ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 84 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1661 - 1680 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1661 | แนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ [ถูกยกเลิกโดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 20/02/67 (ว 90/67)] | กค | 18/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบแนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ ตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ให้นำ Skill Matrix มาใช้ในการพิจารณาสรรหาและแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ ๑.๒ ในการแต่งตั้งกรรมการอื่นที่มิใช่กรรมการโดยตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจแห่งใด ให้ผู้มีอำนาจพิจารณาเสนอชื่อจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์การทำงานในภาคธุรกิจไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมการอื่นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๑.๓ ห้ามมิให้มีการแต่งตั้งผู้บริหารสูงสุดหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งแห่งใดเป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจอื่น เว้นแต่กรณีที่มีกฎหมายกำหนด หรือกรณีการแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการของบริษัทที่รัฐวิสาหกิจนั้นถือหุ้นอยู่ ๑.๔ ไม่แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ข้าราชการการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจเพิ่มเติม ๑.๕ ให้มีผู้แทนกระทรวงการคลังที่เป็นข้าราชการประจำในกระทรวงการคลังเป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของทางราชการในฐานะผู้ถือหุ้นของรัฐวิสาหกิจ ๑.๖ ให้มีผู้แทนกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจที่เป็นข้าราชการประจำในกระทรวงเจ้าสังกัดซึ่งไม่อยู่ในหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น (Regulator) จำนวน ๑ คน เป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ เพื่อทำหน้าที่เชื่อมโยงนโยบายจากกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ กรณีมีเหตุจำเป็นอาจแต่งตั้งเพิ่มเติมได้อีกไม่เกิน ๑ คน ๑.๗ ในกรณีที่กฎหมายจัดตั้งของรัฐวิสาหกิจกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งใดในส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นเป็นกรรมการ และผู้ดำรงตำแหน่งนั้นจะมอบหมายให้ผู้อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนในตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจ ให้ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นพิจารณามอบหมายผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในหน่วยงานในสังกัดที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ มีเวลา และเหมาะสมกับความต้องการในการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาของแต่ละรัฐวิสาหกิจนั้น โดยทำเป็นคำสั่งมอบอำนาจเพื่อให้เกิดความรับผิดชอบชัดเจนและต่อเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่ ๑.๘ กรณีกฎหมายจัดตั้งของรัฐวิสาหกิจกำหนดให้มีผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ เป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ให้หน่วยงานนั้นแต่งตั้งจากบุคคลที่อยู่ในหน่วยงานเท่านั้น ๑.๙ ในกรณีที่ส่วนราชการแต่งตั้งข้าราชการประจำไปเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หากข้าราชการผู้นั้นเกษียณอายุหรือพ้นจากการเป็นข้าราชการประจำ ให้ส่วนราชการนั้นแต่งตั้งข้าราชการคนใหม่ไปแทนเนื่องจากข้าราชการผู้พ้นจากตำแหน่งแล้วไม่อยู่ในข่ายต้องได้รับโทษตามนัยพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดทางวินัยของข้าราชการซึ่งไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานที่มิใช่ส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๓๔ และเพื่อให้การกำกับดูแลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจเป็นไปตามนโยบายของส่วนราชการนั้น เว้นแต่ข้าราชการผู้ที่เกษียณอายุพ้นจากการเป็นข้าราชการประจำและส่วนราชการพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเชี่ยวชาญในกิจการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ส่วนราชการนั้นจะพิจารณาให้บุคคลดังกล่าวยังคงเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่อไปจนครบวาระที่ยังเหลืออยู่ก็ได้ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงบทบัญญัติของกฎหมายรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ที่ให้อำนาจในการแต่งตั้งหรือถอดถอนประกอบด้วย เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๗ (เรื่อง หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการพ้นจากตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจและบทกำกับข้าราชการที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1662 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) | กค | 11/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงชื่อและรายละเอียดของโครงการปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ให้รองรับซอฟต์แวร์ SAP ECC ๖.๐ เป็นโครงการจัดทำระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) วงเงิน ๘๒๓.๐๐ ล้านบาท ของสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังดำเนินการให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่ (๑) พิจารณาออกแบบสถาปัตยกรรมระบบ โดยจำเป็นต้องมี Code Based Management ของกระทรวงการคลัง (๒) จัดทำขั้นตอนการออกแบบระบบโดยแบ่งออกเป็นระยะต่าง ๆ เช่น การสร้างแนวความคิดหลัก (Conceptual Design) การออกแบบรายละเอียด (Detail Design) และการออกแบบการจัดทำระบบ (Implementation Design) เป็นต้น และ (๓) ภายหลังการดำเนินโครงการแล้วเสร็จ ควรมีการจัดทำระบบดังกล่าวให้เป็น Open Source Software เพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) ได้มีโอกาสพัฒนาโปรแกรมร่วมกัน ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้พิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายโครงการอีกครั้ง ในขั้นตอนการอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม ทั้งนี้ ในกรณีโครงการต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการเพื่อพัฒนาและดูแล บำรุงรักษาระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐ โดย ๒.๑ ดูแลและบำรุงรักษาระบบ GFMIS ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเจ้าของระบบแล้ว ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกว่าระบบ New GFMIS Thai จะได้รับการปรับปรุงและพัฒนาจนสามารถรองรับการทำงานทดแทนระบบ GFMIS เดิมได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อป้องกันการขาดเสถียรภาพของระบบ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการสูญหายของข้อมูล หรือเกิดผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณของประเทศในภาพรวม ๒.๒ เร่งรัดพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและดูแลบำรุงรักษาระบบ New GFMIS Thai ให้มีความสามารถในการดูแล บำรุงรักษาระบบให้มีเสถียรภาพ ตลอดจนสามารถพัฒนาระบบดังกล่าวให้สามารถรองรับการเบิกจ่ายงบประมาณในรูปแบบใหม่ ๆ ตามนโยบายของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๓ ดำเนินการจัดฝึกอบรมให้แก่บุคลากรของทุกหน่วยงานที่ใช้งานระบบ GFMIS ให้ทั่วถึงเพื่อให้ผู้ใช้งานมีความรู้ ความเข้าใจ ในการดำเนินงานด้วยระบบ New GFMIS Thai ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้งานระบบดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำปัญหาอุปสรรคในการใช้งาน ตลอดจนข้อเสนอแนะจากผู้ใช้งานไปปรับปรุงระบบ New GFMIS Thai ให้สามารถตอบสนองการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังกำกับติดตามการดำเนินงานของโครงการเงินกู้ DPL ในส่วนที่ไม่อยู่ในแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๓.๑ เร่งรัดให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการซึ่งได้ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้ว แต่ยังดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณไม่แล้วเสร็จ จำนวน ๑๑ โครงการ ดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบประมาณ วงเงิน ๘๘๑.๘๑ ล้านบาท ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๓.๒ พิจารณาถึงความจำเป็น ความเหมาะสม และความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการภายใต้โครงการเงินกู้ DPL ที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินโครงการ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพิจารณาเร่งรัดหรือยุติการดำเนินโครงการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบภายใน ๒ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1663 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางศรีรัตน์ วัฒนล้ำเลิศ) | กค | 11/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางศรีรัตน์ วัฒนล้ำเลิศ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1664 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายสมชาย แสงรัตนมณีเดช) | กค | 04/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสมชาย แสงรัตนมณีเดช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1665 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2560 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 | กค | 04/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ มีจำนวน ๖,๑๖๖,๕๔๙.๓๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๒.๒๗ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๔,๗๒๘,๖๕๕.๖๐ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙๖๒,๘๘๕.๓๒ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๔๕๕,๕๘๐.๑๘ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๑๙,๔๒๘.๒๒ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ โดยได้มีการปรับปรุงแผนฯ แล้ว ๑ ครั้ง มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๔๙,๕๘๔.๒๒ ล้านบาท ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๗๔๕,๕๐๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๖๑ ของแผนฯ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ของรัฐวิสาหกิจ จากการติดตามผลการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจพบว่า มีโครงการของการรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ที่มีผลการดำเนินงานล่าช้ากว่าแผน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1666 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และผูกพันงบประมาณ | กค | 04/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ภายในกรอบวงเงิน ๑๒๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๗๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ค่าจัดส่งบัตร พัฒนาระบบจ่ายตรง ระบบตรวจสอบค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล จัดตั้ง call center และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ส่วนที่เหลือ จำนวน ๔๘,๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้กรมบัญชีกลางเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ สำหรับกรณีโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ๒๕๖๐ จำนวน ๑,๕๘๑,๗๗๖,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าตัวบัตรและค่าจัดการบัตรในปีที่ ๑ นั้น เนื่องจากสำนักงานสถิติแห่งชาติกำลังตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนบุคคล ดังนั้น หากกระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางได้ดำเนินการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณงบกลางที่จะขอรับการจัดสรร และรายละเอียดประมาณการค่าใช้จ่าย รวมทั้งได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีกิจกรรมร่วมกันได้ในบัตรใบเดียว โดยให้มีคณะกรรมการบริหารเรื่องการใช้บัตรดังกล่าว เช่น เรื่องสวัสดิการ รถเมล์รถไฟฟรี ฯลฯ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีแล้ว สำนักงบประมาณก็ไม่ขัดข้องที่กระทรวงการคลังจะดำเนินโครงการดังกล่าว ส่วนแหล่งเงินที่จะใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนโดยคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาบูรณาการข้อมูลการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ๒๕๖๐ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การลงทุนเกิดความคุ้มค่า สามารถเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์ข้อมูลในการจัดสวัสดิการภาครัฐร่วมกันได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ข้าราชการและประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้ทราบข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้บัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ถูกต้อง ชัดเจน และทั่วถึงต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1667 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 20 | กค | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ ๕๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๒๐ ระหว่างวันที่ ๖-๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ นครโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นการประชุมหารือเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจของอาเซียน+๓ และการพัฒนาความร่วมมือระหว่าง ADB และไทย เช่น การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบผสมผสาน การสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลาง ADB ประจำภูมิภาค และการวางแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ของ ADB ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยในอนาคต รวมทั้งกำหนดวันและสถานที่สำหรับการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการ ADB และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ในปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และสาธารณรัฐฟิจิ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1668 | ขอยกเว้นให้โครงการพัฒนาที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 3275 เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เพื่อก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร สามารถดำเนินการคัดเลือกเอกชนโดยไม่ใช้วิธีประมูล | กค | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการยกเว้นให้โครงการพัฒนาที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.๓๒๗๕ เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เพื่อก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นโครงการตามนโยบายรัฐบาลในการให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการทำคุณงามความดีและรำลึกถึง "ศาสตร์แห่งพระราชา" ให้สามารถดำเนินการคัดเลือกเอกชนโดยไม่ใช้วิธีประมูลตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการที่มีวงเงินมูลค่าต่ำกว่าที่กำหนดในมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๒๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๐ โดยกำหนดเงื่อนไขให้เอกชนต้องร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรุงเทพมหานคร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดทำแผนบริหารจัดการจราจรและการสัญจร การรักษาสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชนในบริเวณดังกล่าวเสนอกรมธนารักษ์และกระทรวงการคลังพิจารณา รวมทั้งให้นำรายได้ที่เหลือจากการดำเนินโครงการฯ หลังหักค่าใช้จ่ายไปดำเนินการเชิงสังคมโดยมิให้นำมาแบ่งปันกัน ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรคำนึงถึงการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกำกับดูแลให้เป็นไปตามเงื่อนไขของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐอย่างเข้มงวด และเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดที่รัฐและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) วางแผนการบริหารจัดการโครงการฯ ภายหลังจากสัญญาที่ให้เอกชนร่วมลงทุนสิ้นสุดลง เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้หอชมเมืองกรุงเทพมหานครเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1669 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์] | กค | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์] มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้จ่ายค่าซื้อ หรือค้าจ้างทำ หรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาใช้ในการประกอบกิจการจากผู้ประกอบการที่ขาย หรือรับจ้างทำหรือให้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (ปัจจุบันถูกยุบเลิกไปแล้วโดยพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐) สามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักเป็นรายจ่ายได้ ๒ เท่า ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่าสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้ถูกยุบเลิกไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งกำหนดให้ยุบเลิกสำนักงานและให้โอนกิจการ เงิน และทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานไปเป็นของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล จึงเห็นควรแก้ไขถ้อยคำในร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการดังกล่าวควรจะสร้างความรับรู้และความเข้าใจ และประโยชน์ที่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) จะได้รับในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1670 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2560 ครั้งที่ 2 | กค | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับลดลงสุทธิ ๑๐,๑๗๖.