ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 82 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1621 - 1640 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1621 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2559 | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1622 | ร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติเงินคงคลัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มเติมอำนาจกระทรวงการคลังในการกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลัง โดยกำหนดกรอบเพดานการกู้เงิน โดยกระทรวงการคลังจะมีหนี้คงค้างเพื่อบริหารสภาพคล่อง ณ ขณะใดขณะหนึ่งได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ตลอดจนหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปรับโครงสร้างหนี้และชำระหนี้ดังกล่าว และกำหนดให้การชำระคืนต้นเงินกู้เพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลังให้จ่ายจากเงินคงคลัง ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติเงินคงคลัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มเติมบทบัญญัติให้กระทรวงการคลังสามารถสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๒ (บัญชีกระแสรายวันที่กระทรวงการคลังมีไว้เพื่อจ่ายเงิน) เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลังได้โดยไม่ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณากำหนดกรอบวงเงินกู้เพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลังตามความเหมาะสมเท่าที่จำเป็นและไม่ควรเกินกรอบวงเงินกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ตลอดจนรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โดยผ่านกลไกของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ รวมทั้งควรประมาณการสภาพคล่องเงินคงคลังโดยคำนึงถึงความต้องการใช้จ่าย ประสิทธิภาพการเบิกจ่าย และความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานภาครัฐในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้ประมาณการมีความแม่นยำและสอดคล้องกับสถานการณ์ในระยะใกล้ที่ประเมินว่าจะเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1623 | ร่างแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560 - 2564) | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ ๓ (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตลาดทุนไทยให้สามารถเป็นแหล่งระดมทุน แหล่งการออม และการลงทุนของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รองรับต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จะมีบทบาทในธุรกรรมด้านการเงินการลงทุนมากขึ้น รองรับกระแสการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค โดยมีประเด็นสำคัญที่มุ่งเน้นในการพัฒนาใน ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) การปรับปรุงตลาดทุนให้เป็นแหล่งทุนสำหรับ SMEs นวัตกรรม และกลุ่ม Startup (๒) การปรับปรุงตลาดทุนให้เป็นแหล่งระดมทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ (๓) การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน (๔) การปรับปรุงให้ตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของภูมิภาค และ (๕) การปรับปรุงตลาดทุนให้รองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ร่างแผนพัฒนาตลาดทุนฯ มีมาตรการในการดำเนินการที่ครอบคลุมและเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ การกำกับดูแลให้บรรลุเป้าหมายอย่างเป็นองค์รวมภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดจะต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ ชัดเจนอย่างโปร่งใส และมีประสิทธิภาพภายใต้กรอบของวินัยการเงินการคลังที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ร่างแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ฉบับนี้ เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์การระดมทุนที่เป็นนวัตกรรมและผู้ประกอบการรูปแบบใหม่สำหรับตลาดทุนไทย ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อรองรับการระดมทุนสำหรับกลุ่มประเทศในภูมิภาค จึงควรพิจารณาศึกษาผลกระทบและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบด้านด้วย และเนื่องจากสภาวะแวดล้อมของภาคการเงินมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงเห็นควรให้คณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกปี และประเมินผลสัมฤทธิ์ของร่างแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ในระยะครึ่งแผน เพื่อให้สามารถพิจารณาปรับปรุงแผนงานและตัวชี้วัดให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย รวมทั้งให้ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ จัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการตามร่างแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฯ ให้ชัดเจน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาและกำกับดูแลตลาดทุนให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ลงทุนรายใหญ่และรายย่อย ๒.๒ พิจารณาดำเนินการเพื่อจัดให้มีกลไกในการประสานความร่วมมือในการพัฒนาและกำกับดูแลตลาดการเงินในภาพรวมที่ครอบคลุมทั้งสถาบันการเงิน การประกันภัย ตลาดทุน รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การพัฒนาภาคการเงินในภาพรวมของประเทศมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน และมีการกำกับดูแลที่มีมาตรฐานเท่าเทียมกันต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1624 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเห็นว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการวางระเบียบเกี่ยวกับการส่งข้อมูลให้แก่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตามมาตรา ๓๗ ตรี แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับการสร้างความสมัครใจในการเสียภาษี กรมสรรพากรได้ตราพระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อสนับสนุนให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงของกิจการ โดยยกเว้นการตรวจสอบภาษีอากรย้อนหลังให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ และยังมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อม สามารถหักรายจ่ายค่าจ้างนักเรียนหรือนักศึกษาที่อยู่ระหว่างศึกษาในแผนกหรือสาขาวิชาบัญชีปฏิบัติงานได้เป็นจำนวน ๒ เท่า โดยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปแบบบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมากขึ้นซึ่งจะมีการแสดงผลประกอบการที่แท้จริง มีความโปร่งใส และเป็นการสร้างฐานภาษีที่ยั่งยืนในระยะยาว ทำให้ผู้เสียภาษีสมัครใจที่จะเสียภาษี และกรมสรรพากรสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น ส่วนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารการจัดเก็บภาษี กรมสรรพากรได้จัดทำ Roadmap "Digital RD 2020" ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในการบริหารการจัดเก็บภาษีและการให้บริการแก่ผู้เสียภาษี นอกจากนั้น ยังได้ดำเนินโครงการระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment master Plan) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1625 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติ เห็นชอบ และรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ วงเงินรวม ๑,๕๐๒,๙๗๗.๐๖ ล้านบาท ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน ๕๘๒,๐๒๖.๒๘ ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน ๙๒๐,๙๕๐.๗๘ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ วงเงิน ๑๖๑,๔๓๓.๔๕ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๕ มอบหมายให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ เพื่อชำระคืนค่าดอกเบี้ยเงินกู้ปี ๒๕๖๑ วงเงิน ๓,๔๔๗.๒๓ ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริง และค่าดอกเบี้ยเงินกู้ที่ครบกำหนดในปี ๒๕๖๒ เพื่อรักษาวินัยทางการคลังและไม่ให้เกิดภาระหนี้สะสมจากการกู้เงิน ๑.๖ เห็นชอบแนวทางการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจเพื่อให้รัฐวิสาหกิจนำไปใช้บริหารต้นทุนและความเสี่ยงในการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจเร่งรัดบริหารต้นทุนและความเสี่ยงในการบริหารหนี้ตามแนวทางดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของวงเงินกู้กำกับติดตามการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรติดตามและผลักดันให้การเบิกจ่ายเงินเป็นไปตามแผนงานและแผนการกู้เงินที่ได้กำหนดไว้ เพื่อลดภาระรายจ่ายดอกเบี้ยในการบริหารหนี้สาธารณะที่เกิดจาการกู้ยืมเพื่อเตรียมการลงทุน รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นของสาธารณชนที่มีต่อการลงทุนของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. สำหรับกรณีของ ขสมก. นั้น มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) พิจารณาปรับปรุงแผนฟื้นฟู ขสมก. ให้ครอบคลุมถึงแผนการบริหารหนี้ในภาพรวม ซึ่งรวมถึงแนวทางการพัฒนาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือกู้เงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และค่าดอกเบี้ยที่ครบกำหนดของ ขสมก. ในปี ๒๕๖๒ และปีต่อ ๆ ไป และให้กระทรวงคมนาคมนำแผนดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1626 | ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับโครงสร้างบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านท้ายพระราชกฤษฎีกาทั้งหมด ซึ่งแบ่งอัตราค่าเช่าบ้านเป็น ๕ อัตรา คือ อัตราไม่เกินเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท ๓,๐๐๐ บาท ๔,๐๐๐ บาท ๕,๐๐๐ บาท และ ๖,๐๐๐ บาท และกำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจจัดทำบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ไม่ใช่เป็นการแก้ไขโครงสร้างบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านในรูปแบบใหม่ เพื่อให้สามารถดำเนินการแก้ไขปรับปรุงบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านได้รวดเร็ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานศาลยุติธรรมที่เห็นว่า ในปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการต้นสังกัดของผู้มีสิทธิเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว หากไม่เพียงพอ ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้บังคับแล้ว และหากในโอกาสต่อไปมีการปรับบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการ ขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับอัตราค่าเช่าบ้านสำหรับข้าราชการตุลาการ เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพความปลอดภัยของการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1627 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐตามร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ที่เห็นควรไม่ให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านขนส่งของรัฐ เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีจากผู้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมของรัฐเป็นรายรับของกองทุนฯ ซึ่งเป็นการจัดเก็บภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (Earmarked Tax) มาใช้ในการดำเนินงานของกองทุนฯ อาจไม่สอดคล้องกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังนำผลการพิจารณาดังกล่าวไปประกอบการดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... ให้เหมาะสมสอดคล้องกันต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1628 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น [ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสำรองสำหรับระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP)] | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมบัญชีกลางเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๕๘,๔๔๕,๘๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสำรองสำหรับระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1629 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดวิธีจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจงเพิ่มเติม พ.