ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 62 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1221 - 1240 จากข้อมูลทั้งหมด 9659 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1221 | รายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564) ประจำปี 2561 | กค | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ ๓ (ปี ๒๕๖๐/๒๕๖๔) ประจำปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงกาคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทยฯ ณ สิ้นไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) แผนงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จ เช่น การพัฒนาระบบ (platform) เพื่อรองรับการซื้อขายสำหรับนักลงทุนประเภทพิเศษ การพัฒนาระบบการชำระเงินสำหรับตลาดทุน เป็นต้น (๒) แผนงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จตามตัวชี้วัดแต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากการดำเนินการส่วนใหญ่อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย เช่น การจัดทำกลไกคะแนนบัตรเครดิต (credit scoring) ให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การแก้ไขหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการตั้ง Thailand Future Fund เป็นต้น (๓) แผนงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ เช่น การส่งเสริมการแข่งขันและการเข้าถึงบริการทางการเงินด้วยเทคโนโลยี การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อใช้วิเคราะห์การลงทุนในตลาดทุน เป็นต้น (๔) แผนงานที่ล่าช้ากว่ากำหนด เช่น การสนับสนุนให้ Startup เข้าถึงแหล่งเงินทุน การปรับกติการองรับรูปแบบการทำธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีแทนคน เป็นต้น และ (๕) แผนงานที่ไม่เป็นไปตามแผน คือ การเปิดให้บุคคลที่ไม่ใช่ผู้ออกหลักทรัพย์สามารถนำหลักทรัพย์มายื่นขอจดทะเบียนเพื่อทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ ๒. การประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฯ ในระยะครึ่งแผน ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทยฯ เตรียมเก็บข้อมูลเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฯ ผ่านตัวชี้วัดผลการดำเนินการทั้งในระดับวิสัยทัศน์และระดับเป้าหมายหลัก ๔ ด้าน ในระยะครึ่งแผน (สิ้นปี ๒๕๖๒) เปรียบเทียบกับเป้าหมายในปี ๒๕๖๔ ซึ่งจะได้เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1222 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพ) | กค | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือประชาชนสามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกที่จะกลายเป็นขยะตกค้างที่ย่อยสลายได้ยาก โดยกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละยี่สิบห้าของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพ และได้รับการรับรองจากกระทรวงอุตสาหกรรม สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจของผู้เกี่ยวข้องกับร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอย่างทั่วถึง เพื่อให้การบังคับใช้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลต่อไป และควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจของผู้เกี่ยวข้องกับร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1223 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของ SMEs (มาตรการพี่ช่วยน้อง)] | กค | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) (มาตรกาพี่ช่วยน้อง) ออกไปอีก ๒ ปี จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เพื่อเป็นการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ SMEs อย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมถึงจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลัง และงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ ๒๕๖๑ ต่อไป รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานและผลสัมฤทธิ์ตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งบูรณาการการส่งเสริม SMEs ในด้านการประยุกต์ใช้เครื่องจักรและระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตและการให้บริการ การพัฒนามาตรฐานสินค้าและบริการ การใช้ประโยชน์วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าและยกระดับห่วงโซ่คุณค่าของสินค้า และการส่งเสริมธุรกิจดิจิทัลและการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจและยกระดับ SMEs ไทยไปสู่ SMEs 4.0 นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการติดตามผลการดำเนินงานอย่างเป็นระบบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1224 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน + 3 ครั้งที่ 22 | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ (ASEAN+3 Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting : AFMGM+3) ครั้งที่ ๒๒ ระหว่างวันที่ ๓๐ เมษายน-๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ สาธารณรัฐฟิจิ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภูมิภาค ที่ประชุมรับทราบรายงานเศรษฐกิจจากผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ซึ่งเห็นพ้องว่า ทิศทางเศรษฐกิจโลกในปี ๒๕๖๒ ยังคงสามารถขยายตัวได้ แม้ว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนของการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยที่ประชุมเห็นว่าความร่วมมือทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+๓ ที่ขยายตัวมากขึ้นจะช่วยรองรับผลกระทบดังกล่าว จึงเห็นพ้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียน+๓ เตรียมความพร้อมรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และใช้นโยบายการเงินและการคลังเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ตลอดจนต้องดำเนินนโยบายเพื่อจัดการกับความท้าทายระยะยาว เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในหลายประเทศ โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่เพียงพอ (Infrastructure Gaps) เป็นต้น ๒. ความร่วมมือทางการเงินอาเซียน+๓ ๒.