ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 87 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1721 - 1740 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1721 | การปรับปรุงค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่างๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณากำหนดค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทน ควรพิจารณาค่างานของแต่ละตำแหน่งซึ่งครอบคลุมผลประโยชน์ตอบแทนทั้งหมดที่ลูกจ้างได้รับ และหลักเกณฑ์การพิจารณาสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่าง ๆ ควรให้แก่พนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจเท่านั้น อีกทั้งควรพิจารณาเฉพาะสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐาน โดยยกเว้นสิทธิประโยชน์พิเศษเพื่อมิให้เป็นภาระแก่รัฐวิสาหกิจ และเพื่อให้สอดคล้องกับการให้สิทธิประโยชน์ของหน่วยงานรัฐประเภทอื่น ๆ ส่วนสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลที่เสนอให้ตัดสิทธิบุคคลในครอบครัว ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างตามกฎหมายแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ทำให้เกิดผลกระทบต่อพนักงานรัฐวิสาหกิจที่ปฏิบัติงานเป็นจำนวนมาก จึงควรเริ่มใช้สวัสดิการดังกล่าวกับพนักงานใหม่ และการพิจารณาสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานควรอยู่ภายใต้บรรทัดฐานที่เป็นธรรมและเหมาะสม โดยเฉพาะสิทธิ์เดิมของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยได้รับ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งระบบให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ และวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ) และวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การปรับปรุงค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม) และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนหลักการของกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกลไกการใช้อำนาจในการกำหนดค่าตอบแทน โบนัส และสวัสดิการของพนักงาน ผู้บริหาร และกรรมการ เพื่อให้มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่เหมาะสม และเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว เช่น ร่างพระราชบัญญัติบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ เป็นต้น ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๔. ในส่วนของเรื่องขอความเห็นชอบการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงสุดของระดับหรือตำแหน่ง และเรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับปรุงการจ่ายโบนัสพนักงานการไฟฟ้านครหลวง ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ส่งให้กระทรวงการคลังแล้ว นั้น ให้กระทรวงการคลังส่งเรื่องดังกล่าวคืนหน่วยงานเจ้าของเรื่องเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางและหลักเกณฑ์ตามที่กระทรวงการคลังได้เสนอในครั้งนี้ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1722 | การดำเนินการเพื่อบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย 12 | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบยอดเงินบริจาคเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย ๑๒ (Asian Development Fund 12 : ADF 12) ของประเทศไทยที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เป็นจำนวน ๙๑,๙๑๐,๐๐๐ บาท (ลดลงจากยอดเดิม ๑,๓๐๒ บาท) ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามใน Instrument of Contribution (IOC) เพื่อยืนยันการบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุน ADF 12 และออกตั๋วสัญญาใช้เงินคลังประเภทจ่ายเงินเมื่อทวงถามและไม่มีดอกเบี้ย จำนวน ๔ ฉบับ ประกอบด้วย ฉบับที่ ๑ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ฉบับที่ ๒ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ฉบับที่ ๓ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ และฉบับที่ ๔ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ สำหรับการบริจาคเงินเพิ่มทุนของไทยในกองทุน ADF 12
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1723 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เห็นชอบและอนุมัติในหลักการโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ นั้น ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการโครงการดังกล่าวให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าหนี้และลูกหนี้นอกระบบให้ถูกต้องและทั่วถึง รวมทั้งให้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นระยะ ๆ ด้วย ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ รับทราบโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ ซึ่งมีกำหนดให้ประชาชนผู้สมัครใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าวสามารถลงทะเบียนเพิ่มเติมได้ในระหว่างวันที่ ๓ เมษายน-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงการคลังประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการดังกล่าวให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงด้วย นั้น ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์มาตรการหรือโครงการอื่น ๆ ของรัฐที่เป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยควบคู่ไปพร้อมกันด้วย เช่น กองทุนการออมแห่งชาติ มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย โครงการบ้านประชารัฐ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1724 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อจูงใจผู้มีความสามารถสูง ระดับโลกให้มาทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) | กค | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อจูงใจผู้มีความสามารถสูงระดับโลกให้มาทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) มีสาระสำคัญเป็นการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยซึ่งทำงานในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการที่อยู่ใน ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร จากอัตราก้าวหน้า (Progressive Rate) เป็นร้อยละของเงินได้สุทธิ (เงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) ตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เหลืออัตราร้อยละ ๑๗ ของเงินได้พึงประเมิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การกำหนดหลักเกณฑ์ที่มุ่งเน้นกลุ่มผู้มีความสามารถสูงที่ยังไม่มีในประเทศไทย ควรมีการพิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology) ต่อสถานการณ์ เงื่อนไข ตลอดจนสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่มีอยู่ของประเทศไทย และไม่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับชาวไทยและชาวต่างชาติที่ปัจจุบันทำงานอยู่ในประเทศไทยด้วย และการกำหนดคุณสมบัติที่ชัดเจนของผู้มีความสามารถสูงระดับโลกทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจะมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้บรรลุผลตามเจตนารมณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1725 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2560 ครั้งที่ 1 | กค | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๑๘๕,๐๗๖.๓๖ ล้านบาท จากเดิม ๑,๔๑๔,๓๖๖.๑๒ ล้านบาท เป็น ๑,๕๙๙,๔๔๒.๔๘ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๓,๗๖๑.๖๒ ล้านบาท จากเดิม ๑๔๖,๓๘๐.๑๒ ล้านบาท เป็น ๑๕๐,๑๔๑.๗๔ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนฯ ดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๖ มอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการระบายยางคงค้างที่ชัดเจน พร้อมทั้งรายงานผลการระบายยางของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพยาง และโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพยาง ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะทราบเป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ หากการยางแห่งประเทศไทยมีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต ขอให้การยางแห่งประเทศไทยพิจารณาดำเนินการให้ทันตามกำหนดเวลาก่อนที่หนี้จะครบกำหนดชำระด้วย ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของวงเงินกู้ ทั้งในส่วนของการดำเนินการตามแผนงานปกติและการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ใช้จ่ายจากงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ กำกับติดตามการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำกับติดตามและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งติดตามและผลักดันให้การใช้จ่ายของภาครัฐเป็นไปตามแผนงานและมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อลดภาระรายจ่ายดอกเบี้ยในการบริหารหนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้ยืมเพื่อเตรียมการลงทุน รวมถึงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนของภาครัฐและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้การยางแห่งประเทศไทยเร่งบริหารจัดการระบายยางพาราคงค้างของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพยางและโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพยางออกสู่ตลาด และรายงานผลการระบายยางของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพยางและโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพยางให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะทราบเป็นระยะ ๆ และหากการยางแห่งประเทศไทยมีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต ให้การยางแห่งประเทศไทยเร่งรัดการดำเนินการให้ทันตามกำหนดเวลาก่อนที่หนี้จะครบกำหนดชำระด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1726 | การดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 2/2560 (แนวทางการปรับระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ทั้งในส่วนของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และรายงานความคืบหน้าในการศึกษาความเป็นไปได้ในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอายุความ) | กค | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ได้ประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้วเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ โดยจะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจะกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งนำไปใช้เป็นหลักปฏิบัติ รวมทั้งกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้เกิดความโปร่งใส อันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน ดังนั้น ในระหว่างรอการบังคับใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว เห็นควรให้กรมบัญชีกลางดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการตามพระราชบัญญัติข้างต้นเกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ดำเนินการซักซ้อมความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง รวมทั้งสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับพระราชบัญญัติฉบับนี้ ซึ่งจะทำให้การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐมีความโปร่งใสและรัดกุมมากขึ้น และให้เตรียมความพร้อมทั้งด้านบุคลากรและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนดูแลการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้มีประสิทธิภาพ ๓. เห็นชอบแนวทางการปรับระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทั้งในส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับ (๑) กรณีปัญหาการกำหนดขอบเขตของงาน (TOR) ไม่ชัดเจน กำหนดคุณลักษณะเป็นการล็อคสเปค และกำหนดราคาสูงเกินความเป็นจริง (๒) กรณีปัญหาการสมยอมราคาในการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (การฮั้วประมูล) (๓) กรณีปัญหาการจัดซื้อผ่านคนกลาง (Agent) (๔) แนวทางการกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ (๕) แนวทางการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง และ (๖) ให้หน่วยงานของรัฐกำหนดแนวทางปฏิบัติตนของเจ้าหน้าที่ให้สอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๓ ลงวันที่ ๓๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๔ เพื่อกำกับไม่ให้ข้าราชการและพนักงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐรับทรัพย์สิน สิ่งของ หรือประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าเกินกว่า ๓,๐๐๐ บาท โดยเคร่งครัด ๔. ให้กระทรวงการคลังกำหนดแนวทางในการปฏิบัติเพิ่มเติมเพื่อกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจให้มีขั้นตอนที่ชัดเจน รวมถึงการแต่งตั้งกรรมการของบริษัทในเครือ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๕. รับทราบรายงานความคืบหน้าในการศึกษาความเป็นไปได้ในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอายุความไว้ชั้นหนึ่งก่อน ตามที่ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1727 | การให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ได้รับผลกระทบในที่ดินราชพัสดุที่ได้มาตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 17/2558 ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก | กค | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติการให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ได้รับผลกระทบในที่ดินราชพัสดุที่ได้มาตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๗/๒๕๕๘ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๐๐,๔๘๑,๔๕๘ บาท ให้กับกรมธนารักษ์เพื่อสมทบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ตามเอกสารกันเงินเลขที่ ๓๐๐๙๗๓๓๙ และ ๓๐๐๙๗๓๔๐ จำนวน ๓๗,๘๒๗,๕๐๗ บาท รวมทั้งสิ้น ๔๓๘,๓๐๘,๙๖๕ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากสำหรับค่าขนย้าย (ที่ดิน) สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ ไม้ผล พืช (อาสิน) โดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น และให้กรมธนารักษ์ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขเยียวยาความเดือดร้อนในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามภาระการจ่ายเงินช่วยเหลือราษฎรที่เกิดขึ้นจริงตามเกณฑ์มาตรฐานของทางราชการ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการจ่ายค่าขนย้าย (ที่ดิน) สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ ไม้ผล พืช (อาสิน) แก่ราษฎร ควรมีการตรวจสอบยืนยันตัวบุคคลให้ตรงกับราษฎรผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งจังหวัดตากควรสร้างความเข้าใจกับราษฎรส่วนที่เหลือที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1728 | รายงานผลโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2559 และโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 | กค | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานผลโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๕๙ มีจำนวนผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น ๘,๓๗๕,๓๘๓ คน เป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินโอน ๗,๗๑๕,๓๕๙ คน และผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินโอน ๖๖๐,๐๒๔ คน ซึ่งผู้ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๕๙ ได้รับสวัสดิการช่วยเหลือจากภาครัฐ รวม ๒ มาตรการ คือ (๑) มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย โดยโอนเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่เป็นเกษตรกรรายละ ๓,๐๐๐ บาท และ (๒) มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรกร โดยโอนเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรกร รายละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ จากผลการสำรวจวัตถุประสงค์ของการนำเงินสวัสดิการไปใช้ พบว่า อันดับ ๑ ต้องการนำเงินไปใช้จ่ายซื้อของอุปโภคบริโภคที่จำเป็น อันดับ ๒ ต้องการนำเงินไปชำระหนี้สิน และอันดับ ๓ ต้องการนำเงินไปชำระค่าเล่าเรียน ส่วนที่เหลือต้องการนำเงินไปลงทุนประกอบอาชีพ ให้พ่อแม่ ฝากธนาคาร ทำบุญบริจาค เป็นต้น ๑.๒ โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ มีวัตถุประสงค์ในการยกระดับประสิทธิภาพของการจัดสวัสดิการสังคมและการช่วยเหลือของภาครัฐ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1729 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย พ.