ศ. .... | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดวิธีจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจงเพิ่มเติม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้จัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เกี่ยวกับการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สามารถใช้วิธีเฉพาะเจาะจง โดยการเชิญผู้ประกอบการที่มีอาชีพขายหรือรับจ้างนั้นโดยตรงมายื่นเสนอราคา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1630 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ | กค | 05/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนไทย-กัมพูชา จำนวน ๑ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักการที่สำคัญเพื่อขจัดการเก็บภาษีซ้ำซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากอำนาจในการจัดเก็บภาษีของทั้งสองประเทศทำให้เกิดการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนบนฐานรายได้จำนวนเดียวกัน และมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันการหลบเลี่ยงการเสียภาษีระหว่างประเทศทั้งสอง โดยจะมีการลงนามความตกลงดังกล่าวในช่วงการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี (JCR) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา และหากมีการแก้ไขโดยที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของความตกลงดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการแก้ไขได้ทันที ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการตามแบบพิธีทางการทูตและกฎหมายภายในเพื่อให้ความตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการเรื่องดังกล่าวโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ ไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ และเป็นไปตามกฎหมายภายในที่ใช้บังคับอยู่ ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการจัดทำความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยกับประเทศบรูไนดารุสซาลามให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้เป็นไปตามแผนการดำเนินการเพื่อเตรียมการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้านการเงินการคลัง เรื่อง Bilateral Tax Treaties in ASEAN และร่างแผนการปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์เพื่อความร่วมมือด้านภาษี ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1631 | ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง มาตรฐานการเงิน การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ การบัญชี การรายงานทางการเงิน และการตรวจสอบภายในของทุนหมุนเวียน | กค | 05/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง มาตรฐานการเงินการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ การบัญชี การรายงานทางการเงิน และการตรวจสอบภายในของทุนหมุนเวียน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน และกำหนดหลักเกณฑ์การจัดทำรายงานทางการเงิน มาตรฐานเกี่ยวกับการเงิน การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ รวมถึงมาตรฐานเกี่ยวกับการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า ร่างประกาศฉบับนี้ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๑ (๑) (๗) และ (๘) มาตรา ๓๐ และมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ เท่านั้น ควรแก้ไขให้ถูกต้องและสอดคล้องกับบทอาศัยอำนาจในการออกประกาศฉบับนี้ รวมทั้งสาระในร่างข้อ ๒ อาจขัดหรือแย้งกับมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนเวียนฯ ควรแก้ไขโดยกำหนดให้ทุนหมุนเวียนใดที่มีกฎหมายกำหนดบทบัญญัติในเรื่องใดไว้เป็นการเฉพาะแล้วให้การดำเนินงานทุนหมุนเวียนนั้นเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายมิได้บัญญัติไว้ ให้นำประกาศนี้มาใช้บังคับ นอกจากนี้ การกำหนดให้มีการนำเงินของทุนหมุนเวียนไปดำเนินการเพื่อหาผลประโยชน์อื่นที่นอกเหนือจาก (๑) (๒) และ (๓) ตามประกาศข้อ ๗ โดยให้ขอตกลงกับกระทรวงการคลังนั้น ควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การใช้ดุลยพินิจให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงความมั่นคงและสภาพคล่องของการนำเงินทุนหมุนเวียนไปหาผลประโยชน์เป็นสำคัญ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และมอบหมายให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1632 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 | กค | 05/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการออก R-bill จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท รุ่นอายุ ๑๘๒ วัน อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยร้อยละ ๑.๓๕๔๘๘ ต่อปี ประมูลในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ และได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการกู้เงินโดยการออก R-bill จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1633 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2559 | กค | 05/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว มีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการดำเนินงานปี ๒๕๕๙ เปรียบเทียบกับปี ๒๕๕๘ ผลการดำเนินงานด้านสินเชื่อและรับประกัน และทิศทางการดำเนินงานในปี ๒๕๖๐ ของ ธสน. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1634 | การดำเนินการตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 (ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด และการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ. .... ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง รายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ และร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน) | กค | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดและการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ. .... และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง รายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ และร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ว่า ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดไว้เป็นการเฉพาะแล้ว เช่น พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาตรา ๒๖ “กองทุนต้องมีจำนวนเงินเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซี่งเมื่อรวมกับเงินกู้ตามวรรคสองแล้วต้องไม่เกินจำนวนสี่หมื่นล้านบาท” ดังนั้น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจึงมีการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดไว้ที่สี่หมื่นล้านบาทเท่านั้น จะต้องจัดทำข้อมูลประกอบการคำนวณตามหลักเกณฑ์การกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดไว้ตามมาตรา ๕ และกรนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามมาตรา ๖ หรือไม่ และการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด ควรคำนึงถึงภาระผูกพันและนโยบายที่จะต้องปฏิบัติภารกิจตามแผนยุทธศาสตร์ เนื่องจากบางกองทุนมีภาระผูกพันตามสัญญาหรือหนังสือยืนยัน รวมทั้งรายจ่ายที่จะต้องจ่ายตามแผนยุทธศาสตร์ที่ได้อนุมัติไว้แล้วตามกรอบระยะเวลา ส่วนร่างประกาศกระทรวงการคลังฉบับนี้มีข้อสังเกตว่า การดำเนินภารกิจของแต่ละทุนหมุนเวียนต่างกัน และเป็นการดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และช่วยเหลือในการครองชีพ ประกอบกับกระทรวงการคลังมีอำนาจในการรวบรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน หากพบว่าทุนหมุนเวียนนั้นมีวัตถุประสงค์ หรือทุนหมุนเวียนนั้นหยุดดำเนินการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องระบุระยะเวลาดำเนินการหรือเงื่อนไขในการยุบเลิกทุนหมุนเวียน ไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. อนุมัติให้ถอนร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดและการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียน เรื่อง การประกาศรายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ และร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน รวม ๓ ฉบับ ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดสำหรับไว้ใช้ในการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐในแต่ละปี ควรพิจารณาถึงภาระผูกพันของทุนหมุนเวียนตามข้อตกลง และหรือสัญญาที่มีกับหน่วยงานหรือบุคลากรภายนอกด้วย รวมทั้งควรกำหนดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้จ่ายเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณของทุนหมุนเวียนอย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับ เพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1635 | ประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งประกอบด้วย (๑) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยให้วงเงิน ๒๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับผู้มีสิทธิที่มีรายได้เกินกวา ๓๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี และวงเงิน ๓๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับผู้มีสิทธิที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี (๒) วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด จำนวน ๔๕ บาทต่อคนต่อ ๓ เดือน (๓) วงเงินค่าโดยสารรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบบ e-Ticket/รถไฟฟ้า จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน (๔) วงเงินค่าโดยสารรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน และ (๕) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน ๒. ในส่วนของงบประมาณที่ใช้ดำเนินการตามแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการดังกล่าวให้ดำเนินการภายในวงเงิน ๔๖,๐๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดระเบียบกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราการช่วยเหลือของแต่ละสวัสดิการโดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และหากเห็นว่ากองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเป็นแนวทางที่เหมาะสม ก็เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเป็นการเฉพาะต่อไป รวมทั้งควรยกเลิกประกาศ/มาตรการ หรือคำสั่งในส่วนที่ซ้ำซ้อนกับการกำหนดแนวปฏิบัติในการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้การใช้สิทธิประโยชน์จากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ถือบัตรอย่างแท้จริง ตลอดจนติดตามตรวจสอบการใช้สิทธิ์ของบุคคลที่ได้รับสวัสดิการที่รัดกุมโดยเฉพาะการพิสูจน์ตัวตน หรือการยืนยันสิทธิในการใช้บัตร และทบทวนวงเงินสวัสดิการแต่ละประเภทให้สอดคล้องกับความต้องการของครัวเรือน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการให้ความช่วยเหลือด้านการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้มีสิทธิได้รับสวัสดิการในเขตกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัด ๔. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการผ่านตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่กลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งซักซ้อมความเข้าใจกับหน่วยปฏิบัติ เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เพื่อให้การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ๕. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตามผลการดำเนินการและการเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวม และให้รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือน ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจในการพิจารณาทบทวน ปรับปรุง หรือเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางจัดประชารัฐสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1636 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (จำนวน 5 คน 1. นายกมล ตรรกบุตร ฯลฯ) | กค | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ จำนวน ๕ คน ตามมาตรา ๒๐ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายกมล ตรรกบุตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาวิศวกร ๒. พลอากาศตรี หม่อมหลวงประกิตติ เกษมสันต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาสถาปนิก ๓. นายเทพ วงษ์วานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ๔. นายนิกร สุศิริวัฒนนนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ๕. นายประมนต์ สุธีวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1637 | การเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐ (ขออนุมัติโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ในส่วนของการให้เอกชนร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา ของกรมทางหลวง) | กค | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ในส่วนของการให้เอกชนร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) โดยเอกชนเป็นผู้ออกแบบและลงทุนค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่เอกชนลงทุนก่อสร้าง รวมถึงรายได้ทั้งหมดจากค่าธรรมเนียมผ่านทาง และให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance) โครงการทั้งหมดทั้งในส่วนของงานโยธาที่รัฐเป็นผู้ลงทุนและงานส่วนที่เอกชนเป็นผู้ลงทุน