ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 65 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1281 - 1300 จากข้อมูลทั้งหมด 9659 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1281 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R - Bill) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 | กค | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ R-Bill ที่ครบกำหนด ซึ่งเป็นหนี้ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (พ.ร.ก. FIDF 3) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ R-BRill ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยกู้เงินระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) อายุ ๑ เดือน จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ เบิกเงินกู้เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ ๑.๗๕๐๐๐ ต่อปี ๒. การกู้เงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ระยะสั้นในวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยการออก R-Bill รุ่นอายุ ๑๘๒ วัน จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ ๑.๗๖๗๙๒ ต่อปี ๓. การออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการกู้เงินโดยการออก R-Bill จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1282 | ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการอนุญาตนำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สุราที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรต้องมีมาตรฐานเป็นไปตามที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด จากเดิมที่กำหนดให้สุราที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่มีหน้าที่กำหนดมาตรฐานการตรวจวิเคราะห์คุณภาพสุราและหน่วยงานที่เป็นผู้ออกใบอนุญาตให้นำสุราเข้ามาในราชอาณาจักรไม่ควรเป็นหน่วยงานเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1283 | ขอรับจัดสรรงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม) | กค | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๓๗,๙๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม สำหรับดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ ๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. เห็นชอบการเพิ่มกิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือเข้าร่วมมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาภายใต้มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1284 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ | กค | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบหลักการของการปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เพิ่มวงเงินสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะสามารถให้สินเชื่อแก่ประชาชน จากเดิม ๕๐,๐๐๐ บาทต่อราย เป็น ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย ๒. ปรับปรุงข้อกำหนดเกี่ยวกับทุนจดทะเบียนหรือเงินลงหุ้นของผู้ประกอบธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับวงเงินที่เพิ่มขึ้น โดยกรณีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ประสงค์จะให้สินเชื่อแก่ประชาชนไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาทต่อราย ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ที่ ๕ ล้านบาท กรณีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ประสงค์จะต้องการให้สินเชื่อแก่ประชาชนไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นไม่น้อยกว่า ๑๐ ล้านบาท ส่วนผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์อยู่เดิมหากประสงค์จะให้สินเชื่อเกินกว่า ๕๐,๐๐๐ บาทต่อราย แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นจากเดิมไม่น้อยกว่า ๕ ล้านบาท เป็นไม่น้อยกว่า ๑๐ ล้านบาท เพื่อให้สะท้อนถึงความมั่นคงภายในการประกอบธุรกิจที่มีการให้สินเชื่อต่อรายในวงเงินที่สูงขึ้น ๓. ผู้ประกอบธุรกิจอาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ จากลูกหนี้รวมกันแล้วเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) จากเดิมไม่เกินร้อยละ ๓๖ ต่อปี เป็น (๑) วงเงินสินเชื่อ ๕๐,๐๐๐ บาทแรก อาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมแล้วไม่เกินร้อยละ ๓๖ ต่อปี และ (๒) วงเงินสินเชื่อส่วนที่เกินกว่า ๕๐,๐๐๐ บาท อาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมแล้วไม่เกินร้อยละ ๒๘ ต่อปี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1285 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2562 | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การจัดทำร่างหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... เพื่อใช้เป็นหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีของรัฐวิสาหกิจแทนหลักการและแนวทางการกำกับดูแลที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ปี ๒๕๕๒ (๒) การพิจารณาอัตราและหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจและกรรมการอื่นในคณะกรรมการชุดย่อย คณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานอื่น และ (๓) การแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หากประเด็นการควบรวมกิจการของทั้ง ๒ บริษัทมีความชัดเจนและได้ข้อยุติแล้ว เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการยุบเลิกบริษัท โครงข่ายบรอดแบรนด์แห่งชาติ จำกัด และบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จำกัด ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินภารกิจการให้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1286 | การรายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ National-e-Payment ซึ่งได้ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ National-e-Payment อย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินการที่ผ่านมาสำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์และได้รับการยอมรับในระดับสากล ๑.