ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 90 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1781 - 1800 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1781 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืนให้แก่ทายาทผู้ยกให้ ราย นายบัณฑิต สุวรรณงาม หรือ นายชยพร ศิริมงคลพาณิชย์ | กค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สร. ๖๙๓ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๖๐/๕๗ ตำบลยะวึก อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ ๕-๓-๘๐ ไร่ คืนให้แก่ทายาทของนายทวน สุวรรณงาม ผู้ยกให้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1782 | การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน | กค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน โดยยังคงเรียกเก็บในอัตราเดิมที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการชำระหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ได้มีการชำระคืนต้นเงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฯ พ.ศ. ๒๕๔๑ (FIDF1) และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฯ ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (FIDF3) เป็นจำนวน ๑๘๗,๘๘๔.๘๖ ล้านบาท มีผลให้ต้นเงินกู้ FIDF1 และ FIDF3 มียอดคงค้างจำนวนทั้งสิ้น ๙๔๙,๑๒๑.๐๓ ล้านบาท ในส่วนของเงินนำส่งจากสถาบันการเงินนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับมาแล้ว ๙ งวด (งวดเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕-เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙) เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๒๒๒,๙๕๖.๗๐ ล้านบาท โดยนำเงินดังกล่าวไปชำระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าบริหารจัดการเกี่ยวกับ FIDF1 และ FIDF3 ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-๑๕ กันยายน ๒๕๕๙ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๒๐๐,๐๐๙.๒๐ ล้านบาท สำหรับเงินส่วนที่เหลือสำรองไว้เพื่อชำระดอกเบี้ยในงวดต่อ ๆ ไป ๒. กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่า จากการประมาณการความสามารถในการชำระหนี้ดังกล่าว ยังคงมีความเสี่ยงหลายปัจจัย เช่น การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจการเงินในประเทศ ความผันผวนของเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก ภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มเติมจากการทยอยกู้เงินล่วงหน้า (Pre-funding) ของกระทรวงการคลัง เป็นต้น จึงเห็นควรคงอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินไว้ที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี ไว้ตามเดิม โดยอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนอัตราเงินนำส่งให้เหมาะสมและสอดคล้องกับปัจจัยและสถานการณ์แวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินที่เปลี่ยนแปลงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1783 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถใช้สกุลเงินต่างประเทศในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล และมาตรการกำหนดให้ใช้สกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่สกุลเงินไทยในการคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม [ร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] [มาตรการกำหนดให้ใช้สกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่สกุลเงินไทยในการคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม] | กค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพื่อให้บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถใช้สกุลเงินต่างประเทศในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล) และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการกำหนดให้ใช้สกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่สกุลเงินไทยในการคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไขพระราชบัญญัติฯอาจจะส่งผลกระทบให้การจัดเก็บรายได้ของภาษีนิติบุคคล แตกต่างจากวิธีการคำนวณแบบเดิม จึงต้องติดตามและประเมินผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ และกำหนดแนวทางในการรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งการอนุญาตให้ใช้และการอนุมัติให้มีการเปลี่ยนแปลงสกุลเงินที่ใช้ในการดำเนินงาน (Functional Currency : FC) ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดหลักเกณฑ์ที่มีความโปร่งใส และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิของผู้ประกอบการภายใต้พระราชบัญญัติฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติรวม ๒ ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1784 | ขอขยายระยะเวลามาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ รวม 3 ฉบับ) | กค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ จากสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สำหรับเงินได้ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นใบทรัสต์ และยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สำหรับมูลค่าของฐานภาษี รายรับ หรือกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากการโอนหรือก่อทรัพย์สิทธิหรือสิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์ฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการแก้ไขระยะเวลาการบังคับใช้ของร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์สำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารชุดสำหรับการแปลงสภาพของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ของกระทรวงมหาดไทยที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาให้สอดคล้องกับการขยายระยะเวลาตามข้อ ๑ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาหามาตรการจูงใจอื่นนอกเหนือจากมาตรการทางด้านภาษีควบคู่กันไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1785 