๑ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามภารกิจหลักของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคอาเซียน+๓ (The ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) AMIRO ได้แก่ การเฝ้าระวังเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ การสนับสนุนการดำเนินการภายใต้มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี และการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคกับประเทศสมาชิกอาเซียน+๓ ๒.๒ ที่ประขุมเห็นชอบร่างความตกลงสุดท้าย (Final Text) ของความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) ฉบับปรับปรุง มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินผ่านกลไก CMIM กรณีที่เป็นการให้ความช่วยเหลือร่วมกับ IMF เพื่อให้สอดคล้องกันและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และขอให้ประเทศสมาชิกเร่งดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่อลงนามให้ความตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในปี ๒๕๖๒ และเห็นชอบเอกสาร “แนวทางการดำเนินการทั่วไปเกี่ยวกับการสนับสนุนการใช้เงินสกุลท้องถิ่นใน CMIM” (General Guidance on Local Currency Contribution to the CMIM) ที่ครอบคลุมหลักการของการสมทบเงินสกุลท้องถิ่นใน CMIM เช่น ต้องเป็นไปตามหลักความสมัครใจ เป็นต้น ๒.๓ ที่ประชุมเห็นชอบแผนการดำเนินงานระยะกลางฉบับใหม่ของมาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative : ABMI) สำหรับปี ๒๕๖๒-๒๕๖๕ ซึ่งแบ่งการดำเนินการออกเป็น ๔ แนวทาง ได้แก่ (๑) การดำเนินการโดยต่อเนื่อง (Continue) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของภูมิภาคอาเซียน+๓ (๒) การดำเนินการเชิงลึก (Deepen) โดยมุ่งเน้นสนับสนุนการพัฒนาตลาดตราสารหนี้สีเขียวและการพัฒนาการเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (๓) การดำเนินการเชิงขยาย (Expand) เพื่อขยายขอบเขต ABMI ให้ครอบคลุมประเด็นใหม่ ๆ ในตลาดการเงิน เช่น การพัฒนาระบบหลักประกันทางการเงินข้ามพรมแดน และเทคโนโลยีทางการเงิน เป็นต้น และ (๔) การส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง ADB CGIF AMRO และสำนักเลขาธิการอาเซียน ๒.๔ ที่ประชุมเห็นชอบเอกสารวิสัยทัศน์ “Strategic Directions of ASEAN+3 Finance Process” ซึ่งครอบคลุมประเด็นยุทธศาสตร์หรือทิศทางการดำเนินการภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าวในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพและขั้นตอนการทำงานสำหรับการประชุม AFMGM+3 การดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของภูมิภาคอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการส่งเสริมความเจริญเติบโตและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+๓ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มบทบาทของเงินสกุลท้องถิ่น (Local Currency) ทั้งในด้านการค้าและการลงทุนในภูมิภาค การพิจารณาความเป็นไปได้ในการสมทบเงินสกุลท้องถิ่นในกลไก CMIM และการจัดการความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1225 | รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2562 | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. สัดส่วนหนี้สาธารณะ ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ต้องไม่เกินร้อยละ ๖๐ ๒. สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาล ต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ต้องไม่เกินร้อยละ ๓๕ ๓. สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ ๔. สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ ต้องไม่เกินร้อยละ ๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1226 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ 99 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 (G20 Finance Ministers and Central Bank Governors Meeting) การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๖ เมษายน ๒๕๖๒ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 ที่ประชุมได้รับฟังรายงานความคืบหน้าในประเด็นที่ประเทศญี่ปุ่นต้องการผลักดันและให้ความสำคัญ ได้แก่ การศึกษาปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่สมดุลในเศรษฐกิจโลก (Global Imbalance) ผลกระทบเชิงนโยบายของสังคมสูงอายุ (Aging and tis policy implications) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ (Quality Infrastructure Investment) การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage) และการศึกษามาตรการภาษีระหว่างประเทศ (International Taxation) ๒. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๙ ที่ประชุมได้สนับสนุนแนวทางที่ธนาคารโลกจะใช้เงินเพิ่มทุนเพื่อให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญแก่ประเทศสมาชิก ดำเนินนโยบายสร้างตลาดเชิงรุกเพื่อพัฒนาภาคเอกชนให้แข็งแกร่ง รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในกลุ่มประเทศรายได้น้อย สนับสนุนการพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีความสามารถด้านเทคโนโลยี และเรียกร้องให้ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศรายได้น้อยให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืนและเหมาะสม ๓. การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แก่ การประชุมหารือกับผู้แทนธนาคารโลก การประชุมหารือทวิภาคีกับผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินต่างประเทศ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคณะผู้แทนไทย ได้แก่ การสัมมนาภาพรวมเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกกับ Asia and Pacific Department (APD) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) การสัมมนา Fiscal Forum ในหัวข้อ Investing in People and Infrastructure และการประชุมเพิ่มทุนในสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๑๙
