ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 69 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1361 - 1380 จากข้อมูลทั้งหมด 9659 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1361 | รายงานการรับจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | กค | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1362 | รายงานผลการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 | กค | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1363 | ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจตัวกลางที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อสามารถเป็นสมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิตได้ เพื่อรองรับธุรกรรม/นวัตกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นใหม่ (Financial Technology) ที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่เห็นควรเสนอให้ผู้ให้บริการระบบหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ (Crowdfunding Portal) ซึ่งเป็นตัวกลางในการเสนอขายหุ้นกู้แบบคราวด์ฟันดิง (Debt Crowdfunding) สามารถเป็นสมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิต เพื่อประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยงหรือความสามารถในการชำระหนี้หุ้นกู้ของ SMEs และ Start-up ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลในเรื่องการรักษาความลับข้อมูลลูกค้าของผู้ประกอบธุรกิจอย่างเข้มงวดควบคู่ไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1364 | การปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 | กค | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการปรับปรุงค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คงหลักการให้รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องการปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ ๒๕๔๓ โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ฯ ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ต่อไป ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงแรงงานกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามหน้าที่และอำนาจของพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ กฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่พนักงานรัฐวิสาหกิจควรได้รับและแนวนโยบายของรัฐบาลแต่ละเรื่อง พร้อมทั้งให้เร่งรัดดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต) เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคต่อการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของพนักงานรัฐวิสาหกิจในกรณีเจ็บป่วยวิกฤตฉุกเฉินต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการเรื่องกฎระเบียบเกี่ยวกับสิทธิสวัสดิการของรัฐวิสาหกิจที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน และควรปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของพนักงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อจูงใจให้บุคลากรที่มีศักยภาพสูงเข้ามาปฏิบัติงาน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ตอบแทนที่เป็นตัวเงินหรือสภาพการจ้างในท้องถิ่นด้วย โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ไม่สามารถกำหนดโครงสร้างค่าตอบแทนได้เอง นอกจากนี้ การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นของพนักงานรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ควรคำนึงถึงความจำเป็นและความเหมาะสม ตลอดจนสถานะการเงิน และผลการดำเนินงานของแต่ละรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการกำหนดมาตรการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายควรให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงแนวทางดังกล่าว โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1365 | ขออนุมัติงบประมาณตามโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย | กค | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการของบประมาณเพิ่มเติมให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนินโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๗,๐๒๑.๙๖๘๐ ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการดำเนินการจริงภายในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง มาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย) เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรเร่งพิจารณาสำรวจและตรวจสอบข้อมูลเกษตรกรรายย่อยอื่นที่เป็นหนี้สถาบันเกษตรกรและไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ตามมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกับเกษตรกรรายย่อยที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. และให้กระทรวงการคลังประเมินผลกระทบโครงการลดดอกเบี้ยจากโครงการก่อนหน้าและติดตามความสำเร็จของโครงการปัจจุบัน รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. มีระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงรองรับการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างเพียงพอ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1366 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง พ.