ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 110 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2181 - 2200 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2181 | การแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ (เพิ่มเติมองค์ประกอบ) | กค | 28/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ โดยเพิ่มอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นกรรมการ และผู้แทนกรมบัญชีกลางเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||
2182 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2558 - 31 ตุลาคม 2558 | กค | 28/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๘-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับเงินอุดหนุนเพื่อชดเชยรายได้ที่ขาดไปเนื่องจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ให้กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย) จัดทำแผนและรายละเอียดของค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นที่จะเกิดขึ้นจริงจากการดำเนินมาตรการดังกล่าว โดยผ่านคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับวงเงินที่จะชดเชยเป็นค่าใช้จ่ายให้กับรัฐวิสาหกิจทั้ง ๒ แห่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเสนอแนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางในระยะต่อไปต่อคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ต่อไป |
||||||||||||||||||
2183 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. .... | กค | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการรวบรวมพระราชบัญญัติศุลกากรที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันทุกฉบับเข้าไว้ด้วยกันเป็นฉบับเดียว ปรับปรุงแก้ไขให้มีมาตรฐานสากลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ ลดอัตราการจ่ายเงินรางวัล กำหนดเพดานเงินสินบน เพิ่มเติมอำนาจทางศุลกากรในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ เขตไหล่ทวีป และเขตทะเลหลวง เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข ในประเด็นเกี่ยวกับอำนาจทางศุลกากรเหนือเขตทางทะเลต่าง ๆ ประเด็นด้านนิยามของพื้นที่พัฒนาร่วมและอำนาจทางศุลกากรในพื้นที่พัฒนาร่วม และประเด็นเรื่อง Pre-arrival Processing เกี่ยวกับบทบัญญัติบางมาตรายังไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายของกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งเสนอความเห็นบางประการให้มีความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายยิ่งขึ้น ได้แก่ เห็นควรกำหนดให้มีมาตรการอื่นเพื่อเปิดช่องให้ดำเนินการกับของที่นำเข้าฝ่าฝืนมาตรา ๑๔๙ ได้บ้าง นอกจากมาตรการริบตามวรรคสาม การกำหนดข้อยกเว้นในการปฏิบัติตามมาตรา ๑๗๕ วรรคหนึ่ง เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาอุปสรรคในการนำเข้าสินค้าต้องห้าม ตลอดจนควรมีการแก้ไขความในมาตรา ๑๗๕ วรรคสอง โดยให้มีข้อกำหนดรองรับกับปัญหาอุปสรรคกรณีที่มีการนำเข้าของต้องจำกัดที่เป็นภัยต่อสังคม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. เนื่องจากระบบการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศไทยได้บัญญัติไว้ในกฎหมายหลายฉบับและเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บรายได้ของรัฐและให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรมีความเต็มใจ ความสะดวกในการเสียภาษีอากร สมควรให้มีการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีอากรทั้งระบบเพื่อให้มีความเป็นธรรม รวมทั้งมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการเสียภาษีอากร โดยมอบให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ทั้งนี้ ในการปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีอากรดังกล่าวควรเทียบเคียงกับระบบการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศอื่น ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||
2184 | การลงนามในร่างความตกลงในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย | กค | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างความตกลงในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางเศรษฐกิจและส่งเสริมความร่วมมือภายในภูมิภาคเอเชีย และให้กระทรวงการคลังไปดำเนินการตามขั้นตอนตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนเงินลงทุนของประเทศไทย สิทธิและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ โดยให้เปรียบเทียบกับสัดส่วนเงินลงทุน สิทธิในการออกเสียง และประโยชน์ที่จะได้รับของประเทศสมาชิกอาเซียน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ความเห็นของสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๘/๕๓๗ ลงวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และมติคณะรัฐมนตรี (๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘) และให้เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในวงเงินงบประมาณที่จะมีภาระผูกพันตามพันธกรณีดังกล่าวก่อนที่จะเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ |
||||||||||||||||||
