ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 85 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1681 - 1700 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1681 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ พ.ศ. .... | กค | 23/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ ประเภท หลักสูตร อัตราและวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณเห็นว่าภาระงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นประมาณ ๕,๓๐๙,๐๐๐ บาทต่อปี นั้น ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วไปดำเนินการก่อน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1682 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ด่านศุลกากรเชียงของ) | กค | 23/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ด่านศุลกากรเชียงของ) มีสาระสำคัญเป็นการเปลี่ยนที่ทำการด่านศุลกากรเชียงของ ไปตั้งอยู่ที่อาคารที่ทำการด่านศุลกากรเชียงของแห่งใหม่ เลขที่ ๗๘ หมู่ที่ ๙ ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อประโยชน์และการอำนวยความสะดวกในด้านการค้า การลงทุน การขนส่งและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ การจัดเก็บอากรศุลกากร และการตรวจตราป้องกันการกระทำความผิดตามกฎหมายศุลกากรบริเวณชายแดนทางบก รวมทั้งได้มีการแก้ไขทางอนุมัติซึ่งเป็นทางที่ใช้ขนส่งของเข้าหรือออกจากราชอาณาจักรจากเขตชายแดนมายังที่ทำการด่านศุลกากรให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนที่ทำการด่านศุลกากรเชียงของ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1683 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 23/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันหล่อลื่น และน้ำมันที่คล้ายกัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสาระสำคัญในร่างประกาศกระทรวงการคลังฯ เป็นการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันหล่อลื่น และน้ำมันที่คล้ายกัน ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้ลดลงคิดเป็นร้อยละ ๒๐ ของรายได้จากการจัดเก็บดังกล่าว แต่จะมีผลเป็นการลดต้นทุนอุตสาหกรรมอื่นที่ใช้น้ำมันหล่อลื่น และน้ำมันที่คล้ายกันเป็นวัตถุดิบในการผลิต ควรอย่างยิ่งที่กระทรวงการคลังจะวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้าน ก่อนนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1684 | การส่งมอบศาลาไทยที่กรมส่งเสริมการเกษตรจัดสร้างในโครงการร่วมงาน International Horticultural Exposition : EXPO 2016 ณ สาธารณรัฐตุรกี ให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐตุรกี | กค | 16/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการส่งมอบศาลาไทยที่กรมส่งเสริมการเกษตรจัดสร้างในโครงการร่วมงาน International Horticultural Exposition : EXPO 2016 ณ เมือง Antalya สาธารณรัฐตุรกี ให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐตุรกี เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยและเป็นที่ระลึกความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน อีกทั้งควรมีการกำหนดเงื่อนไขการส่งมอบที่ครอบคลุมความสมประโยชน์ของประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านการประชาสัมพันธ์ประเทศ การเข้าใช้ประโยชน์ของหน่วยงานรัฐบาลไทย ตลอดจนการคงไว้ของสิ่งก่อสร้างต่อไปในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1685 | การเข้าร่วมโครงการ Base Erosion and Profit Shifting Project (BEPS Project) ของ OECD ในฐานะ Associate Country ภายใต้ Inclusive Framework | กค | 16/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าร่วมโครงการ Base Erosion and Profit Shifting Project (BEPS Project) ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา [Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD)] ในฐานะประเทศสมาชิก (Associate Country) ภายใต้กรอบความร่วมมือ (Inclusive Framework) เพื่อให้ประเทศไทยมีการดำเนินการเพื่อป้องกันการวางแผนเพื่อกัดกร่อนฐานภาษีและโอนกำไรไปต่างประเทศของบริษัทข้ามชาติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเกี่ยวกับงบประมาณเพื่อเป็นค่าธรรมเนียม จำนวน ๒๐,๐๐๐ ยูโรต่อปี หรือประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี และค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณของกรมสรรพากร รวมทั้งให้ทำการศึกษาถึงความรุนแรงของปัญหาการหลบเลี่ยงภาษีของธุรกิจข้ามชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และศึกษาเปรียบเทียบถึงรายได้ภาษีที่รัฐบาลจะสูญเสียจากการหลบเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศดังกล่าวทั้งก่อนและหลังการดำเนินโครงการฯ นอกจากนี้ ในการเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องระมัดระวังไม่ให้มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายและมาตรการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจเฉพาะด้านของประเทศไทยในอนาคต และหากการเข้าร่วมโครงการฯ มีการระบุถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่มีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ให้แจ้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนทราบด้วย และความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรมีแผนเตรียมการรองรับการเข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายภายในของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1686 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง | กค | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๕ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ วงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น ๑,๙๐๗.