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ประจำปีงบประมาณ 2559 | กค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ประกอบด้วย (๑) รายงานการกู้เงินและการค้ำประกันที่ได้กระทำในปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้ว และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ และ (๒) รายงานผลการประเมินความสำเร็จของโครงการหรือแผนงานที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังจัดทำสรุปผลการดำเนินการตามแผนบริหารหนี้สาธารณะในช่วงปี ๒๕๕๗-๒๕๕๙ ของรัฐบาลชุดนี้ โดยให้ประเมินผลการดำเนินการของโครงการกู้เงินตามแผนบริหารหนี้สาธารณะในช่วงระยะเวลาดังกล่าว รวมทั้งประโยชน์ที่ได้รับและผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม และให้รายงานนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1786 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2559) | กค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ๒๕๕๙) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว และค่าที่พักในโรงแรมให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ระหว่างวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดให้มีการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงสาระสำคัญและประโยชน์ที่จะได้รับจากมาตรการฯ โดยเร็ว ตลอดจนติดตามประเมินผลมาตรการฯ ทั้งที่ได้ดำเนินมาตรการไปแล้วในช่วงก่อนหน้าและมาตรการในครั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินมาตรการฯ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ภาคประชาชนและภาคธุรกิจนำเที่ยวเข้าใจเงื่อนไขและหลักเกณฑ์เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกของผู้ประกอบการ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศตลอดเดือนธันวาคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถวางแผนการท่องเที่ยวในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1787 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถใช้สกุลเงินต่างประเทศในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล และมาตรการกำหนดให้ใช้สกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่สกุลเงินไทยในการคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม [ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถใช้สกุลเงินต่างประเทศในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล] | กค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพื่อให้บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถใช้สกุลเงินต่างประเทศในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล) และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการกำหนดให้ใช้สกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่สกุลเงินไทยในการคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไขพระราชบัญญัติฯอาจจะส่งผลกระทบให้การจัดเก็บรายได้ของภาษีนิติบุคคล แตกต่างจากวิธีการคำนวณแบบเดิม จึงต้องติดตามและประเมินผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ และกำหนดแนวทางในการรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งการอนุญาตให้ใช้และการอนุมัติให้มีการเปลี่ยนแปลงสกุลเงินที่ใช้ในการดำเนินงาน (Functional Currency : FC) ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดหลักเกณฑ์ที่มีความโปร่งใส และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิของผู้ประกอบการภายใต้พระราชบัญญัติฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติรวม ๒ ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1788 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) | กค | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการค้ำประกันสินเชื่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๖) (PGS ระยะที่ ๖) มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่มีศักยภาพแต่ขาดหลักประกันให้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อสถาบันการเงินได้มากขึ้น และช่วยเหลือ SMEs ในภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น รวมทั้งช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการอนุมัติสินเชื่อให้กับ SMEs เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้แก่สถาบันการเงินในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒๓.๒๕ ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ๕,๗๕๐ ล้านบาท ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ ก่อน หากไม่เพียงพอ จึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ส่วนแหล่งเงินการจ่ายค่าประกันชดเชยจาก บสย. วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท ให้ บสย. จัดทำแผนการบริหารจัดการและแผนการบริหารความเสี่ยง โดยมีการจัดหาเงินรายได้สำหรับนำมาใช้จ่ายค่าประกันชดเชยดังกล่าวอย่างเหมาะสมและชัดเจน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินโครงการนี้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการในระยะต่อไป ให้กระทรวงการคลังรวบรวมข้อมูลผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบทุกด้านของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งมาตรการและแนวทางปรับปรุงแก้ไขปัญหาดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๒.๒ ให้ บสย. และสถาบันการเงินร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์ในการคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อให้ได้ลูกค้าที่มีคุณภาพและมีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการให้ความช่วยเหลืออย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เช่น อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ ควรมีแผนการบริหารความเสี่ยงเพื่อควบคุมสัดส่วนของการค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPG) ไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย ๒.