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1227 | การดำเนินการตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 ของเงินทุนหมุนเวียนการบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินและการทำของ | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การจัดโครงสร้างองค์กรรูปแบบอื่นที่มิใช่ส่วนราชการ : หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ) เพื่อให้สำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ดำเนินการตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ของเงินทุนหมุนเวียนการบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินและการทำของ โดยยกเลิกการกำหนดให้สำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ เป็นหน่วยงานทดลองปฏิบัติการจัดโครงสร้างองค์กรเป็นหน่วยงานบริการรูปแบบพิเศษ (Service Delivery : SDU) โดยจะบริหารจัดการองค์กรด้วยกลไกทุนหมุนเวียนตามกรอบแนวทางการกำกับดูแล ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์เร่งพัฒนาโครงสร้างที่เหมาะสมของสำนักกษาปณ์ทั้งในด้านการผลิตและบริหารจัดการแทนการเป็นหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ (Service Delivery : SDU) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการตามภารกิจหลัก ตลอดจนสามารถขจัดปัญหาอุปสรรคในการบริหารจัดการของสำนักกษาปณ์ทั้งในด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการพัสดุ ด้านการเงินและงบประมาณได้ต่อไป รวมทั้งให้กรมธนารักษ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของรายงานการศึกษาในการออกระเบียบวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการพัสดุและการก่อหนี้ผูกพันของเงินทุนหมุนเวียนการบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินและการทำของ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหาร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1228 | การปรับปรุงตำแหน่งผู้แทนสำรองของรัฐบาลไทยในสภาสมาชิก (Council of Members) ของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชีย | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงตำแหน่งผู้แทนสำรองของรัฐบาลไทยในสภาสมาชิก (Council of Members) ของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชีย จาก “รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่กำกับดูแลสำนักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน” เป็น “ที่ปรึกษาหรือรองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่กำกับดูแลสำนักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน” และสำหรับตำแหน่งผู้แทนให้เป็นไปตามเดิม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1229 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับเจ้าพนักงานสรรพสามิต พ.ศ. .... | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับเจ้าพนักงานสรรพสามิต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ ๘๒ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบช้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ ๙๖ (พ.ศ. ๒๕๕๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ โดยรวมไว้เป็นฉบับเดียวกัน และได้เพิ่มเครื่องแบบเจ้าพนักงานสรรพสามิตภาคสนามสีน้ำเงินดำอีก ๑ ชนิด พร้อมทั้งกำหนดส่วนประกอบของเครื่องแบบดังกล่าวเพิ่มเติม ได้แก่ หมวก เสื้อ กางเกง เข็มขัด และรองเท้า เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติหน้าที่และมีรูปแบบที่เหมาะสมกับภารกิจในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1230 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวขนิษฐา สหเมธาพัฒน์) | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวขนิษฐา สหเมธาพัฒน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1231 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2562 ครั้งที่ 2 | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ อนุมัติและรับทราบข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมติที่ประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ดังนี้ ๑.๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับลดลงสุทธิ ๑๗,๐๙๔.๔๗ ล้านบาท จากเดิม ๑,๘๕๑,๑๓๗.๙๙ ล้านบาท เป็น ๑,๘๓๔,๐๔๓.๕๒ ล้านบาท และรับทราบการปรับเพิ่มวงเงินของโครงการหรือรายการเดิมในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ จำนวน ๒๐ โครงการ/รายการ ๑.๑.๒ อนุมัติการบรรจุโครงการพัฒนาหรือโครงการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๒ จำนวน ๖ รายการ ๑.๑.