ศ. .... | กค | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้างให้มีความยืดหยุ่นและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรเพิ่มเติมข้อความในข้อ ๙ (ข) จากเดิม “งานระบบป้องกันน้ำท่วม หมายถึง การป้องกันน้ำท่วมในเขตชุมชนเมือง ด้วยการสร้างคันหรือโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมล้อมรอบพื้นที่ที่ต้องการป้องกัน รวมถึงสถานีสูบน้ำเพื่อระบายออกสู่แหล่งรับน้ำตามธรรมชาติ” เพิ่มเติมเป็น “งานระบบป้องกันน้ำท่วม หมายถึง การป้องกันน้ำท่วมในเขตชุมชนเมือง ด้วยการสร้างคันหรือโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมล้อมรอบพื้นที่ที่ต้องการป้องกัน รวมถึงสถานีสูบน้ำและ/หรือระบบระบายน้ำ เพื่อระบายออกสู่แหล่งรับน้ำตามธรรมชาติ” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเฉพาะกลุ่มในส่วนของการอธิบายประเภทงานก่อสร้าง ทั้ง ๑๒ ประเภท ในแนบท้ายบัญชีค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง และนำข้อคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปรับคำอธิบายให้มีความชัดเจนก่อนที่ร่างกฎกระทรวงจะมีผลใช้บังคับ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐสามารถนำอัตราค่าจ้างถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว รวมทั้งควรประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อจัดเก็บข้อมูลอัตราค่าจ้างที่หน่วยงานของรัฐได้ใช้จ่ายจริง เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการศึกษาทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างที่กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงดังกล่าวทุก ๕ ปี เพื่อให้อัตราค่าจ้างมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจะช่วยให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความคุ้มค่าต่อภารกิจของรัฐในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1367 | โครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต 2561/2562 | กค | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบ เฉพาะฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบประเภทเวอร์ยิเนีย เบอร์เลย์ และเตอร์กิช ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับ ยสท. และกรมสรรพาสามิตแล้ว จำนวน ๑๓,๕๕๗ ราย และที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบของ ยสท. เฉพาะฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ซึ่งจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบ และเห็นควรมอบหมายให้ ยสท. ร่วมกับกรมสรรพสามิตในฐานะที่เป็นผู้รับขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบจัดทำรายละเอียดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือ พร้อมทั้งตรวจสอบสิทธิของเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่จะได้รับความช่วยเหลือก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะกรณีประเภทเวอร์ยิเนียที่ต้องรวมเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบบ่มเองที่ได้รับโควตา และเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบภายใต้ผู้บ่มอิสระที่ได้รับโควตา เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงการคลังขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ยสท. ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการส่งเสริมเกษตรกรให้เพาะปลูกพืชชนิดอื่นแทนการปลูกยาสูบ หรือสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่มีความพร้อมปรับเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นที่เหมาะสม โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนที่จะเริ่มฤดูการผลิตในปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ เพื่อให้เกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบมีเวลาเพียงพอในการปรับแผนการผลิต รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ ยสท. ประสานความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการพัฒนาอาชีพการทำการเกษตรที่ทดแทนการปลูกยาสูบ เพื่อให้มีรายได้ทดแทนจากการจำหน่ายใบยาสูบที่ลดลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1368 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ) | กค | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับการซื้อสินค้าประเภทยางล้อรถยนต์ ยางล้อรถจักรยานยนต์ ยางล้อรถจักรยาน หนังสือ รวมถึงหนังสือที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ แต่ไม่รวมถึงนิตยสารและหนังสือพิมพ์ และสินค้าจากโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่ได้ลงทะเบียนกับกรมพัฒนาชุมชน ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ สำหรับการซื้อสินค้าดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรประเมินประสิทธิผลของการดำเนินมาตรการในการบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งภาระทางการคลังที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินมาตรการภาษีดังกล่าว และควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนในโอกาสแรก โดยเฉพาะร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ข้อ ๑ (๑) “ค่าซื้อยางล้อรถยนต์ ยางล้อรถจักรยานยนต์ หรือยางล้อรถจักรยาน ที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยยางล้อดังกล่าวผลิตโดยผู้ผลิตที่ซื้อวัตถุดิบยางจากการยางแห่งประเทศไทย” รวมถึงจัดทำประมาณการรายได้ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1369 | รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐและความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 | กค | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๑ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สัดส่วนหนี้สาธารณะตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ยังคงอยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด ๒. หนี้สาธาราณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๑ มีจำนวน ๖,๗๘๐,๙๕๑.๒๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๗๐ ของ GDP เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจากหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง ๓. สถานะหนี้เงินกู้คงค้างของหน่วยงานของรัฐตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ณ สิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐที่ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ได้แก่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด มีหนี้เงินกู้คงค้าง ๑๐๐,๙๔๒.