ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1886 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 37701 - 37720 จากข้อมูลทั้งหมด 124241 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
37701 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจล | กก | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมีติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทาง
เข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจล จากเดิมตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม-31 ตุลาคม 2552 ออกไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2553 โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริม การประกอบธุรกิจประกันภัย และสมาคมประกันวินาศภัย เพื่อดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและ กีฬาเสนอ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ฯ จำนวน 210 ล้านบาท ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดทำ แผนการใช้จ่ายเป็นรายเดือนและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำ ปี พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ต่อไป เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 มีผลบังคับใช้แล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
37702 | การสรรหาและคัดเลือกผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน | กต | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ ดร. ศรีประภา เพชรมีศรี เป็นผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่าง
รัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ตามมติคณะกรรมการสรรหาและคัดเลือกผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการ ระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 ตามที่กระทรวงการต่าง ประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
37703 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าเชียงดาว ป่าแม่งัด และป่าแม่แตง บางส่วน ในท้องที่ตำบลป่าตุ้ม อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... | ทส | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าเชียงดาว ป่าแม่งัด
และป่าแม่แตง บางส่วน ในท้องที่ตำบลป่าตุ้ม อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ เพิกถอน อุทยานแห่งชาติป่าเชียงดาว ป่าแม่งัด และป่าแม่แตง บางส่วน ในท้องที่ตำบลป่าตุ้ม อำเภอพร้าว จังหวัดเชียง ใหม่ เนื้อที่ 192 ไร่ 0 งาน 38.7 ตารางวา เพื่อก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่สะลวม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
37704 | การขอแลกเปลี่ยนที่ราชพัสดุ (กรณีคุณหญิงอรพรรณ ศศิประภา และคุณหญิงศุภนภา อัตตะนันทน์) | กค | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังรับไปตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของมูลค่าของที่ราชพัสดุ
จำนวน 4 แปลง ประกอบด้วย โฉนดเลขที่ 492 เนื้อที่ 1-2-45 ไร่ โฉนดเลขที่ 2939 เนื้อที่ 0-1-72 ไร่ โฉนด เลขที่ 6158 เนื้อที่ 0-0-17 ไร่ แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และโฉนดเลขที่ 11370 เนื้อที่ 0-3-08 ไร่ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินทั้ง 4 แปลง และที่ดินที่จะแลกเปลี่ยน จำนวน 3 แปลง ของคุณหญิงอรพรรณ ศศิประภา และคุณหญิงศุภนภา อัตตะนันทน์ ประกอบด้วย โฉนดเลขที่ 175 เนื้อที่ 2-0-0 ไร่ โฉนดเลขที่ 176 เนื้อที่ 2-2-60 ไร่ แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหา นคร และโฉนดเลขที่ 6616 ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 57-2-40 ไร่ ให้ชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
37705 | รายงานผลการต่ออายุเงินกู้ในรูป Euro Commercial Paper หรือ ECP Programme | กค | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานผลการต่ออายุเงินกู้ในรูป Euro Commercial
Paper หรือ ECP Programme โดยกระทรวงการคลังได้กำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับการใช้เงินกู้ดังกล่าว ดังนี้ 1. เป็นวงเงินสำหรับการทำ Refinance 1.1 เพื่อใช้เป็นเงินกู้ระยะสั้นสำหรับการทำ Refinance เงินกู้ต่างประเทศของภาครัฐ โดยกำหนดจะ นำมาใช้เป็นการชั่วคราวก่อนที่จะพิจารณากู้เงินระยะยาวตามความเหมาะสมของภาวะตลาดต่อไป 1.2 เพื่อใช้ในการ Refinance เงินกู้ที่มีระยะเงินกู้คงเหลือไม่เกิน 3 ปี หรือมีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 1.85 ปี และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขยายระยะเงินกู้ดังกล่าวต่อไป 2. เป็นวงเงินสำหรับโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ 2.1 เป็นโครงการที่ได้รับการบรรจุในแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ 2.2 เป็นโครงการที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินในโอกาสแรกแต่อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดหาแหล่งเงินกู้ ระยะยาว หรือเป็นการใช้เงินในลักษณะ Bridge Financing ก่อนการจัดหาเงินกู้ระยะยาวมาใช้ทดแทน และจะต้องมี ระยะการเบิกจ่ายไม่เกิน 1 ปี 2.3 การใช้เงินกู้จาก ECP Programme ตามนัยข้อ 2.2 ให้ถือว่าเป็นการกู้เงินตามแผนการก่อหนี้ในวง เงินเดียวกัน ไม่ต้องนำมานับรวมกับการกู้เงินเพื่อ Refinance ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้ ECP Programme มาใช้ในโครงการของรัฐวิสาหกิจ ให้รัฐวิสาห กิจนั้น ๆ กู้เงินดังกล่าวต่อจากกระทรวงการคลังตามนัยเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังได้ผูกพัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
