ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 86 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1701 - 1720 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1701 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2559 | กค | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๙ ขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ร้อยละ ๓.๑ โดยมีปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน สัญญาณฟื้นตัวของการส่งออกสินค้า และการใช้จ่ายภาครัฐที่ยังขยายตัวได้ดีและเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจ รวมทั้งในภาพรวมเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินไทยอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากฐานะทางการเงินของธุรกิจขนาดใหญ่และสถาบันการเงินมีความเข้มแข็ง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๙ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๔๗ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี ๒๕๕๙ เป็นบวกที่ร้อยละ ๐.๑๙ ซึ่งยังคงต่ำกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน ๒. การดำเนินนโยบายการเงิน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๙ ประเมินว่า ในภาพรวมนโยบายการเงินอยู่ในระดับที่ผ่อนปรนเพียงพอและเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๙ เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จากการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์สหรัฐตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1702 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร) | กค | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจาก รองศาสตราจารย์วราภรณ์ สามโกเศศ ประธานกรรมการคนเดิมจะมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ ในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๐ จนถึงวันที่คณะกรรมการบริหารชุดปัจจุบันครบวาระ ในวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1703 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายวิจักษณ์ อภิรักษ์นันท์ชัย) | กค | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวิจักษณ์ อภิรักษ์นันท์ชัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1704 | การรายงานผลการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2555 - 2558 | กค | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการรายงานผลการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ และผลการติดตามการก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี และเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ ภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงานและระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘) ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐซึ่งมีรายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1705 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2560 | กค | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๐ ซึ่งประกอบด้วย ๔ เรื่อง คือ (๑) การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย (๒) แผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ (๓) แนวทางกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณากำหนดค่าตอบแทนระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม และ (๔) ข้อสังเกตของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กรณีการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และมอบหมายผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ดำเนินการตามมติ คนร. ดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คนร. เสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับปรุงค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจและสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีมาตรฐานเดียวกัน มีความเสมอภาคและเป็นธรรมยิ่งขึ้น โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อภาระงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาวด้วย รวมทั้งเห็นควรให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการให้ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1706 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2558 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีผลการขาดทุนจากการให้บริการ จำนวน ๑,๐๓๗.๙๗๕ ล้านบาท และของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งมีผลการขาดทุนจากการให้บริการ จำนวน ๒,๖๒๒.๙๗๓ ล้านบาท และเห็นควรให้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งวดที่ ๒ ในส่วนของ ขสมก. จำนวน ๑๕๙.๗๗๓ ล้านบาท และ รฟท. จำนวน ๒๕๐.