาในประเทศ จึงมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) พิจารณาแนวทางการบริหารการนำเข้าสินค้ามะพร้าวเพื่อไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้า ๑.๓ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ได้รับหนังสือรับรองที่ไม่รายงานบัญชีสมดุลอัตราการแปรสภาพมะพร้าวผลเป็นเนื้อมะพร้าวขาวในประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางส่วน โดยให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) ระงับการออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิชำระภาษีตามพันธกรณีตามความตกลงระหว่างประเทศที่ออกโดยกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) จนกว่าจะได้มีการส่งรายงานฯ โดยถูกต้องแล้ว ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ติดตามสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว การให้สิทธิแก่ผู้ที่ได้รับการจัดสรรโควตาสินค้ามะพร้าว มะพร้าวฝอย เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าว ตามพันธกรณีความตกลง WTO และการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ได้รับหนังสือรับรองที่ไม่รายงานบัญชีสมดุลอัตราการแปรสภาพมะพร้าว รวมทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรร่วมกันติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้มาตรการดังกล่าวและรายงานให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชได้รับทราบ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการดำเนินการตามแนวทางและมาตรการดังกล่าวที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตาม ตรวจสอบ ควบคุม และบริหารการนำเข้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืชให้เป็นไปตามพันธกรณีและข้อตกลงภายใต้ WTO อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ประสานงานกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในการกวดขันจับกุมการลักลอบนำเข้าสินค้าทางการเกษตรชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มะพร้าว น้ำมันมะพร้าว และผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
870 | ขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2558/2559 | อก | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ จำนวน ๓,๖๘๕.๑๖ ล้านบาท จากเดิมต้องชำระให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ออกไปอีกเป็นเวลาประมาณ ๕ ปี เพื่อให้สอดคล้องกับแหล่งรายได้เพื่อการชำระหนี้ที่ชัดเจนต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สำหรับแหล่งเงินที่ใช้ในการชำระหนี้ดังกล่าว ให้กระทรวงอุตสาหกรรมใช้จ่ายจากเงินของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายที่มีอยู่ และรายได้ที่คาดว่าจะนำส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามพันธกรณีและข้อตกลงของไทยภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) อย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรเร่งดำเนินการชำระหนี้ดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารกรุงไทยฯ เพื่อไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังในอนาคต ควรพิจารณาดำเนินการทบทวนระเบียบ มาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการจัดเก็บรายได้เพื่อให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดิน รวมทั้งควรบริหารจัดการไม่ให้การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นสูงกว่าราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ซึ่งก่อให้เกิดภาระแก่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
871 | โครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต | อก | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต โดยจ่ายเงินช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อนำไปจัดหาปัจจัยการผลิตที่จำเป็น ซึ่งเป็นเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นชาวไร่อ้อยกับสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย และเป็นคู่สัญญากับโรงงาน หรือมีการลงอ้อยผ่านหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย จำนวนประมาณ ๓๔๐,๐๐๐ ราย ในอัตราตันอ้อยละไม่เกิน ๕๐ บาท รายละไม่เกิน ๕,๐๐๐ ตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดรายละเอียดคำจำกัดความ หลักเกณฑ์ของผู้ผลิตที่มีรายได้ต่ำหรือมีทรัพยากรไม่สมบูรณ์ เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลกอย่างเคร่งครัด ตามความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายขอรับจัดสรรงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และได้ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนแล้ว ภายในวงเงินไม่เกิน ๖,๕๐๐ ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงบประมาณ เช่น ควรมีมาตรการหรือแนวทางรองรับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนและไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต ควรเน้นการให้องค์ความรู้ ส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี กระบวนการเพาะปลูกสมัยใหม่แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของชาวไร่อ้อยเป็นการด่วน และส่งเสริมให้มีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าหรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งภายในอุตสาหกรรมและต่อยอดจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายไปยังอุตสาหกรรมอื่น รวมทั้งควรควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ตามโครงการฯ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ เกิดความเป็นธรรม และดำเนินภารกิจอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งกลไกในการติดตามและกำกับดูแลการดำเนินนโยบายของหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการอุดหนุนสินค้าเกษตรให้เป็นตามพันธกรณีและข้อตกลงภายใต้องค์การการค้าโลก ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงทำความเข้าใจกับประเทศบราซิลว่า การดำเนินนโยบายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยเป็นไปตามพันธกรณีและข้อตกลงภายใต้องค์การการค้าโลก และเป็นไปตามที่ไทยได้เคยแจ้งไว้กับประเทศบราซิล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