2185 | การนำส่งเงินตามแผนปฏิบัติการนำเงินของกองทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน | กค | 14/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ชะลอการนำเรื่องที่หน่วยงานของรัฐเจ้าของทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ที่ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณายกเว้นหรือลดจำนวนเงินสภาพคล่องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินไว้ก่อน โดยขอให้ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังพิจารณากลั่นกรองให้ความเห็นก่อนเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||
2186 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2558 | กค | 14/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม มีจำนวน ๕,๗๓๐,๕๑๙.๒๓ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๓.๓๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๔,๐๙๔,๐๐๘.๕๙ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๕๑,๕๕๐.๙๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน จำนวน ๕๗๖,๗๖๓.๐๒ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ จำนวน ๘,๑๙๖.๖๕ ล้านบาท ๑.๒ รายการการกู้เงินและค้ำประกันระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยในระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๗๔๓,๒๐๖.๓๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๕๒ ของแผนฯ ๑.๓ ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ของรัฐวิสาหกิจในช่วง ๖ เดือนแรก พบว่า มีรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔ แห่ง ที่มีการดำเนินโครงการลงทุนล่าช้ากว่าแผน ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ ๓-๕ ของการเคหะแห่งชาติ โครงการลงทุนโดยใช้เงินกู้ต่อจากกระทรวงการคลัง จำนวน ๔ โครงการ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โครงการลงทุนล่าช้าวกว่าแผน จำนวน ๖ โครงการ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และโครงการจัดซื้อรถโดยสารเชื้อเพลิงธรรมชาติ จำนวน ๓,๑๘๓ คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการที่มีความล่าช้า ควรเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อให้การใช้จ่ายของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
2187 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 4/2558 และครั้งที่ 5/2558 | กค | 14/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ และครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ ตามที่ คนร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง และมอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการกำกับและติดตามการดำเนินการตามมติ คนร. ที่เห็นชอบในหลักการให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท) ให้ความสำคัญเร่งด่วนในการใช้ประโยชน์จากเสาโทรคมนาคม โดยการเจรจายุติข้อพิพาทกับคู่สัญญาเอกชนต้องอยู่บนพื้นฐานตามที่ คนร. เห็นชอบ และให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว รวมทั้งให้ชะลอการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาแนวทางการดำเนินธุรกิจของ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท ออกไปก่อน เพื่อปรับปรุงขอบเขตการศึกษาให้สอดคล้องกับมติ คนร. ๑.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการพิจารณาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการรถไฟทางคู่ให้แล้วเสร็จตามกำหนด และให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดทำแนวทางการให้เอกชนเข้าร่วมการเดินรถในรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail link : ARL) โดยให้เอกชนดำเนินการร่วมกับบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ด้วย ซึ่งรวมถึงดำเนินการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิส่วนต่อขยายไปถึงท่าอากาศยานดอนเมืองและอู่ตะเภา ๑.๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการศึกษา (๑) การกำหนดเส้นทางเดินรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ทั้งเส้นทางหลักและเส้นทางรอง โดยให้ ขสมก. เดินรถในเส้นทางหลักและกำหนดแนวทางการออกใบอนุญาต และดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๖ ที่ให้ ขสมก. เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภายใน ๖๐ วัน (๒) จัดทำรายละเอียดการดำเนินงานที่จำเป็นในการให้กรมการขนส่งทางบกเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการทั้งหมดโดยตรงและกำหนดระยะเวลาการดำเนินการที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติโดยเร็ว และ (๓) กำกับดูแลให้ ขสมก. ดำเนินการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติ (NGV) ให้เป็นไปตามแผน รวมถึงให้มีการติดตามประเมินผลการดำเนินการของรถโดยสาร NGV งวดที่ ๑ เพื่อทบทวนแผนการจัดซื้อรถโดยสาร NGV งวดที่ ๒ รวมทั้งเห็นชอบให้กรมการขนส่งทางบกศึกษาการปฏิรูปเส้นทางเดินรถให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับจากเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ๑.๑.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี (ด้านเศรษฐกิจ) เป็นประธานเพื่อหารือร่วมกับคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง และผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการ Bad Bank และสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยในอนาคต โดยให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๑.