37706 | คณะกรรมการที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง (กระทรวงมหาดไทย) | มท | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) (เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการ พิจารณาเรื่องการขอเปลี่ยนแปลงชื่อจังหวัด อำเภอ และตำบล หมู่บ้าน หรือสถานที่ราชการอื่น ๆ ย้อนหลัง ให้ มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2551) โดยเห็นว่าสถานะของคณะกรรมการ ฯ ดังกล่าว ได้สิ้นสุดลงเมื่อพ้นวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 โดยผลของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 การเปลี่ยนแปลงชื่อจังหวัด อำเภอ และตำบล หมู่บ้าน หรือสถานที่ราชการอื่น ๆ ในระหว่างที่ไม่มีคณะกรรมการ ฯ ดังกล่าว ต้องเป็นไปตามบท บัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ดังนั้น หากการดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อได้กระทำโดยถูกต้อง ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ย่อมมีผลตามกฎหมาย 2. อนุมัติการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องการขอเปลี่ยนแปลงชื่อจังหวัด อำเภอ และตำบล หมู่ บ้าน หรือสถานที่ราชการอื่น ๆ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวง ศึกษาธิการ ผู้แทนกระทรวงคมนาคม ผู้แทนราชบัณฑิตยสถาน ผู้แทนกรมการปกครอง ผู้แทนกรมศิลปากร ผู้แทนกรมแผนที่ทหาร ผู้แทนส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องในฐานะเจ้าของเรื่อง เป็นกรรมการ โดยมี ผู้อำนวยการกองตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการและเลขา นุการ และนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ กองตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัด กระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (13 ตุลาคม 2552) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
37707 | แต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงสาธารณสุข) (จำนวน 3 ราย 1. นายศิวฤทธิ์ รัศมีจันทร์ฯ) | สธ | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่ง
ระดับ 10 จำนวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ 1. นายศิวฤทธิ์ รัศมีจันทร์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ 10 วช. ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลพุทธชินราชพิษณุโลก สำนักงาน สาธารณสุข จังหวัดพิษณุโลก สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2551 2. นางชุติมา กาญจนวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ 10 วช. ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลลำปาง สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดลำปาง สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2551 3. นายศุภชัย ไพบูลย์ผล ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ 10 วช. ด้านเวชกรรม สาขาอายุกรรม กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลราชบุรี สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดราชบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2551
|
|||||||||||||||||||||||||||
37708 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกา
กร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ดังนี้ 1. ยกเลิกความในมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และให้ใช้ความ ใหม่แทน เพื่อรองรับความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการเรียกเก็บอัตราอากรสำหรับสินค้าทุกรายการ ตามที่ประเทศไทยได้ผูกพันตนตามความตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับและที่จะลงนามเพื่อผูกพันตามพันธ กรณีระหว่างประเทศ 2. ยกเลิกความในมาตรา 14 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และให้ใช้ความ ใหม่แทน เพื่อรองรับความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการเรียกเก็บอัตราอากรสำหรับสินค้าทุกรายการ ตามที่ประเทศไทยได้ผูกพันตนตามความตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ และที่จะลงนามเพื่อผูกพันตนตาม พันธกรณีระหว่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