๙๗ ล้านบาท ซึ่งเป็นของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (๒) รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และธุรกิจประกันสินเชื่อที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน จำนวน ๑๖ แห่ง เช่น สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด และบริษัท PTT Regional Treasury Center Pte.Ltd. เป็นต้น มีหนี้เงินกู้คงค้าง ๕๓๕,๗๓๔.๙๗ ล้านบาท (๓) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีหนี้เงินกู้คงค้าง ๓๑,๑๙๘.๑๗ ล้านบาท และ (๔) ธนาคารแห่งประเทศไทย มีหนี้เงินกู้คงค้าง ๔,๔๙๐,๑๖๑ ล้านบบาท ๔. ความเสี่ยงทางการคลัง พบว่าอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ สะท้อนจากสถานะสัดส่วนตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในระยะ ๕ ปี ยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยที่กำหนดไว้ สำหรับความเสี่ยงทางการคลังที่เกิดจากหนี้เงินกู้ของหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นหนี้สาธารณะ ในภาพรวมยังไม่พบความเสี่ยง เนื่องจากหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ มีรายได้และทรัพย์สินเพียงพอต่อการชำระหนี้เงินกู้เองได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1370 | ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) | กค | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๐๐ พื้นที่โซน C ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) โดยดำเนินโครงการฯ บนที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.๐๔๙๓ (บางส่วน) โฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๙ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ ๘๑-๒-๕๙ ไร่ (๑๓๐,๖๓๕ ตารางเมตร) กรอบวงเงินลงทุนรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับกรอบวงเงินลงทุนรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาแหล่งเงินทุนและวิธีการระดมทุนที่เหมาะสม โดยให้คำนึงถึงต้นทุนทางการเงิน ความเหมาะสม คุ้มค่า ภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ และ ธพส.รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสำนักงานศาลปกครอง เช่น (๑) เห็นควรให้ ธพส. ประสานหน่วยงานการจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมกับภารกิจและการปฏิบัติราชการ และดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย (๒) เห็นควรมีแผนการรองรับผลกระทบหากการพัฒนาพื้นที่โซน C ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานอื่นในศูนย์ราชการฯ โดยเฉพาะปัญหาการจราจรและปัญหาน้ำท่วมขังในภาวะฝนตกหนักบริเวณถนนแจ้งวัฒนะ และ (๓) เห็นควรให้ ธพส. จัดสรรพื้นที่ให้แก่สำนักงานศาลปกครอง โดยคำนึงถึงแบบก่อสร้างที่สำนักงานศาลปกครองได้ดำเนินการออกแบบไว้แล้ว เนื่องจาก ธพส. จัดสรรพื้นที่ให้แก่สำนักงานศาลปกครองตามหลักเกณฑ์การจัดสรรของสำนักงบประมาณ ซึ่งน้อยกว่าที่สำนักงานศาลปกครองเสนอขอไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ และ ธพส. พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนในแต่ละขั้นตอนโดยคำนึงถึงความเสี่ยงทางด้านรายได้ในกรณีที่ไม่มีผู้เช่าพื้นที่ตามที่ประมาณการไว้ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามแผนแม่บทการพัฒนาและรายละเอียดของโครงการฯ ตามมติของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑ ต่อไป รวมทั้งการบริหารจัดการพื้นที่จอดรถของโครงการฯ ให้เหมาะสมเพียงพอต่อความต้องการของหน่วยงานต่าง ๆ ภายในโครงการฯ และให้ประสานงานกับกระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการบริหารจัดการการจราจรในบริเวณพื้นที่โดยรอบและที่เชื่อมโยงกับถนนแจ้งวัฒนะให้เหมาะสมและมีความคล่องตัว เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดคับคั่งทั้งในช่วงเวลาปกติและช่วงชั่วโมงเร่งด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1371 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 3/2561 | กค | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) การปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ (๒) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ และ (๓) การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในคราวประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1372 | ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กลุ่มที่ 2 บทบัญญัติเกี่ยวกับการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของบริษัท) | กค | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลบริษัทประกันภัย เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของบริษัทตามหลักการของมาตรฐานการกำกับดูแลสากล ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลบริษัทประกันภัยที่มีปัญหาในการดำเนินการให้เหมาะสมสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และปรับปรุงกระบวนการในการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของบริษัทประกันภัยให้เป็นรูปธรรม ลดการใช้ดุลพินิจ รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติให้รองรับการเข้ารับการประเมินตามโครงการประเมินภาคการเงิน (Financial Sector Assessment Program : FSAP) ในส่วนที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่เห็นควรมีการให้ความคุ้มครองกรรมการซึ่งนายทะเบียนแต่งตั้งให้ทำหน้าที่แทนกรรมการของบริษัทในช่วงระยะเวลาที่บริษัทประกันภัยประสบปัญหา เพื่อให้กรรมการดังกล่าวสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่และไม่ถูกแทรกแซงจากผู้ถือหุ้นของบริษัท