872 | การให้ความเห็นชอบเอกสารของคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน | พณ | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ในฐานะคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของไทยให้ความเห็นชอบเอกสารหลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน [The ASEAN Good Regulatory Practices (GRP) Core Principles] ซึ่งเป็นเอกสารที่จะไม่มีการลงนาม มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยพัฒนาแนวปฏิบัติด้านกฎระเบียบของประเทศสมาชิกอาเซียน และส่งเสริมความร่วมมือด้านกฎระเบียบภายในภูมิภาค ซึ่งหลักการสำคัญเรื่อง GRP ของอาเซียน ประกอบด้วยหลักการสำคัญ ๖ ประการ คือ (๑) มีความชัดเจนของนโยบาย วัตถุประสงค์ และกรอบเชิงสถาบัน (๒) สร้างประโยชน์โดยก่อให้เกิดต้นทุนและการบิดเบือนตลาดน้อยที่สุด (๓) มีความสอดคล้อง โปร่งใส และสามารถนำไปปฏิบัติได้ (๔) สนับสนุนความร่วมมือด้านกฎระเบียบในภูมิภาค (๕) สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และ (๖) มีการทบทวนความสอดคล้อง ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
873 | การดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/62 | นร | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๑) เห็นชอบการทบทวนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ นั้น เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดและกำกับดูแลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันไว้ในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บของตนเอง หรือกรณีที่เกษตรกรไม่มียุ้งฉางเป็นของตนเองสามารถนำข้าวเปลือกไปให้สถาบันเกษตรกรเก็บรักษาข้าวเปลือกแทนได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
874 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณการเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย | พณ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณริมถนนรัชดาภิเษก ลาดพร้าว เพื่อเป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารกรมพาณิขย์สัมพันธ์และศูนย์แสดงสินค้าถาวร ภายในกรอบวงเงิน ๑๒๐,๖๕๕,๑๐๗ บาท และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้คงอัตราค่าเช่าในอัตราเดิมก่อนที่ รฟท. จะมีหนังสือแจ้งยืนยันค่าเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวไปยังกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการทำสัญญาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของ รฟท. ในรายละเอียดโดยเคร่งครัด และเห็นควรที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะได้พิจารณาประเมินความคุ้มค่าในการเช่าที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งอาคารสำนักงานและส่วนจัดแสดงสินค้าในพื้นที่บริเวณดังกล่าว และควรพิจารณาจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้ารูปแบบใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการผลิตและผู้ส่งออก นอกจากนี้ ควรมุ่งเน้นการจัดกิจกรรมการแสดงสินค้าที่มีความหลากหลายและกระจายโอกาสให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้ากลุ่มต่าง ๆ สามารถเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในพื้นที่อาคารแสดงสินค้าได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งควรมีการประเมินความคุ้มค่าของการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐและการใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าวมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินการต่อสัญญาเช่าที่ดิน รฟท. ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรขอความร่วมมือ รฟท. ในการปรับปรุงอัตราค่าเช่าสำหรับหน่วยงานราชการในลักษณะผ่อนปรนต่ำสุด โดยการปรับปรุงค่าเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕ ของอัตราที่เคยเรียกเก็บอยู่ก่อนหมดอายุสัญญาหรือการพิจารณาให้ต่ออายุสัญญาเช่าระยะยาว (มากกว่า ๓ ปี) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในกรณีที่ราคาประเมินมูลค่าที่ดิน ณ ปีที่ต่ออายุสัญญาเพิ่มสูงขึ้นมาก ไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
875 | ร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขเอกสารแนบ 2 ของความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม | กษ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขเอกสารแนบ ๒ ของความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ความตกลงแอปเทอร์) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเอกสารแนบท้าย ๒ ของความตกลงแอปเทอร์ เรื่อง การสนับสนุนกองทุนแอปเทอร์ เพื่อให้ประเทศสมาชิกแอปเทอร์ ประกอบด้วยประเทศสมาชิกอาเซียน สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักเลขาธิการแอปเทอร์ต่อไปอีก ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) โดยประเทศไทยจะต้องจ่ายเงินสนับสนุนสำหรับเงินทุนดำเนินงานปีละ ๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑.๓๑ ล้านบาท) ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างพิธีสารฯ และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างพิธีสารฯ ๑.