ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 91 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1801 - 1820 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1801 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ) | กค | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย แทน นายมนัส แจ่มเวหา ที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1802 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (นายสมปอง อินทร์ทอง และนายสมบูรณ์ จิตเป็นธม) | กค | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๒ คน แทนผู้ที่เกษียณอายุราชการและลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายสมปอง อินทร์ทอง ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แทน นายสรรเสริญ อัจจุตมานัส ๒. นายสมบูรณ์ จิตเป็นธม ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย แทน นางฤชุกร สิริโยธิน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1803 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ พ.ศ. .... | กค | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายสิทธิการเบิกเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล กำหนดเพิ่มเติมกรณีการเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยในและพักห้องพิเศษเตียงเดียว แก้ไขหลักเกณฑ์การอนุมัติเบิกเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล และแก้ไขหลักเกณฑ์การขอเบิกเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะพิเศษ เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของข้าราชการทุกระดับชั้นควรมีสิทธิที่เท่าเทียมกันไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขระเบียบในเรื่องนี้ในระยะต่อไปให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยมีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะพิเศษ ที่เห็นควรให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากรณีข้าราชการที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีค่าใช้จ่าย (cost of living) ที่แตกต่างกัน จึงควรพิจารณาใช้ระบบการทำประกันสุขภาพ (health insurance) โดยเทียบเคียงกับรัฐวิสาหกิจที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศ เพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และเป็นภาระงบประมาณ ทั้งนี้ ควรมีมาตรการป้องกันการเบิกค่ารักษาพยาบาลที่ซ้ำซ้อนด้วย รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเบิกเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ ควรคำนึงถึงรูปแบบและวิธีการอื่น ๆ ประกอบการพิจารณาด้วย อาทิ ระบบของการประกันสุขภาพ และพิจารณาจากหน่วยงานภาคเอกชนที่ไปประกอบกิจการในต่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1804 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์) | กค | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมจากการรับชำระเงินด้วยบัตรเดบิตผ่านอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามแผนงานโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ให้ลุล่วงตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ซึ่งจะสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1805 | รายงานผลการกู้เงินจากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ระยะที่ 3 | กค | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินจากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ได้มีการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทย และเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลญี่ปุ่น รวมทั้งได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทย และ Mr. Hiroo Tanaka หัวหน้าผู้แทนองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) สำนักงานประจำประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในนาม JICA สำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๓ วงเงิน ๑๖๖,๘๖๐ ล้านเยน (หรือเทียบเท่า ๕๗,๙๐๗.๒๖ ล้านบาท) ทั้งนี้ รายละเอียดหนังสือแลกเปลี่ยน เอกสารที่เกี่ยวข้อง และสัญญาเงินกู้ดังกล่าว มีสาระสำคัญและเงื่อนไขเป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๙ [เรื่อง เงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๓] ทุกประการ ๒. กระทรวงการคลังได้จัดทำประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินจากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๓ เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาเสร็จแล้ว และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงจะจัดทำความเห็นทางกฎหมาย (Legal Opinion) ส่งให้แก่ JICA ตามเงื่อนไขบังคับก่อน เพื่อให้สัญญาเงินกู้มีผลใช้บังคับ หลังจากนั้น การรถไฟแห่งประเทศไทยจึงจะสามารถเบิกจ่ายเงินกู้ระยะที่ ๓ ได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1806 | ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60 | กค | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙ และเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ ในส่วนของกรอบระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ จากเดิมกำหนดให้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ และสำหรับการดำเนินโครงการฯ ในภาคใต้กำหนดให้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ เป็นกำหนดให้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ และสำหรับการดำเนินโครงการฯ ในภาคใต้กำหนดให้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และไม่ให้มีการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ อีก ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการบูรณาการงานเรื่องการลดต้นทุนการผลิตกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงการช่วยเหลือเกษตรกรในด้านการลดต้นทุนการผลิตได้อย่างเป็นระบบและสามารถเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมในระยะยาว ตลอดจนเร่งดำเนินการและกำกับดูแลการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใส และสอดคล้องกับเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงอย่างทั่วถึง รวมทั้งความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า การดำเนินโครงการฯ จะต้องดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ (เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1807 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (จำนวน 4 ราย 1. นายกฤษฎา บุญราช ฯลฯ) | กค | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวน ๔ ราย แทนผู้ที่ลาออกจากตำแหน่ง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรี (๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายกฤษฎา บุญราช แทน นายกำพล ศรธนะรัตน์ ๒. พลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ แทน พลตำรวจเอก เจตน์ มงคลหัตถี ๓. ศาสตราจารย์นฤมล สอาดโฉม แทน ร้อยโท เจษฎา ศิวรักษ์ ๔. นางรัตนา อนุภาสนันท์ แทน นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1808 | การตรวจสอบคุณสมบัติของเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยและหลักเกณฑ์ในการโอนเงินภายใต้มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย (มาตรการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกรรายย่อย) | กค | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจสอบคุณสมบัติของเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยและหลักเกณฑ์ในการโอนเงินภายใต้มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย (มาตรการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกรรายย่อย) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. คุณสมบัติของเกษตรกรตามมาตรการเพิ่มรายได้ฯ เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่มีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินโอนตามมาตรการดังกล่าวจะต้องเป็นผู้ที่มาลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ระหว่างวันที่ ๑๕ กรกฎาคม-๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะเป็นผู้ดำเนินการเทียบข้อมูลจากฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่มาลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งชาติ โดย ๑.๑ คุณสมบัติพื้นฐาน เป็นบุคคลสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปี ณ วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ (วันสุดท้ายของการเปิดให้ลงทะเบียน) และเป็นผู้ว่างงานหรือมีรายได้ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี ในปี ๒๕๕๘ ๑.๒ คุณสมบัติเฉพาะสำหรับมาตรการเพิ่มรายได้ฯ เป็นผู้มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนเกษตรกรหรือเป็นสมาชิกในครัวเรือนของผู้ที่อยู่ในทะเบียนเกษตรกรของกรมส่งเสริมการเกษตร หรือเป็นผู้มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนผู้เลี้ยงสัตว์ของกรมปศุสัตว์ หรือทะเบียนผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. หลักเกณฑ์การโอนเงิน ๒.๑ หลักเกณฑ์ในการกำหนดจำนวนเงินที่โอนให้แก่เกษตรกรตามาตรการเพิ่มรายได้ฯ จะใช้เส้นความยากจน (Poverty Line) ที่คำนวณโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเกณฑ์ในการอ้างอิง โดยรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่มีรายได้ต่ำกว่า ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี เป็นมูลค่ามากกว่าเกษตรกรที่มีรายได้สูงกว่า ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี เนื่องจากเป็นกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบทางรายได้มากกว่า ๒.๒ อัตราเงินโอน (๑) เกษตรกรที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี โอนเงินให้จำนวน ๓,๐๐๐ บาทต่อคน เพียงครั้งเดียวผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ (๒) เกษตรกรที่มีรายได้สูงกว่า ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี โอนเงินให้จำนวน ๑,๕๐๐ บาทต่อคน เพียงครั้งเดียวผ่าน ธ.ก.ส. ๒.๓ วิธีการโอนเงิน กำหนดให้ ธ.ก.ส. เป็นผู้โอนเงินเข้าบัญชีให้แก่เกษตรกรดังกล่าวที่มีคุณสมบัติตามข้อ ๑ โดยตรง ทั้งนี้ ในกรณีที่เกษตรกรไม่มีบัญชีเงินฝากกับ ธ.ก.ส. นั้น ธ.ก.ส. จะดำเนินการประสานงานกับธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทยเพื่อโอนเงินให้เกษตรกรต่อไป สำหรับเกษตรกรที่ไม่มีบัญชีเงินฝากใน ๓ ธนาคารข้างต้น ให้ ธ.ก.ส. ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรมาแจ้งเลขที่บัญชี ชื่อบัญชี และธนาคารที่ประสงค์จะให้โอนเงินไปให้ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1809 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายณพงศ์ ศิริขันตยกุล) | กค | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายณพงศ์ ศิริขันตยกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบบัญชี (นักบัญชีทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1810 | โครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ 2560 | กค | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ภูมิภาคผ่านโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของหมู่บ้าน หรือการดำเนินกิจการสาธารณประโยชน์ของหมู่บ้าน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสุธี มากบุญ) เสนอเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การดำเนินโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เห็นควรให้ดำเนินการ ๑.๑ ในส่วนของระยะเวลาในการดำเนินโครงการ หากเป็นโครงการที่ดำเนินการได้เอง ให้เบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ ส่วนโครงการที่เป็นการจ้างเหมาให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันจะทำให้การดำเนินโครงการต้องล่าช้าออกไป ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป พร้อมชี้แจงเหตุผลความจำเป็นโดยละเอียด ๑.๒ ในขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกโครงการ ให้คณะกรรมการระดับอำเภอในแต่ละพื้นที่พิจารณากลั่นกรองโครงการโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนส่วนรวมในแต่ละหมู่บ้านจะได้รับเป็นสำคัญ และจะต้องไม่เป็นโครงการเพื่อการจัดซื้อครุภัณฑ์หรือซ่อมแซมอาคารสถานที่ต่าง ๆ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยนำโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ มาพิจารณาความเหมาะสมและจำเป็นเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ รวมทั้งความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ในฐานะหน่วยงานหลักวางแผนการดำเนินโครงการให้ชัดเจนเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ดำเนินโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยนำข้อจำกัด ปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการครั้งก่อนมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งให้มีการกำหนดมาตรการป้องกันการทุจริตทุกขั้นตอนด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และให้นำเสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเพื่อบรรจุไว้เป็นโครงการสำคัญของรัฐบาลที่ต้องติดตามเร่งรัดเป็นกรณีพิเศษ ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยนำผลการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการดำเนินโครงการดังกล่าวมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการรายงานผลการดำเนินโครงการต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1811 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (จำนวน 3 คน 1 นายนราธร วงศ์วิเศษ ฯลฯ) | กค | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก จำนวน ๓ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งจะครบวาระสี่ปีในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายนราธร วงศ์วิเศษ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง ๒. นายนิธิศวร์ ตั้งสง่า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง ๓. นายรุจพงศ์ ประภาสะโนบล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1812 | รายงานการตรวจสอบสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | กค | 18/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการตรวจสอบสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการและเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลัง โดยแบ่งการตรวจสอบเป็น ๓ ลักษณะ ได้แก่ (๑) การตรวจสอบทางการเงินและบัญชี (Financial Auditing) (๒) การตรวจสอบการดำเนินงาน (Operation Auditing) และ (๓) การตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง (Compliance Auditing) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1813 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกำหนดฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 49 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร) | กค | 18/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกำหนดฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา ๔๙ ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้ราคาที่ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กันตามความเป็นจริงหรือตามราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอนนั้น แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า เป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้จากการโอนอสังหาริมทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1814 | การจ่ายค่าเยียวยาให้แก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร | กค | 