ศ. 2540 (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | กค | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1730 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 - 4 ปีงบประมาณ 2559 และไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2560 และแนวทางในการปรับลดอัตราอากรขาเข้าสินค้าในกลุ่มที่จะสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายและกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งสินค้าที่เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าการผลิตภายในประเทศ | กค | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒-๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และแนวทางในการปรับลดอัตราอากรขาเข้าสินค้าในกลุ่มที่จะสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายและกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งสินค้าที่เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าการผลิตภายในประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒-๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง นาฬิกาและอุปกรณ์ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง สูท เสื้อ กระโปรง กางเกงสำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท สุราต่างประเทศ รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ ไวน์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ดอกไม้ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้าจำแนกรายไตรมาส โดยไตรมาสที่ ๒/๒๕๕๙ มูลค่านำเข้า ๑,๐๓๕.๖๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไตรมาสที่ ๓/๒๕๕๙ มูลค่านำเข้า ๙๕๕.๘๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไตรมาสที่ ๔/๒๕๕๙ มูลค่านำเข้า ๙๙๔.๐๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไตรมาสที่ ๑/๒๕๖๐ มูลค่านำเข้า ๙๕๙.๐๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒. กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการนำร่องเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยจัดให้มีการประชุมหารือร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในลักษณะของการจัดงานแสดงสินค้าลดราคาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยสินค้าในประเทศไทย โดยกระทรวงการคลังเสนอให้ใช้มาตรการยกเว้นอากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ สำหรับสินค้าประเภทเครื่องสำอางและน้ำหอมที่นำไปจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวและคนไทยในโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ ได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างอัตราภาษีศุลกากรสินค้าในกลุ่มวัตถุดิบ ปัจจัยการผลิตที่ไม่มีผู้ผลิตภายในประเทศ เครื่องจักร เครื่องมือ และวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องจักร เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จในปี ๒๕๕๗ รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างอัตราภาษีศุลกากรในส่วนที่เหลือให้มีอัตราอากรเป็นไปตามโครงสร้างที่เสนอใหม่และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จในปี ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1731 | โครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน | กค | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน โดยให้สินเชื่อแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนภายในครอบครัว โดยต้องไม่เป็นการ Refinance หนี้ในระบบ วงเงินให้สินเชื่อไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาทต่อราย ระยะเวลาการให้กู้ยืมไม่เกิน ๕ ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ไม่เกินร้อยละ ๐.๘๕ ต่อเดือน มีบุคคลค้ำประกันอย่างน้อย ๑ คน และ/หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ๑.๒ วงเงินงบประมาณที่ใช้ในโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินเป็นวงเงินงบประมาณสูงสุดไม่เกิน ๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นว่าเพื่อให้การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปอย่างรอบคอบ ลดความเสี่ยงจากการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) และภาระการชดเชยของภาครัฐที่อาจเกิดขึ้น ควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ให้ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ร่วมรับภาระ NPLในส่วนที่ภาครัฐต้องรับภาระเต็มจำนวน และควรประเมินภาระหนี้นอกระบบทั้งหมดของลูกหนี้ว่าจะต้องมีการบริหารจัดการหนี้อย่างไร และมีระบบการจัดเก็บข้อมูลเพื่อให้สามารถติดตามลูกหนี้กลุ่มนี้ได้อย่างใกล้ชิดเพื่อให้การแก้ไขปัญหามีผลเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณว่า การให้สินเชื่อตามแนวทางของกระทรวงการคลังเสนอในครั้งนี้จะสูงกว่าที่มีอยู่เดิมเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการที่ดำเนินการไปแล้วของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม อาทิ โครงการค้ำประกันในเหตุอุทกภัยปี ๒๕๕๔ และโครงการค้ำประกันภัยผู้ประกอบการใหม่ ที่มีอัตราสูงสุดร้อยละ ๓๐ จึงเห็นควรให้ธนาคารทั้งสองแห่งมีส่วนรับผิดชอบในการดำเนินโครงการ และดำเนินการบริหารสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และพิจารณาอนุมัติสินเชื่อด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเพื่อมิให้เกิดภาระหนี้เสีย หรือหนี้สงสัยจะสูญเกิดขึ้นน้อยที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1732 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน (พลเอก จิระเดช โมกขะสมิต และนายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์) | กค | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลเอก จิระเดช โมกขะสมิต และนายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน เพิ่มเติม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1733 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายพรชัย ฐีระเวช) | กค | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพรชัย ฐีระเวช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1734 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | กค | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ประกอบด้วย งบรายได้และค่าใช้จ่าย และงบแสดงฐานะการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ๑.