๓ โดยที่การให้ความช่วยเหลือในด้านการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดย่อมถือเป็นภารกิจหลักของ บสย. และเป็นภารกิจที่สอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ สมควรที่กระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการให้ บสย. พิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานให้มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เน้นการทำงานเชิงรุก โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตรงตามความต้องการของตลาด เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถลดการพึ่งพิงงบประมาณภาครัฐได้ในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1789 | มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรกร ซึ่งมีเงื่อนไขและวิธีการดำเนินการสอดคล้องกับมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๙ โดยมีกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินมาตรการฯ จำนวน ๑๒,๗๕๐ ล้านบาท และรับทราบกรณีกระทรวงการคลังจะใช้วิธีการโอนเงินที่เสนอมาในครั้งนี้สำหรับการโอนเงินให้แก่เกษตรกรผู้มีสิทธิ์ตามมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนและได้รับประโยชน์ในระยะยาว การติดตามตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นประชาชนที่มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง การแบ่งชั้นรายได้ให้มีความถี่มากขึ้น การกำหนดระดับอัตราเงินช่วยเหลือให้เหมาะสมกับแต่ละชั้นรายได้ รวมทั้งการดำเนินมาตรการที่เสริมสร้างความยั่งยืนและยกระดับการดำรงชีวิตประจำวันของผู้มีรายได้น้อย และนำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยไปประกอบการศึกษาพฤติกรรมของผู้มีรายได้น้อย ทั้งในด้านจำนวนตัวบุคคลและที่อยู่ของผู้มีรายได้น้อยเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการกำหนดนโยบายที่เหมาะสมในการดูแลและช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย สำหรับงบประมาณในการดำเนินมาตรการฯ จำนวน ๑๒,๗๕๐ ล้านบาท เห็นควรให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำรองจ่ายค่าใช้จ่ายไปก่อน โดยรัฐบาลจะชำระคืนเงินต้นและต้นทุนเงินให้กับธนาคารดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ผู้มีรายได้น้อยในภาคเกษตรตามมาตรการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๙ โดยให้ธนาคารทั้ง ๓ แห่งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อชดเชยต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ย (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการดังกล่าวในภาพรวม ทั้งในด้านผลการดำเนินการและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แล้วนำเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1790 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย พ.ศ. .... | กค | 15/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ตัดข้อความในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย พ.ศ. .... ในส่วนที่ให้รับความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะพิเศษ ออก ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเรื่องดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ในระยะแรกสำหรับการดำเนินการด้านธุรการและสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ส่วนในระยะต่อไป ในการจัดตั้งสำนักงานกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙) (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ) และให้พิจารณาดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1791 | ร่างแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. 2560 - 2564 | กค | 15/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยมีวิสัยทัศน์ คือ “ระบบการเงินที่สามารถตอบสนองความต้องการทางการเงินของประชาชนได้ทุกระดับอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน” ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การสร้างรายได้และพัฒนาศักยภาพด้านการเงินของประชาชนระดับฐานราก (๒) การพัฒนาผู้ให้บริการทางการเงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการเงินแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง และ (๓) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน (Financial Infrastructure) ให้เหมาะสมต่อการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างยั่งยืน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามร่างแผนพัฒนาฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยที่เห็นว่า มาตรการส่วนใหญ่ เช่น มาตรการด้านการสร้างรายได้และพัฒนาศักยภาพด้านการเงินของประชาชนระดับฐานราก และการสร้างความเข้มแข็งขององค์กรการเงินชุมชนให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างยั่งยืน ยังเน้นดำเนินการกับประชาชนฐานรากเท่านั้น ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของแผนในการส่งเสริมให้มีระบบการเงินที่สามารถตอบสนองความต้องการทางการเงินของประชาชนได้ทุกระดับอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ส่วนมาตรการการส่งเสริมการจัดสวัสดิการโดยองค์กรการเงินหรือองค์กรสวัสดิการชุมชนและการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ ควรระบุองค์กรสวัสดิการชุมชนที่เป็นการจัดสวัสดิการของชุมชนที่ใช้เงินสมทบจากสามฝ่าย (ชุมชน รัฐ อปท.) รวมทั้งการพัฒนาผู้ให้บริการทางการเงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการเงินแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ควรนำร่างพระราชบัญญัติการเงินระดับฐานรากที่ผ่านความเห็นชอบของสภาปฏิรูปแห่งชาติและสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศแล้วมาบรรจุไว้ในแผนด้วย นอกจากนี้ ควรเพิ่มเติมให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในเรื่องการสร้างทักษะให้ประชาชนสามารถบริหารจัดการทางการเงินของตนเองได้อย่างเป็นระบบ รวมถึงการมีความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย และการบริหารความเสี่ยง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินงานต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1792 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายธีรัชย์ อัตนวานิช) | กค | 15/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายธีรัชย์ อัตนวานิช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1793 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในการนำเข้าเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 ประเภททองคำจากต่างประเทศ) | กค | 15/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในการนำเข้าเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ประเภททองคำจากต่างประเทศ ทั้งนี้ เฉพาะที่กรมธนารักษ์เป็นผู้นำเข้าและขายในประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1794 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ASEAN Economic Community : AEC พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี การสหกรณ์ไทย พ.ศ. .... | กค | 15/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ASEAN Economic Community : AEC พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ราคายี่สิบบาท เพื่อเป็นที่ระลึกการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ASEAN Economic Community : AEC ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี การสหกรณ์ไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ราคายี่สิบบาท เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบ ๑๐๐ ปี การสหกรณ์ไทย ในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1795 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2559 และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 23 | กค | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๖-๙ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ สหรัฐอเมริกา รวมทั้งการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ ๒๓ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ สาธารณรัฐเปรู โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๕๙ ที่ประชุมได้เน้นความสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีส่วนร่วมและการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์เพื่อขจัดความยากจนและลดความเสี่ยงที่ประชาชนจะกลับไปสู่ความยากจนอีกครั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ๒. การประชุมร่วมของประเทศสมาชิกกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) สภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะชะลอตัว ที่ประชุมแนะนำให้มีการใช้เครื่องมือนโยบายทางการเงินและนโยบายทางการคลังเพื่อกระตุ้นภาคอุปสงค์และลดความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก (๒) การดำเนินตามกรอบ Environment and Social Framework ซึ่งจะขยายการคุ้มครองคนและสิ่งแวดล้อมในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนโดยธนาคารโลก โดยคาดว่าจะบังคับใช้ได้ในปี ๒๕๖๑ และ (๓) การหารือการเพิ่มทุนสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๑๘ โดยสมาคมฯ จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการระดมทุนให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการเงินทุนที่เพิ่มขึ้นมากเพื่อให้สามารถรองรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ ๓. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๔ มีการหารือเกี่ยวกับ (๑) การสนับสนุนวิสัยทัศน์ของธนาคารโลกเพื่อรองรับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และ (๒) การสนับสนุนข้อเสนอการคำนวณการถือหุ้นของประเทศสมาชิกในการเพิ่มทุนของธนาคารโลกเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของธนาคารโลกในการขจัดความยากจน ๔. การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย (๑) การประชุมร่วมระหว่างผู้ว่าการธนาคารโลกและผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยที่ประชุมมีข้อสังเกตว่า ไทยจำเป็นต้องเร่งรัดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมนวัตกรรม และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และ (๒) การประชุมหารือทวิภาคีกับรองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของรายงาน Systemic Country Diagnostic จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถกำหนดมาตรการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืน และได้กล่าวถึงความต้องการของประเทศไทยในการเพิ่มอันดับของประเทศในรายงาน Doing Business รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของภาคการเกษตรของไทย และความเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) และ (๓) การประชุมหารือทวิภาคีกับสถาบันการเงินต่างประเทศ โดยสถาบันการเงินฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง ระบบการเงินและตลาดตราสารหนี้มีความเข้มแข็ง ส่งผลให้ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่น่าลงทุน ๕. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ ๒๓ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) สถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินของโลกยังคงเผชิญความท้าทายต่าง ๆ สมาชิกเอเปคจะต้องร่วมมือกันเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคควบคู่ไปกับการรักษาความยั่งยืนทางการคลัง (๒) เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงกรอบการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค และเห็นชอบแผนกลยุทธ์การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเซบู และ (๓) หารือประเด็นที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการเซบู ได้แก่ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโดยเน้นการเชื่อมโยงศูนย์รวมข้อมูลความรู้การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน การสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินให้ประชาชนทุกภาคส่วน และการบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติของประเทศสมาชิกผ่านการสนับสนุนให้มีการทำประกันภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1796 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย พ.