ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 70 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1381 - 1400 จากข้อมูลทั้งหมด 9659 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1381 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. .... | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. ๒๕๒๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยขยายความในคำนิยามของ “สถานศึกษาของเอกชน” และ “เงินค่าเล่าเรียน” รวมถึงสิทธิการได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาบุตรของข้าราชการที่ประจำในต่างประเทศให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และรองรับกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาที่มีการจัดตั้งขึ้นใหม่ เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดประเภทหลักสูตรต่าง ๆ ให้ครอบคลุมถึงการจัดการศึกษาในทุกระดับการศึกษา โดยเฉพาะหลักสูตรออนไลน์ที่กระทรวงศึกษาธิการหรือสำนักงาน ก.พ. รับรอง เพื่อให้ครอบคลุมกับบริบทการเปลี่ยนแปลงที่รอบด้านยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณากำหนดอัตราการจ่ายเงินสวัสดิการสำหรับหลักสูตรรูปแบบใหม่ดังกล่าว ให้สอดคล้องและเป็นไปแนวทางเดียวกันกับการกำหนดอัตราการจ่ายเงินสวัสดิการสำหรับการศึกษาประเภทต่าง ๆ ในปัจจุบัน รวมทั้งการดำเนินการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดภาระงบประมาณได้ในอนาคต จึงควรที่จะต้องคำนึงถึงกฎหมายวินัยการคลังด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1382 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ จำนวน ๓ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นางชลัยพร อมรวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ และการงบประมาณ ๒. นายชโยดม สรรพศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ และการงบประมาณ ๓. นายประสงค์ วินัยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1383 | มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวม ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา (๒) มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (๓) มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย และ (๔) มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการฯ วงเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน ๓๘,๗๓๐ ล้านบาท เห็นควรให้กระทรวงการคลังปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยปรับมาตรการที่ใช้จ่ายจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ แล้ว จำนวน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท และขณะนี้ยังคงมีเหลือเพียงพอเพื่อดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมฯ ในระยะแรก หากไม่เพียงพอเห็นควรให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินเพิ่มสำหรับกองทุนประชารัฐฯ เพื่อรองรับการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ตามขั้นตอนและกระบวนการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการดำเนินมาตรการยกระดับคุณภาพชีวิตให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อพัฒนาตนเองในปี ๒๕๖๑ ควรมีการติดตามความก้าวหน้า และรับทราบปัญหา/อุปสรรค เพื่อจะได้กำหนดมาตรการให้กับแต่ละบุคคลได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งควรมีการบูรณาการมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนในช่วงที่ผ่านมา เช่น มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น เพื่อให้รัฐบาลมีข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดมาตรการไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และในระยะต่อไป รัฐบาลอาจมีความจำเป็นที่จะต้องให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของกองทุนประชารัฐฯ ได้ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำหนดมาตรการเพื่อหาแหล่งรายได้อื่น นอกเหนือจากเงินงบประมาณ เพื่อลดภาระของรัฐบาล และสร้างความยั่งยืนของกองทุนประชารัฐฯ นอกจากนี้ การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวควรกำหนดเป็นมาตรการชั่วคราว เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงทางการคลังและเป็นภาระต่องบประมาณในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1384 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้เองในปี ๒๕๖๐ ในกรอบวงเงิน ๑๘๖,๒๙๙,๕๐๐ บาท ประกอบด้วย (๑) ค่าใช้จ่ายในการผลิตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน ๓,๘๐๒,๓๐๙ ใบ จำนวนเงิน ๑๖๒,๖๘๗,๒๐๐ บาท (๒) ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน ๓,๘๐๒,๓๐๙ ใบ จำนวนเงิน ๗๙๘,๔๕๐ บาท และ (๓) ค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการรายปี รวมค่าบริหารจัดการโครงการ ค่าควบคุมงาน และบริหารระบบต่าง ๆ รวมถึงการบริหารฐานข้อมูลและจัดทำ Dashboard & Data Analytics จำนวนเงิน ๒๒,๘๑๓,๘๕๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1385 | การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) และการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพ | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับบำเหน็จดำรงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ รวมเป็น ๓ ฉบับ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับเพิ่มเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) แก่ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ ซึ่งได้รับเบี้ยหวัดบำนาญต่ำกว่า ๑๐,๐๐๐ บาท ให้ได้รับเบี้ยหวัดบำนาญรวมกับ ช.