๑ รัฐบาลมีรายได้รวมทั้งสิ้น จำนวน ๒,๑๖๒,๙๘๔.๐๐ ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๑๑๐,๑๙๙.๓๑ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๔.๘๕ ส่วนใหญ่เป็นรายได้แผ่นดินที่หน่วยงานภาครัฐนำส่งซึ่งเป็นรายได้จากภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ รายได้จากการนำส่งกำไรและเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจ และรายได้ที่ไม่เป็นตัวเงิน ประกอบด้วย กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และส่วนเกินมูลค่าพันธบัตรตัดจำหน่ายซึ่งเป็นรายการปรับปรุงบัญชีเพื่อรับรู้รายได้ที่ไม่เป็นตัวเงินตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด และรายได้อื่น ๑.๒ รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น จำนวน ๒,๔๖๔,๐๘๔.๗๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๑๓.๙๒ ของรายได้รวม ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๑๕๑.๕๕ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๐.๐๑ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายจากเงินงบประมาณ (ปีปัจจุบันและปีก่อน) ดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมเงินกู้ และค่าใช้จ่ายอื่น ๑.๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รัฐบาลมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย จำนวน ๓๐๑,๑๐๐.๗๙ ล้านบาท ๒. งบแสดงฐานะการเงิน ๒.๑ รัฐบาลมีสินทรัพย์ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งสิ้น จำนวน ๖,๘๐๐,๕๑๙.๐๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๑๒๗,๐๕๙.๘๖ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๙๐ ประกอบด้วยสินทรัพย์หมุนเวียน จำนวน ๕๗๘,๔๐๗.๔๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘.๕๑ ของสินทรัพย์รวม และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน จำนวน ๖,๒๒๒,๑๑๑.๖๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๑.๔๙ ของสินทรัพย์รวม ๒.๒ รัฐบาลมีหนี้สินและภาระผูกพันรวมทั้งสิ้น จำนวน ๔,๓๑๐,๑๔๘.๕๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๓.๓๘ ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๒๐๓,๓๓๖.๔๙ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๙๕ ประกอบด้วย หนี้สินหมุนเวียน จำนวน ๗๗๙,๓๗๓.๒๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๑.๔๖ ของสินทรัพย์รวม และหนี้สินไม่หมุนเวียน จำนวน ๓,๕๓๐,๗๗๕.๓๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๑.๙๒ ของสินทรัพย์รวม ๒.๓ รัฐบาลมีสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน จำนวน ๒,๔๙๐,๓๗๐.๕๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๖.๖๒ ของสินทรัพย์รวม ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๗๖,๒๗๖.๖๓ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๒.๙๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1735 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 14/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้วเห็นว่า การบริหารสินทรัพย์ของ ธปท. ที่กำหนดให้สามารถลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศครั้งนี้จะทำให้การกระจายความเสี่ยงของเงินสำรองมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนในการบริหารจัดการบริษัทหรือกิจการที่เป็นผู้ออกตราสาร และในการบริหารความเสี่ยงจะยึดหลักการมีธรรมาภิบาลที่ดี ตระหนักถึงความเสี่ยงหลักที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ ธปท. และเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศ โดยมีคณะกรรมการต่าง ๆ ทำหน้าที่ดูแลและจัดการการบริหารความเสี่ยงของ ธปท. นอกจากนี้ ธปท. ได้กำหนดแนวทางในการเตรียมความพร้อมการลงทุนในหน่วยลงทุนและตราสารทุนต่างประเทศในด้านต่าง ๆ ได้แก่ (๑) กำหนดแนวทางการลงทุนและเกณฑ์การบริหารความเสี่ยง โดยคำนึงถึงความมั่นคง สภาพคล่อง ผลตอบแทน และความเสี่ยง (๒) เตรียมความพร้อมของบุคลากรและระบบงานที่เกี่ยวข้อง และ (๓) พิจารณากำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศประเภทต่าง ๆ ที่เหมาะสม ทั้งนี้ พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ แล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1736 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 และขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง กรณีการเพิ่มทุนของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) | กค | 14/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย)] ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังได้ดำเนินการจนได้ข้อยุติเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ไม่มีรัฐวิสาหกิจใดสนใจเข้าร่วมโครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. รับทราบกรณีการเพิ่มทุนของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐบาลไทย (กระทรวงการคลัง) ตามข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement) จำนวน ๘๐,๓๙๗,๔๔๘.๙๘ บาท โดยงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของแผนการลงทุนของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) ก่อนการเพิ่มทุน ตามแผนการลงทุนของบริษัทดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1737 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (จำนวน 3 คน 1. นายเกษม แพใหญ่ ฯลฯ) | กค | 14/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย จำนวน ๓ คน (แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก จำนวน ๒ คน และแต่งตั้งเพิ่มเติม จำนวน ๑ คน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