ตลอดจนเป็นผู้ดำเนินการบริหารจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง โดยเอกชนได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง ค่าบำรุงรักษา และค่าบริหารจัดเก็บค่าธรรมเนียม รวมทั้งงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามขอบเขตงานและเงื่อนไขที่กำหนด และมีระยะเวลาร่วมลงทุนไม่เกิน ๓๐ ปี นับแต่เปิดให้บริการ ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงรับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายฯ เกี่ยวกับค่าตอบแทนที่เอกชนจะได้รับเป็นเงินค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง ค่าบำรุงรักษา และค่าบริหารจัดเก็บค่าธรรมเนียม รวมทั้งงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามขอบเขตงานและเงื่อนไขที่กำหนด ต้องไม่เกินจำนวน ๓๓,๒๕๘ ล้านบาท สำหรับโครงการ M6 (O&M) และจำนวน ๒๗,๘๒๘ ล้านบาท สำหรับโครงการ M81 (O&M) รวมถึงกำหนดเงื่อนไขในการจ่ายค่าตอบแทนให้มีความเชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานของเอกชน และกรณีการปรับลดค่าตอบแทนหากเอกชนปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามเงื่อนไขหรือข้อตกลง ๑.๒ มอบหมายให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ของโครงการ M6 (O&M) และโครงการ M81 (O&M) รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการนโยบายฯ เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทางถนนและทางรางเพื่อให้โครงการมีความคุ้มค่าในด้านการเงินและด้านเศรษฐศาสตร์ การพิจารณารายละเอียดค่าตอบแทนให้กับเอกชน การกำหนดเงื่อนไขในขอบเขตการดำเนินงาน (TOR) ของงานระบบการบำรุงรักษาและเกณฑ์คุณภาพของการดำเนินงานและบำรุงรักษาที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนต้องรับผิดชอบดำเนินการที่ชัดเจน การพิจารณาแนวทางการประเมินข้อเสนอของเอกชนเพื่อให้รัฐได้รับประโยชน์ทั้งในด้านเทคนิคและด้านการเงิน การกำหนดเงื่อนไขให้ภาคเอกชนจัดทำรายงานทางการเงินเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำต้นทุนการลงทุนระบบ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานและบำรุงรักษาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง การกำหนดกลไกการปรับอัตราค่าผ่านทางเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านรายได้และค่าใช้จ่ายของโครงการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การบริหารจัดการบัญชีเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางให้มีความเพียงพอต่อการจ่ายค่าตอบแทนให้กับเอกชนตามกำหนดเวลา และการปรับปรุงกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการให้รวดเร็วขึ้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองในระยะต่อไป ควรพิจารณารูปแบบการลงทุนที่ภาคเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการลงทุนทั้งระบบ และในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนการเงินจากภาครัฐบางส่วนเพื่อให้โครงการมีผลตอบแทนทางการเงินอยู่ในระดับที่เอกชนมีความสนใจเข้าร่วมลงทุน ให้พิจารณาภายใต้ความสามารถในการลงทุนของเงินกองทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เพื่อให้ภาครัฐสามารถจัดสรรงบประมาณไปใช้ในการบำรุงรักษาโครงข่ายถนนที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ให้พิจารณากำหนดราคาค่าเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ถ้ามี) ให้ถูกต้อง ตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและราคาตลาดของแต่ละพื้นที่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนอย่างแท้จริง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1638 | ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | กค | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1639 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี 2559 | กค | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ ๑๒ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยเป็นการรายงานภาพรวมธุรกิจประกันภัยเดือนมกราคม-ธันวาคม ๒๕๕๙ มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น ๗๗๗,๑๗๑ ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนร้อยละ ๔.๗๖ และผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์หลัก ๔ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย (๑) การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมประกันภัย (๒) การเสริมสร้างความรู้และการเข้าถึงการประกันภัย (๓) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขัน และ (๔) การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย รวมทั้งผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้รับคะแนนจากการประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการและแผนการดำเนินงานในปี ๒๕๕๙ จำนวน ๔.๓๒๕ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1640 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) มีสาระสำคัญเป็นการขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะครบระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ โดยให้ยังคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๖.๓ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ ๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ จะจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๙ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ ๑๐ (รวมภาษีท้องถิ่น) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเริ่มดำเนินการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มหลังจากร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสนอมาในครั้งนี้สิ้นสุดลงในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการขยายฐานการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความครอบคลุมสินค้าและผู้ประกอบการต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ สร้างความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจ และลดการบิดเบือนกลไกราคาที่เกิดจากการไม่สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในภาคเศรษฐกิจที่อยู่นอกระบบภาษี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
.....