๓ อนุมัติการให้สัตยาบัน และหลังจากที่ได้ลงนามร่างพิธีสารฯ แล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสาร และยื่นสัตยาบันสารต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อเก็บรักษา ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อการดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งกองทุนสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามที่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายรองรับไว้แล้ว จำนวน ๕๐๔,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเงินอุดหนุนให้กับเงินทุนดำเนินงานของกองทุนแอปเทอร์ในปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ปีละ ๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงิน ๑๖,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๑.๕๐ บาท) ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าประเทศไทยและประเทศสมาชิกจำเป็นต้องร่วมหารือเพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการเงินกองทุนที่ใช้เฉพาะดอกผล (Endowment Fund : EF) เพื่อให้สามารถสร้างรายได้สนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสำนักเลขานุการแอปเทอร์ได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
876 | ร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบทนิยาม คณะกรรมการ องค์ประกอบของคณะกรรมการ การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและราคาอ้อยขั้นสุดท้าย บทกำหนดโทษ และคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ และสอดคล้องกับพันธกรณีและกรอบข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ความครอบคลุมของบทนิยาม บทกำหนดโทษกรณีความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล และบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ในเรื่องวัตถุประสงค์ องค์ประกอบของคณะกรรมการ ที่มาของเงินกองทุนซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อนจึงจะเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ต่อคณะรัฐมนตรีได้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดเสนอผลการพิจารณาเรื่อง การขยายวัตถุประสงค์ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายของคณะกรรมการนโยบายการบริหารกองทุนหมุนเวียน แล้วแจ้งผลการพิจารณาดังกล่าวไปเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
877 | ขอความเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน | พณ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่งร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (ASEAN Agreement on Electronic Commerce) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการพัฒนาและส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประเทศสมาชิกต้องพัฒนาสภาพแวดล้อมด้านกฎหมายหรือกฎระเบียบ สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างความสามารถในการแข่งขันทางการค้า และการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ โดยอาเซียนได้กำหนดให้มีการลงนามร่างความตกลงฯ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ ๓๓ ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างความตกลงฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างความตกลงฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างความตกลงฯ ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้ร่างความตกลงฯ มีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบร่างความตกลงฯ ๖. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเร่งยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในไทยทั้งกลุ่มที่มีอยู่ และกลุ่มที่มีศักยภาพจะเข้ามาใช้เป็นผู้ประกอบการใหม่เพื่อให้ทันต่อการพัฒนาของอาเซียน การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในมิติต่าง ๆ ที่จะเสริมให้เกิดความเข้มแข็งและความเชื่อมั่นต่อระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อาทิ เทคโนโลยีด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เทคโนโลยีด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) และเทคโนโลยีการระบุตัวตนและการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล (Identification and Privacy) รวมทั้งการพิจารณาศึกษาการนำมาตรฐานในการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับสากลมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
878 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย - จีน (JC เศรษฐกิจไทย - จีน) ครั้งที่ 6 การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการจัดกิจกรรมคู่ขนาน | พณ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน (JC เศรษฐกิจไทย-จีน) ครั้งที่ ๖ การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการจัดกิจกรรมคู่ขนาน เมื่อวันที่ ๒๒-๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด โดยผลการประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๖ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ด้านการค้า ด้านการลงทุน ความเชื่อมโยงด้านดิจิทัล ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอวกาศ ด้านการท่องเที่ยว ด้านการเงิน ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และความร่วมมือระดับภูมิภาค รวมทั้งการลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๖ และบันทึกความเข้าใจ/พิธีสารของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวม ๖ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๖ (๒) ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อส่งเสริมการค้าอย่างไร้อุปสรรคระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (๓) ร่างพิธีสารระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ การกักกัน และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน (๔) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน (๕) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับกระทรวงพาณิชย์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และ (๖) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของไทยกับสถาบันอวกาศแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่อง ความร่วมมือด้านอวกาศ และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ผลการประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๖ เกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ เช่น ผลการประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๖ ในส่วนจำนวนเอกสารที่ได้มีการลงนามระหว่างการประชุมรวม ๖ ฉบับนั้น บันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน ไม่ได้มีการปรับแก้ไขร่างเอกสารตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนการลงนาม ในขณะที่เอกสารอีก ๕ ฉบับ ได้มีการแก้ไขในสาระสำคัญแล้ว เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นที่ไม่ปรับแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการลงนามในระหว่างการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๖) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ไปยังคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
879 | การรับรองการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซีย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement) | นร13 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในจดหมายรับรองการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซีย ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement : ACIA ) เพื่อให้กระบวนการปรับปรุงรายการข้อสงวนของมาเลเซียเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งการปรับปรุงรายการข้อสงวนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้รายการข้อสงวนมีความชัดเจนโปร่งใสมากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียด เช่น ทุกบริษัทที่จัดตั้งในมาเลเซียจะต้องมีผู้บริหารอย่างน้อย ๒ ราย ที่มีถิ่นที่อยู่หลักหรือมีถิ่นที่อยู่เพียงแห่งเดียวในมาเลเซีย การกำหนดคำนิยามของเรือประมงและน่านน้ำประมง และการเปิดเสรีให้กิจการผลิตเหล็กเส้น เหล็กแท่ง และการผ่อนปรนในกิจการผลิตน้ำตาลทรายให้อยู่ในรายการที่เปิดเสรีแต่มีเงื่อนไขเฉพาะ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการที่รัฐบาลมาเลเซียแจ้งว่า จะดำเนินนโยบายในการสนับสนุนบุคคล/นิติบุคคลที่มีเชื้อชาติพื้นเมืองมาเลเซีย (Bumiputera) เหนือกว่าเชื้อชาติอื่นทั้งหมดนั้น เป็นกิจการภายในของรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ควรแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุน (ให้การรับรอง) หรือคัดค้าน (ไม่ให้การรับรอง) ก็ตาม และในส่วนของรายการข้อสงวนที่ ๗ ซึ่งมาเลเซียได้เสนอขอปรับเพิ่มข้อความเพื่ออธิบายมาตรการที่จะสนับสนุน Bumiputera นั้น ข้อความที่ปรับเพิ่มขึ้นมาจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยในทุกสาขาอุตสาหกรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
880 | การลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา | อก | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา โดยจะจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา บนพื้นที่ดินราชพัสดุประมาณ ๙๒๗.๙๒๕ ไร่ ซึ่งปัจจุบันได้ทำสัญญาเช่าที่ดินประมาณ ๖๒๙.๔๒๕ ไร่ (ระยะที่ ๑) กับกรมธนารักษ์เป็นเวลา ๕๐ ปี เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือ (ระยะที่ ๒) จะทำสัญญาเช่าจนครบเต็มพื้นที่ต่อไป โดยใช้เงินลงทุนโครงการรวม ๒,๘๙๐.๔๐๒ ล้านบาท มีอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะหรือเครื่องจักร อุตสาหกรรมเครื่องไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมบริการ โดยระยะที่ ๑ คาดว่าจะใช้เวลาพัฒนาโครงการประมาณ ๑๕ เดือน ส่วนระยะที่ ๒ เริ่มก่อสร้างในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๒ เดือน และคาดว่าจะให้เช่าพื้นที่แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและนักลงทุนได้หมดภายใน ๖ ปี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาความสอดคล้องกับนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในการดำเนินการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาต่อไป รวมทั้งให้นำเสนอจุดเด่นของนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการ/นักลงทุนเข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมฯ ได้อย่างรวดเร็วด้วย สำหรับแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยใช้จ่ายจากรายได้ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นลำดับแรกก่อน และหากมีความจำเป็นก็เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีสำหรับเป็นค่าก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในพื้นที่ในการร่วมกันกำหนดรูปแบบของนิคมอุตสาหกรรม ควรคำนึงถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศเพื่อรองรับการทดสอบและรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาควบคู่กันไปด้วย ควรพิจารณาเพิ่มเติมอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สอดคล้องกับร่างยุทธศาสตร์ชาติซึ่งมุ่งเน้นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่สร้างมูลค่าสูง หรือมีการใช้ระบบการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัย และเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Bioeconomy) รวมทั้งไม่ควรเน้นอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม และควรเร่งรัดให้เกิดการลงทุนได้อย่างรวดเร็วและให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสงขลาภายใต้แนวคิดอุตสาหกรรมนิเวศ โดยมีแผนการตลาดและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....