37709 | โครงการยกระดับขีดความสามารถอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ (ปี 2553 - 2557) | อก | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการยกระดับขีดความสามารถอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ (ปี 2553-2557) ซึ่งเป็น โครงการต่อเนื่องจากโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ (2547-2552) ที่สิ้นสุดลง เพื่อสนับสนุนการยกระดับ อุตสาหกรรมแม่พิมพ์ไทยให้มีศักยภาพในการออกแบบและผลิตแม่พิมพ์ที่มีความซับซ้อนและเที่ยงตรงสูงมีมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับ และสามารถรองรับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมตามยุทธศาสตร์ของประเทศที่มุ่งสู่อุตสาหกรรม ที่ใช้องค์ความรู้ นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมเครื่อง ใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ต้องใช้การออกแบบ ขั้นสูง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ส่วนค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินโครงการ ฯ ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ เห็นควรกำหนดแนวทางให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบ และให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการ ฯ พร้อม ทั้งให้มีการติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงาน และในการดำเนินโครงการ ฯ ควรครอบคลุมเทคโนโลยีการออก แบบ และ Simulation การเลือกใช้วัสดุ การตรวจสอบคุณสมบัติทางโลหะวิทยาของแม่พิมพ์เพื่อประเมินความทนทาน และอายุการใช้งาน รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนัก งบประมาณ เกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับเทคโนโลยีแม่พิมพ์ชั้นสูงต้องมีกลไกรับรองมาตรฐานวิชาชีพ และ เพิ่มเติมหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรอุตสาหกรรม จนถึงขั้นเป็นผู้ประกอบการที่มีองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีแม่พิมพ์ (Technopreneur) เพื่อให้สามารถยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ได้ทั้งระบบ และ ในการยกระดับความสามารถด้านเทคโนโลยีการผลิตแม่พิมพ์ที่มีความเที่ยงตรงและความซับซ้อนสูง ต้องสร้างกลไก เชื่อมโยงแหล่งเรียนรู้จากต่างประเทศมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
37710 | ความคืบหน้าในการดำเนินโครงการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 | ทก | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานความคืบหน้าในการ
ดำเนินโครงการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 ตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ผลการดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 1.1 การโอนสิทธิในคลื่นความถี่ 2 GHz คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ในคราว ประชุมครั้งที่ 8/2552 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2552 ได้มีมติให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ.ทีโอที) ได้รับ โอนสิทธิในการใช้คลื่นความถี่วิทยุ 1900 MHz จากบริษัท เอ ซี ที โมบาย จำกัด แต่เพียงผู้เดียว 1.2 การทบทวนแผนการดำเนินงาน บมจ.ทีโอที ได้ทบทวนแผนงานให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค ที่ 3 โดยเน้นการให้บริการโครงข่าย (Network Provider) เพื่อการขายส่งต่อผู้ให้บริการค้าปลีก (Retailer หรือ Mobile Virtual Network Operator, MVNO) ทำการตลาดค้าปลีกต่อไป ทั้งนี้ ได้ประกาศเชิญชวนผู้มีความประสงค์ ศึกษาการเข้าร่วมเป็นผู้ขายต่อบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 แล้ว ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2552 1.3 การจัดทำแผนความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) เพื่อความ รับผิดชอบต่อสังคม ได้แก่ แผนการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ปี พ.ศ. 2552-2556 และการบริหารจัดการ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี เป็นต้น 2. ผลการดำเนินงานตามความเห็นของกระทรวงการคลัง บมจ.ทีโอที ได้พิจารณาเรื่องแหล่งเงินกู้ และ การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีประกวดราคาสากล โดยให้ผู้ประกวดราคาเสนอแหล่งเงินกู้ในลักษณะของ Export Credit รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ที่เกี่ยวข้องต่อไปแล้ว ทั้งนี้ บมจ.ทีโอที จะกำหนดเปิดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 ในเขตกรุงเทพ ฯ และปริมณฑลใน เดือนธันวาคม 2552 เพื่อทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคม 2552
|
|||||||||||||||||||||||||||
37711 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจสอบและประเมิน
ผลภาคราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบ ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. แก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) โดยให้ "ปลัด กระทรวงการคลัง" เป็นกรรมการแทน "ผู้อำนวยการกำกับและบริหารโครงการเปลี่ยนระบบการบริหารงานการ เงินการคลังโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์" เพิ่มปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นกรรมการ เพิ่มกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจาก "จำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินเจ็ดคน" เป็น "จำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคนแต่ไม่เกินสิบคน" รวมทั้งเพิ่มกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการด้วย 2. แก้ไขคุณสมบัติของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยแก้ไขอายุ จาก "ไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์" เป็น "ไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปีบริบูรณ์" และแก้ไขความรู้ด้านประสบการณ์ด้าน "การตรวจสอบการดำเนินการ" เป็น "การ ตรวจสอบและประเมินผล" รวมทั้งด้าน "การบริหาร" เป็น "การบริหารและการจัดการ" ตลอดจนเพิ่มความรู้และ ประสบการณ์ด้าน "การวางแผน" ด้วย 3. แก้ไขวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จาก "คราวละ 2 ปี" เป็น "คราวละ 4 ปี" 4. ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน ค.ต.ป. ที่แต่งตั้งตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจสอบ และประเมินผลภาคราชการ พ.ศ. 2548 ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนครบวาระ
|
|||||||||||||||||||||||||||
37712 | การขออนุมัติเงื่อนไขพิเศษ (Special Conditions) สำหรับการจัดหาเงินกู้เพื่อชำระค่าจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A330-300 จำนวน 6 ลำ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเงื่อนไขพิเศษในการดำเนินการกู้เงินในรูป Asset Based Financing เพื่อชำระ
ค่าจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A330-300 จำนวน 6 ลำ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และให้กระทรวงการ คลังและกระทรวงคมนาคมออกหนังสือรับรองให้แก่ European Export Credit Agencies (ECAs) รวมทั้งให้สำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำความเห็นทางกฎหมายสำหรับการกู้เงินในครั้งนี้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
37713 | แนวทางการเสริมสร้างความยุติธรรมและความสมานฉันท์ภายใต้โครงการเยาวชนพลยุติธรรม | ยธ | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติแนวทางการเสริมสร้างความยุติธรรมและความสมานฉันท์ภายใต้โครงการเยาวชนพลยุติธรรม ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดย 1.1 ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการพัฒนาและเสริมสร้างจิตสำนึกรักความยุติธรรม ความสมาน ฉันท์และความปลอดภัย ปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้รับรู้ในเรื่องหน้าที่พลเมืองที่ดี สิทธิของบุคคล และไม่ละเมิดสิทธิ ของคนอื่น และเสริมสร้างจิตสำนึกคุณธรรมในด้านต่าง ๆ โดยจัดทำเนื้อหาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติ ธรรมเข้าไปในกิจกรรมการเรียนการสอนของเด็กและเยาวชนในหมวดสังคมศึกษา ทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยม ศึกษา และอุดมศึกษา 1.2 ให้นำกรอบแนวคิด วัตถุประสงค์ เป้าหมาย รูปแบบและขั้นตอนการดำเนินงาน ตลอดจนผล การดำเนินงานและประสบการณ์เรียนรู้ที่ได้รับจากโครงการเยาวชนพลยุติธรรมของกระทรวงยุติธรรมมาพิจารณา ประกอบ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานตามความเหมาะสม 2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรผลักดันโรงเรียนต้นแบบให้มีการขยายผลการดำเนินกิจ กรรมไปสู่โรงเรียนและชุมชนให้กว้างขวางขึ้น กับให้กระทรวงยุติธรรมเป็นเจ้าภาพประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดรูปแบบและจัดทำกิจกรรมที่เหมาะสมให้ครอบคลุมการส่งเสริมบทบาทของสถาบันครอบครัวและชุมชน นอกจากนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการจัดทำแนวทางปฏิบัติในการดำเนินงาน โดยกระทรวง ยุติธรรมสนับสนุนทางวิชาการ วิทยากรด้านกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย และการอบรมครูให้มีความรู้ที่จะ สอนเด็กเรื่องกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งกำหนดมาตรฐานในการติดตามประเมินผลร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนิน การต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
37714 | การประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงาน ก.พ.ร. คงการกำหนดตัวชี้วัด "การประหยัดพลังงานของส่วนราช
การและจังหวัด" เพื่อการประเมินผลส่วนราชการ สถาบันอุดมศึกษา และจังหวัดต่อไป และให้กระทรวงพลังงานรับไป ดำเนินการร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อปรับปรุงพัฒนาตัวชี้วัดดังกล่าวให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ โดยให้นำ ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพัฒนาตัวชี้วัดหรือแนวทาง การประเมินผลของการประหยัดพลังงาน นอกจากจะให้ความสำคัญกับตัวแปรจากลักษณะการทำงาน เช่น จำนวน บุคลากร หรือพื้นที่ใช้สอยในอาคาร และตัวแปรจากสภาวะแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ หรือพื้นที่ของอำเภอที่ตั้งแล้ว ควร ให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับตัวแปรทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ เช่น ความมีประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน คุณภาพ การให้บริการของหน่วยงาน และปริมาณภารกิจที่หน่วยงานได้รับมอบหมายเพิ่มเติมเป็นพิเศษ ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
