ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 101 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2001 - 2020 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2001 | การแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญาศุลกากรว่าด้วยเอกสารค้ำประกัน (เอ.ที.เอ. คาร์เนท์) สำหรับการนำของเข้าชั่วคราว (อนุสัญญา เอ.ที.เอ.) | กค | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญาศุลกากรว่าด้วยเอกสารค้ำประกัน (เอ.ที.เอ. คาร์เนท์) สำหรับการนำของเข้าชั่วคราว (อนุสัญญา เอ.ที.เอ.) (Customs Convention on the ATA Carnet for the Temporary Admission of Goods : ATA Convention) ซึ่งองค์กรศุลกากรโลกได้มีมติให้แก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญา เอ.ที.เอ. ในมาตรา ๔ โดยให้มีการใช้เอกสาร ATA Carnet ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่การแก้ไขดังกล่าวไม่ได้ผูกมัดประเทศภาคีอนุสัญญา เอ.ที.เอ. หากประเทศภาคีใดยังไม่มีความพร้อมสามารถใช้เอกสารกระดาษต่อไปได้ และแก้ไขมาตรา ๑๘ ว่าด้วยเรื่องการกำหนดองค์ประชุม Contracting Parties to the Customs Convention on the ATA Carnet for the Temporary Admission of Goods โดยประเทศภาคีอนุสัญญา เอ.ที.เอ. จะต้องเข้าประชุม จำนวน ๑ ใน ๓ ของประเทศภาคีทั้งหมด จึงจะถือว่าครบองค์ประชุมและมีอำนาจในการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มความระมัดระวังในการติดตามวาระการประชุม โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศไทย รวมทั้งให้กรมศุลกากรและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยพิจารณาในเบื้องต้นเกี่ยวกับเงื่อนไขและงบประมาณสำหรับการติดตั้งระบบ eATA Carnet สำหรับอนาคต รวมถึงให้ความสำคัญกับการศึกษาผลการดำเนินงานของประเทศภาคีอนุสัญญา เอ.ที.เอ ที่นำร่องทดลองใช้ระบบ eATA Carnet เพื่อนำผลการศึกษาด้านประสิทธิภาพมาวิเคราะห์เปรียบเทียบความคุ้มค่าทั้งในด้านประสิทธิภาพและต้นทุนในระยะยาว หากประเทศไทยจำเป็นต้องใช้ระบบดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2002 | การขออนุมัติจำหน่ายหนี้ค้างชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของบริษัท อินโนเวกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ | กค | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติจำหน่ายหนี้ค้างชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของบริษัท อินโนเวกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๖๖๗,๕๑๑.๖๔ บาท ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการติดตาม ตรวจสอบ และเร่งรัดหนี้สิน เพื่อมิให้มีหนี้ค้างชำระเป็นระยะเวลานานและเรียกเก็บไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้นำไปสู่การจำหน่ายหนี้ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญอีก และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างในระบบประกันสังคมและกองทุนประกันสังคมในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การขออนุมัติจำหน่ายหนี้สูญเงินทุนหมุนเวียนโครงการไทย-เยอรมัน) ที่ให้กระทรวงการคลังปรับปรุงมติสภาบริหารคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ เกี่ยวกับเรื่องจำหน่ายหนี้เงินและทรัพย์สินออกจากบัญชี แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||
2003 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2559 ครั้งที่ 1 | กค | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๒๗,๘๕๗.๔๔ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๙๑,๖๖๔.๖๓ ล้านบาท เป็น ๑,๖๑๙,๕๒๒.๐๗ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ที่มีวงเงินปรับลดลงสุทธิ ๑๔,๖๐๕.๔๐ ล้านบาท จากเดิม ๑๓๖,๕๐๕.๕๘ ล้านบาท เป็น ๑๒๑,๙๐๐.๑๘ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำกับติดตามและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องตามแผนด้วย เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๓.๑ เร่งรัดดำเนินโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะและโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟทางคู่ และให้หน่วยงานพิจารณารูปแบบการลงทุนและวงเงินลงทุนที่เหมาะสม เพื่อเป็นการลดภาระหนี้สาธารณะและภาระงบประมาณด้วย ๓.๒ ให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างและฟื้นฟูองค์กรให้มีประสิทธิภาพตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้วในคราวประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เพื่อลดภาระหนี้สินขององค์กรในภาพรวมและลดภาระการอุดหนุนจากภาครัฐต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2004 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ | กค | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๘๖) พ.ศ. ๒๕๕๘ จาก “การยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับรายรับของสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ จากการให้กู้ยืมแก่วิสาหกิจในเครือที่เป็นการบริหารเงิน” เป็น “ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ สำหรับรายรับจากการบริหารเงินให้แก่วิสาหกิจในเครือทั้งหมด” โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงประมวลรัษฎากรให้สามารถใช้ฐานเงินดอลลาร์สหรัฐในการคิดภาษีของสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters : IHQ) เพื่อจูงใจให้บรรษัทข้ามชาติมีการจัดตั้ง IHQ รวมถึงการทำธุรกรรมทางการเงินในไทยโดยรวมมากขึ้น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ) ต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2005 | รายงานสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนและมาตรการในการลดภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ | กค | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนและมาตรการในการลดภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ดังนี้
๑. สถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือน สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วง ๘ ปีที่ผ่านมา โดยพิจารณาจากเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนที่ขยายตัวของ GDP ทำให้หนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๘๑.๑ ของ GDP ในช่วง ๓ ปีที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนและการขยายตัวของอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวมมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ๒. ผลกระทบของหนี้สินภาคครัวเรือนในปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยมากนัก เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหนี้สินภาคครัวเรือนส่งผลกระทบต่อ NPL ในระบบสถาบันการเงินในระดับต่ำแม้ว่าคุณภาพสินเชื่อจะด้อยลงบ้างแต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี สถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนในปัจจุบันยังทรงตัวในระดับสูงแต่อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ และยังขยายตัวช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้สินภาคครัวเรือน อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้สินภาคครัวเรือน และไม่ได้ทำให้ภาระการผ่อนชำระสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากนัก และหนี้สินจากบัตรเครดิตมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับหนี้สินภาคครัวเรือนทั้งหมดและมีอัตราการขยายตัวชะลอลง ๓. ความคืบหน้าของการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบของกระทรวงการคลังที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ได้แก่ การส่งเสริมการเพิ่มรายได้ โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรรายย่อยผ่าน ธ.ก.ส. การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การให้ความคุ้มครองผู้ที่เป็นลูกหนี้ การให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) โครงการของขวัญปีใหม่ ๒๕๕๙ ของกระทรวงการคลัง และมาตรการบรรเทาภาระหนี้สินของผู้ถือบัตรเครดิต