และควรมีการยกเว้นหน้าที่ให้บริษัทประกันภัยที่เป็นบริษัทจดทะเบียนสามารถดำเนินการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นได้โดยไม่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยควรมีอำนาจในการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลของบริษัทประกันภัยที่ประสบปัญหาให้แก่หน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงินอื่น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยวางแนวทางในการปฏิบัติให้ชัดเจน และทำความเข้าใจร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจประกันภัย ประชาชน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยควรให้ความสำคัญกับการผลิตและพัฒนานักคณิตศาสตร์ประกันภัยในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1373 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 | กค | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้รับรองและได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1374 | รายงานของผู้สอบบัญชี งบการเงินและรายงานการใช้จ่ายเงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 | กค | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชี งบการเงินและรายงานการใช้จ่ายเงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งเป็นทุนหมุนเวียนที่ไม่เป็นนิติบุคคลภายใต้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ โดยผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า งบการเงินฯ ได้แสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ และผลการดำเนินงานของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1375 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่พรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560) | กค | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่พรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้บริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองมีสิทธินำจำนวนเงินที่บริจาคไปหักเป็นค่าลดหย่อนหรือรายจ่ายตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากรได้ โดยให้ลดหย่อนได้ในกรณีบุคคลธรรมดาไม่เกินปีละ ๑๐,๐๐๐ บาท และในกรณีนิติบุคคลไม่เกินปีละ ๕๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมถึงข้อเสนอที่พรรคการเมืองควรได้มีการจัดเวทีรับฟังความต้องการของประชาชน เพื่อให้การดำเนินงานของพรรคการเมืองเป็นตัวแทนที่สะท้อนความต้องการของประชาชนในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่พรรคการเมือง โดยคำนึงถึงเงินที่พรรคการเมืองได้รับจากการอุดหนุนและเงินที่จะได้รับจากการบริจาคมาประกอบการพิจารณาด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1376 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และปัญหาอุปสรรค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การผลิตและการแจกจ่ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ มีผู้มีสิทธิมารับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว ๑๑.๑๐ ล้านราย (ร้อยละ ๙๗) ยังคงมีบัตรฯ ที่ผู้มีสิทธิไม่มารับและคงค้าง ๐.๓๗ ล้านใบ ซี่งกรมบัญชีกลางจะระงับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งหมด เนื่องจากสิ้นสุดระยะเวลาเก็บรักษาเพื่อรอผู้มีสิทธิมารับภายในระยะเวลา ๑ ปีแล้ว ๒. การวางเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture : EDC) ได้วางเครื่อง EDC ที่จุดจำหน่ายสินค้าและบริการของหน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว ๓๔,๘๗๖ เครื่อง แบ่งเป็นร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านค้าประชารัฐ ๓๓,๒๗๘ เครื่อง ร้านก๊าซหุงต้ม ๙๔๓ เครื่อง รถ บ.ข.ส. ๑๒๑ เครื่อง และรถไฟ ๕๓๔ เครื่อง รวมทั้งได้พัฒนา Mobile Application “ถุงเงินประชารัฐ” เพื่อรับชำระราคาสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านอื่น ๆ โดย ณ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๑ ได้อนุมัติร้านธงฟ้าประชารัฐแล้ว ๑๓,๐๘๐ ร้านค้า และมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตร Mobile Application ๑๔๖.๓๔ ล้านบาท ๓. การจ่ายเงินให้แก่หน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ได้จ่ายเงินไห้แก่หน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรฯ แล้ว ๔๒.๕๐๙.๘๒ ล้านบาท ๔. การจ่ายเงินให้แก่ผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๑ กรมบัญชีกลางได้โอนเงินจากกองทุนผู้สูงอายุเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิ โดยผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถกดเงินจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ผ่านตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๑ ได้โอนเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ผู้มีสิทธิแล้ว ๑,๐๑๑.๓๐ ล้านบาท ๕. ปัญหาและอุปสรรคและแนวทางแก้ไข ในการดำเนินการที่ผ่านมาพบว่า ร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีจำนวนน้อยและร้านค้าบางแห่งยังไม่ได้รับเครื่อง EDC จึงได้เร่งแก้ไขปัญหาด้วยการเพิ่มจำนวนร้านค้าที่วางเครื่อง EDC และพัฒนา Mobile Application “ถุงเงินประชารัฐ” เพื่อเป็นเครื่องมือในการชำระเงินเพิ่มเติมอีกช่องทางหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1377 | รายงานงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน ศปภ.) ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้แสดงความเห็นอย่างมีเงื่อนไขในหมายเหตุประกอบงบการเงินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายบุคลากร และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับค่าเบี้ยประกันภัยบุคคล พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ซึ่งสำนักงาน ศปภ. ได้ดำเนินการตามประเด็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว สำหรับประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายบุคลากรส่วนที่เป็นค่าตอบแทนตามต้นทุนการบริการในอดีต สำนักงาน ศปภ. ได้หยุดการจ่ายค่าตอบแทนตามต้นทุนการบริการในอดีตเพื่อเป็นบำเหน็จเพิ่มเติมให้กับพนักงานที่เกษียณอายุที่มาจากกรมการประกันภัยและกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ เป็นต้นมาแล้ว เนื่องจากเห็นว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่ได้ข้อยุติในประเด็นที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้แสดงความคิดเห็นอย่างมีเงื่อนไขในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ประกอบกับได้มีพนักงานที่เกษียณอายุและมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามต้นทุนในอดีตตามข้อบังคับ คปภ. ว่าด้วยค่าตอบแทนตามต้นทุนการบริการในอดีต พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ยื่นฟ้องสำนักงาน ศปภ. เพื่อเรียกเงินค่าตอบแทนตามต้นทุนการบริการในอดีตตามข้อบังคับดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดตามกฎหมาย จำนวน ๑๕ ราย ซี่งปัจจุบันคดีความอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1378 | กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ เกี่ยวกับเรื่อง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ในหลักการระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสากิจยังคงมีความเหมาะสม โดยให้รัฐวิสาหกิจเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุนฯ ของคณะกรรมการกองทุนฯ และบริษัทจัดการกองทุนฯ รวมทั้งมีการกำหนดนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย การส่งเสริมและให้ความรู้ทางการเงินและการลงทุนแก่พนักงาน ตามความเห็นของคณะกรรมการแก้ไขปัญหากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ ๒. กรณีของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ได้เสนอเรื่อง การประกันความเสี่ยงเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน ธ.ก.ส. ซึ่งจดทะเบียนแล้ว ให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุนฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการแก้ไขปัญหากองทุนฯ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1379 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 25 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting : APEC FMM) ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยมีนายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม APEC FMM ครั้งที่ ๒๕ โดยแนวคิดหลักของการประชุมฯ คือ การสร้างโอกาสอย่างครอบคลุมเพื่อเปิดรับอนาคตทางดิจิทัล (Hamessing Inclusive Oppertunities, Embracing the Digital Future) โดยมีผลการหารือที่สำคัญ ได้แก่ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภูมิภาค การเร่งรัดการลงทุนและระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงิน การผลักดันความร่วมมือด้านภาษีและความโปร่งใส การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเซบู และการบริหารการเงินและการประกันภัยเพื่อรองรับความเสี่ยงจากภัยพิบัติ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ร่วม (Joint Ministerial Statement) ของการประชุม APEC FMM ครั้งที่ ๒๕ สำหรับการประชุม APEC FMM ครั้งที่ ๒๖ จะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ณ สาธารณรัฐชิลี ๒. การประชุม APEC Finance Ministers’ Retreat ได้มีการหารือถึงกลยุทธ์ทางการคลังในยุคดิจิทัล โดยปัจจุบันสมาชิกเอเปคให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล การสนับสนุนให้ภาครัฐจ่ายเงินให้แก่ประชาชนโดยตรงผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ การส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงิน โดยสนับสนุนให้ดำเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสทางการคลังผ่านการจัดทำกลยุทธ์ทางการคลังระยะปานกลาง และการรักษาระดับหนี้สาธารณะภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง ๓. การประชุม ABAC’s Executive Dialogues with APEC Finance Ministers ได้มีการหารือในประเด็นเกี่ยวกับการลงทุนทางในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) ซึ่งที่ประชุมสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาคเอเปคผ่านการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) พร้อมทั้งพัฒนากฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ รวมทั้งยังได้เน้นย้ำถึงบทบาทของ Fintech ในการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึงและมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น โดยจำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1380 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากการลงทุนตามโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน (ASEAN Collective Investment Scheme: ASEAN CIS)] | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากการลงทุนตามโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน (ASEAN Collective Investment Scheme : ASEAN CIS)] มีสาระสำคัญเป็นการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยและได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน โดยให้ผู้จ่ายเงินได้ในประเทศไทยหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ ๑๐.๐ ของเงินได้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนผ่านโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียนและเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในการจัดเก็บภาษี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