ค.บ. เป็นเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท และขยายเพดานวงเงินบำเหน็จดำรงชีพให้แก่ผู้รับบำนาญซึ่งมีอายุตั้งแต่ ๗๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพิ่มขึ้น ๑๐๐,๐๐๐ บาท จากเดิมให้ขอรับได้ในอัตรา ๑๕ เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท เป็นให้ขอรับได้ในอัตรา ๑๕ เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขชื่อร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับดังกล่าวจากที่เสนอให้ใช้ชื่อร่างในรูปแบบการแก้ไขเพิ่มเติมเสียใหม่ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้พิจารณาจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อบรรจุไว้ในกรอบวงเงินรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลาง ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป และควรมีการจัดทำประมาณการภาระทางการคลังที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี รวมทั้งพิจารณาหาแหล่งรายได้เพิ่มเติมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้เพื่อลดความเสี่ยงต่อฐานะการคลัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1386 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | กค | 13/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๑) สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง ผลไม้ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง นาฬิกาและอุปกรณ์ สูท เสื้อ กระโปรง กางเกง สำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท สุราต่างประเทศ เลนส์ รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล ไวน์ กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ดอกไม้ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้า ๑,๐๕๒.๔๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ ๑.๗๑ ของมูลค่านำเข้าร่วม) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๑๔๙.๔๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๖.๕๕ โดยสินค้าที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง นาฬิกาและอุปกรณ์ สำหรับอากรขาเข้าที่จัดเก็บจากสินค้าฟุ่มเฟือย ๖๕.๒๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๑๑.๒๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๐.๙๕ โดยสินค้าที่มีการจัดเก็บอากรสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง สูท เสื้อ กระโปรง กางเกงฯ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๑ (เรื่อง มูลค่าการนำเข้าสินค้าบางประเภท) โดยให้กระทรวงการคลังรายงานการนำเข้าสินค้าบางประเภท (สินค้าฟุ่มเฟือย) ต่อคณะรัฐมนตรี ตามความจำเป็นเฉพาะในคราวที่กระทรวงการคลังพิจารณาเห็นว่าการนำเข้าสินค้าดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญและอาจก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจขึ้นได้เท่านั้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1387 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืนให้แก่ทายาท นางผุด ฤกษ์ดี ผู้ยกให้ | กค | 13/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน ที่ กท. ๔๘๗๘ โฉนดที่ดินเลขที่ ๒๔๔๑๗ แขวงขุมทอง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๑-๐-๐๐ ไร่ คืนให้แก่ทายาทของนางผุด ฤกษ์ดี ผู้ยกให้เป็นกรรมสิทธิ์รวม ๖ ราย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1388 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 รวม 3 ฉบับ [การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2560] | กค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ รวม ๓ ฉบับ [การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๐] มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการหักรายจ่ายของสำนักงานใหญ่และรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน การถือเอาผลขาดทุนประจำปีคงเหลือของบริษัทผู้โอนเพื่อประโยชน์ของบริษัทผู้โอนในการหักลดหย่อนภาษี และการเฉลี่ยรายได้และรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ กรณีที่บริษัทมีแปลงสำรวจหลายแปลง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลบังคับใช้ได้ว่า กฎกระทรวงที่ต้องออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ นั้น มีจำนวนหลายฉบับ มีความซับซ้อน ประกอบกับต้องใช้เวลาในการพิจารณาหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรอความชัดเจนการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมฯ ในการกำหนดให้สามารถนำหลักประกันการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อให้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียมตามกฎกระทรวงข้างต้นมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพการประกอบธุรกิจ และไม่เกิดผลเสียต่อรัฐและผลการประกอบการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรรายงานเหตุผลและความจำเป็นในการกำหนดหลักเกณฑ์ที่มีความแตกต่างกัน ตลอดจนข้อดี ข้อเสียเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และสร้างความเข้าใจกับประชาชนทั่วไป รวมถึงควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วนและใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1389 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... | กค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๘ แห่ง ให้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ รวมถึงอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารในฐานะกรรมการรัฐวิสาหกิจเพื่อให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมทั้งไม่เกิดช่องว่างในการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณากำหนดยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๘/๒๕๕๘ เรื่อง การให้กรรมการหรือคณะกรรมการตามกฎหมายบางฉบับปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ ลงวันที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ไว้ในร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ด้วย รวมทั้งให้พิจารณาขอบเขตของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อให้ครอบคลุมการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1390 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ | กค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และปัญหาอุปสรรค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ มีผู้ใช้สิทธิเฉลี่ยเดือนละ ๑,๒๕๕,๗๑๗ คน จำนวนธุรกรรมรวมทั้งสิ้น ๑๓,๕๖๘,๒๖๙ รายการ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๒๑,๘๙๒ ล้านบาท ส่วนการตรวจสอบผู้มีสิทธิที่มีพฤติกรรมการใช้สิทธิไม่เหมาะสม (Fraud Detection) ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ พบว่า ผู้ใช้สิทธิเข้าเงื่อนไขพฤติกรรมเสี่ยง จำนวนทั้งสิ้น ๑,๔๘๑ ราย (ไม่นับคนซ้ำที่เข้าแต่ละเงื่อนไข) คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๓๙๕,๑๗๓,๙๖๔.๒๗ บาท สำหรับปัญหาอุปสรรค จากการติดตามการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ได้แก่ (๑) การใช้งานเครื่องรับรายการบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) สัญญาณอินเตอร์เน็ตผ่านโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่เสถียร ส่งผลให้การประมวลผลเกิดความล่าช้า (๒) เจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลยังขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำธุรกรรมผ่านเครื่อง EDC และการใช้งาน KTB Corporate Online ตลอดจนยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับแนวทางการบันทึกและจัดส่งข้อมูลค่ารักษาพยาบาลผ่านอุปกรณ์ดังกล่าว และ (๓) ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวยังไม่พกบัตรประจำตัวประชาชนในการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลกับผู้มารับบริการ ๒. สั่งการให้ส่วนราชการให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบพฤติกรรมการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลที่กรมบัญชีกลางจัดส่งให้เป็นประจำทุกเดือน และหากพบว่าผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวมีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทุจริตในการใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล ขอให้ส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีการทุจริต ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1391 | ข้อเสนอแนะของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรเกี่ยวกับการแก้ไขอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยระบบฮาร์โมไนซ์เพื่อการจำแนกประเภทและการกำหนดรหัสสินค้า (Recommendation of the Customs Co-operation Council Concerning the Amendment of the International Convention on the Harmonized Commodity Description and Coding System) | กค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรเกี่ยวกับการแก้ไขอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยระบบฮาร์โมไนซ์เพื่อการจำแนกประเภทและการกำหนดรหัสสินค้า (Recommendation of the Customs Co-operation Council concerning the Amendment of the International Convention on the Harmonized Commodity Description and Coding System) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขข้อความในข้อ ๘ ของอนุสัญญาดังกล่าว จากเดิม ประเทศสมาชิกที่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์สามารถตั้งข้อสงวนเพื่อร้องขอให้คณะกรรมการทบทวนประเด็นดังกล่าวได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง เป็น ประเทศสมาชิกสามารถยื่นขอให้มีการทบทวนประเด็นหนึ่ง ๆ ได้ไม่เกิน ๒ ครั้ง และคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์จะทำการทบทวนประเด็นหนึ่ง ๆ ได้ไม่เกิน ๒ ครั้ง (ไม่นับรวมการพิจารณาในครั้งแรก) โดยเมื่อคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์ได้ทบทวนประเด็นนั้น ๆ ครบตามจำนวนครั้งที่กำหนดแล้ว ให้ถือว่ามติของคณะกรรมการเป็นที่สิ้นสุด และให้ประเทศสมาชิกนำมติของคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์ในประเด็นดังกล่าวไปใช้เป็นแนวปฏิบัติในการกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรต่อไป เพื่อให้กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์เป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ในการตีความและการใช้ระบบฮาร์โมไนซ์ให้เป็นไปตามแนวทางเดียวกัน รวมถึงเป็นการปฏิบัติให้ถูกต้อง ครบถ้วน ตามพันธกรณีระหว่างประเทศเพื่อเป็นการเร่งรัดกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์ตามที่ที่ประชุมคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร [World Customs Organization (WCO) Council Sessions] ครั้งที่ ๑๓๒ ได้ให้การรับรอง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1392 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การแลกเปลี่ยนข้อมูลตามคำขอระหว่างประเทศและการแลกเปลี่ยนข้อมูลอัตโนมัติระหว่างประเทศ) | กค | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร เพื่อให้บุคคลผู้มีหน้าที่รวบรวมและนำส่งข้อมูลทางภาษีและข้อมูลอื่น ๆ ตามที่ได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหรือรวบรวมและนำส่งแบบอัตโนมัติ และให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสามารถเปิดเผยและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศตามสัญญาที่รัฐบาลไทยได้ทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศหรือตามสัญญาที่สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจได้ทำไว้กับหน่วยงานของต่างประเทศ รวมทั้งกำหนดบทลงโทษในกรณีที่ผู้มีหน้าที่รายงานผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการรวบรวมและนำส่งข้อมูล ตลอดจนกำหนดบทลงโทษในกรณีที่ผู้ล่วงรู้ข้อมูลที่ต้องรายงานหรือข้อมูลที่ได้รับมาจากต่างประเทศแล้วนำไปเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนแก่บุคคลอื่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและสำนักงานศาลยุติธรรมที่เห็นควรกำหนดคำนิยามให้สอดคล้องกับคำนิยามของพระราชบัญญัติการปฏิบัติการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ และควรเพิ่มหลักการเพื่อให้มีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการสูญหาย เข้าถึง ใช้ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยปราศจากอำนาจหรือโดยมิชอบ สำหรับการสั่งให้บุคคลมีหน้าที่รวบรวมและนำส่งข้อมูลทางภาษีและข้อมูลอื่น ๆ อาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กำหนดบทลงโทษในกรณีไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ดังนั้น การให้ความหมายที่ชัดเจนในเรื่องเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจและบุคคลที่จะต้องมีหน้าที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาในชั้นจัดทำกฎหมายลำดับรอง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทราบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1393 | ร่างพระราชบัญญัติการประกอบวิชาชีพประเมินมูลค่าทรัพย์สิน พ.ศ. .... | กค | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบวิชาชีพประเมินมูลค่าทรัพย์สิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการประกอบวิชาชีพประเมินมูลค่าทรัพย์สิน โดยให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับดูแลและส่งเสริมวิชาชีพประเมินมูลค่าทรัพย์สินและสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลและส่งเสริมวิชาชีพประเมินมูลค่าทรัพย์สิน เพื่อให้การประกอบวิชาชีพการประเมินมูลค่าทรัพย์สินมีมาตรฐานอยู่ภายใต้จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเดียวกัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สมาคมธนาคารไทย และสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นว่าการกำหนดให้สำนักประเมินราคาทรัพย์สินรับผิดชอบงานธุรการและวิชาการของคณะกรรมการตามร่างพระราชบัญญัติฯ โดยไม่จำเป็นต้องตั้งหน่วยงานของรัฐขึ้นใหม่ การกำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแลในรายละเอียดในกฎหมายระดับพระราชบัญญัติหรือกฎกระทรวง ทำให้ไม่เกิดความยืดหยุ่นและไม่รองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การจดทะเบียนนิติบุคคล การกำหนดประเภททรัพย์สินอื่นที่จะต้องได้รับใบอนุญาตก่อนที่จะทำการประเมินไม่ควรครอบคลุมถึงทรัพย์สินที่ผู้ประกอบวิชาชีพอื่นมีความชำนาญในการประเมินมูลค่าและมีหน่วยงานอื่นทำหน้าที่กำกับดูแลอยู่แล้ว รวมถึงขอบเขตการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพประเมินราคายังไม่ครอบคลุมถึงการประเมินมูลค่าทรัพย์สินประเภทที่สามารถนำมาเป็นหลักประกันตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ และควรปรับปรุงจำนวนและองค์ประกอบของคณะกรรมการกำกับดูแลและส่งเสริมวิชาชีพประเมินมูลค่าทรัพย์สิน รวมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรอบระยะเวลาที่กำหนดให้ผู้สอบบัญชีรายงานผลการสอบบัญชี ความชัดเจนในประเด็นต่าง ๆ ของร่างพระราชบัญญัติฯ บทกำหนดโทษในร่างพระราชบัญญัติฯ และการกำหนดให้คณะกรรมการเปรียบเทียบความผิดต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลและส่งเสริมวิชาชีพประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ควรทบทวนกรณีที่จะก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคตด้วย และเห็นควรกำหนดให้สำนักงานฯ บูรณาการภารกิจกับสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย โดยให้หน่วยงานของภาครัฐมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1394 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายพงศ์ธร พากเพียรทรัพย์) | กค | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพงศ์ธร พากเพียรทรัพย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1395 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เกี่ยวกับการจัดประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ปี ๒๕๖๒ สามารถใช้วิธีเฉพาะเจาะจงเพิ่มเติมได้ เพื่อให้การเตรียมความพร้อมในการจัดการประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสมกับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1396 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2561 | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประเมินภาวะเศรษฐกิจการเงินและแนวโน้ม เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๔.