18/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจ่ายค่าเยียวยาให้แก่ราษฎร จำนวน ๕ ราย และค่ารื้อถอนระบบไฟฟ้าของศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรมุกดาหาร และสถานีพัฒนาอาหารสัตว์มุกดาหาร รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๐๓๔,๗๙๓ บาท เพื่อนำที่ดินไปใช้ในการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยมิให้มีการใช้สิทธิเรียกร้องอื่นเพิ่มเติมในภายหลังด้วย สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของกรมธนารักษ์ที่ได้ดำเนินการขออนุมัติกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกระทรวงการคลังแล้ว และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าเยียวยาให้แก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอื่น ๆ ตามความเหมาะสมและเป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1815 | การปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ [ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน พัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559] | กค | 18/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจในอัตราร้อยละ ๐.๒๕ ต่อปี ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดแผนการเพิ่มทุน รายละเอียดของวงเงินและระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดระยะเวลาการปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนฯ ให้สอดคล้องกับความต้องการในการเพิ่มทุนที่แท้จริง เพื่อมิให้กระทบกับฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ และหากในระยะต่อไป ปริมาณเงินของกองทุนฯ ที่ต้องการใช้สำหรับการเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีเพียงพอแล้ว ก็ควรพิจารณาปรับอัตราเงินนำส่งให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อฐานะการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีหน้าที่นำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ นำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจในอัตราร้อยละ ๐.๒๕ ต่อปี ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1816 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2558 | กค | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี ๒๕๕๘ ซึ่งมีผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนทั้งหมด ๑๑๑ ทุน ได้แก่ (๑) ทุนหมุนเวียนในระบบประเมินผลการดำเนินงาน จำนวน ๙๙ ทุน ในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยรวม ๔ ด้าน (ด้านการเงิน ด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้านการปฏิบัติการ และด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน) ดีกว่าเป้าหมายปกติและดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีบัญชี ๒๕๕๗ และคะแนนเฉลี่ย ๔ ปี (ปีบัญชี ๒๕๕๕-๒๕๕๘) มีคะแนนเฉลี่ยด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสูงที่สุด และมีคะแนนเฉลี่ยด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียนต่ำที่สุด และ (๒) ทุนหมุนเวียนที่ไม่เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ จำนวน ๑๒ ทุน แบ่งเป็นทุนหมุนเวียนที่กฎหมายเฉพาะบัญญัติให้มีการประเมินผลการดำเนินงาน จำนวน ๖ ทุน และทุนหมุนเวียนที่มีสถานะไม่พร้อมเข้าสู่ระบบประเมินผล จำนวน ๖ ทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1817 | รายงานผลการพัฒนาระบบคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการด้วยอิเล็กทรอนิกส์ | กค | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพัฒนาระบบคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการด้วยอิเล็กทรอนิกส์ และการทบทวนและปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การพัฒนาระบบคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการด้วยอิเล็กทรอนิกส์ กำหนดให้ผู้มีหน้าที่คำนวณราคากลางต้องถอดแบบก่อสร้างให้ได้รายการและปริมาณงานเพื่อนำเข้าไปคำนวณราคากลางในระบบ จากนั้นระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลราคาวัสดุก่อสร้างจากกระทรวงพาณิชย์ และข้อมูลรายละเอียดประกอบการคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง เช่น ค่าแรงงานจากบัญชีค่าแรงงาน ค่าดำเนินการจากตารางค่า Operating Cost และค่าขนส่งจากตารางค่าขนส่งวัสดุก่อสร้าง มาใช้ในการคำนวณ ส่วนงานก่อสร้างที่ต้องคำนวณค่างานต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ระบบจะประมวลผลโดยใช้สูตรที่กำหนดไว้แล้วในระบบมาคำนวณค่างานต้นทุนต่อหน่วยตามที่หลักเกณฑ์กำหนดให้โดยอัตโนมัติ และเมื่อรวมค่างานต้นทุนทั้งโครงการก่อสร้างแล้ว ระบบจะประมวลและนำค่า Factor F มาคำนวณเป็นราคากลางงานก่อสร้างของโครงการนั้น ๆ และเมื่อคำนวณได้ราคากลางเรียบร้อยแล้ว ระบบจะส่งข้อมูลราคากลางและรายงานการคำนวณราคากลางไปยังระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) เพื่อดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างต่อไป โดยจะใช้นำร่องกับ ๔ หน่วยงาน ได้แก่ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมชลประทาน ในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ สำหรับส่วนราชการอื่น ๆ จะเริ่มใช้งานตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ๒. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังได้กำหนดให้หน่วยงานที่จะมีการจัดจ้างก่อสร้างต้องประกาศเปิดเผยข้อมูลราคากลางทางเว็บไซต์ของหน่วยงาน และเว็บไซต์การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของกรมบัญชีกลาง (www.gprocurement.go.th) รวมทั้งได้ทบทวนและปรับปรุงข้อกำหนดต่าง ๆ ได้แก่ บัญชีค่าแรงงาน ข้อกำหนดเกี่ยวกับราคาและแหล่งวัสดุก่อสร้าง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าดอกเบี้ย ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายพิเศษ ค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็น และโครงสร้างค่าใช้จ่าย รวมถึงได้จัดทำตาราง Factor F เพื่อให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานก่อสร้างที่เป็นปัจจุบัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1818 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2559) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๙) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วยเนื้อหา ๒ ส่วน ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๙ ขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้ว่าการส่งออกสินค้ายังคงซบเซาและอุปสงค์ในประเทศยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แต่เศรษฐกิจไทยยังคงมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการท่องเที่ยว เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในประเทศในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมาเป็นบวกตั้งแต่เดือนเมษายน และอัตราการว่างงานทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดีและเอื้อให้ตลาดการเงินไทยสามารถรองรับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศ ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ ด้านนโยบายการเงิน ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องและไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ เนื่องจากนโยบายการเงินอยู่ในระดับที่ผ่อนปรนเพียงพอและเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเปราะบางต่อปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้จำเป็นต้องรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) ไว้เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ๒.๒ ด้านนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. ได้ติดตามและประเมินความเสี่ยงที่มีต่อเสถียรภาพระบบการเงินอย่างต่อเนื่อง และได้ปรับปรุงเกณฑ์การกำกับดูแลให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรับฝากเงินหรือการรับเงินจากประชาชนเพื่อรองรับแนวโน้มการทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนได้เสนอกระทรวงการคลังพิจารณาร่างหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Special Financial Institutions : SFIs) ระยะที่ ๑ รวม ๒๔ ฉบับ ๒.๓ ด้านนโยบายระบบการชำระเงิน ธปท. ได้ผลักดันการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ National e-Payment โดยรับผิดชอบ ๒ โครงการ คือ โครงการระบบพร้อมเพย์ และโครงการขยายการใช้บัตร รวมทั้งได้ส่งเสริมการโอนเงินและการเชื่อมโยงเอทีเอ็มระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน และได้เพิ่มความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคในการใช้บริการบัตรอิเล็กทรอนิกส์ โดยกำหนดให้สถาบันการเงินเปลี่ยนบัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มให้เป็นชิปการ์ดทดแทนบัตรแถบแม่เหล็ก นอกจากนี้ ธปท. ได้ยกร่างกฎหมายเพื่อกำกับดูแลระบบการชำระเงิน (Payment Systems Act) เพื่อยกระดับการกำกับดูแลระบบการชำระเงินของประเทศให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องตามมาตรฐานสากล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1819 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พุทธศักราช 2485 | กค | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พุทธศักราช ๒๔๘๕ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเกี่ยวกับการส่งหรือนำเงินตรา เงินตราต่างประเทศ และตราสารเปลี่ยนมือออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีที่ต้องเข้ารับการประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้เมื่อร่างพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลบังคับใช้แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1820 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในการพิจารณาและกลั่นกรองเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในโครงการที่เกี่ยวกับการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการยกเลิกอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๑๐ (๕) และข้อ ๑๑ ในการพิจารณากลั่นกรองและเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในโครงการเกี่ยวกับการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ และการพิจารณากลั่นกรองและเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในโครงการขนาดใหญ่ที่มีวงเงินสูงและส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างของรัฐวิสาหกิจ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....