๔๔๑ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป ได้แก่ ๑.๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๑,๕๔๐.๔๔๑ ล้านบาท ๑.๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๕๒ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๓๖๗.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งรัดการดำเนินการจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางที่เกิดขึ้นจริงผ่านคณะกรรมการการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป รวมถึงรายงานการประเมินผลความพึงพอใจของผู้ใช้บริการตามมาตรการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ โดยด่วนด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยจะได้รับเป็นสำคัญ และจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินตามมาตรการดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสมอย่างประหยัด โดยผ่านคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการนำระบบตั๋วร่วมมาใช้ในการเชื่อมการเดินทางสาธารณะของประชาชนอย่างครบวงจร ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1687 | กรอบแนวทางการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ นวัตกรรม สำหรับ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐ และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี | กค | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการของกรอบแนวทางการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรมสำหรับ ๕ กลุ่มอุตสาหกรรมหลักภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐ และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะกรรมการสานพลังประชารัฐของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงพาณิชย์ อาทิ เห็นควรใช้กลไกการรับรองโครงการวิจัยสำหรับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้จ่ายไปในการดำเนินการ ควรประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชน (ผู้ว่าจ้างทำวิจัย) รวมทั้งมหาวิทยาลัยและนักวิจัย (ผู้รับจ้างทำวิจัย) ในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักรับรู้และเข้าใจแนวทางและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ ควรกำหนดแนวทางในการกำหนดหัวข้อการวิจัยและการจัดทำฐานข้อมูลการวิจัย ควรส่งเสริมการพัฒนานักวิจัยใน ๕ กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก และควรมีระบบตรวจสอบความซ้ำซ้อนในการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงพาณิชย์ อาทิ ในมาตรา ๓ ของร่างพระราชบัญญัติฯ เห็นควรพิจารณานิยามคำว่า "โครงการวิจัยและพัฒนา" เพิ่มเติมให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับลักษณะของ "การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม" สำหรับนิยามของ "ผู้รับทำการวิจัย" ควรใช้หลักเกณฑ์และแนวทางตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด นอกจากนี้ ตามมาตรา ๗ กำหนดว่า หากใช้สิทธิตามพระราชกฤษฎีกานี้แล้ว ห้ามไปใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลภายใต้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนเท่านั้น ซึ่งยังไม่ครอบคลุมถึงการยกเว้นไปใช้สิทธิซ้ำซ้อนภายใต้กฎหมายอื่น ควรปรับปรุงแก้ให้ครอบคลุม ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกำหนดหลักเกณฑ์ในการรับรองค่าใช้จ่าย เช่น รายการค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายเพื่อการวิจัยที่โปร่งใส ตรวจสอบได้และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อให้คณะกรรมการสานพลังประชารัฐของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมใช้เป็นหลักเกณฑ์กลางในการพิจารณาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ว่าจ้างทำวิจัยและกลุ่มผู้ว่าจ้างทำการวิจัยให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ๔. มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานความคืบหน้าและผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการตามกรอบแนวทางดังกล่าว เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศรับทราบเพื่อกำกับติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1688 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ 95 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๕ (95th Development Committee Meeting) และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ เมษายน ๒๕๖๐ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีประเด็นสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมร่วมของประเทศสมาชิกกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ [Joint Meeting of World Bank (WB)-International Monetary Fund (IMF) South East Asia Group] มีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบการดำเนินงานของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา ๒. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๕ (95th Development Committee Meeting) มีการหารือใน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) ความคืบหน้าการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ (๒๐๓๐ SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งกำหนดให้ธนาคารโลกปรับปรุงตนเองให้มีประสิทธิภาพและเข้มแข็ง มีเงินทุนเพียงพอรองรับความต้องการของสมาชิก (๒) รายงานความคืบหน้าการทบทวนการเพิ่มทุนของธนาคารโลก และ (๓) การสร้างธนาคารโลกที่ดีขึ้นโดยมุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน สร้างรายได้เพิ่มขึ้น และเพิ่มทุนของธนาคารโลกเพื่อรองรับความต้องการของประเทศสมาชิก ๓. การประชุมอื่น ๆ ได้แก่ (๑) การประชุมกับสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจนานาชาติ (๒) การหารือกับสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (US-ASEAN Business Council) และ (๓) การหารือกับบริษัท เจเนอรัล อิเล็กทริค (General Electric)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1689 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล และนายพชร อนันตศิลป์) | กค | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ๒. นายพชร อนันตศิลป์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1690 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้จัดตั้งกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ ควรพิจารณากำหนดที่มาของเงินรายได้จากแหล่งอื่นเพิ่มเติมจากการขอรับจัดสรรเงินงบประมาณเพียงแหล่งเดียว การดำเนินการของกองทุนควรต้องกำหนดรายละเอียด รูปแบบ วิธีการ กลุ่มเป้าหมาย ให้มีความชัดเจน และให้เห็นความแตกต่างจากการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานของรัฐอื่น/ทุนหมุนเวียนที่ดำเนินการอยู่แล้ว และในการพิจารณากำหนดโครงการความช่วยเหลือของคณะกรรมการบริหารกองทุนต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการ รวมทั้งให้กระทรวงการคลังกำหนดที่มาของเงินรายได้นอกเหนือจากการขอรับจัดสรรงบประมาณเพียงแหล่งเดียว เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐและทุนหมุนเวียนอื่น ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่รับผิดชอบ และจัดทำระบบการติดตามประเมินผลที่เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ โดยคำนึงถึงสัดส่วนของงบประจำและงบลงทุนที่เหมาะสม ความคุ้มค่า ความรับผิดชอบที่ชัดเจน ความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ การดำเนินงานของกองทุนต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาระบบภาษีในลักษณะ Negative Income Tax ที่เป็นระบบมาตรฐานสากล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งกองทุนขึ้นแล้ว การใช้จ่ายเงินกองทุนต้องยึดหลักความถูกต้อง รอบคอบ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1691 | รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | กค | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙-๒๘ เมษายน ๒๕๖๐ งบประมาณทั้งสิ้น ๒,๙๒๓,๐๐๐ ล้านบาท (รวมงบประมาณเพิ่มเติม) เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๖๖๒,๙๐๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๖.๘๙ ดังนี้
๑. มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบประมาณทั้งสิ้น ๒,๗๓๓,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๖๕๒,๓๖๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๔๖ เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๑๙๙,๗๐๗ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๑.๙๔ (เป้าหมายภาพรวม ร้อยละ ๕๘.๕๒) ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ จำนวน ๒,๑๘๔,๑๒๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๔๓๙,๕๒๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๕.๙๑ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๕๔๘,๘๗๒ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๓๔๗,๙๑๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๓.๓๙ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๑๒,๘๔๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๘.๗๘ ๒. มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กทั่วประเทศ ๒.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป กรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ รวมทั้งสิ้น ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท จัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๒๑,๗๑๑ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๐,๖๘๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๕.๒๕ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๙,๕๙๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๐.๒๔ ๒.๒ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รายการรายจ่ายลงทุนที่มีวงเงินไม่เกิน ๒ ล้านบาท จัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๓๒,๕๕๙ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๘,๒๖๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๘๐ ล้านบาท และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๔,๔๒๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๕.๐๓ ๓. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบประมาณทั้งสิ้น ๑๙๐,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๐,๕๔๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕.๕๕ ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ จำนวน ๑๐๖,๓๑๒ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๐,๕๑๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙.๘๙ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๘๓,๖๘๘ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๑๐,๒๒๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๒๒ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1692 | ขอความเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 02/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในวงเงินจำนวน ๓,๕๗๘.๗๗๖ ล้านบาท ๑.๒ กรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในวงเงินจำนวน ๒,๓๒๐.๑๐๗ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้บริการสาธารณะดังกล่าวควรคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้มีรายได้น้อยเป็นสำคัญ และการให้บริการที่มีมาตรฐาน รวมทั้งควรให้ความสำคัญในการควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มีการตรวจสอบและติดตามการใช้จ่ายให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามวัตถุประสงค์ และกรณีที่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายนอกใด ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อฐานะการเงิน อาทิ ราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง ให้รัฐวิสาหกิจเร่งเสนอขอปรับปรุงวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะภายในกรอบระยะเวลาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้วงเงินอุดหนุนครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นและเป็นไปตามหลักการของการชดเชยเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ รวมทั้งความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙-๓๐ เมษายน ๒๕๖๐) ที่ให้พิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางในภาพรวมทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๐ ที่มอบหมายให้ ขสมก. และ รฟท. จัดทำต้นทุนมาตรฐานเพื่อใช้ในการกำกับดูแลด้านอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการสำหรับการกำกับดูแลรถโดยสารประจำทางให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1693 | สัญญาความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตรา (Bilateral Swap Arrangement) ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังญี่ปุ่น | กค | 02/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการจัดทำความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตรา (Bilateral Swap Arrangement : BSA) ที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยจะลงนามกับกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกทางการเงินในการให้ความช่วยเหลือระหว่างกันในกรณีที่ประสบปัญหาดุลการชำระเงินหรือขาดสภาพคล่องในระยะสั้น และเป็นส่วนเสริมความช่วยเหลือด้านการเงินที่ได้รับจากความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMM) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ๒. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในจดหมายรับทราบข้อผูกพัน (Letter of Acknowledgement : LOA) เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือในแต่ละครั้ง ซึ่งรัฐบาลไทยขอยืนยันว่า (๑) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากและเป็นอิสระจากรัฐบาล (๒) รัฐบาลตระหนักถึงพันธกรณีที่ ธปท. มีภายใต้ความตกลงฉบับนี้ รวมถึงข้อกำหนดและเงื่อนไขของความตกลง BSA และ (๓) รัฐบาลจะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นและเหมาะสมเพื่ออำนวยความสะดวก (Facilitate) แก่ ธปท. ให้ปฏิบัติตามภาระผูกพันทางการเงินทั้งหมดภายใต้ความตกลง BSA ทั้งนี้ จดหมายฉบับนี้ไม่ถือเป็นการค้ำประกันภาระผูกพันของ ธปท. โดยรัฐบาลไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1694 | ร่างพิธีสารแก้ไขอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนไทย - บาห์เรน | กค | 25/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารแก้ไขอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มเติมข้อบทใหม่หลังข้อบทที่ ๒๖ (การเจรจาตกลงร่วมกัน) เป็นข้อบทที่ ๒๖ ก. การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศ (Exchange of Information) ซึ่งกำหนดให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐคู่สัญญาจะแลกเปลี่ยนข้อมูลที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้ โดยจะมีการลงนามพิธีสารฯ ในช่วงการเยือนราชอาณาจักรบาห์เรนของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการตามแบบพิธีทางการทูตและกฎหมายภายในเพื่อให้พิธีสารดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังส่งต้นฉบับของร่างพิธีสารฯ ที่ได้มีการลงนามแล้วมาเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงการต่างประเทศ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๕ (เรื่อง การทำความตกลงกับต่างประเทศ การทำอนุสัญญา และสนธิสัญญาต่าง ๆ) ด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1695 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 3 | กค | 25/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ Meeting : AFMM) ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Joint Meeting : AFMGM) ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๖-๗ เมษายน ๒๕๖๐ ณ เมืองเซบู สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม AFMM ครั้งที่ ๒๑ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าในความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น (๑) ระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window : ASW) ของประเทศไทยสามารถใช้งานได้ทั้งภายใต้สภาวะการทดสอบและการใช้งานจริง (๒) ประเทศสมาชิกได้รับรองแผนการดำเนินการด้านภาษีอากร ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๕ ครบทุกประเทศแล้ว และ (๓) ที่ประชุมสนับสนุนการทำงานของกองทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund : AIF) ในการร่วมมือกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ธนาคารโลก และหุ้นส่วนความร่วมมือต่าง ๆ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยได้ลงนามในพิธีสารฉบับที่ ๒ ว่าด้วยการกำหนดที่ทำการพรมแดน (Protocol 2 Designation of Frontier Points) ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการขนส่งสินค้าข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียนมีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ๒. การประชุม AFMGM ครั้งที่ ๓ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าในความร่วมมือด้านการเงินต่าง ๆ เช่น (๑) การดำเนินการตามแผนการรวมกลุ่มด้านการเงินของอาเซียน (๒) การพัฒนาตลาดทุนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและมีความเชื่อมโยงในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงการลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการริเริ่มพันธบัตรสีเขียว และ (๓) การเปิดเสรีการค้าบริการทางการเงินภายในอาเซียน ซึ่งสมาชิก ๔ ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศสิงคโปร์ และประเทศไทย ให้สัตยาบันพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าบริการของอาเซียน ฉบับที่ ๗ แล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ ๘ ซึ่งคาดว่าการลงนามจะมีขึ้นในการประชุม AFMGM ครั้งต่อไปในปี ๒๕๖๑ ที่ประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือถึงการพัฒนาศักยภาพและบทบาทของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) เพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตและให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกได้ทันท่วงทีด้วย ๓. สำนักเลขาธิการอาเซียน ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ADB และ AMRO ได้นำเสนอรายงานสภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยสรุปว่า เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนยังสามารถเติบโตได้ดี แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนจะกระชับความร่วมมือและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการลงทุนในภูมิภาคให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจภายในประเทศ การใช้จ่ายของภาคสาธารณะ และการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนในระยะต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1696 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน) | กค | 18/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน) มีสาระสำคัญเป็นการขยายเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับวิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลซึ่งมีเงินได้ปีละไม่เกิน ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท ออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๓ ปี ทั้งนี้สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรประเมินผลการดำเนินมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนซึ่งได้มีการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นระยะ ๆ รวมทั้งติดตามให้วิสาหกิจชุมชนซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีการจัดทำบัญชี รายงานแสดงรายได้และรายจ่ายประจำวันและยื่นแบบแสดงรายการภาษี เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสามารถในการจัดทำบัญชีและการวางแผนทางการเงินของวิสาหกิจชุมชน และเห็นควรประชาสัมพันธ์ให้วิสาหกิจชุมชนทราบและใช้ประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้วิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพมีการขยายกิจการและยกระดับขึ้นเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนในรูปนิติบุคคลเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังถือปฏิบัติและดำเนินการอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ในกรณีที่มีการขอขยายระยะเวลาของมาตรการต่าง ๆ ที่มีเงื่อนเวลาการใช้บังคับ ซึ่งต้องออกกฎหมายรองรับ โดยให้เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่เพียงพอต่อการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1697 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการบ้านประชารัฐและโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ | กค | 18/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐและโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ซึ่งผลการดำเนินโครงการฯ พบว่าทั้ง ๒ โครงการมียอดการอนุมัติสินเชื่อต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีข้อจำกัดในทางปฏิบัติ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและสภาพความเป็นจริง กระทรวงการคลังเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ ดังนี้ ๑.๑ โครงการบ้านประชารัฐ ๑.๑.๑ ขอยกเลิกการกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ จากที่กำหนดว่า “ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อน” เป็น “ปัจจุบันไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย” ๑.๑.๒ ขอแก้ไขเงื่อนไขของมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) กรณีการกู้เพื่อปลูกสร้างที่อยู่อาศัย วงเงินสินเชื่อไม่เกิน ๑.๕ ล้านบาทต่อหน่วย จากที่กำหนดให้รวมราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างด้วย เป็น ไม่ต้องนำราคาประเมินที่ดินมารวมพิจารณาด้วย ๑.๒ โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ๑.๒.๑ โครงการเช่าระยะสั้น (Rental) ขอแก้ไข จาก “เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อนและมีรายได้ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน ในวันที่ยื่นจองสิทธิ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน ในวันที่ยื่นจองสิทธิ” ๑.๒.๒ โครงการเช่าระยะยาว (Leasehold) จาก “เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อน” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ปัจจุบันไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย” ๒. ให้กระทรวงการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่เข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐและโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐเร่งประชาสัมพันธ์โครงการให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขใหม่ที่ผ่อนปรนขึ้นเพื่อดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมโครงการมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1698 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ปี 2559 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ | กค | 18/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี ๒๕๕๙ ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ศูนย์ข้อมูลฯ สามารถดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย โดยรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และนำข้อมูลเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ รวมทั้งมีการให้ความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๕๙ ได้มีการจัดทำวารสารศูนย์ข้อมูล โดยปรับรูปแบบนำเสนอข้อมูลผ่าน Infographics รวมทั้งได้แทรกรหัส QR Code เพื่อเชื่อมกับฐานข้อมูลบน www.reic.or.th การจัดหลักสูตรประกาศนียบัตร ๑ ครั้ง การจัดทำข้อมูลทรัพย์มือสองกรมบังคับคดี และจัดทำพิกัดที่ตั้งที่อยู่อาศัยมือสอง เผยแพร่บน www.clickthaihome.com ๒. สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๕๙ ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยอยู่ในสภาวะหดตัว เนื่องจากมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งประกาศใตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘-๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ สิ้นสุดลง นอกจากนี้ การสิ้นสุดของมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมดังกล่าวยังส่งผลให้ผู้ประกอบการมีค่าความเชื่อมั่นลดลงทั้งในด้านผลประกอบการ กาลงทุน การจ้างงาน ต้นทุนการประกอบการและการเปิดโครงการใหม่ ดังนี้น ดัชนีความคาดหวังในอีก ๖ เดือนข้างหน้า ประจำไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๙ มีค่าเท่ากับ ๕๙.๖ ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่แล้วซึ่งมีค่าเท่ากับ ๖๔.๗ โดยยังสูงกว่าค่ากลางที่ร้อยละ ๕๐ เนื่องจากผู้ประกอบการมีความคาดหวังในเชิงลบจากต้นทุนการประกอบการในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1699 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2559) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 11/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๙) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วยเนื้อหา ๒ ส่วน ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๙ ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง เป็นผลจากปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ เช่น การใช้จ่ายลงทุนของภาครัฐที่ยังคงขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการด้านคมนาคม และการฟื้นตัวของภาคการส่งออกสินค้า รวมทั้งเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศ และอัตราการว่างงานทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ ด้านนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงินประเมินว่า นโยบายการเงินในช่วงครึ่งปีหลังของปี ๒๕๕๙ อยู่ในระดับที่ผ่อนปรนเพียงพอและเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ ๒.๒ ด้านนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเข้ารับการประเมินภาคการเงินตามโครงการ Financial Sector Assessment Program (FSAP) และได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ให้รัดกุมและสะท้อนความเสี่ยงได้ดีขึ้น รวมทั้งได้เข้าร่วมการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินรอบที่ ๘ ภายใต้กรอบอาเซียน และอยู่ระหว่างการเจรจาทวิภาคีเพื่อจัดตั้ง Qualified ASEAN Banks กับมาเลเซียและอินโดนีเซีย ๒.๓ ด้านนโยบายระบบการชำระเงิน ธปท. ได้ผลักดันการดำเนินงานภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) โดยรับผิดชอบ ๒ โครงการ คือ โครงการระบบพร้อมเพย์ และโครงการขยายการใช้บัตร และร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติในการยกระดับความปลอดภัยของบริการชำระเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Banking) นอกจากนี้ ได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. .... (Payment Systems Act B.E. ….) โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติรับหลักการวาระแรกร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1700 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางสาวพรวิลัย เดชอมรชัย) | กค | 11/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวพรวิลัย เดชอมรชัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
.....