๒ รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาและมติเกี่ยวกับโครงการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดำเนินการตามผลการพิจารณาและมติ คนร. ๑.๓ รับทราบและเห็นชอบผลการดำเนินงานของ คนร. และมอบหมาย ๑.๓.๑ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจพิจารณาแนวทางการปรับปรุงกฎหมายจัดตั้งในส่วนกรรมการโดยตำแหน่งที่ขัดหลักธรรมาภิบาลที่ดี [กรรมการรัฐวิสาหกิจต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และไม่เป็นผู้กำกับดูแลรายสาขา (Regulator)] ๑.๓.๒ ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินพิจารณาความเหมาะสมเกี่ยวกับสัดส่วนการจำหน่ายหุ้นและการถือหุ้นในบริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐมากขึ้น รวมถึงการลงทุนขนาดใหญ่ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมด้วย การจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเพื่อกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัด การปรับปรุงกระบวนการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
2188 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค | 14/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มออกไปอีกระยะหนึ่งเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะครบระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ จากเดิมร้อยละ ๑๐ โดยให้ยังคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๖.๓ ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ และจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๙ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการปฏิรูประบบภาษีอากรและโครงสร้างอัตราภาษีอากรประเภทต่าง ๆ ทั้งระบบ ซึ่งรวมทั้งอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความพร้อมต่อการประกาศใช้เมื่อเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวที่เข้มแข็งมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
2189 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 | กค | 14/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ในส่วนของวงเงินค้ำประกันในส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยกำหนดให้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการคิดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการในอัตราไม่เกิน MLR+๒ และกำหนดให้จ่ายค่าประกันชดเชยกรณีที่เป็นภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) ทั้งโครงการรวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของวงเงินค้ำประกัน และจ่ายค่าประกันชดเชยตามภาระค้ำประกัน SMEs แต่ละราย (Coverage Ratio per SMEs) เป็นสัดส่วนร้อยละ ๗๐ ของภาระประกัน (สถาบันที่เข้าร่วมโครงการรับภาระในส่วนร้อยละ ๓๐ ที่เหลือ) ๑.๒ งบประมาณเพื่อดำเนินการตามโครงการ PGS ระยะที่ ๕ เพิ่มเติมอีกจำนวน ๓,๘๐๕ ล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เบิกจ่ายตามภาระที่เกิดขึ้นจริงโดยทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อที่ขอปรับปรุงใหม่ควบคู่กับ Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเดิมไปก่อนเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการที่มีข้อผูกพันตามกรอบวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเงื่อนไขเดิม สำหรับภาระงบประมาณเมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการที่ปรับปรุงแล้วจะมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ บสย. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ตามช่วงระยะเวลา ซึ่งหากไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ให้ยุติการดำเนินการโครงการดังกล่าวทันที และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่สมควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพให้มีความเข้มแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน และเห็นควรให้มีหลักการดำเนินการทั้งแบบเดิมและแบบใหม่ควบคู่กันไป โดยการกำหนดวงเงินให้ชัดเจนและให้มีการประเมินผลการดำเนินการ หากหลักการใหม่ใช้ได้ดี ก็สามารถยกเลิกหลักการเดิมได้ รวมทั้งให้มีการรายงานผลการดำเนินการเมื่อครบ ๓ เดือนให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2190 | รายงานผลการกู้เงินจากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ระยะที่ 2 | กค | 14/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น รวมทั้งสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๒ โดยเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ ได้มีการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทย และ H.E. Mr. Shiro Sadoshima เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลญี่ปุ่น รวมทั้งได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทย และ Mr. Shuichi Ikeda หัวหน้าผู้แทนองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) สำนักงานประจำประเทศไทย เป็นผู้ลงนามในนาม JICA สำหรับโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๒ วงเงิน ๓๘,๒๐๓ ล้านเยน ทั้งนี้ รายละเอียดหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เอกสารที่เกี่ยวข้อง