คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอสรุปผลการ
ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมของบ้านพักเด็กและครอบครัวทั่วประเทศ และการให้คำปรึกษาและตอบคำ
ถามผ่านสายด่วน 1300 รายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 24-30 กันยายน 2552

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่ง
ประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 8 ราย  ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป  ตามที่กระทรวง
สาธารณสุขเสนอ ดังนี้
              1. นายจักรธรรม ธรรมศักดิ์          ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
              2. นายมานิต ธีระตันติกานนท์       ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมควบคุมโรค
              3. นายนรา นาควัฒนานุกูล           ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
              4. นายสมยศ ดีรัศมี                     ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมอนามัย
              5. นายเสรี หงษ์หยก                    ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
              6. นายทนงสรรค์ สุธาธรรม          ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
              7. นายสถาพร วงษ์เจริญ               ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
              8. นางวิลาวัณย์ จึงประเสริฐ           ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการ
                                                              แพทย์ทางเลือก

               คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ  สังกัดกระทรวงพาณิชย์  ให้ดำรงตำแหน่ง
ประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 7 ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวง
พาณิชย์เสนอ ดังนี้
               1. นางสาวชุติมา บุณยประภัศร          ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการค้าภายใน
               2. นายวิจักร วิเศษน้อย                     ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการค้าต่างประเทศ
               3. นายราเชนทร์ พจนสุนทร              ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพาณิชย์
               4. นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ                  ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมการส่งออก
               5. นายคณิสสร นาวานุเคราะห์           ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์
               6. นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์          ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพาณิชย์
               7. นายบรรยงค์ ลิ้มประยูรวงศ์            ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวนันธิกา ทังสุพานิช ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
กระทรวงพลังงาน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันการก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณในการดำเนินการจัดฝึกอบรม ตาม
โครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน ก่อนได้รับอนุมัติเงินประจำงวด
จากสำนักงบประมาณ โดยให้หน่วยงานต่าง  ๆ  ทั้งภาครัฐและเอกชนที่เสนอเข้าร่วมโครงการผ่านส่วนราชการ
ต่าง  ๆ  ก่อหนี้ผูกพันก่อนที่จะได้รับอนุมัติเงินประจำงวด  สำหรับการดำเนินการตั้งแต่เดือนเมษายน ถึง เดือน
ตุลาคม 2552 ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) ประธานกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักย
ภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
                1. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องการจัดซื้ออาหารเพื่อประกอบเลี้ยงนักโทษ
ผู้ต้องขังเด็ก และเยาวชนในเรือนจำ ทัณฑสถาน สถานกักขังและสถานพินิจต่าง ๆ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552
และการขอยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ  พ.ศ. 2535  และที่แก้ไขเพิ่ม
เติมข้อ  22  วรรคสอง  ที่กำหนดห้ามการแบ่งซื้อแบ่งจ้างโดยลดวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างในคราวเดียวกันเพื่อให้วง
เงินต่ำกว่าที่กำหนด โดยวิธีหนึ่งวิธีใด หรือเพื่อให้อำนาจสั่งจ้างเปลี่ยนไปเป็นการชั่วคราวในระหว่างการทดลอง
ดำเนินการเป็นเวลาสามเดือน นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552
                2. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน
2552  (เรื่อง  ขอให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการจัดระบบการจัดซื้ออาหาร  เครื่องบริโภค
และวัสดุเพื่อการหุงหาอาหาร)

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรายละเอียดและเงื่อนไขการกู้เงินสำหรับไตรมาสที่ 1/2553 ด้วยวิธีการทำ
สัญญากู้เงิน (Term Loan) วงเงิน 30,000 ล้านบาท  ทั้งนี้  เพื่อให้สอดคล้องกับขั้นตอนการกู้เงินตามพระราช
กำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ  พ.ศ. 2552  ตามที่
กระทรวงการคลังเสนอ

              คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
              1. เห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือ จีน-สภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน ว่าด้วย
ความมั่นคงบนเครือข่าย และร่างความร่วมมือ อาเซียน-ญี่ปุ่น ว่าด้วยความมั่นคงทางสารสนเทศ
              2. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงหรือแก้ไขร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัด
ต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการโดยหารือกับกรมสนธิ
สัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก

             คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
             1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วย
การเงินการคลังของรัฐ เพื่อกำหนดกรอบวินัยทางการเงินการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงาน
คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  โดยรับข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนด
ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  (อปท.)  นำเงินรายได้ของ อปท. ทั้งหมดฝากคลัง  ยกเว้นเงินรายได้ที่ อปท. เก็บเอง
และเมื่อจำเป็นต้องใช้เงินดังกล่าวให้เบิกจากคลังโดยให้คำนึงถึงสถานะทางการคลังของประเทศ นั้น เห็นควรให้ อปท.