๓ อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มีสัดส่วน DSCR ต่ำกว่า ๑ สามารถกู้เงินใหม่และบริหารหนี้เดิมภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ โดยให้ รฟท. รับความเห็นของคณะกรรมการฯ เกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรให้สำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว การกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้จากการให้บริการขนส่ง การศึกษาแนวทางการขอปรับเพิ่มค่าระวางในการขนส่งผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้าให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ การจัดตั้งคณะทำงานติดตามและหาแนวทางแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินแผนงานก่อสร้างศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟพร้อมจัดหาเครื่องมือที่ท่าเรือแหลมฉบัง (Single Rail Transfer Operator : SRTO) และการหาแนวทางแก้ไขปัญหากรณีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. จ่ายเงินชดเชยค่าบอกเลิกสัญญาสัมปทานให้แก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ไปดำเนินการด้วย ๑.๒ อนุมัติและรับทราบในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๒.๑ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มา และการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๒.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงิน และหรือการค้ำประกันเงินกู้ต่างประเทศจากแหล่งเงินกู้ทางการ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการของ รฟท. ที่มีสัดส่วน DSCR ต่ำกว่า ๑ อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งติดตามและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายเงินและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1232 | การพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) กับระบบบัญชีคอมพิวเตอร์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (e-LAAS) | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแนวทางการพัฒนาการเชื่อมโยงระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMS Thai) กับระบบบัญชีคอมพิวเตอร์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (e-LAAS) และมอบหมายให้กรมบัญชีกลางและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นดำเนินการพัฒนาระบบตามแนวทางการเชื่อมโยงข้อมูล โดยให้คณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการดำเนินการพัฒนาระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (New GFMIS Steering Committee) กำกับติดตามการดำเนินการและรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเชื่อมโยงข้อมูลดังกล่าวจะต้องมีความครอบคลุมทุกแหล่งเงินและการรายงานผลการเบิกจ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม โดยแสดงถึงความเชื่อมโยงกับงบประมาณรายจ่ายที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการบริหารจัดการด้านการงบประมาณ การเงิน และการคลังของประเทศในภาพรวม ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1233 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตแทนกรรมการที่ลาออกระหว่างวาระ (นางอัมพร ปุรินทวรกุล) | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางอัมพร ปุรินทวรกุล เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคารในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต แทนผู้ที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1234 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและลักษณะของแสตมป์สรรพสามิตและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีของทางราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดการใช้แสตมป์สรรพสามิตและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีเพื่อให้ปรากฎว่าได้เสียภาษีแล้ว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและลักษณะของแสตมป์สรรพสามิตและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีของทางราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีของทางราชการสำหรับสินค้าสุราที่ผลิตในราชอาณาจักร ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดการใช้แสตมป์สรรพสามิตและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีเพื่อให้ปรากฏว่าได้เสียภาษีแล้ว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดวิธีการใช้เครื่องหมายแสดงการเสียภาษีของทางราชการ เพื่อให้ปรากฏว่าได้เสียภาษีแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1235 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (จำนวน 2 คน นายรพี สุจริตกุล และ นายสุวิชญ โรจนวานิช) | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก จำนวน ๒ คน ดังนี้ ๑.๑ นายรพี สุจริตกุล เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประกันภัย ๑.๒ นายสุวิชญ โรจนวานิช เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ๒. การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยดังกล่าว ให้มีผลตั้งแต่วันที่กระทรวงการคลังมีคำสั่งแต่งตั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1236 | ขออนุมัติขายที่ราชพัสดุ | กค | 21/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่ดำเนินการประมูลได้ผู้มีสิทธิซื้อแล้ว ตามนัยกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๓ จำนวน ๒ แปลง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. แปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. ๕๐๕๔ แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๐-๐-๑๘ ไร่ พร้อมอาคารราชพัสดุทาวน์เฮ้าส์ ๒ ชั้น เลขที่ ๙๙๘/๒๘๔ จำนวน ๑ หลัง ให้กับนางนันท์ธยาน์ วงษ์ไชโย ตามผลการประมูล ๒. แปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. ๕๐๖๕ ตำบลคลองสองต้นนุ่น อำเภอลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๐-๐-๒๐ ไร่ พร้อมอาคารราชพัสดุทาวน์เฮ้าส์ชั้นเดียว เลขที่ ๒๐๑/๑๐๘๓ จำนวน ๑ หลัง ให้กับนางสาวพิกุล อุรุวงศ์วณิช ตามผลการประมูล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1237 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 5 | กค | 21/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ Meeting AFMM) ครั้งที่ ๒๓ การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting : AFMGM) ครั้งที่ ๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Finance Ministers’ Retreat) การหารือทวิภาคีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และการประชุมร่วมกับภาคธุรกิจ ระหว่างวันที่ ๒-๕ เมษายน ๒๕๖๒ ณ จังหวัดเชียงราย ซึ่งสาระสำคัญของการประชุมดังกล่าว ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันผลักดันให้เกิดความคืบหน้าของความร่วมมือทางการเงินของอาเซียน และส่งเสริมการรวมตัวของภาคการเงิน (Financial Integration) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ (AEC Blueprint 2025) โดยในส่วนของกระทรวงการคลังประสบความสำเร็จนการผลักดันประเด็นที่ช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุนและความร่วมมือด้านการเงินการคลัง เช่น การเชื่อมโยงข้อมูลสดในการแลกเปลี่ยนใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าอาเซียนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ATIGA e-Form D) ผ่านระบบ ASEAN Single Window (ASW) ได้ภายในปี ๒๕๖๒ การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน การส่งเสริมการใช้เงินสกุลท้องถิ่นเพื่อชำระสินค้าและบริการ และการส่งเสริมการเงินที่ยั่งยืน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืนต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1238 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ปี 2561 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ | กค | 14/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๖๑ ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานที่สำคัญประจำปีครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๖๑ ประกอบด้วย งานจัดเก็บ รวบรวม และประมวลผลข้อมูล โดยได้จัดเก็บ รวบรวม และประมวลผลข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และอาคารพาณิชย์ การเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ วารสาร และสื่อสังคมออนไลน์ งานบริหารจัดการระบบสารสนเทศ โดยพัฒนาระบบฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์มือสอง เพื่อแสดงปริมาณอุปสงค์และอุปทานเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ๒. ข้อมูลสถิติและสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญ (เฉพาะเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงปีหลัง ปี ๒๕๖๑ มีการปรับตัวดีขึ้นทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1239 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ) | กค | 14/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จากมาตรการเดิมที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ๕๙๑) พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ได้หมดระยะเวลาจดแจ้งการขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีไปแล้วเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยกำหนดให้มีการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล จากอัตราร้อยละ ๒๐ เหลือร้อยละ ๑๐ เป็นเวลา ๑๐ รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ สำหรับกำไรสุทธิจากรายได้ที่เกิดจากการผลิตสินค้าหรือการให้บริการและมีการใช้บริการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าว สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ได้จดแจ้งการขอใช้สิทธิการเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรเปรียบเทียบผลการดำเนินมาตรการดังกล่าวกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริง และประมาณการสูญเสียรายได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นประจำทุกสิ้นปีงบประมาณซี่งเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา ๒๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป และควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1240 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ) | กค | 14/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับกำไรสุทธิในการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ เฉพาะส่วนที่เกิดจากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตไม่ว่าจะกระทำในประเทศหรือนอกประเทศเป็นเวลาสามรอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน โดยผู้ดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจจะต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการยกเว้นภาษีเงินได้ของกำไรสุทธิที่เกิดจากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตเฉพาะส่วนที่จะกระทำในประเทศเท่านั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมสำหรับการได้มาซึ่งกำไรจากการใช้ทรัพยากรภายในประเทศมาดำเนินงาน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรหารือเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้ รวมถึงสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก นอกจากนี้ ควรจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
