ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 89 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1761 - 1780 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1761 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง [ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | กค | 04/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง [ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่า การนำส่งหรือนำเงินตรา เงินตราต่างประเทศและตราสารเปลี่ยนมือออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศผ่านระบบไปรษณีย์นั้น มีมาตรการทางกฎหมายอยู่แล้วในปัจจุบัน และกรมศุลกากรสามารถดำเนินการตามกฎหมายได้โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายใดอีก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1762 | ผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาผลกระทบมาตรการผ่านแดน - ถ่ายลำของประเทศต่อการจัดเก็บภาษีสินค้า ของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจการเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | กค | 27/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาผลกระทบมาตรการผ่านแดน-ถ่ายลำของประเทศต่อการจัดเก็บภาษีสินค้า ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เรียบร้อยแล้ว สรุปผลการดำเนินการออกได้เป็น ๓ ระยะ คือ (๑) ระยะสั้น (๒) ระยะกลาง และ (๓) ระยะยาว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1763 | การให้สัตยาบันพิธีสาร 7 ระบบศุลกากรผ่านแดน และภาคผนวกทางเทคนิค: กฎเกณฑ์และพิธีการว่าด้วยศุลกากรผ่านแดนอาเซียนภายใต้ กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าผ่านแดน | กค | 27/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการให้สัตยาบันพิธีสาร ๗ ระบบศุลกากรผ่านแดน และภาคผนวกทางเทคนิค : กฎเกณฑ์และพิธีการ ว่าด้วยศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าผ่านแดน และร่างเอกสาร (statement) ว่าด้วยเรื่องคุณสมบัติของผู้ค้ำประกันผ่านแดน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งพิธีสารและร่างเอกสาร (statement) ดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสารและดำเนินการส่งมอบแก่เลขาธิการอาเซียนต่อไป หลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบพิธีสารและร่างเอกสาร (statement) ในเรื่องนี้แล้ว ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการระบุรายการสินค้าในบัญชีแนบท้ายพิธีสารซึ่งเป็นขอบเขตที่ค่อนข้างกว้างในการให้อำนาจประเทศสมาชิกในการพิจารณาให้สินค้าใด/ไม่ให้สินค้าใด ผ่านแดนอาณาเขตของตน ภายใต้พิธีการศุลกากรผ่านแดนอาเซียน โดยเฉพาะเรื่องนโยบายสาธารณะ ซึ่งไม่ได้เป็นข้อยกเว้นไว้ภายใต้ความตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) ดังนั้น การอ้างการห้ามหรือจำกัดในเรื่องนโยบายสาธารณะ นั้น อาเซียนอาจต้องพิจารณาความสอดคล้องกับพันธกรณีภายใต้ WTO ด้วย และเห็นควรให้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมวางแผนและมาตรการในการป้องกันปัญหาการลักลอบค้าและขนส่งพืชป่าและสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ปัญหาขยะและมลพิษสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1764 | ขอขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนกิจการเงินร่วมลงทุนและส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่ [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ] | กค | 27/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การขยายระยะเวลาการจดแจ้งการเป็นกิจการเงินร่วมลงทุนและทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เพื่อสนับสนุนกิจการเงินร่วมลงทุนตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๙๗) พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๒ ปี โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ๑.๒ การขยายระยะเวลาการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๖๐๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนกิจการเงินร่วมลงทุน (Venture Capital)] และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่ (SMEs/New Startup)] รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. การเสนอขอขยายระยะเวลาของมาตรการต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขระยะเวลาการบังคับใช้ซึ่งต้องออกกฎหมายรองรับ ให้กระทรวงการคลังเร่งเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน ก่อนมาตรการจะสิ้นสุดลงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1765 | ขอขยายระยะเวลาการตรวจสอบคุณสมบัติและการโอนเงินตามมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 27/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีรายได้น้อยทั้งที่เป็นเกษตรกรและไม่ใช่เกษ๖รกรในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๐ ๒. ให้ขยายระยะเวลาการโอนเงินสำหรับมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรกรในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ จากเดิม สิ้นสุดวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ เป็น วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และกำหนดระยะเวลาในการโอนเงินสำหรับมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่ได้ร่วมโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการฯ ดังกล่าว ด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันประเมินผลการดำเนินมาตรการฯ ดังกล่าว โดยวิเคราะห์ถึงปัญหาและอุปสรรค และใช้ฐานข้อมูลเดียวกันในการดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ ของรัฐบาล ตลอดจนความเป็นไปได้ถึงแนวทางในการพัฒนาระบบการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Negative Income Tax) นอกจากนี้ เห็นควรให้มีการตรวจสอบความซ้ำซ้อนของการจ่ายให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และตรวจสอบการคำนวณดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นให้ถูกต้อง รวมทั้งจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ตอบแทนที่อาจจะเกิดขึ้นจากวงเงินงบประมาณที่ธนาคารได้รับก่อนการจ่ายให้แก่ผู้มีรายได้น้อย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1766 | การขอขยายระยะเวลามาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กทั่วประเทศ | กค | 27/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการตามมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กทั่วประเทศที่ได้มีการก่อหนี้ผูกพันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ โดยให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ในส่วนของรายการงบลงทุนที่ยังไม่ได้ก่อหนี้ผูกพัน และเห็นว่าเป็นรายการที่มีความจำเป็นจะต้องดำเนินการต่อ ให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการเสนอรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับและหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยจะต้องดำเนินการก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ แต่หากเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการต่อหรือดำเนินการไม่ทันภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ ก็ให้ส่งงบประมาณคืนสำนักงบประมาณโดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1767 | เป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2560 | กค | 20/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี ๒๕๖๐ พร้อมข้อตกลงระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการกำหนดเป้าหมายนโยบายการเงิน ประจำปี ๒๕๖๐ และเป้าหมายนโยบายการเงินระยะปานกลางที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ กนง. ได้เห็นชอบร่วมกัน ซึ่งกำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีที่ร้อยละ ๒.๕ +- ๑.๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารต่อสาธารณชนให้มากขึ้นเพื่อยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ โดยเฉพาะในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อเคลื่อนไหวในระดับที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยด้านต้นทุน (Cost Push) ซึ่งทำให้เกิดข้อจำกัดทางด้านประสิทธิผลของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ อาจมีการพิจารณาเลือกใช้เครื่องมือดำเนินนโยบายการเงินอื่น ๆ ประกอบด้วย สำหรับในปี ๒๕๖๐ นั้น อัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นตามราคาสินค้าในตลาดโลก ในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และอัตราดอกเบี้ยในประเทศสำคัญต่าง ๆ เริ่มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจพิจารณาดำเนินนโยบายการเงินให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมทั้งดูแลเสถียรภาพในภาคเศรษฐกิจสำคัญ โดยพิจารณาใช้มาตรการ Macro-prudential ควบคู่ไปด้วย เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1768 | บริการทางการเงินและมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนของธนาคารออมสิน | กค | 20/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการดำเนินการและเห็นชอบมาตรการ ของธนาคารออมสิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการดำเนินมาตรการเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ประกอบด้วย เงินฝากประชารัฐเพื่อผู้สูงวัย สินเชื่อที่อยู่อาศัยแบบ Reverse Mortgage สินเชื่อเคหะลูกกตัญญู สินเชื่อประชารัฐเพื่อผู้สูงวัย และมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ประกอบด้วย สินเชื่อโครงการประชารัฐเพื่อประชาชน และมาตรการประชารัฐแก้ไขหนี้ประชาชน ๑.๒ เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนทั่วไป (โครงการลดดอกเบี้ยให้ประชาชนรายย่อย) มีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระการผ่อนชำระของลูกหนี้ ทั้งลูกหนี้ที่มีประวัติการชำระหนี้ดี ลูกหนี้ค้างชำระและที่ตัดหนี้สูญไปแล้ว เพื่อให้กลับเข้าใช้บริการของธนาคารออมสินได้ในโอกาสต่อไป ๒. สำหรับการแยกบัญชีโครงการลดดอกเบี้ยให้ประชาชนรายย่อยเป็นโครงการของรัฐบาลตามนโยบายรัฐบาล (Public Service Account : PSA) และนำดอกเบี้ยที่คืนหรือลดให้ลูกหนี้ของธนาคารตามโครงการมาบวกกลับกำไรที่ใช้ในการคำนวณโบนัสให้พนักงาน นั้น ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1769 | ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 13/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติในการกำกับดูแลตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิต ผู้ประเมินวินาศภัย ตัวแทนประกันวินาศภัย และนายหน้าประกันวินาศภัย ให้สอดคล้องกับสภาวการณ์และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำกับการทำธุรกิจประกันภัยผ่านเทคโนโลยี ตลอดจนเพิ่มเติมบทบัญญัติเพื่อคุ้มครองประชาชนจากการฉ้อฉลประกันภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาเพิ่มบทบัญญัติการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งถูกบังคับให้ทำประกันชีวิตและประกันวินาศภัยในรูปแบบต่าง ๆ และให้รับข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการกำหนดอัตราส่วนระหว่างโทษปรับกับโทษจำคุกไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับขั้นตอนการเสนอคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเพื่อพิจารณาออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ภายใต้พระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ควรให้ความสำคัญกับความชัดเจนของแนวทางปฏิบัติและความเข้มงวดในการบังคับใช้ โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภคและการอำนวยความสะดวกและความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจประกอบกัน รวมทั้งควรสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชน ตัวแทนประกันภัย และนายหน้าประกันภัยอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดจากความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1770 | ร่างพระราชบัญญัติการยาสูบแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | กค | 13/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการยาสูบแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้โรงงานยาสูบมีสถานะเป็นนิติบุคคล โดยเปลี่ยนชื่อเป็นการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) กำหนดให้มีคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย กำหนดให้มีผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย กำหนดที่ตั้งสำนักงาน อำนาจหน้าที่ ทุน รายได้ การเงินการบัญชี การตรวจสอบ การกำกับดูแล การร้องทุกข์ การสงเคราะห์ และบทเฉพาะกาล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับบทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ควรคำนึงถึงมาตรการที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ด้วย และควรพิจารณารายละเอียดข้อกฎหมายในบางมาตราให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น อาทิ มาตรา ๓๘ (๑) ที่กำหนดให้การลงทุนเพื่อขยายกิจการที่มีมูลค่าเกินห้าร้อยล้านบาท การยาสูบแห่งประเทศไทยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน โดยอาจพิจารณาปรับข้อความในส่วนของการลงทุนเพื่อขยายกิจการให้หมายความถึงการลงทุนที่เข้าข่ายเป็นโครงการลงทุน ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินการได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1771 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2559) | กค | 13/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ๒๕๕๙) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ ให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในระหว่างวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดให้มีการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนและประชาชนได้ทราบถึงสาระสำคัญ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ตลอดจนประโยชน์ที่จะได้รับจากมาตรการดังกล่าวโดยเร็ว รวมทั้งประเมินผลสัมฤทธิ์ของมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาระการคลังที่เกิดขึ้นจริงเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และเพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดมาตรการในระยะต่อไป นอกจากนี้ การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ในประเทศควรดำเนินการควบคู่ไปกับการเร่งรัดการฟื้นตัวของภาคการส่งออก เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องหลังจากมาตรการดังกล่าวสิ้นสุดลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1772 | ขอความเห็นชอบในการสมทบเงินให้แก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศตามโครงการ 2016 Borrowing Agreement | กค | 13/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าร่วมสมทบเงินให้แก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ตามโครงการ 2016 Borrowing Agreement โดยเพิ่มวงเงินจาก ๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๔,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ในกรณีที่มีความจำเป็นจะต้องนำเงินสำรองระหว่างประเทศไปใช้ในการจ่ายเงินสมทบให้แก่โครงการดังกล่าว ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบ และดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินสำรองระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1773 | โครงการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร บนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 3275 เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร | กค | 13/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร บนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. ๓๒๗๕ โฉนดเลขที่ ๓๓๔๖ แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้ปรัชญาแห่ง “ศาสตร์พระราชา” และความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโครงการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานครตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมถึงระมัดระวังไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ด้วย ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า เพื่อความรอบคอบและประสิทธิภาพของการใช้ที่ราชพัสดุซึ่งเป็นทรัพย์สินของรัฐในการดำเนินโครงการ เห็นควรปฏิบัติตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจกรณีการร่วมลงทุนกับเอกชนในโครงการซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ที่ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ และเห็นควรศึกษาวิเคราะห์โครงการและจัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานที่แสดงแหล่งทุนที่เหมาะสม แผนการจัดหาและบริหารรายได้ที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1774 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 เรื่อง มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 13/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เห็นชอบมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำรองจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปก่อน โดยรัฐบาลจะชำระคืนเงินต้นและต้นทุนเงินให้กับธนาคารดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ นั้น เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ่ายดอกเบี้ยคืนแก่ธนาคารที่ได้สำรองค่าใช้จ่ายไปก่อน ประกอบกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๘ มีผลใช้บังคับแล้ว จึงเห็นควรทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวในส่วนของแหล่งเงินสำหรับการชำระคืนเงินต้น และต้นทุนเงินให้กับธนาคารผู้เข้าร่วมโครงการ โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น แทนการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบการใช้จ่ายงบกลางสำหรับรายการดังกล่าวแล้ว ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวได้ดำเนินการสอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นด้วยแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1775 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF1 และ FIDF3 | กค | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF1 และ FIDF3 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (บัญชีสะสมฯ) ในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เป็นจำนวน ๑๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ ๑.๒ หากในระหว่างปีงบประมาณ ๒๕๖๐ กองทุนฯ มีสภาพคล่องคงเหลือเพิ่มเติมจากที่ประมาณการไว้และไม่จำเป็นต้องสำรองไว้ ให้กองทุนฯ โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมได้และให้กองทุนฯ รายงานรายการดังต่อไปนี้ ให้คณะรัฐมนตรีทราบในการขออนุมัติโอนเงินของกองทุนฯ เข้าบัญชีสะสมฯ สำหรับปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ๑.๒.๑ ยอดรวมการโอนเงินของกองทุนฯ เข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมในระหว่างปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ๑.๒.๒ ยอดการชำระต้นเงินกู้และดอกเบี้ยของ FIDF1 และ FIDF3 ในระหว่างปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ๑.๒.๓ ยอดรวมการชำระต้นเงินกู้และดอกเบี้ยของ FIDF1 และ FIDF3 ๒. ให้โอนเงินของกองทุนฯ เข้าบัญชีสะสมฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ไม่น้อยกว่าจำนวนที่ได้ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้กระทรวงการคลังรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1776 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งรวบรวมงบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ทุนหมุนเวียนรัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๘,๒๘๑ หน่วยงาน จาก ๘,๔๑๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๔๔ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในการจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ โดย ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งบันทึกและส่งข้อมูลงบการเงินภายในระยะเวลาที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กำหนด โดยรัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความสำคัญ ควบคุม กำกับดูแล หน่วยงานภายใต้สังกัดส่งรายงานการเงินของหน่วยงานภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่สามารถส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลังได้ตามกำหนด หน่วยงานต้องรายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรคต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดให้การบันทึกและส่งข้อมูลรายงานการเงินประจำปีเป็นเกณฑ์การประเมินของผู้บริหารระดับหน่วยงาน และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลรายงานการเงินของแต่ละหน่วยงานที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ไว้ในระบบรายงานการเงินรวมภาครัฐ (ระบบ CFS) ๑.๒.๒ ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรายงานการเงินของหน่วยงานภาครัฐทุกแห่งเป็นประจำทุกปี และกำหนดระยะเวลาการตรวจสอบให้ชัดเจน เพื่อให้การจัดทำและนำเสนอรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความถูกต้อง ผู้บริหารสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๓ ให้มีมาตรการส่งเสริมให้องค์การมหาชนและหน่วยงานอิสระที่มีสภาพคล่องส่วนเกินจำนวนมาก นำเงินสดส่วนเกินที่ฝากธนาคารพาณิชย์มาฝากกระทรวงการคลัง เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารฐานะการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นการแบ่งเบาภาระทางการคลังของประเทศ ๑.๒.๔ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาจัดทำงบประมาณรายจ่ายให้สอดคล้องกับรายได้ที่ได้รับจัดสรร เพื่อให้มีการนำเงินสะสมที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาหรือดำเนินงานบริการสาธารณะในพื้นที่ที่รับผิดชอบ และเพิ่มการใช้จ่ายด้านการลงทุนสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานหรือรายจ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพในชุมชน รวมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ่าย โดยเร่งดำเนินงานตามแผนงานโครงการที่ได้รับอนุมัติและจัดสรรเงินงบประมาณแล้ว ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1777 | ร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีอาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลเพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจต้องปฏิบัติ และปรับปรุงบทกำหนดโทษตามมาตรา ๑๒๕ ให้สอดคล้องกับฐานความผิดตามมาตรา ๔๐ รวมทั้งกำหนดความผิดตามมาตรา ๑๒๐/๖ ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยที่อาจจะกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมในอนาคตเพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจปฏิบัติตามนั้น ต้องไม่ขัดกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งของสถาบันการเงินเฉพาะนั้น ๆ และควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่อาจแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไป และการดำเนินนโยบายมาตรการของรัฐผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจควรมีความเห็นจากธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลประกอบการพิจารณาด้วย รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์เรื่องการดำรงเงินกองทุนและสินทรัพย์ตลอดจนการบริหารสินทรัพย์และดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องนั้น ควรพิจารณากำหนดให้มีความสอดคล้องกับภารกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละรายเพื่อมิให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการเป็นกลไกการดำเนินนโยบายของภาครัฐได้ นอกจากนี้ หลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลด้านความมั่นคงของสถาบันการเงินเฉพาะกิจควรจะมีความสมดุลเพียงพอที่จะไม่ส่งผลให้เป็นข้อจำกัดในการดำเนินการตามแนวนโยบายของ รัฐ และกระทรวงการคลังควรเร่งรัดการเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสหกรณ์ มีมาตรฐานในการกำกับดูแลที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งจะทำให้ระบบการเงินของประเทศมีความมั่นคง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1778 | ร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกลไกในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบภาวะวิกฤตทางการเงินอันอาจจะกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงิน และเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินตามแผน แนวทาง และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีการกำหนดให้รัฐบาลอาจชดเชยภาระของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการให้ความช่วยเหลือแก่สถาบันการเงินทั้งหมดหรือบางส่วน อาจส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณที่จะต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีชดใช้ จึงเห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและวงเงินที่มีการเรียกเก็บจากสถาบันการเงินในระบบให้เหมาะสมและเพียงพอเป็นลำดับแรก เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อภาระงบประมาณในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าการแก้ไขฟื้นฟูสถาบันการเงินควรยึดหลักการถ่วงดุลอำนาจโดยให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูฯ แยกเป็นอิสระจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแล ประกอบกับการช่วยเหลือสถาบันการเงินเมื่อประสบภาวะวิกฤติอาจก่อให้เกิดปัญหาภาวะภัยทางศีลธรรม (Moral Hazard) ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว การพิจารณาให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาจึงควรยึดหลักการป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหาและดำเนินการเท่าที่เหมาะสมจำเป็น และเห็นควรให้มีการดำเนินการตามมาตรา ๔๒ ของพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ ก่อน หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หรือพิจารณาแล้วไม่ใช่ปัญหาด้านสภาพคล่อง จึงจะดำเนินการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูฯ ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังในครั้งนี้ และให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ควรมีการกำกับดูแลสถาบันการเงินทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้สถาบันการเงินประสบภาวะวิกฤติทางการเงินอันอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมต่อประเด็นข้อสังเกตของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นชอบให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โดยส่งร่างให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตรวจพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป โดยให้รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคำชี้แจงเพิ่มเติมของธนาคารแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงในรายละเอียดให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ต่อไป ทั้งนี้ ให้กำชับให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมความพร้อมในการสร้างการรับรู้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและลดประเด็นข้อคัดค้านที่อาจเกิดขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1779 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) | กค | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้รับสัมปทานสามารถนำมูลค่าหลักประกันการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือวัสดุอื่นใดตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียมได้ และกำหนดหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ รวมทั้งวิธีการและระยะเวลาการขอคืนภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการกำหนดให้ใช้สกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่สกุลเงินไทยในการคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานไปประกอบการพิจารณาด้วยว่า หากกำหนดให้มูลค่าหลักประกันการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือวัสดุอื่นใดตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมให้สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้ปิโตรเลียมนั้น ยังไม่ครอบคลุมถึงกิจกรรมการรื้อถอนในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียซึ่งอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๕) จึงเห็นควรเร่งรัดให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำข้อมูลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการจัดเก็บรายได้ภาครัฐประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่อให้เกิดความรัดกุม และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1780 | รายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศภายใต้ ECP Programme จำนวน ๖ ครั้ง มีวงเงินรวม ๑๕๐.๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามสัญญาให้กู้ยืมเงินต่อบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และดำเนินการกู้เงินภายใต้ ECP Programme วงเงิน ๑๒,๓๔๔,๐๙๒,๗๐๔.๐๐ เยน (หรือเทียบเท่า ๑๑๘.๐๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้ต่อเป็น Bridge Financing ให้แก่โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต โดยกระทรวงการคลังมียอดเงินกู้คงค้างภายใต้ ECP Programme ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๒๖๘.๐๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
.....