๒ เห็นชอบให้ยุติบทบาทของคณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ National-e-Payment เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถผลักดันและพัฒนาระบบการชำระเงินของประเทศไทยภายใต้กรอบภารกิจของตนเองให้เข้าสู่ระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างครบวงจร จึงไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยการขับเคลื่อนในรูปแบบของคณะกรรมการอีกต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรมีการติดตามและรวบรวมความคืบหน้าการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งบูรณาการฐานข้อมูลการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศต่อไป นอกจากนี้ การประสานความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐมีความสำคัญยิ่งต่อการขับเคลื่อนให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน การมีกลไกดังกล่าวระหว่างหน่วยงานจะช่วยสนับสนุนให้การขับเคลื่อนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการดำเนินงานในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1287 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าที่นำเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ร่างประกาศดังกล่าวควรมีหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ชัดเจน รัดกุม ตรวจสอบได้ รวมทั้งสอดคล้องกับกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และควรพิจารณากำหนดประเภทสินค้าที่มีการยกเว้นภาษีสรรพสามิตในร่างประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นไปตามมาตรา ๑๐๙ แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับร่างประกาศดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1288 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางสาววิมล ชาตะมีนา) | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง นางสาววิมล ชาตะมีนา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1289 | ทบทวนโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต 2561/2562 | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๒๕๖๒ โดยให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบภายใต้สังกัดผู้บ่มอิสระ และผู้บ่มอิสระซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยา มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการฯ ในสัดส่วนตามต้นทุนดำเนินการระหว่างผู้บ่มอิสระกับเกษตรกรผู้เพาะปลูกขายใบยาสด ๗๐ : ๓๐ ของเงินช่วยเหลือสำหรับใบยาเวอร์ยิเนีย ๑๗.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม โดยผู้บ่มอิสระได้รับเงินช่วยเหลือ ๑๒.๒๕ บาทต่อกิโลกรัม และเกษตรกรผู้เพาะปลูกขายใบยาสดได้รับเงินช่วยเหลือ ๕.๒๕ บาทต่อกิโลกรัม รวมทั้งการจัดสรรค่าธรรมเนียมการบริการโอนเงินแก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รายละ ๕ บาท โดยเจียดจ่ายจากกรอบวงเงินงบประมาณของโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยการยาสูบแห่งประเทศไทย และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การยาสูบแห่งประเทศไทยปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัด และในระยะต่อไป หากมีการดำเนินโครงการในลักษณะให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรผ่าน ธ.ก.ส. ควรให้ ธ.ก.ส. ส่งเสริมการใช้บริการพร้อมเพย์ (PromptPay) ให้สามารถดำเนินการในโครงการของรัฐได้ เพื่อลดภาระงบประมาณในการจัดสรรค่าธรรมเนียมและบริการโอนเงินให้แก่ ธ.ก.ส. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1290 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (นายนรินทร์ กัลยาณมิตร) | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายนรินทร์ กัลยาณมิตร เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ แทน นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ที่มีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1291 | การแต่งตั้งเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (นายสุทธิพล ทวีชัยการ) | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายสุทธิพล ทวีชัยการ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ต่ออีกหนึ่งวาระ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1292 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร (จำนวน 5 คน 1. ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ฯลฯ) | กค | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร จำนวน ๕ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ๒. นายนำชัย เอกพัฒนพานิชย์ ๓. นายวิชญายุทธ บุญชิต ๔. นายเศกสรรค์ เรืองโวหาร ๕. นายสุรชาติ จันทวัชรากร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1293 | ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง การกำหนดให้ทุนหมุนเวียนนำเงินที่ฝากกระทรวงการคลังไปหาผลประโยชน์ | กค | 05/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง การกำหนดให้ทุนหมุนเวียนนำเงินที่ฝากกระทรวงการคลังไปหาผลประโยชน์ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ให้สามารถนำจำนวนเงินของทุนหมุนเวียนที่ฝากไว้กับกระทรวงการคลังไปหาผลประโยชน์ได้ภายในระยะเวลาที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้กรมบัญชีกลางเตรียมความพร้อมด้านระบบฐานข้อมูลที่สะท้อนรายรับและรายจ่ายของทุนหมุนเวียนที่ต้องทันกาล รวมทั้งข้อมูลภาระผูกพันของทุนหมุนเวียนที่ต้องใช้จ่ายตามเงื่อนเวลา เพื่อนำมาวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1294 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายปิ่นสาย สุรัสวดี) | กค | 05/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายปิ่นสาย สุรัสวดี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกรรมทางการเงินการธนาคาร) (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1295 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2562 ครั้งที่ 1 | กค | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ อนุมัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมติที่ประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๒ ในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๒๓,๐๑๘.