ศ. .... | กค | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย เพื่อคุ้มครองการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ ธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะพิเศษ อาทิ การดำเนินการด้านธุรการและสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ในระยะแรกอาจกำหนดให้สำนักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นส่วนราชการที่รับผิดชอบงานด้านการเสนอแนะนโยบาย จัดทำแผนยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับนโยบาย แผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ และการประมวลผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมของกระทรวงการคลังรับผิดชอบงานดังกล่าวโดยไม่จำเป็นต้องจัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่ รวมทั้งประเด็นเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนเพื่อการสนับสนุนฯ และแหล่งเงินได้ของกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ในระยะแรกสำหรับการดำเนินการด้านธุรการและสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ส่วนในระยะต่อไป ในการจัดตั้งสำนักงานกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙) (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ) และให้พิจารณาดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะพิเศษ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1797 | มาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ [ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | กค | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการการจ้างงานผู้สูงอายุ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละ ๑๐๐ ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการจ้างผู้สูงอายุที่มีอายุ ๖๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไปเข้าทำงาน ทั้งนี้ เฉพาะรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการจ้างผู้สูงอายุในส่วนที่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของจำนวนลูกจ้างในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการทบทวนมาตรการการจ้างงานผู้สูงอายุให้ครอบคลุมกลุ่มผู้สูงอายุที่มีทักษะ (รายได้มากกว่า ๑๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน) และสามารถทำงานได้ เพื่อป้องกันการขาดแคลนแรงงานทักษะเฉพาะด้าน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบมาตรการการสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Complex) โดยให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และให้รับข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อาทิ การนำที่ราชพัสดุมาสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ต้องพิจารณาความเหมาะสมทางผังเมืองในการกำหนดพื้นที่พักอาศัย และโดยที่มาตรการดังกล่าวยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน โดยการสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุบนที่ราชพัสดุเป็นการดำเนินการโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ส่วนการสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุบนพื้นที่อื่นที่ให้นำหลักการของโครงการบ้านมั่นคงและบ้านประชารัฐมาใช้นั้น จะมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการด้วย ดังนั้น ในการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว กระทรวงการคลังจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้น ๆ ต่อไป ไปพิจารณาด้วย ๓. เห็นชอบมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage) โดยให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อาทิ การให้สินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรนแก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุ ธนาคารควรมีกระบวนการคัดกรองการให้สินเชื่อที่ระมัดระวังเป็นพิเศษ และควรคำนึงถึงความจำเป็นในการใช้จ่ายของลูกหนี้ และควรติดตามดูแลคุณภาพของลูกหนี้อย่างใกล้ชิด รวมถึงควรกำหนดให้เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) เพื่อให้มีการเปิดเผยข้อมูลโครงการ นอกจากนี้ ทั้งภาครัฐและสถาบันการเงินควรมีแนวทางให้ความรู้แก่ประชาชนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ Reverse Mortgage เพื่อให้ผู้กู้มีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องและชัดเจน และควรพิจารณาให้ผู้ที่อยู่ในที่อยู่อาศัยเดียวกับผู้กู้สามารถเป็นผู้กู้ร่วมในสินเชื่อดังกล่าวได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. เห็นชอบในหลักการบูรณาการระบบบำเหน็จบำนาญ และอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติทำหน้าที่กำหนดนโยบายและทิศทางของระบบบำเหน็จบำนาญในภาพรวมให้สอดคล้องกัน และร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ เพื่อให้มีระบบการออมเพื่อการดำรงชีพยามชราภาพเพียงพอหลังเกษียณครอบคลุมลูกจ้างทั้งระบบ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ อาทิ การส่งเงินเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติควรเป็นอัตราร้อยละคงที่ตลอดระยะเวลาที่เป็นสมาชิกและสามารถเพิ่มอัตราการสะสมได้ตามความประสงค์เช่นเดียวกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการหรือไม่ การขยายเงื่อนไขการบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... ให้รวมถึงแรงงานที่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญอื่นอยู่แล้ว โดยนายจ้างไม่ต้องสมทบทุน และความชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐในฐานะนายจ้างของพนักงานราชการและลูกจ้างชั่วคราว นอกจากนี้ การจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติควรพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนกับกองทุนที่มีอยู่เดิม เช่น กองทุนประกันสังคม โดยอาจปรับปรุง พัฒนา และฟื้นฟูกองทุนที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นแทนการจัดตั้งกองทุนเพิ่มใหม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ๕. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๖. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการเกี่ยวกับการมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารกิจการของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพื่อให้สมาชิกได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนอย่างเหมาะสมต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1798 | โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ และวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ เพื่อให้ธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้แก่ผู้ประกอบกิจการได้เช่นเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ โดยใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ และให้รัฐบาลชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนเงินกับอัตราผลตอบแทนที่ธนาคารออมสินได้รับจากการปล่อยสินเชื่อ โดยให้ธนาคารออมสินบริหารจัดการวงเงินของโครงการได้ตามความเหมาะสมเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินมุ่งเน้นปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบกิจการการผลิต การให้บริการ ค้าส่งและค้าปลีก ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นอันดับแรก ๑.๒ รับทราบการขยายวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ตามโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (สำหรับลูกค้ารายย่อย) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ จากเดิมกรอบวงเงินโครงการไม่เกิน ๑,๕๐๐ ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินโครงการไม่เกิน ๒,๕๐๐ ล้านบาท โดยใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดิม ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ธนาคารออมสินพิจารณาขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยตามภาระและผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริง และให้กระทรวงการคลังติดตามประเมินผลการดำเนินงานเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงของปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการ รวมทั้งเป็นข้อมูลสำหรับประกอบการพิจารณาปรับปรุงการกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในระยะต่อไปได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ธนาคารออมสินควรนำปัญหา อุปสรรคในการดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้ดำเนินการไปแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ และวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงานของธนาคารออมสินให้เหมาะสมเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบกิจการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1799 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 - 30 เมษายน 2560 | กค | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙-๓๐ เมษายน ๒๕๖๐ วงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น ๒,๒๖๘ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป ประกอบด้วย ๑.๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทางดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๑,๗๘๓ ล้านบาท ๑.๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๕๒ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๔๘๕ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการนำระบบตั๋วร่วมมาใช้ในการเชื่อมการเดินทางสาธารณะของประชาชนอย่างครบวงจรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งรัดการดำเนินการจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางที่เกิดขึ้นจริงผ่านคณะกรรมการการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง และเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป รวมถึงรายงานการประเมินผลความพึงพอใจของผู้ใช้บริการตามมาตรการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยด่วนด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการฯ ตามความจำเป็นและเหมาะสมอย่างประหยัด โดยผ่านคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรเร่งดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง (Post Audit) ของข้อมูลการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙ ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งให้กระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมในการออกบัตรให้แก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยสำหรับลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่ให้สามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ ที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ ควรมีการเร่งดำเนินการประเมินผลความพึงพอใจของประชาชนที่มาใช้บริการโดยเร็ว ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคมพิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางในภาพรวมทั้งระบบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเริ่มใช้ได้ทันภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1800 | การคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (นายอำพน กิตติอำพน) | กค | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายอำพน กิตติอำพน ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
.....