๘ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ (ร้อยละ ๔.๒) เป็นผลมาจากการขยายตัวของการส่งออกสินค้า การส่งออกบริการ (การท่องเที่ยว) การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชนที่ได้รับแรงส่งจากความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจภายหลังการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๑ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๑.๐ เร่งตัวขึ้นจากปีก่อน (ร้อยละ ๐.๓) ส่วนเสถียรภาพระบบการเงินไทยโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๑ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี โดยพิจารณาผลบวกและผลลบของแต่ละทางเลือกนโยบาย (Policy Trade-Offs) ทั้งในด้าน (๑) ระยะเวลาที่อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย (๒) การสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน และ (๓) การดูแลความเปราะบางในระบบการเงินที่อาจสะสมในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1397 | การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน โดยกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องกับผลการพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เห็นควรให้คงอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี เนื่องจากมีความเหมาะสมและสอดรับกับสมมติฐานอัตราการขยายตัวของฐานเงินฝากที่อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและการเงินทั้งในประเทศและตลาดการเงินโลก และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งกำหนดให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. พิจารณาความเหมาะสมของอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งของ ธปท. โดยให้แจ้งความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยเป็นรายปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1398 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน 2561) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๑) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกปี ๒๕๖๑ ขยายตัวได้ร้อยละ ๔.๘ โดยมีแรงขับเคลื่อนมาจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ การส่งออกขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและจำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวเพิ่มขึ้น การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับกำลังซื้อของครัวเรือนที่มีทิศทางที่ดีขึ้น การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ดีขึ้น และการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวและยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบกับภาวะการเงินยังอยู่ในระดับผ่อนคลายต่อเนื่อง รวมทั้งเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล ๒. สรุปการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย (๑) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน (๒) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน และ (๓) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการชำระเงิน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1399 | การกำหนดแนวทาง/มาตรการป้องกันหรือแก้ไขปัญหากรณีที่หน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ปรับอัตราค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่หน่วยงานราชการอื่นได้เช่าใช้ประโยชน์ โดยปรับอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดแนวทางการดำเนินการกรณีหน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้จัดให้ส่วนราชการเช่าใช้ประโยชน์ โดยปรับปรุงอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละ ๓ ต่อปี โดยอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index : CPI) ในกรอบระยะเวลา ๕ ปี และให้มีการทบทวนอัตราค่าเช่าทุก ๕ ปี เพื่อให้สอดคล้องกับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เปลี่ยนแปลง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง นำแนวทางการดำเนินการปรับปรุงอัตราค่าเช่าตามข้อ ๑ ไปทำความตกลงกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อให้ได้อัตราค่าเช่าที่ดินที่เหมาะสมและเป็นธรรมอันจะเป็นการลดภาระงบประมาณของรัฐ และเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามขั้นตอน ตามกฎหมาย ตามนัยของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๕๓ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังนำประเด็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาอัตราค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กรณีหน่วยงานราชการขอใช้งบประมาณแผ่นดินในการเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของหน่วยงานของรัฐเพื่อเป็นที่ตั้งหน่วยงานราชการ เพื่อทำหน้าที่จัดทำหลักเกณฑ์กลางเกี่ยวกับความเหมาะสมของอัตราค่าเช่าที่หรือสิ่งปลูกสร้างของหน่วยงานของรัฐเพื่อเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ และพิจารณากลั่นกรอง ให้ความเห็น และข้อเสนอแนะประกอบการอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเช่าอาคารและที่ดินเพื่อเป็นที่ตั้งหน่วยงานราชการ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า สามารถกำหนดให้มีคณะกรรมการดังกล่าวได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ก็ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการฯ ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1400 | โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