๘๑ ล้านบาท จากเดิม ๑,๘๒๘,๑๑๙.๑๘ ล้านบาท เป็น ๑,๘๕๑,๑๓๗.๙๙ ล้านบาท และการบรรจุโครงการพัฒนาหรือโครงการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ จำนวน ๖ โครงการ เช่น โครงการเงินกู้เพื่อรองรับการดำเนินงานของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ในการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) รวมถึงให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ SMEs รายย่อยตามนโยบายรัฐบาลอื่น ๆ (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) โครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) และโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๔๘๙ คัน (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) เป็นต้น รวมทั้งให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ การเคหะแห่งชาติ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio : DSCR) ต่ำกว่า ๑ สามารถกู้เงินใหม่และบริหารหนี้เดิมภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง ๔ แห่งดังกล่าวรับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เช่น ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรให้ชัดเจนและสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยกระจายภาระหนี้ให้สอดคล้องกับการจัดหารายได้ของหน่วยงานและความสามารถในการจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระหนี้ในแต่ละปี เป็นต้น ไปดำเนินการด้วย ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ต่างประเทศจากแหล่งเงินกู้ทางการ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังให้กู้ต่อแก่กรุงเทพมหานครจำนวนไม่เกิน ๑๕,๐๒๕.๕๒ ล้านบาท โดยเป็นวงเงินกู้ต่อเดิมของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเพื่อรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ รวมทั้งเป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับสัญญาเงินยืม จำนวนไม่เกิน ๔,๑๒๒.๒๘ ล้านบาท และเรียกเก็บเงินยืมที่ไม่มีดอกเบี้ยกับกรุงเทพมหานคร ๑.๕ รับทราบแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้และการชำระคืนเงินกู้ที่กระทรวงการคลังให้กู้แก่กรุงเทพมหานคร และแนวทางการชำระคืนเงินตามสัญญาเงินยืมระหว่างกระทรวงการคลังกับกรุงเทพมหานคร ๒. ให้กระทรวงการคลัง คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรกำกับ ติดตาม และเร่งรัดกระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งควรติดตามและเร่งรัดการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาองค์กรและแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจกลุ่มดังกล่าวให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อลดภาระความเสี่ยงทางการเงินของรัฐบาลในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1296 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี 2560 | กค | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี ๒๕๖๐ มีรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจทั้งสิ้น จำนวน ๕๔ แห่ง ประกอบด้วย ๒ ระบบ ได้แก่ (๑) ระบบการบริหารจัดการองค์กร ผลการประเมินในภาพรวม รัฐวิสาหกิจมีคะแนนเฉลี่ยที่ ๓.๐๖๔๔ คะแนน เพิ่มขึ้น ๐.๑๔๑๓ คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกับปี ๒๕๕๙ เนื่องจากผลการดำเนินการตามนโยบายของรัฐวิสาหกิจเป็นไปตามเป้าหมายมากขึ้น และ (๒) ระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ผลการประเมินในภาพรวม รัฐวิสาหกิจมีคะแนนเฉลี่ยที่ ๓.๘๕๙๙ คะแนน ลดลง ๐.๑๒๕๙ คะแนน เนื่องจากไม่สามารถบริหารแผนลงทุนได้ตามเป้าหมาย รวมถึงผลสำรวจ Employee Engagement ที่มีระดับลดลง ทั้งนี้ คณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากรายงานผลการประเมินผลฯ เพิ่มเติม เช่น การวางแผนยุทธศาสตร์องค์กร การกำกับดูแลกิจการที่ดี การเสริมสร้างทรัพยากรด้านดิจิทัล การสร้างเสริมนวัตกรรม และการวางแผนบุคลากร เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากการประเมินผลฯ อย่างเคร่งครัดต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การเตรียมความพร้อมในการกำหนดบทบาทและทิศทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี การเร่งสรรหาผู้บริหารสูงสุดที่ยังว่างอยู่ และการส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจมีบทบาทในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจนมากขึ้น และสามารถเร่งรัดการลงทุนและวางแผนการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รัฐวิสาหกิจขับเคลื่อนการดำเนินงานขององค์กรให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยไม่ควรให้มีการปรับลดเป้าหมายตัวชี้วัดในระหว่างรอบการประเมิน เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจสามารถสะท้อนประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กรได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการให้ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจมีส่วนร่วมรับผิดชอบในกรณีที่รัฐวิสาหกิจมีผลการประเมินไม่เป็นไปตามเกณฑ์เป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1297 