37715 | ขออนุมัติโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (เพิ่มเติมครั้งที่ 2) | กค | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ดำเนินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (เพิ่มเติมครั้งที่ 2) ในวง เงินรวม 227,939.0193 ล้านบาท โดยกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎ หมายใดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ต่อไปด้วย 2. อนุมัติให้โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกร และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการประกันราคาข้าว เปลือก วงเงิน 40,013.0000 ล้านบาท และโครงการจำนำผลผลิต การเกษตรปีการผลิต 2551/2552 (ภาระ ดอกเบี้ยเงินกู้ให้สถาบันการเงิน) วงเงิน 1,919.6680 ล้านบาท เป็นโครงการภายใต้วัตถุประสงค์ข้อ 8 : วัตถุ ประสงค์อื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 3. เห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินโครงการ ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกว่าด้วย การบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ จ่ายเงินตามแผนงานให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธันวาคม 2553 และให้คณะกรรมการ ฯ เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการปฏิบัติเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติต่อไป 4. อนุมัติโอนหรือเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ฯ จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วยโครงการปรับปรุงทางที่ไม่ปลอดภัยสำหรับการเดินรถ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และโครงการพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุขระดับตติยภูมิ ของ มหาวิทยาลัยนเรศวร 5. อนุมัติกรอบวงเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้าง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 เพื่อนำมาสนับสนุนโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ฯ ในวงเงิน 150,000 ล้านบาท และมอบหมายให้คณะกรรมการ ฯ พิจารณาจัดสรรเงินกู้ให้แก่โครงการภายใต้ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ฯ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการแล้ว โดยให้ความสำคัญกับโครงการ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องเร่งดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 รวมทั้งโครงการของส่วนราชการและ รัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553
|
|||||||||||||||||||||||||||
37716 | พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร | นร | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบร่างประกาศ และร่างข้อกำหนด รวม 3 ฉบับ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภาย ในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้ว ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ 1.1 ร่างประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มีสาระ สำคัญคือ ประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในเขตพื้นที่ดุสิต กรุงเทพ มหานคร ระหว่างวันที่ 15-25 ตุลาคม 2552 โดยมอบให้ กอ.รมน. รับผิดชอบในการดำเนินการตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 1.2 ร่างประกาศ เรื่อง การให้หน่วยงานของรัฐมอบอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบตามกฎหมาย ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรดำเนินการแทนหรือมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการด้วย และให้ พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 เป็นเจ้า พนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย มีสาระสำคัญคือ ให้หน่วยงานของรัฐมอบอำนาจหน้าที่และความรับ ผิดชอบตามกฎหมาย ให้ กอ.รมน. ดำเนินการแทนหรือมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการด้วย และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคง ฯ เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย จำนวน 14 ฉบับ ตามมาตรา 16 วรรคสี่ 1.3 ร่างข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราช อาณาจักร พ.ศ. 2551 มีสาระสำคัญคือ ออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความ มั่นคง ฯ จำนวน 5 ข้อ 2. เมื่อเหตุการณ์สิ้นสุดลงแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลส่งให้ กอ.รมน. เพื่อรวบรวมเสนอ นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบโดยเร็ว ตามมาตรา 15 วรรคสองแห่งพระราช บัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