๐๗๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้ ขสมก. และ รฟท. รับความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการของ ขสมก. และให้ รฟท. จัดหารถจักร รถพ่วงโดยสาร และขบวนรถไฟให้เพียงพอต่อการให้บริการ พร้อมทั้งเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน รถจักรและล้อเลื่อน เพื่อให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน และยกระดับคุณภาพการให้บริการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจัดทำแนวทางการปรับปรุงผลการดำเนินงานการให้บริการสาธารณะสำหรับตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์ค่าเป้าหมาย นอกจากนี้ ให้ ขสมก. และ รฟท. เร่งดำเนินการลงทุนตามที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว รวมถึงการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการและควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพเพื่อลดภาระเงินงบประมาณอุดหนุนของภาครัฐ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการคำนวณเงินอุดหนุนบริการสาธารณะงวดที่ ๒ ในอนาคต อาจพิจารณามาตรการอื่น ๆ แทนการตัดเงินอุดหนุน หรือกรณีที่ประสงค์จะตัดเงินอุดหนุนต่อไป อาจพิจารณากำหนดเพดานสูงสุดไว้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อกิจการของ รฟท. ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและเร่งรัดการดำเนินการประเมินผลและการจัดทำรายงานผลการให้บริการสาธารณะของ ขสมก. และ รฟท. ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปีถัดจากปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางประเมินผลการดำเนินงานและการกำกับดูแลการดำเนินงานของ รฟท. ให้มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับ ขสมก. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง ขออนุมัติกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพิ่มเติม ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1707 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในระยะแรก | กค | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในระยะแรก (Memorandum of Understanding on the ‘Early Harvest’ Implementation of the Greater Mekong Subregion Cross-Border Transport Agreement) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดพื้นฐานความเข้าใจที่จำเป็น แนวทางปฏิบัติสำหรับการดำเนินการขนส่งข้ามพรมแดน และการดำเนินการด้านพิธีการศุลกากรสำหรับการนำเข้ารถยนต์และตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อเป็นการเริ่มดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross-Border Transport Agreement : CBTA) ที่ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงทั้ง ๖ ประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว เมียนมา กัมพูชา จีน และเวียดนาม ได้ให้สัตยาบันต่อภาคผนวกและพิธีสารของความตกลง GMS CBTA ครบทั้งหมดแล้วเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ซึ่งการดำเนินการตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในระยะแรกจะสามารถลดอุปสรรคการขนส่งข้ามพรมแดนในส่วนของการออกใบอนุญาตสำหรับการขนส่งทางถนน ประเทศละ ๕๐๐ ฉบับ และขั้นตอนการนำเข้ารถยนต์ชั่วคราวและตู้คอนเทนเนอร์ชั่วคราว ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสำหรับการลงนามดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในประเด็นความพร้อมขององค์กรค้ำประกัน การจัดทำเอกสารในการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน และแนวทางการนำระบบ IT เข้ามาใช้ในการขนส่งข้ามพรมแดน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1708 | พิธีสาร 2 การกำหนดที่ทำการพรมแดน (Designation of Frontier Posts) และภาคผนวก ที่ทำการพรมแดนในระยะเริ่มต้น ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Goods in Transit: AFAFGIT) | กค | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสาร ๒ การกำหนดที่ทำการพรมแดน (Designation of Frontier Posts) และภาคผนวก ที่ทำการพรมแดนในระยะเริ่มต้น ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Goods in Transit : AFAFGIT) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการให้ประเทศภาคีกำหนดที่ทำการพรมแดนของตนเองในเบื้องต้นอย่างเป็นทางการ โดยในส่วนของประเทศไทยได้กำหนดไว้ ๗ จุด คือ ที่ทำการพรมแดนแม่สาย ที่ทำการพรมแดนแม่สอด ที่ทำการพรมแดนอรัญประเทศ ที่ทำการพรมแดนหนองคาย ที่ทำการพรมแดนสะเดา ที่ทำการพรมแดนมุกดาหาร และที่ทำการพรมแดนเชียงของ ทั้งนี้ การลงนามในร่างพิธีสารฯ จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ ๓-๗ เมษายน ๒๕๖๐ ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามร่างพิธีสารฯ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ในการลงนามร่างพิธีสารฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสารหรือตราสารการยอมรับเพื่อมอบให้แก่สำนักเลขาธิการอาเซียนต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1709 | ขอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อขยายขอบเขตการทำธุรกิจและแก้ไขข้อขัดข้องในการดำเนินกิจการของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ร่างกฎหมาย รวม 3 ฉบับ) | กค | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖ เพื่อแก้ไขวัตถุประสงค์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้รองรับการให้สินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage : RM) ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ ธอส. แก้ไขอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนกรรมการผู้จัดการ แก้ไขอำนาจในการออกและขายพันธบัตร หุ้นกู้ และแก้ไขเพิ่มเติมให้ ธอส. มีอำนาจในการออกและขายสลากออมทรัพย์ เพื่อให้ ธอส. มีช่องทางใหม่ในการระดมทุนระยะยาวยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการอันพึงเป็นงานธนาคารของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายขอบเขตการดำเนินงานของ ธอส. ให้สามารถประกอบกิจการในการให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการเข้าถือหุ้นในกิจการประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย กิจการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน กิจการรับจัดทำสัญญา และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และกิจการประกันวินาศภัยและประกันชีวิตได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการกำหนดให้ ธอส. สามารถรับประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย อาจเกิดความขัดแย้งกันในบทบาทในกรณีที่ ธอส. เป็นผู้ให้สินเชื่อและเป็นผู้รับประกันความเสี่ยงเอง ซึ่งไม่ได้เป็นการปิดความเสี่ยงที่เกิดกับ ธอส. ได้จริง รวมทั้งการกำหนดให้ ธอส. สามารถรับประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย รับประเมินมูลค่าทรัพย์สิน จัดทำสัญญา และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ไม่สอดคล้องกับหลักการและเหตุผลที่ระบุว่า ให้เป็นการลงทุนในกิจการโดยการเข้าถือหุ้นในกิจการดังกล่าว จึงควรพิจารณาให้สอดคล้องกันเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขขอบเขตการให้กู้ยืมเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม แก้ไขการออก ขาย ขายลด หรือขายตั๋วเงินหรือตราสารเปลี่ยนมือ แก้ไขเงื่อนไขการซื้อตั๋วเงินหรือตราสารเปลี่ยนมือ และแก้ไขอำนาจในการซื้อหรือรับโอน การขายหรือจำหน่ายสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๕. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการขอแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุ ควรศึกษาถึงปัจจัยความสำเร็จ ตลอดจนปัญหาอุปสรรคของการดำเนินโครงการในประเทศต่าง ๆ เพื่อกำหนดให้มีกลไกการบริหารความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ให้ครบถ้วนก่อนที่จะดำเนินโครงการ และมีการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้สูงอายุและครอบครัวเกี่ยวกับภาระและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนการขอแก้ไขพระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการอันพึงเป็นงานของ ธอส. เพื่อขยายขอบเขตการดำเนินงานในธุรกิจการรับประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Insurance : MI) ควรศึกษาความเหมาะสมและความเสี่ยงจากการดำเนินการดังกล่าวให้รอบคอบ และในการขยายขอบเขตการดำเนินงานธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ควรจำกัดให้สามารถทำได้เฉพาะการประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยสำหรับที่อยู่อาศัยเท่านั้น รวมทั้งการขอแก้ไขกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ เกี่ยวกับการซื้อหรือรับโอน การขายหรือจำหน่ายสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เป็นอำนาจของ ธอส. ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมในการบริหารงานและการกำกับดูแล ธอส. ให้มีความรอบคอบและรัดกุมในอนาคตด้วย นอกจากนี้ การออกและขายสลากออมทรัพย์ของ ธอส. ตามร่างพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ ควรมีมาตรฐานการออกและขายสลากออมทรัพย์เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1710 | รายงานผลการพิจารณาการดำเนินการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน 7 เส้นทาง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาการดำเนินการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน ๗ เส้นทาง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามที่คณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง (คกจ.) รายงาน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออกช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย และ (๒) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ให้ดำเนินการต่อไป โดยให้มีการกำกับติดตามในขั้นตอนการบริหารสัญญาให้มีความโปร่งใส ๑.๒ โครงการที่อยู่ระหว่างการประกวดราคา จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกระเบา-ชุมทางถนนจิระ (๒) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ (๓) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-หัวหิน (๔) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และ (๕) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทบทวน TOR ทั้ง ๕ เส้นทาง โดยปรับลดเงื่อนไขการกำหนดผลงาน จากเดิมกำหนดร้อยละ ๑๕ คงเหลือร้อยละ ๑๐ ของค่าก่อสร้าง และไม่ให้กำหนดเงื่อนไขการส่งมอบเครื่องจักรอุปกรณ์ของผู้รับจ้างที่ใช้ในการก่อสร้างให้กับ รฟท. เมื่องานก่อสร้างแล้วเสร็จ รวมทั้งให้ รฟท. ทบทวน แยกงานระบบอาณัติสัญญาณออกจากงานระบบรางและงานโยธา ตามข้อสรุปร่วมกันระหว่าง คกจ. และคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดกลางสามารถเข้าร่วมการเสนอราคาได้มากราย ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานเพิ่มเติมว่า คกจ. ได้หารือร่วมกันและได้รับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ได้ข้อสรุปแนวทางการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คกจ. ตามที่เสนอมาในครั้งนี้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะทำให้การดำเนินโครงการมีความโปร่งใสและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดกลางสามารถเข้าร่วมการเสนอราคาได้มากราย ส่งผลให้เกิดการแข่งขันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คกจ. ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยแล้วมีความเห็นสอดคล้องกันว่า การดำเนินโครงการนี้ควรแยกงานระบบอาณัติสัญญาณออกจากงานระบบรางและงานโยธา โดยจะแบ่งการดำเนินโครงการออกเป็น ๑๓ สัญญา ประกอบด้วย งานระบบรางและงานโยธา ๑๐ สัญญา และงานระบบอาณัติสัญญาณ ๓ สัญญา ทั้งนี้ การดำเนินการตามแนวทางที่ คกจ. เสนอจะอยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้แล้ว ๓. ให้ รฟท. เร่งรัดดำเนินการประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คกจ. รวม ๕ โครงการ ให้ได้ผู้รับจ้างภายใน ๓ เดือน ๔. สำหรับงานระบบอาณัติสัญญาณ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้เทคโนโลยีและต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระบบขนส่งทางราง นั้น ให้ คกจ. พิจารณาประกวดราคาโดยวิธีการประกวดราคานานาชาติ (International bidding) เพื่อให้มีผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าแข่งขันได้มากราย อันนำไปสู่การใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1711 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา) | กค | 21/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา) ซึ่งกระทรวงการคลังได้มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๔) พ.ศ. ๒๕๖๐ (การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา) ทางเว็บไซต์กรมสรรพากรและสื่อต่าง ๆ และจะดำเนินการประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมโดยเฉพาะในช่วงเวลาก่อนยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมทั้งได้มีการพิจารณาทบทวนบทบัญญัติของกฎหมายเป็นระยะ ๆ มาโดยตลอด และจะนำข้อเสนอความเป็นไปได้ในการเพิ่มทางเลือกในการหักค่าใช้จ่ายมาพิจารณาศึกษาความเหมาะสมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1712 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการใหม่ กระทรวงการคลัง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท จังหวัดกรุงเทพมหานคร | กค | 21/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ของสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง กรณีรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการใหม่ กระทรวงการคลัง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท จังหวัดกรุงเทพมหานคร ในวงเงิน ๑,๖๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1713 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan | กค | 21/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ จำนวน ๒,๒๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (บสย.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับกรณีของค่าประกันชดเชย ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการฯ ก่อนเป็นลำดับแรก ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดกรอบ นิยาม เงื่อนไข หรือแนวทางในการอนุมัติสินเชื่ออย่างชัดเจน มีความโปร่งใส และชี้แจงได้ การกำหนดเงื่อนไขให้ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นนิติบุคคล การจัดทำบัญชีและการตรวจสอบบัญชีโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต การยื่นงบการเงินเป็นประจำทุกปี การบ่มเพาะและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการใหม่ (New/Start-up) ที่ใช้นวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจให้มากขึ้น การให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่มีแนวโน้มเติบโตเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ๔.๐ ในการหาตลาดส่งออก การกระจายวงเงินสินเชื่อของโครงการฯ แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่ออย่างทั่วถึง และคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเกี่ยวกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ ๓ ต่อปี ในช่วง ๓ ปีแรก โดยจะปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยในปีที่ ๔-๗ และความเห็นเพิ่มเติมของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ขอปรับแก้ไขหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๑๓/๑๕๑๒ ลงวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ในข้อ ๓ จากเดิม “.... เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง จึงเห็นควรกำหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan จะต้องไม่เป็นผู้ได้รับสินเชื่อในโครงการ Policy Loan มาก่อน” เป็น “.... เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง จึงเห็นควรให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) พิจารณาการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ที่ไม่เคยเข้าร่วมโครงการ Policy Loan เป็นลำดับแรกก่อน” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการปล่อยสินเชื่อ เช่น ธนาคารออมสิน หรือธนาคารกรุงไทย เป็นต้น เข้าร่วมดำเนินโครงการฯ ด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธพว. และ บสย. ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มเป้าหมายทราบถึงรายละเอียดโครงการอย่างถูกต้องทั่วถึง เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาร่วมโครงการต่อไป รวมทั้งให้ ธพว. และ บสย. ดำเนินการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้การดำเนินธุรกิจประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เช่น จัดฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ และให้คำแนะนำในการวางแผนธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ SMEs เป็นต้น ๕. ให้กระทรวงการคลังนำเสนอโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเพื่อบรรจุไว้เป็นโครงการสำคัญของรัฐบาลที่ต้องติดตามเร่งรัดต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในภาพรวมเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1714 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... | กค | 21/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ของกระทรวงการคลัง ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยกเว้นทรัพย์สินจากการจัดเก็บภาษี ฐานภาษี อัตราภาษี การคำนวณภาษี การลดหรือยกเว้นภาษี โดยยกเลิกพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ พระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ และพระราชบัญญัติกำหนดราคาปานกลางของที่ดินสำหรับการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๒๙ และกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเก็บภาษีจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างของภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่ให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน และช่วยกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ โดยให้รับไปพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดวันเริ่มการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามร่างพระราชบัญญัตินี้ และให้คำนึงถึงความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระยะเวลาในการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามร่างพระราชบัญญัตินี้ และระยะเวลาในการเตรียมการสำรวจ จัดทำฐานภาษี และดำเนินการอื่น ๆ ที่จำเป็นก่อนที่จะเริ่มจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหลังจากร่างพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ โดยเห็นควรให้เริ่มจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคมของปีถัดไปจากวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการเสนอกฎหมายลำดับรองตามร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นไปตามกำหนดเวลาตามข้อ ๑ และมีประสิทธิภาพต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1715 | การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489 และที่แก้ไขเพิ่มเติม [ร่างพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | กค | 14/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๐ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1716 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ในประเทศของรัฐบาลที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กค | 14/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ในประเทศของรัฐบาลที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ในประเทศของรัฐบาล จำนวน ๓๘๙,๕๙๓.๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) การปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ/เมื่อรายจ่ายสูงกว่ารายได้และการบริหารหนี้ จำนวน ๒๓๕,๕๙๓.๐๐ ล้านบาท (๒) การปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (เงินกู้โครงการไทยเข้มแข็ง) จำนวน ๘๙,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท (๓) การปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้มาเพื่อให้กู้ต่อ (ให้กู้ต่อการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) จำนวน ๑๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และ (๔) การบริหารความเสี่ยงของหนี้รัฐบาล (หนี้ในประเทศ) จำนวน ๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ในประเทศของรัฐบาลที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๒๕ ฉบับ และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1717 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษามาตรการหรือแนวทางในการจัดเก็บภาษีจากการส่งเงินค่าโฆษณาไปให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในต่างประเทศ โดยไม่มีการเสียภาษีให้แก่ประเทศไทย และจากการดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษามาตรการหรือแนวทางในการจัดเก็บภาษีจากการส่งเงินค่าโฆษณาไปให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในต่างประเทศโดยไม่มีการเสียภาษีให้แก่ประเทศไทย และจากการดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) โดยกระทรวงการคลังได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางการเก็บภาษีจากธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) มีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สมาคมผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ไทย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และกรมสรรพากร สรุปผลการพิจารณาได้ว่า ประเด็นส่วนใหญ่กระทรวงการคลังเห็นด้วยตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ รวมทั้งได้มีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามผลการประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามความเห็นของกระทรวงการคลังต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1718 | รายงานผลการดำเนินการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม "คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง" | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ระหว่างวันที่ ๑-๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง กระตุ้นให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจฐานราก รวมถึงเพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้ประชาชนได้เข้าถึงสินค้าและบริการในราคาถูก โดยมีร้านค้าเข้าร่วม ๓๒๐ ร้าน ยอดจำหน่ายสินค้าและบริการรวม ๓๒๒,๓๑๑,๑๖๕ บาท และมีผู้เข้าเยี่ยมชมงานรวมทั้งสิ้น ๑๕๒,๕๑๑ คน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1719 | แนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ประกอบด้วย (๑) หลักการในการกำกับดูแลกิจการทางการเงินของสหกรณ์ฯ (๒) ร่างระเบียบนายทะเบียนสหกรณ์ว่าด้วยการกำกับดูแลกิจการทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... (๓) การปรับปรุงโครงสร้างระบบการกำกับดูแลสหกรณ์ฯ และ (๔) การพัฒนาฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศของสหกรณ์ฯ ให้มีความทันสมัย และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างระบบการกำกับดูแลสหกรณ์ฯ ให้คำนึงถึงหลักสหกรณ์สากล ในหลักการปกครองตนเองและความเป็นอิสระเพื่อความยั่งยืนขององค์การสหกรณ์เรื่องความร่วมมือที่จะเกิดการพัฒนาความเป็นอยู่ของสมาชิกและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว และในการกำหนดข้อบังคับเพิ่มเติมใด ๆ ให้คำนึงถึงหลักการพื้นฐานของสหกรณ์ฯ คือ สหกรณ์จะดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของการรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้มีการวางแนวทางในการกำกับดูแลสหกรณ์ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... นอกจากนี้ ควรพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนควรเร่งสร้างความรู้ ความเข้าใจและการยอมรับจากผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้การปฏิรูประบบการบริหารจัดการ และการกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ฯ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. เพื่อให้การปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ฯ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งไว้และเป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งพิจารณากำหนดแผนการดำเนินงานที่คำนึงถึงการให้โอกาสสหกรณ์ฯ ในการปรับตัวในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ฯ รวมทั้งจัดฝึกอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่สหกรณ์ฯ เพื่อให้สามารถนำแนวทางปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ฯ ไปขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับหลักเกณฑ์ตามแนวทางปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ฯ ในส่วนที่ต้องอาศัยการแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในขั้นตอนของการตรวจร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1720 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๑ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจของบริษัทบริหารสินทรัพย์ ให้บริษัทบริหารสินทรัพย์สามารถรับซื้อ รับโอน หรือรับจ้างบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้ครอบคลุมถึงหน่วยงานของรัฐและนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจทางการเงิน และทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาให้แก่ลูกหนี้ สถาบันการเงิน หรือผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน รวมทั้งกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการและผู้มีอำนาจในการจัดการของบริษัทบริหารสินทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมที่เห็นควรชี้แจงในหลักการและเหตุผลเกี่ยวกับการโอนสินทรัพย์ที่ได้มาจากการยึดหรืออายัดของหน่วยงานของรัฐ และการโอนสินทรัพย์จากสถาบันการเงินไปให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ และตามร่างมาตรา ๓(๓) ของร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้ “การบริหารสินทรัพย์” หมายความรวมถึงการรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ที่มาจากการยึดหรืออายัดของหน่วยงานของรัฐตามประเภทสินทรัพย์และหน่วยงานที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาเพื่อนำมาบริหารหรือจำหน่ายจ่ายโอนต่อไป จะมีความหมายรวมถึงสินทรัพย์ที่ขายทอดตลาดของกรมบังคับคดีหรือไม่ นอกจากนี้ ตามร่างมาตรา ๓(๗) ของร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้ในการที่บริษัทบริหารสินทรัพย์จะรับเป็นที่ปรึกษาให้แก่ลูกหนี้ สถาบันการเงิน หรือผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และไกล่เกลี่ยหนี้ที่ลูกหนี้มีอยู่กับสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน บริษัทบริหารสินทรัพย์จะต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ควรมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และควรมีการควบคุมเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวให้มีมาตรฐาน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ที่ได้มาจากการยึดหรืออายัดของหน่วยงานของรัฐ ควรกำหนดให้มีหลักเกณฑ์ในการประเมินราคาสินทรัพย์ที่ทำการซื้อขายให้เป็นธรรมต่อทั้งผู้โอนและผู้รับโอนสินทรัพย์นั้น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....