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (นายประเสริฐ ภัทรดิลก) | กค | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายประเสริฐ ภัทรดิลก เป็นกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย แทน นายนพพร เทพสิทธา ที่มีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1298 | ความคืบหน้าโครงการจัดสร้างสวนป่า "เบญจกิติ" | กค | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ว่า คณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ได้มีการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ มีมติเห็นชอบกรอบกระบวนการดำเนินงานจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” (Timeline) โดยให้รวมการออกแบบสวนป่า การรื้อถอน และการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ ๒ และระยะที่ ๓ ไว้ในคราวเดียวกัน ซึ่งการยาสูบแห่งประเทศไทยได้ปรับแผนการส่งมอบพื้นที่ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการฯ ดังกล่าว โดยจะทยอยส่งมอบพื้นที่ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ และจะส่งมอบพื้นที่ให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ ซึ่งกรมธนารักษ์จะสามารถรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ ๒ และระยะที่ ๓ คู่ขนานกับการส่งมอบพื้นที่ โดยจะดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกแบบรายละเอียดได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๖๒ และจะก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๔ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1299 | มาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต | กค | 18/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง มาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไปด้วย ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะเพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต เรื่อง “การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน)” โดยเห็นควรให้มีการประเมินผลโครงการออกเป็น ๓ ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นวางแผนก่อนดำเนินโครงการ ขั้นการดำเนินโครงการ และขั้นสรุปผลหลังการดำเนินโครงการ โดยประเมินผลกระทบและผลสำเร็จของงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายการป้องกันการทุจริตหรือไม่ กรณีนี้ได้มีพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ แล้ว โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีมาตรการกีดกันหรือปราบปรามการทุจริตของโครงการภาครัฐ เช่น มาตรา ๑๑ บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐจัดทำแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปี และประกาศเผยแพร่ในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลางและหน่วยงานของรัฐ และให้ปิดประกาศโดยเปิดเผย ณ สถานที่ปิดประกาศของหน่วยงานของรัฐนั้น และมาตรา ๖๖ บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐประกาศผลผู้ชนะการจัดซื้อจัดจ้างหรือผู้ได้รับการคัดเลือกและเหตุผลสนับสนุน เป็นต้น ๒. มาตรการป้องกันการทุจริตจากการใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) โดยเห็นควรยกเว้นมิให้นำการจัดจ้างด้วยวิธีการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ มาใช้ในงานก่อสร้างทุกประเภท ไม่ว่างานก่อสร้างนั้นจะมีลักษณะของงานซับซ้อนหรือมีเทคนิคเฉพาะหรือไม่ก็ตาม โดยที่ระเบียบดังกล่าวได้ถูกยกเลิกตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว โดยกรมบัญชีกลางได้พัฒนาระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทุกขั้นตอนต้องดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐให้มีความทันสมัย ทัดเทียมมาตรฐานสากล เพิ่มความโปร่งใส ลดโอกาสในการสมยอมราคากันในการเสนอราคาของผู้ค้า และก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างแท้จริง ๓. ข้อเสนอแนะจากงานศึกษาวิจัย เรื่อง โครงการศึกษาประเด็นทางกฎหมายที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตที่มีผลกระทบในภาพรวม โดยเฉพาะของเอกชน เช่น ควรกำหนดมาตรการเสริมเพื่อป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย โดยเฉพาะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง และควรมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ทันสมัยและรองรับต่อการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ เป็นต้น โดยกรมบัญชีกลางได้นำข้อเสนอแนะดังกล่าวมาบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1300 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... | กค | 18/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อให้ส่วนราชการมีวงเงินทดรองราชการในการให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่สามารถรอการเบิกเงินจากงบประมาณได้ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งแก้ไขถ้อยคำหรือความที่ยังไม่ชัดเจนให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน เพื่อให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงบประมาณที่เห็นควรขยายห้วงระยะเวลาการสนับสนุนเงินทดรองราชการให้สอดคล้องกับการดำเนินการช่วยเหลือด้านสังคมสงเคราะห์และฟื้นฟูผู้ประสบภัยของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเงินทดรองราชการดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการเสนอกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้มีผลใช้บังคับภายในกำหนดระยะเวลา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