37717 | การดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกร | กค | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายเงินชดเชยส่วนต่าง ระหว่างราคาประกันกับราคาอ้างอิงให้แก่เกษตรกรแทนรัฐบาลไปก่อน เป็นการชั่วคราวตามจำนวนเงินชดเชยส่วน ต่างที่จะต้องจ่ายให้แก่เกษตรกรจนกว่าจะได้รับการจัดสรรงบประมาณตามโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้ม แข็ง 2555 โดยให้คิดดอกเบี้ยจากเงินจำนวนดังกล่าวในอัตราร้อยละ 1.98 ต่อปี ของจำนวนเงินและระยะเวลาที่ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายไปก่อน และเมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติงบประมาณและให้เบิกจ่ายเงินตามโครงการ ฯ ให้ นำเงินมาชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยตามจำนวนเงินและระยะเวลาที่จ่ายจริง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 2. อนุมัติให้กระทรวงการคลังถอนข้อเสนอ "กำหนดค่าใช้จ่ายของ ธ.ก.ส. ในการบริหารจัดการโครง การประกันรายได้เกษตรกร ปีการผลิต 2552/53 จำนวนเงิน 642 บาทต่อเกษตรกร 1 ราย ประมาณการเกษตร กรเข้าร่วมโครงการ 4.47 ล้านคน คิดเป็นวงเงิน 2,870 ล้านบาท และในกรณีที่เกษตรกรไม่ใช้สิทธิตามสัญญา ประกันรายได้ เพื่อรับเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาอ้างอิง กำหนดค่าใช้จ่ายจำนวน 600 บาท ต่อเกษตรกร 1 ราย ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. เบิกรับค่าใช้จ่ายตามจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ" เพื่อนำกลับไป พิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||
37718 | เอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาขอให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการฝึกอบรม และการประชุมเชิงปฏิบัติการ | วท | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ในฐานะผู้ประสานงานกลางแห่งชาติระหว่างประเทศไทย กับทบวงการพัฒนางานปรมาณูระหว่างประเทศตอบรับความตกลงการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมและประชุม เชิงปฏิบัติการ จำนวน 4 รายการ ประกอบด้วยการฝึกอบรม Regional Training Course on Basic Applications of Radiation Modification of Polymers for Agriculture การประชุมเชิงปฏิบัติการ Workshop on Safety Assess ment for Predisposal Radioactive Waste Management Facilities การประชุมเชิงปฏิบัติการ Workshop on Periodic Safety Review of Research Reactors และการฝึกอบรม FAO/IAEA Regional Training Course on Surveillance of Tephritid Fruit Flies in Support of Planning and Implementing Area-Wide Integrated Pest Management Programme โดยให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นผู้ลงนามในความตกลงดังกล่าว 2. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการเป็นเจ้า ภาพจัดฝึกอบรมและประชุมเชิงปฏิบัติการ ทั้ง 4 รายการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
37719 | ขอความเห็นชอบในการรับรองร่างปฏิญญาโคลัมโบ และร่างแถลงข่าวร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) ครั้งที่ 8 | กต | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างปฏิญญาโคลัมโบของการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 8 และ ร่างแถลงข่าวร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 8 และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองเอกสารทั้ง 2 ฉบับ ในระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือ เอเชียครั้งที่ 8 ระหว่างวันที่ 14-15 ตุลาคม 2552 ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา 2. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||
37720 | การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการปฏิบัติงานในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจากผล การดำเนินการตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่จังหวัด นราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ในห้วง 3 เดือนที่ผ่านมาว่า การใช้พระราชกำหนด ฯ มีประโยชน์ต่อการ ควบคุมสถานการณ์ โดยเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมผู้ต้องสงสัยได้รวม 132 คน และได้ขยายผลการดำเนินกรรมวิธี เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติผู้ต้องสงสัยให้มาร่วมมือกับฝ่ายราชการ รวมทั้งยังเกิดประโยชน์ในการจำกัดเสรีการปฏิบัติ ของฝ่ายตรงข้ามด้วยการใช้คำสั่งเรียกตัวมาตรวจสอบพฤติกรรมอันเป็นการป้องปรามเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายหลบหนี ออกนอกพื้นที่ และช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามพฤติกรรมได้อย่างใกล้ชิด 2. เห็นชอบมาตรการลดผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาค ใต้ ซึ่งประกอบด้วยแนวทางการสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติ (การสร้างความโปร่งใสในการใช้อำนาจจับกุมและ ควบคุมตามกฎอัยการศึกและการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548) และ การสร้างความโปร่งใสให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อนำไปปฏิบัติ โดยมอบให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบนำมาตรการดัง กล่าวไปปฏิบัติอย่างจริงจัง และประเมินผลการปฏิบัติตามมาตรการนี้ด้วย 3. เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขต ท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา และร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรี กำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ รวม 2 ฉบับ และให้ดำเนินการต่อไปได้ 4. รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ
|
.....