นำส่งเงินรายได้เข้าบัญชีเงินฝากของ อปท. เพื่อที่จะได้บริหารจัดการตามข้อบัญญัติงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบ
จากสภาท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามแผนพัฒนาที่กำหนดไว้ และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยว
กับเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ บางเรื่องไม่ได้เป็นไปในลักษณะของการกำหนดกรอบในการรักษาวินัย
การเงินการคลังแต่มีลักษณะเป็นการกำหนดรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติ  ส่วนการกำหนดทิศทางและแนวนโยบาย
การคลังเพื่อประสิทธิภาพทางการคลัง การสร้างมาตรฐานทางบัญชี การตรวจสอบภายในและหลักเกณฑ์การดำเนิน
กิจกรรมทางการคลังอื่น ๆ  เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสทางการคลัง  รวมทั้งการจัดทำข้อมูลทางการคลังเพื่อนำไปสู่
ความรับผิดชอบทางการคลัง ควรกำหนดในลักษณะเป็นกรอบให้ปฏิบัติ  นอกจากนี้  การกำหนดให้หน่วยงานของรัฐ
จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินเสนอต่อกระทรวงการคลัง  และหากมีความจำเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสามารถ
ปรับแผนการใช้จ่ายเงินได้นั้น ไม่ได้มีการกำหนดกรอบหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน อาจมีผลต่อการดำเนินภารกิจของรัฐ
บาล    และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   ธนาคารแห่งประเทศไทย
และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ไปประกอบการพิจารณาด้วย  แล้วส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติ
พิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
             2. ให้สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง ไปพิจารณาร่วมกันในประเด็นตามคำชี้แจงของผู้อำนวยการ
สำนักงบประมาณ ที่ว่าร่างพระราชบัญญัติ ฯ ได้กำหนดรายละเอียดของขั้นตอนปฏิบัติในด้านรายจ่ายบางประการที่
อาจทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติและการจัดทำงบประมาณของส่วนราชการ เช่น ร่างมาตรา 25 บัญญัติให้รายจ่าย
ที่เป็นภาระตามกฎหมายของรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณให้ครบถ้วน ซึ่งการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี นั้น
เป็นเพียงตัวเลขประมาณการ ส่วนการใช้จ่ายหรือเบิกจ่ายงบประมาณมีกระบวนการ ขั้นตอน  วิธีการที่ยืดหยุ่น  และ
สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เป็นจริง   และให้ส่งผลการพิจารณาดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาของสำนักงานคณะ
กรรมการกฤษฎีกาต่อไปด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
              1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล  พ.ศ. ....  มีสาระสำคัญคือ  ให้มีกฎหมายว่าด้วย
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล  เพื่อให้มีมาตรการคุ้มครองการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากข้อมูลส่วนบุคคล  และ
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่สำนักงานคณะกรรม
การกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และส่งคณะกรรมการประสานงาน
ด้านนิติบัญญัติพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
              2. คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า ปัจจุบันได้มีพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ซึ่งคุ้ม
ครองข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในการครอบครองหรือดูแลของทางราชการในบางเรื่องแล้ว   แต่ได้รับการร้องเรียนว่ายัง
ไม่เป็นไปตามหลักสากล  จึงมอบให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการรับไปพิจารณาว่าจะสมควรนำหลักการ
ของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสมไปบัญญัติในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้หรือจะสมควรปรับปรุงกฎหมาย
ข้อมูลข่าวสารของราชการต่อไป

คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
              1. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
                  1.1 ให้เร่งรัดการก่อสร้างสะพานมิตรภาพ ไทย-พม่า แห่งที่ 2 เพื่อรองรับปริมาณการขนส่งสินค้า