๗๘ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๙๙,๔๔๒.๔๘ ล้านบาท เป็น ๑,๕๘๙,๒๖๕.๗๐ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๔๐๐.๐๐ ล้านบาท จากเดิม ๑๕๐,๑๔๑.๗๔ ล้านบาท เป็น ๑๔๙,๗๔๑.๗๔ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนฯ ด้งกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๖ รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ โดยมอบหมายให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยต้นทุนทางการเงินที่เกิดขึ้นจากโครงการรถเมล์ฟรีและรถ PSO ๑.๗ รับทราบผลการติดตามการบริหารจัดการระบายยางพาราคงค้างของการยางแห่งประเทศไทย ๑.๘ มอบหมายให้ ขสมก. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ เพื่อชำระค่าดอกเบี้ยที่ครบกำหนด จำนวน ๓,๔๔๗.๒๗ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย อาทิ เห็นควรให้ ขสมก. ประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดเกี่ยวกับการขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระค่าดอกเบี้ยที่ครบกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดภาระหนี้สะสมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในระยะต่อไป สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะควรมีการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของหนี้ต่างประเทศภาครัฐให้เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย เร่งรัดการนำโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย-จีน ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา เสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนโดยเร็วต่อไป ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการระบายยางพาราคงคลังของการยางแห่งประเทศไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางการตลาด โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราและราคายางในท้องตลาด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1671 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2560 | กค | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งประกอบด้วย ๓ เรื่อง คือ (๑) ความคืบหน้าของการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... (๒) ความคืบหน้าการดำเนินงานของบริษัทในเครือที่ต้องยุบเลิกหรือถอนการลงทุน และ (๓) การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย และมอบหมายผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ดำเนินการตามมติ คนร. ดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คนร. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1672 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 | กค | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๐ ภายใต้วงเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๘๔๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๕๙ จำนวน ๒๐๓,๙๔๔,๖๗๕.๓๔ บาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๖๓๗,๑๕๕,๓๒๔.๖๖ บาท ๑.๒ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๖๓๗,๑๕๕,๓๒๔.๖๖ บาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ หากสิ้นสุดระยะเวลาในการขายกรมธรรม์แล้วพบว่า มีจำนวนพื้นที่เอาประกันภัยมากกว่าพื้นที่เป้าหมายที่เสนอของบประมาณอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย จำนวน ๓๐ ล้านไร่ กระทรวงการคลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๐ ให้ได้ตามเป้าหมายขั้นต่ำ จำนวน ๒๕ ล้านไร่ โดยเกษตรกรผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้บริการพร้อมเพย์ (Promptpay) ในการรับ-โอนค่าเบี้ยประกันภัยและค่าสินไหมทดแทน พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัย โดยเฉพาะการเข้าร่วมโครงการฯ ของเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ไม่เหมาะสมตามการกำหนดเขตพื้นที่ปลูกข้าว (Zoning) ซึ่งประกาศโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ และให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและ ธ.ก.ส. ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกร แบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกรผู้เอาประกันภัยข้าว เพื่อรับค่าสินไหมทดแทน (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการรับประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในอนาคต และรองรับการแก้ไขปัญหาการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ๑.๕ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเก็บข้อมูลและปรับปรุงฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ดัชนีผลผลิตต่อเขตพื้นที่ (Area Yield Index) และเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเตรียมการรองรับการประกันภัยข้าวและการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต ๑.๖ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานครดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๕๙ และขอให้จัดส่งข้อมูลให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยและ ธ.ก.ส. เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๗ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๐ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ในภาพรวมและเชิงรุกให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๘ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการรับประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๐ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการประกันภัยเปรียบเทียบกับการให้ความช่วยเหลือโดยหน่วยงานภาครัฐในรูปแบบอื่น เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการประกันภัยในโอกาสต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดศึกษาแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรให้ครอบคลุมถึงพืชผลชนิดอื่น ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ในการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปีสำหรับปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาและนำเสนอโครงการฯ ต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวและคณะรัฐมนตรีให้ทันก่อนเริ่มฤดูกาลเพาะปลูก เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่ต้องการให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ อย่างทั่วถึงและได้รับการคุ้มครองตลอดระยะเวลาการเพาะปลูกข้าวนาปีทั้งฤดูการผลิต ๕. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการฯ ในอนาคต โดยส่งเสริมให้เกษตรกรได้มีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผลมากยิ่งขึ้น และทยอยให้เกษตรกรเพิ่มการมีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันภัยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1673 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. 2559) | กค | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. ๒๕๕๙) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เงินได้ที่เป็นเงินเดือนหรือค่าตอบแทนที่ผู้จัดการทั่วไปและรองผู้จัดการทั่วไปของสำนักงานเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (สำนักเลขานุการแอปเทอร์) ซึ่งเป็นคนต่างด้าว ได้รับจากสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม เนื่องจากการเข้ามาปฏิบัติงานในประเทศไทยภายใต้ความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1674 | รายงานผลการกู้เงินล่วงหน้าสำหรับรองรับการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลรุ่น LB176A ที่จะครบกำหนดในวันที่ 16 มิถุนายน 2560 | กค | 13/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินล่วงหน้าสำหรับรองรับการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลรุ่น LB๑๗๖A ที่ออกโดยพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ ที่จะครบกำหนดในวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ จำนวน ๑๒๘,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการ Pre-funding จำนวน ๙๐,๔๕๐ ล้านบาท เพื่อลดความเสี่ยงในการปรับโครงสร้างหนี้ โดยดำเนินการดังนี้
๑. ออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ครั้งที่ ๑ (LB๒๒๖A) อายุ ๕.๑๖ ปี จำนวน ๒๕,๔๕๐ ล้านบาท ประมูลในวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๐ โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ ๒.๑๐๓๗ ต่อปี ๒. ออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ครั้งที่ ๒ (LB๒๖DA) อายุ ๙.๖๒ ปี จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลในวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐ โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ ๒.๗๔๐๓ ต่อปี ๓. ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ครั้งที่ ๒ อายุ ๙๑ วัน จำนวนรวม ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลในวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๐ จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ ๑.๔๐๒๔๑ ต่อปี ๔. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการกู้เงินดังกล่าว จำนวน ๓ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1675 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางญาใจ พัฒนสุขวสันต์) | กค | 13/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางญาใจ พัฒนสุขวสันต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1676 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อขยายผลในการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล | กค | 13/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ เพื่อขยายผลในการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล ให้แก่บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินใด ๆ ให้แก่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งตามมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1677 | รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 และเสนอให้จัดทำโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย | กค | 13/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ ซึ่งเมื่อสิ้นสุดโครงการลงทะเบียนฯ มีผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น ๑๔,๑๘๐,๓๓๖ คน โดยอยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลและตรวจสอบคุณสมบัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะตรวจสอบคุณสมบัติแล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ และจะเผยแพร่ผลการตรวจสอบต่อไป ๑.๒ เห็นชอบในสาระสำคัญของโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจสภาพความเป็นอยู่และความต้องการสวัสดิการจากภาครัฐของผู้มีรายได้น้อย ซึ่งครอบคลุมผู้ที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๖๐ และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นหน่วยงานจัดทำโครงการสำรวจฯ และประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า นักศึกษาผู้สำรวจข้อมูลควรมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ที่จะทำการสำรวจเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงพื้นที่ในการสำรวจ อีกทั้งควรพิจารณาจัดทำแบบสำรวจให้ครอบคลุมข้อมูลที่เหมาะสมตามความจำเป็น เพื่อให้รัฐบาลมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน และประสานความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกให้กับการสำรวจข้อมูลประชากรในพื้นที่เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียน และนำไปสู่การสร้างฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่สมบูรณ์แบบ ตลอดจนควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจภาคครัวเรือนในการจัดทำแบบสอบถามเพื่อใช้ในการสำรวจ รวมทั้งการดำเนินโครงการสำรวจควรพิจารณาถึงการได้มาของข้อมูลในระดับครัวเรือนควบคู่กับข้อมูลในระดับบุคคล การพิจารณาถึงบริบทด้านครัวเรือนเพิ่มเติมจะช่วยลดความซ้ำซ้อนในการจัดสวัสดิการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐได้อีกส่วนหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1678 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) | กค | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) ให้ได้ข้อยุติ โดยหากรัฐภาคีเห็นว่าข้อเสนอของกระทรวงการคลังเป็นเรื่องที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดกับหลักเกณฑ์ของข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement on ASEAN Industrial Projects) ก็ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามที่เสนอได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบอีก และให้รายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลให้รอบคอบและรัดกุม เพื่อไม่ให้เป็นภาระที่รัฐต้องใช้งบประมาณในการแก้ปัญหาในภายหลัง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรมีมาตรการรองรับในกรณีที่ไม่มีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการและ/หรือรัฐวิสาหกิจถือหุ้นในสัดส่วนที่มีอำนาจในการควบคุมจัดการสนใจเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนการลงทุนได้อย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของโครงการฯ และพิจารณาหาสาเหตุที่ไม่มีหน่วยงานรัฐสาหกิจสนใจลงทุนในโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการในรูปแบบอื่น เพื่อรองรับกรณีที่ผลการหารือกับรัฐภาคีระบุว่าข้อเสนอของกระทรวงการคลังไม่สอดคล้องกับ Basic Agreement ต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) พร้อมทั้งกำหนดมาตรการรองรับในกรณีที่การดำเนินโครงการฯ ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ รวมทั้งให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการต่อต้านจากมวลชนในการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1679 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายอภิชา ประสงค์ธรรม) | กค | 30/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอภิชา ประสงค์ธรรม ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1680 | การระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | กค | 30/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยไม่มีกลไกการรับประกันผลตอบแทนสำหรับการระดมทุนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อาทิ การกำหนดอัตราคิดลดลงให้อยู่ในระดับที่ไม่สูงไปกว่าการระดมทุนของกองทุนรวมอื่น ๆ และใกล้เคียงกับต้นทุนทางการเงินในการกู้เงินหรือการออกพันธบัตร การปรับลดระยะเวลาของสัญญาโอนและรับโอนสิทธิในรายได้ค่าผ่านทาง (RTA) ความคล่องตัวและความเป็นอิสระในการบริหารงานของ กทพ. การศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบในการใช้แหล่งเงินจากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาและถ่ายทอดความรู้ด้านการบริหารจัดการการเงินสมัยใหม่ให้แก่บุคลากรของ กทพ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่จะดำเนินการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ในระยะต่อไป รวมทั้งความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคม กทพ. ร่วมกับกระทรวงการคลังเร่งจัดทำร่างสัญญาโอนและรับสิทธิโอนในรายได้ (Revenue Transfer Agreement : RTA) รวมทั้งรายละเอียดในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จเพื่อส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาโดยเร็วต่อไป ๑.๒ ให้คณะกรรมการเพื่อเตรียมการจัดตั้งและกำกับการดำเนินงานของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (กองทุนรวมฯ) พิจารณากำหนดสัดส่วนผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมฯ ให้ชัดเจน เหมาะสม โดยให้ประชาชนรายย่อยในประเทศเป็นสัดส่วนหลักของกองทุนรวมฯ และให้ภาครัฐร่วมถือหน่วยลงทุนด้วยในระดับที่เหมาะสมเพื่อให้กองทุนรวมฯ มีความมั่นคงและสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน รวมทั้งให้กำหนดแผนปฏิบัติการและระยะเวลาในการดำเนินการเพื่อการจัดตั้งกองทุนรวมฯ ตามขั้นตอนที่เหลืออยู่ให้มีความชัดเจน เหมาะสม เพื่อให้กองทุนรวมฯ สามารถเริ่มระดมทุนได้ตามแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคม และ กทพ. เร่งเตรียมการในส่วนของโครงการที่จะใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนของกองทุนรวมฯ ให้แล้วเสร็จเพื่อให้สอดรับกับแผนการระดมทุนของกองทุนรวมฯ และให้ทั้งสองส่วนสามารถดำเนินการควบคู่กันไปอย่างมีประสิทธิภาพตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงความคืบหน้าของการจัดตั้งกองทุนรวมฯ เหตุผลความจำเป็น และผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศในภาพรวม ตลอดจนผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมฯ ซึ่งเป็นแหล่งออมเงินรูปแบบใหม่ที่มีความมั่นคง เพื่อดึงดูดให้ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมลงทุนในกองทุนรวมฯ ได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ ให้เสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมฯ แก่ประชาชนรายย่อยในประเทศเป็นลำดับแรก ก่อนดำเนินการเสนอขายให้นักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบันต่อไป ๓. ในการสรรหาผู้บริหารกองทุนรวมฯ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับการดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้พิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารกองทุนโดยตรง เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปด้วยความมีประสิทธิภาพและเป็นแหล่งเงินทุนใหม่ในการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|