๑. นายเกษม แพใหญ่ กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน แทน นายสมเกียรติ สินสุนทร ที่ลาออก ๒. นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน แทน นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ ที่ลาออก (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง) ๓. นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการ เพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1738 | มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี 2560 เพิ่มเติม | กค | 07/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน และโครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ปี ๒๕๕๙/๖๐ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินมาตรการเป็นวงเงินไม่เกิน ๑,๒๐๐ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามภาระที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป และให้ ธ.ก.ส. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๑.๒ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน และโครงการสินเชื่อเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของ SMEs ที่ประสบภัยน้ำท่วม ปี ๒๕๖๐ โดยธนาคารออมสิน ๑.๓ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี ๒๕๖๐ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการเป็นวงเงินไม่เกิน ๘๒๕ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามภาระที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป และให้ ธพว. และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๒. ให้ ธ.ก.ส. และ ธพว. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ กระทรวงการคลังควรประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการบูรณาการโครงการภายใต้มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติมกับแผนการช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปี ๒๕๕๙/๖๐ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่อนุมัติให้ความช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต และควรมีการประชาสัมพันธ์โครงการและสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรในการปรับเปลี่ยนประเภทการผลิตให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ พร้อมทั้งให้การสนับสนุนด้านการตลาดแก่เกษตรกรที่ปรับเปลี่ยนผลผลิต ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1739 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ (การแก้ไขเพิ่มเติมการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีสินค้า เกษตรประเภทข้าว) | กค | 31/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ มีสาระสำคัญเป็นการลดอัตราการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินค่าซื้อข้าว ลงเหลือร้อยละ ๐.๕ และกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินสำหรับการซื้อข้าวให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ ๐.๕ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีผู้ซื้อข้าวที่เป็นผู้ส่งออก โดยไม่รวมถึงบุคคลธรรมดาที่เป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและขายเอง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องสำหรับการกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินสำหรับการซื้อข้าวให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หักภาษี ณ ที่จ่ายดังกล่าวต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรติดตามและประเมินผลการปรับลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีสินค้าเกษตรประเภทข้าว เพื่อใช้ประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายภาษีสำหรับสินค้าเกษตรประเภทอื่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1740 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 31/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๔ (เรื่อง อนุมัติเงินแทรกแซงตลาดกาแฟฤดูการผลิตปี ๒๕๓๓/๓๔) จาก มอบให้กระทรวงการคลังเป็นผู้รับผิดชอบกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เป็น ให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รับผิดชอบกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้สอดคล้องกับการโอนภารกิจกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รับผิดชอบ และเป็นไปตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่าการกำหนดอำนาจหน้าที่คณะกรรมการแต่ละคณะตามร่างระเบียบนี้จะต้องไม่ขัดและแย้งกับพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน และเพื่อให้เกิดความชัดเจน เห็นควรยกร่างระเบียบขึ้นใหม่ทั้งฉบับ รวมทั้งเห็นควรเพิ่มเติมอำนาจอธิบดีกรมการค้าภายในหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้มีอำนาจสั่งจ่ายและเบิกจ่ายเงินในกรณีการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในแผนการดำเนินงานประจำปี และเห็นควรมีมติที่ชัดเจนเกี่ยวกับการโอนทรัพย์สิน หนี้สิน วัสดุ/ครุภัณฑ์ และบุคลากรที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมบัญชีกลางในฐานะผู้รับผิดชอบกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบการดำเนินการของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยเมื่อร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้มีผลใช้บังคับแล้ว ให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรพิจารณาอนุมัติต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดให้มีระบบการติดตามประเมินผลการดำเนินกิจการของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเคร่งครัด ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....