ที่เพิ่มมากขึ้น และรองรับระเบียงเศรษฐกิจ ตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor)
                  1.2 ให้เร่งรัดการดำเนินโครงการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งศูนย์บริการนำเข้า-ส่งออก เบ็ด
เสร็จ (One Stop Service) และศูนย์โลจิสติกส์ รวมทั้งคลังสินค้า (Logistics Park) ในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-
พม่า อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยจัดหาพื้นที่ตามแนวเส้นทางก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2
                  1.3 ให้ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาธุรกิจการค้าชายแดนไทย-พม่า ประกอบด้วยหน่วย
งานภาครัฐและเอกชน เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการค้าชายแดนระหว่างสองประเทศ
              2. ให้กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการ
คลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  กระทรวงมหาดไทย   กระทรวงอุตสาหกรรม   สำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่า การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษควรมีการพัฒนาให้ครอบคลุมมิติการพัฒนาต่าง  ๆ  เพื่อผลักดันให้
การพัฒนาเขตเศรษฐกิจไทย-พม่า  ประสบความสำเร็จ  เช่น  การพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวจากการค้า
ชายแดน  และการจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าในการ
พัฒนาพื้นที่ให้มากขึ้น รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกในฝั่งอันดามันที่จังหวัดระยอง
เพื่อรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าทางเรือ  ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์  และการขนส่งของผู้ประกอบการ
และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า  ปัจจุบันสะพานมิตร
ภาพไทย-พม่า  (ข้ามแม่น้ำเมย)  แห่งที่ 1 มีสภาพชำรุด  เคลื่อนตัวและไม่สามารถให้รถบรรทุกน้ำหนักเกิน 25
ตัน ผ่านได้  โดยกรมทางหลวงได้รับงบประมาณปี พ.ศ. 2553  เพื่อเสริมตอม่อและปรับคานแล้ว   จึงเห็นควรให้
กรมทางหลวงพิจารณาแนวทางการรองรับปริมาณการจราจร และกิจกรรมทางเศรษฐกิจเชื่อมโยงตามแนวพื้นที่
พัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก  (East-West Economic Corridor : EWEC)  ของอนุภูมิภาค GMS  ที่จะเกิด
ขึ้นในอนาคตรวมถึงความจำเป็นและช่วงเวลาการลงทุนที่เหมาะสมในการก่อสร้างสะพานแห่งที่สอง ไปพิจารณา
ดำเนินการต่อไป
              3. ให้กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ เช่น กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิร
วดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation  Strategy : ACMECS) และ
กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง  (Greater Mekong Subregion : GMS)  เป็นต้น  ไปยังคณะกรรมการ
พัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถอนเรื่อง ขอลดหย่อนค่ารายปีการประเมินภาษาโรงเรือนและที่ดินของ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ประจำปี 2551 คืนไปได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนา
คมเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงพาณิชย์รับร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดความ
รับผิดของผู้ซื้อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์  และความรับผิดของเจ้าของพื้นที่ที่ขายสินค้าละเมิดดังกล่าว) ไปหารือร่วมกับ
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ   สำนักงานอัยการสูงสุด   และหน่วยงานที่
เกี่ยวข้อง โดยให้เชิญผู้แทนการค้าไทยเข้าร่วมพิจารณาด้วย  ทั้งนี้ ควรพิจารณามาตรการหรือแนวทางที่จะป้องกัน
แก้ไขปัญหาที่จะมีการนำกฎหมายไปใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งหาประโยชน์หรือใช้กฎหมายอย่างบิดเบือน
ไปจากวัตถุประสงค์ที่แท้จริง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงพาณิชย์รับร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า  (ฉบับที่ ..)  พ.ศ. ....