และสัญญาเงินกู้ดังกล่าวมีสาระสำคัญและเงื่อนไขเป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติทุกประการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งหาข้อยุติในหลักการของขอบเขตการรับภาระการลงทุนค่าใช้จ่ายงานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล ตู้รถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษา งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลของโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน รวมทั้งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกระทรวงคมนาคมเร่งศึกษาแนวทางการบริหารจัดการโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าจะสามารถเปิดให้บริการรถได้ทันทีภายหลังจากที่การก่อสร้างงานโยธาของโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิตแล้วเสร็จ โดยให้ครอบคลุมถึงการพิจารณารูปแบบการเดินรถ ความพร้อมของบุคลากร แผนการซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่ครอบคลุมทั้งโครงการ และผลกระทบต่อฐานะการเงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งแผนบริหารจัดการใช้ประโยชน์ทางรถไฟร่วมกันระหว่างการเดินรถไฟประเภทต่าง ๆ เช่น รถไฟทางไกล รถไฟชานเมือง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2191 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการซึ่งกระทรวงการคลังแต่งตั้งให้เป็นผู้พิจารณา และเสนอความเห็นเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องกับการแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
2192 | ร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... | กค | 07/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ เพื่อเป็นมาตรฐานกลางสำหรับใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ความเห็นของคณะรัฐมนตรีซึ่งเห็นควรให้ร่างพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับรวมถึงองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญด้วย เพื่อให้เกิดมาตรฐานเดียวกันในการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงาน ก.พ. มีข้อสังเกตว่า สำหรับกรณีการกำหนดให้เจ้าหน้าที่ผู้ดำรงตำแหน่งที่มาตรฐานกำหนดตำแหน่งให้มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุในหน่วยงานที่ตนสังกัด ซึ่งผ่านการอบรมหลักสูตรที่กรมบัญชีกลางกำหนด ให้ได้รับค่าตอบแทนตามหลักเกณฑ์และอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด นั้น ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งกำหนดให้การได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ เป็นไปตามระเบียบที่ ก.พ. กำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง ส่วนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมีข้อสังเกตเกี่ยวกับกระบวนการในการจัดซื้อจัดจ้างบางประการ รวมทั้งฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสังเกตว่าควรเพิ่มหลักเกณฑ์ในการลงโทษผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ชัดเจน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. อนุมัติให้ถอนร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... จากการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ |
||||||||||||||||||
2193 | รายงานสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนและมาตรการในการลดภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ | กค | 07/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนและมาตรการในการลดภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือน ณ ไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๗ สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วง ๗ ปีที่ผ่านมา โดยพิจารณาจากเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนขยายตัวสูงกว่าการขยายตัวของ GDP มาโดยตลอด ทำให้หนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๕๔.๖ ของ GDP ในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๐ เป็นร้อยละ ๘๕.๙ ของ GDP ในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๗ ทั้งนี้ หากพิจารณาหนี้สินภาคครัวเรือนตามวัตถุประสงค์ของสินเชื่อ ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย รองลงมาคือ สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ๒. ผลกระทบของหนี้สินภาคครัวเรือน สถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวลนัก เนื่องจากหนี้สินภาคครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง ประกอบกับสถาบันการเงินต่าง ๆ เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จึงเป็นข้อจำกัดในการขอสินเชื่อเพื่อนำมาใช้อุปโภคบริโภคในระยะต่อไป ๓. มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ กระทรวงการคลังได้ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ โดยการส่งเสริมการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร และการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อยผ่านระบบธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรภายใต้ ๓ โครงการย่อย ได้แก่ โครงการปลดเปลื้องหนี้สิน โครงการปรับโครงสร้างหนี้สิน และโครงการขยายเวลาการชำระหนี้สิน ตลอดจนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการการให้ความคุ้มครองผู้ที่เป็นลูกหนี้ และการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเงิน (Financial Literacy) นอกจากนี้ ได้มีมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนด้านอื่น ๆ โดยกระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำร่างแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการกำหนดแนวทางการพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนอย่างบูรณาการเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการเงินแก่ประชาชน ตลอดจนวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินภาคประชาชนที่เหมาะสม ๔. คาดการณ์สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP กระทรวงการคลังได้คาดการณ์ว่าสัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาสที่ ๑ ของปี ๒๕๕๘ จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เป็นร้อยละ ๘๐.๑ แต่ยังคงใกล้เคียงกับสัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๗ ซึ่งอยู่ที่อยู่ระดับร้อยละ ๗๙.๓
|
||||||||||||||||||
2194 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง) (จำนวน 3 ราย 1. นายสุวิชญ โรจนวานิช ฯลฯ) | กค | 07/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายสุวิชญ โรจนวานิช ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ๒. นายประภาศ คงเอียด ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางพรรณขนิตตา บุญครอง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||
2195 | ขอเสนอชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (กระทรวงการคลัง) (นายวิรไท สันติประภพ) | กค | 07/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวิรไท สันติประภพ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่าง เนื่องจากนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล จะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||
2196 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (จำนวน 4 ราย 1. นายลวรณ แสงสนิท ฯลฯ) | กค | 07/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายลวรณ แสงสนิท ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ๒. นายเอด วิบูลย์เจริญ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ตั้งแต่วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๓. นางสาวชุณหจิต สังข์ใหม่ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง ตั้งแต่วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๔. นายพิทักษ์ ดิเรกสุนทร ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||
2197 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้ขอกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามพระราชบัญญัติ การกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 พ.ศ. 2557) | กค | 30/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้ขอกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามพระราชบัญญัติการกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ พ.ศ. ๒๕๕๗) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาเกี่ยวกับการซ้ำซ้อนในสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งหากเห็นว่า ไม่มีความซ้ำซ้อนในเรื่องดังกล่าวก็ให้ดำเนินการต่อไป โดยกระทรวงการคลังอาจพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติให้ผู้ที่ขอกลับไปใช้สิทธิบำเหน็จบำนาญข้าราชการคืนสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินสะสมส่วนเพิ่มที่ได้ได้รับกลับมาให้แก่รัฐบาล เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับข้าราชการที่ไม่เคยเข้าเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและข้าราชการที่ยังคงเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เร่งรัดพิจารณาดำเนินการตรวจสอบข้อร้องเรียนกรณีการงดจ่ายเงินบำนาญและเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญและเรียกเงินเบี้ยหวัดและเงินค่าครองชีพคืน โดยให้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้อง แล้วรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||
2198 | การดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารจัดเก็บและอนุรักษ์วัตถุและเอกสารสำคัญที่มีค่าทางประวัติศาสตร์ และโครงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารที่ทำการ (อาคาร จปร. เดิม) | กค | 30/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารจัดเก็บและอนุรักษ์วัตถุและเอกสารสำคัญที่มีค่าทางประวัติศาสตร์ และโครงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารที่ทำการ (อาคาร จปร. เดิม) โดยเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากวงเงินเดิม ๓๙,๐๐๓,๐๐๐ บาท เป็น ๙๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๐ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณ จำนวน ๗,๖๙๘,๖๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๖๒,๓๐๑,๔๐๐ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างฯ และโครงการปรับปรุงซ่อมแซมฯ เป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการระหว่างปีงบประมาณ จึงเป็นรายการที่อยู่นอกแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณปกติ จึงเห็นควรให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเร่งรัดดำเนินการและลงนามก่อหนี้ผูกพันโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง |
||||||||||||||||||
2199 | รายงานผลความคืบหน้ามาตรการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อย (สินเชื่อ Nano - Finance) | กค | 23/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้ามาตรการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อย (สินเชื่อ Nano-Finance) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อ Nano-Finance ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๘-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ มีจำนวนทั้งหมด ๒๐ บริษัท แบ่งออกได้เป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับใบอนุญาตแล้ว จำนวน ๕ บริษัท กลุ่มที่อยู่ระหว่างการจัดส่งเอกสารให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มเติม จำนวน ๑๑ บริษัท กลุ่มที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง จำนวน ๒ บริษัท และกลุ่มที่ขอยกเลิกคำขออนุญาตเนื่องจากมีคุณสมบัติไม่ครบและยังไม่พร้อมดำเนินการ จำนวน ๒ บริษัท ๒. บริษัทที่เปิดให้บริการแล้ว ๒ ราย ได้แก่ บริษัทไทยเอช แคปปิตอล จำกัด เริ่มให้สินเชื่อประมาณ ๑๕ ราย รายละ ๑๐,๐๐๐-๑๕,๐๐๐ บาท ผู้ขอกู้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร และบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด เริ่มให้สินเชื่อประมาณ ๕๐ ราย รายละ ๑๐,๐๐๐ บาท ผู้ขอกู้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดปทุมธานี ทั้งนี้ ผู้ประกอบการทั้งสองบริษัทจะต้องส่งรายงานปริมาณสินเชื่อ Nano-Finance งวดแรกในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยภายในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๘ ๓. ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประมาณการการให้สินเชื่อ Nano-Finance โดยพิจารณาจากส่วนของผู้ถือหุ้นและสินทรัพย์ของผู้ประกอบธุรกิจ ภายใต้สมมติฐานว่า ผู้ยื่นคำขอทั้ง ๑๘ ราย ได้รับอนุญาต คาดว่าจะสามารถให้สินเชื่อ Nano-Finance รวมสูงสุดประมาณ ๘๐,๒๔๒ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
2200 | รายงานผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน | กค | 23/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ที่เห็นควรให้มีการจัดตั้งทุนหมุนเวียน จำนวน ๔ ทุน ได้แก่ กองทุนยุติธรรม กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี กองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และเงินทุนหมุนเวียนการท่าอากาศยานอู่ตะเภา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาตามร่างพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ โดยให้จัดตั้งกองทุนฯ ขึ้นในสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการกองทุนฯ รวมทั้งการกำหนดระยะเวลาในการส่งงบการเงินให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรอง ๑.๒ การจัดสรรเงินงบประมาณเป็นทุนประเดิม จำนวน ๓๐ ล้านบาท ให้แก่เงินทุนหมุนเวียนการท่าอากาศยานอู่ตะเภา งบประมาณที่จะใช้ในการจัดตั้งทุนหมุนเวียนให้เป็นการพิจารณาร่วมกันระหว่างหน่วยงาน กรมบัญชีกลาง และสำนักงบประมาณ ๑.๓ แหล่งที่มาของเงินกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้ตามร่างพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้ พ.ศ. .... ให้ทบทวนร่างพระราชบัญญัติฯ ให้มีความชัดเจนเป็นรูปธรรมก่อนนำเสนอคณะกรรมการฯ อีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยให้เสนอวิธีการนำเงินทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนที่เกินความจำเป็นไปใช้ประโยชน์ในการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในช่วง ๑ ปี ต่อคณะรัฐมนตรี และเร่งรัดการนำเงินทุนหมุนเวียนส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินให้ครบถ้วนโดยด่วนต่อไป ๓. ให้กระทรวงกลาโหม (กองทัพเรือ) กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) กระทรวงยุติธรรม (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบทุนหมุนเวียนทั้ง ๔ ทุน (เงินทุนหมุนเวียนการท่าอากาศยานอู่ตะเภา กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี กองทุนยุติธรรม และกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา) รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ควรพิจารณาดำเนินการโดยคำนึงการใช้ประโยชน์จากโครงการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว และควรพิจารณาขยายขอบเขตการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาไปยังคนกลุ่มต่าง ๆ อย่างทั่วถึง รวมทั้งควรพิจารณาการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะที่จำเป็นนอกเหนือจากเชิงวิชาการ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษา สร้างความเสมอภาคและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและการเรียนรู้แก่ผู้เรียน อีกทั้งการพัฒนานวัตกรรม/สื่อดิจิทัลที่เอื้อต่อการเรียนรู้และสนับสนุนการเสริมสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านระบบเทคโนโลยีทางการศึกษา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับกองทุนหมุนเวียนในอนาคต ว่าควรเป็นอย่างไร เพื่อรองรับการปฏิรูปที่จะมีขึ้นในระยะต่อไป เช่น จะยุบ ยกเลิก หรือให้คงอยู่ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีด้วย |
.....