(กำหนดความรับผิดของผู้ซื้อสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า และความรับผิดของเจ้าของพื้นที่ที่ขายสินค้าละเมิด
ดังกล่าว) ไปหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการ
สูงสุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  โดยให้เชิญผู้แทนการค้าไทยเข้าร่วมพิจารณาด้วย  ทั้งนี้  ควรพิจารณามาตรการ
หรือแนวทางที่จะป้องกันแก้ไขปัญหาที่จะมีการนำกฎหมายไปใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งหาประโยชน์ หรือ
ใช้กฎหมายอย่างบิดเบือนไปจากวัตถุประสงค์ที่แท้จริง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้
             1. เห็นชอบร่างแผนนิติบัญญัติ พ.ศ. 2552-2554 ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ปรับปรุงแล้ว
ประกอบด้วย กฎหมายระดับพระราชบัญญัติและกฎหมายลำดับรองในระดับพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงที่
จำเป็นต้องมี ปรับปรุงแก้ไข หรือยกเลิกเพื่อประโยชน์ในการผลักดันการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลและแผน
การบริหารราชการแผ่นดิน รวม 167 ฉบับ แบ่งเป็น
                 1.1 ร่างพระราชบัญญัติ จำนวน  152  ฉบับ  โดยเป็นร่างพระราชบัญญัติที่อยู่ระหว่างการพิจารณา
ของสภาผู้แทนราษฎรหรือศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน  11  ฉบับ  จึงมีร่างพระราชบัญญัติที่ฝ่ายบริหารต้องดำเนิน
การต่อไป จำนวน 141 ฉบับ
                 1.2 ร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน 4 ฉบับ
                 1.3 ร่างกฎกระทรวง จำนวน 11 ฉบับ 
             2. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวต่อไป  ทั้งนี้  ให้ส่งร่างแผนนิติบัญญัติดัง
กล่าวให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติทราบเพื่อเป็นข้อมูลด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
              1. เห็นชอบในหลักการกรอบการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราช
บัญญัติเฉพาะ ประกอบด้วย เกณฑ์ประเมินผลการปฏิบัติงาน กรอบน้ำหนักของเกณฑ์ประเมินผล การกำหนดตัวชี้
วัดผลการปฏิบัติงาน การกำหนดเป้าหมายการประเมินผล  การกำหนดน้ำหนักตัวชี้วัด  และระดับคะแนนของการ
ประเมินผล  ส่วนเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐ ฯ มี 4 เกณฑ์ คือ เกณฑ์ด้านผลสัมฤทธิ์
ตามพันธกิจ (ร้อยละ 20-40) เกณฑ์ด้านผู้มีส่วนได้เสีย (ร้อยละ 10-20) เกณฑ์ด้านประสิทธิภาพ (ร้อยละ 15-
35) และเกณฑ์ด้านการกำกับดูแลและพัฒนาองค์กร (ร้อยละ 20-40) รวมทั้งเห็นชอบในหลักการแนวทางการนำ
กรอบการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐ ฯ จำนวน 14 แห่ง ไปปฏิบัติ ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐที่จัด
ตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ จำนวน 14 แห่ง  ได้แก่  หน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะในขณะที่
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 ใช้บังคับ จำนวน 8 แห่ง  และหน่วยงานของรัฐที่ได้รับการจัดประเภท
เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติเฉพาะเพิ่มขึ้นอีก จำนวน 6 แห่ง ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
              2. ให้สำนักงาน ก.พ.ร.  รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  สำนักงาน
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพที่เห็น
ควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการแบบประเมินผลในระบบต่างๆ ให้เป็นองค์รวมเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการราย
งาน หรือการประเมินผลในรูปแบบต่าง ๆ  ของหน่วยงานให้ลดลง  และควรให้ความสำคัญกับประเด็นการประเมิน
ผลเรื่องการเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสในการประเมินผลการปฏิบัติงาน  ทั้งในส่วนของข้อมูลการเงินและไม่ใช่
การเงินเพื่อใช้เป็นช่องทางในการติดตามการปฏิบัติงานขององค์การได้อย่างมีประสิทธิภาพ  รวมทั้งให้ความสำคัญ
กับบทบาทประชาสังคมให้มีส่วนร่วมในกระบวนการตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ
โดยเฉพาะการประเมินระดับความพึงพอใจและคุณภาพการให้บริการในมิติต่าง ๆ อาทิ  มิติพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติ
งาน มิติคุณภาพของบริการที่ได้รับ และมิติด้านคอร์รัปชั่น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ....
ไปพิจารณาเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ  โดยให้รับ
ความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มเติม "ผู้ปฏิบัติงานในกองอำนวยการรักษาความมั่นคง
ภายในราชอาณาจักร" ในคำนิยามเจ้าพนักงานตามมาตรา 3 ของร่างพระราชบัญญัติ ฯ และกำหนดให้คณะรัฐมนตรี
เข้ามามีส่วนร่วมกับนายกรัฐมนตรีในการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการใช้กำลังเข้าแก้
ไขสถานการณ์การชุมนุมตามมาตรา  8  วรรคสองของพระราชบัญญัติ  ฯ  และความเห็นของกระทรวงกลาโหม ที่เห็น
ควรแก้ไขข้อความ "...การก่อให้เกิดความวุ่นวาย..." เป็น  "...การก่อให้เกิดการวุ่นวาย..."  เพื่อให้สอดคล้องกับประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 215 ที่บัญญัติความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน รวมทั้งควรกำหนดขอบเขตอำนาจ
หน้าที่ของกำลังทหารให้ชัดเจน และให้เพิ่มข้อความ  "มาตรา ...ข้อกำหนด  ประกาศ  คำสั่ง  หรือการกระทำตามพระ
ราชบัญญัตินี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและกฎหมายว่าการจัดตั้งศาลปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง"  และ  "มาตรา ...เจ้าพนักงานและผู้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าพนักงานตามพระราช
บัญญัตินี้ไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง ทางอาญา  หรือทางวินัย  เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้  หากเป็น
การกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสีย
หายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่"  เป็นต้น  ไป
พิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอรายงานประจำปี
2551 ของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ซึ่งเป็นการรายงานผลการดำเนินการในปีงบประมาณ 2551
(ตุลาคม 2550-กันยายน 2551) โดยสภาที่ปรึกษา ฯ ได้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รวม 30
เรื่อง

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นแห่งสหประชาชาติ
เกี่ยวกับการคว่ำบาตรไลบีเรีย  และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการ
คลัง กระทรวงมหาดไทย  สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ  สำนักข่าวกรองแห่งชาติ  สำนักงานตำรวจแห่ง
ชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติต่อไป โดยให้เป็น
ไปตามขอบเขตของกฎหมายภายในของไทย  รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการ
ต่างประเทศทราบ เพื่อรายงานให้สหประชาชาติทราบต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ

คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วย
รัฐมนตรี ในการประชุมครั้งที่ 4/2552 เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2552  โดยมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นายณัฐวุฒิ จิตะสมบัติ) เป็นประธานการประชุม  สรุปผลการประชุมได้ดังนี้
             1. ที่ประชุมรับทราบการดำเนินงานของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและมีความเห็นต่อ
การดำเนินงานของกระทรวงสรุปได้ดังนี้
                 1.1 การพิจารณาเกี่ยวกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะต้องใช้เงินลง
ทุนเป็นจำนวนมาก และเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของบริษัท กสท. โทร
คมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท โทรคมนาคม) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที)  ซึ่งรัฐบาล
ต้องเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ 
                 1.2 กรณีข้อพิพาทระหว่างบริษัทเอกชนที่ได้รับสัมปทานจาก บมจ. กสท โทรคมนาคม : CAT กับ บมจ.
ทีโอที  นั้น  ควรหาผู้ที่มีความเป็นกลางมาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยและหาแนวทางในการประนีประนอมกัน  ซึ่งกระทรวง
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอยู่ระหว่างการดำเนินการหาข้อสรุป
                 1.3 การพัฒนาประเทศจะต้องพิจารณาในเรื่องของความทันสมัย  (Modernization)  รวมทั้งการพัฒนา
(Development)  ให้ควบคู่กันไปอย่างสมดุล   กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงกำหนดเป้าหมายใน
แผนแม่บท ฯ ฉบับที่ 2 ถึงความสำคัญของการพัฒนาคนและการพัฒนาโครงสร้างทางเทคโนโลยีควบคู่กัน
                 1.4 การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ ICT  ชุมชน  และการพัฒนาความเร็วในด้านการให้บริการของระบบอิน
เตอร์เนตให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาอันเป็นรากฐานของการพัฒนาคนและ
การพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น การซื้อ-ขาย สินค้าโอท็อป  และการโฆษณาแหล่งท่องเที่ยวของแต่ละชุมชนผ่านระบบอิน
เตอร์เนต    จึงให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ต่อไป
             2. ที่ประชุมรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเครื่องแบบและการแต่งกายในโอกาสต่าง  ๆ  รวมไปถึงการจัดทำ
บัตรประจำตัวกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี  โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ  จัดทำร่างแก้ไขปรับปรุงคู่มือคณะกรรม
การผู้ช่วยรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป
             3. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับการเลือกประธานในการประชุมครั้งต่อไป