|
||||||||||||||||||
2006 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... | กค | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษา มีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ หรือนักเรียนหรือนักศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก โดยนักเรียนหรือนักศึกษาผู้ได้รับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษามีหน้าที่ต้องคืนเงินให้กองทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อใช้กับการติดตามหนี้สำหรับการกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหรือกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคตก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ และให้รับความเห็นของสำนักงานศาลปกครอง และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดเวลาคืนเงินให้กองทุนภายใน ๓๐ วันนับถัดจากวันที่มีหนังสือแจ้งการบอกเลิกการกู้ยืมเงิน เป็นการกำหนดระยะเวลาที่สั้นเกินไป และควรกำหนดให้กองทุนเป็นผู้แจ้งรายชื่อผู้กู้ยืมเงินให้แก่ผู้จ่ายเงินได้เป็นผู้ตรวจสอบ รวมทั้งควรกำหนดให้หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจ้างสถาบันการเงิน หรือนิติบุคคลให้ทำหน้าที่บริหารจัดการ มีความชัดเจน รัดกุม โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระคืนของนักเรียนหรือนักศึกษาผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาที่เห็นควรให้มีการเตรียมการอย่างเป็นระบบในการบริหารจัดการหนี้ การบริหารจัดการกองทุน รวมทั้งออกแบบให้ผู้กู้ยืมเงินแสดงตนหรือยืนยันสถานภาพการกู้ยืมเงินอย่างน้อยปีละครั้ง พร้อมทั้งจัดระบบฐานข้อมูลผู้กู้ยืมเงินอย่างเป็นระบบ และควรกำหนดแนวปฏิบัติหรือข้อตกลงที่ชัดเจนอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของสถานศึกษาและผู้กู้ยืมเงินที่มีต่อกองทุน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กำหนดมาตรการในการติดตามการชำระหนี้ที่เหมาะสม เคร่งครัด และเป็นธรรมตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2007 | ร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร พ.ศ. .... | กค | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายกลางที่ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเสนอให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและขั้นตอนในการปฏิบัติตามความตกลงในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีแต่ละฉบับ รวมทั้งกำหนดอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ (Competent Authority) และให้อำนาจผู้มีหน้าที่รายงานในการเปิดเผยข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามความตกลงในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาว่าในการดำเนินการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศและการดำเนินการตาม Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) กรมสรรพากรของไทยจะสามารถเข้าถึงข้อมูลของบุคคลและนิติบุคคลไทยที่ประกอบธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา และใช้ข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างไรเพื่อประโยชน์ในการเก็บภาษีในประเทศไทยต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2008 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2558 | กค | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินนโยบายการเงิน ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๘ กนง. ได้มีการประชุมรวมทั้งสิ้น ๔ ครั้ง โดยในการประชุมครั้งแรกของปีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๐๐ และในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม และ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๘ กนง. มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งละร้อยละ ๐.๒๕ มาอยู่ที่ร้อยละ ๑.๗๕ และ ๑.๕๐ ตามลำดับ ๒. การดำเนินโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยน อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ อยู่ที่ ๓๓.๗๗ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงร้อยละ ๒.๖ จากสิ้นปี ๒๕๕๗ และดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ อยู่ที่ ๑๐๘.๘๔ อ่อนค่าลงร้อยละ ๐.๒ เมื่อเทียบกับสิ้นปี ๒๕๕๗ ส่วนดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (REER) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ อยู่ที่ ๑๐๔.๘๓ อ่อนค่าลงร้อยละ ๑.๖ ตามการอ่อนค่าของดัชนีค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อของไทยที่อยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศคู่ค้าคู่แข่งโดยรวม ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปี ๒๕๕๘ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๘ จะยังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ จากปีก่อน และคาดว่าจะขยายตัวใกล้เคียงร้อยละ ๓.๐ จากแรงสนับสนุนของการใช้จ่ายภาครัฐและภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก สำหรับอัตราเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อทั่วไปพื้นฐานในปี ๒๕๕๘ มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ประมาณร้อยละ ๐.๕ และ ๑.๐ ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ปรับลดตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่ต่ำลงเป็นหลัก
|
||||||||||||||||||
2009 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร เพื่อปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว | กค | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร เพื่อปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยกำหนดกรอบเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้มีระยะเวลาที่ยาวขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้การลงทุนมีความสอดคล้องกับการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างแท้จริง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
2010 | การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2555 - 2557 | กค | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี เฉพาะในส่วนของโครงการที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีได้ทันภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ โดยให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ เท่านั้น หากพ้นจากห้วงเวลาดังกล่าวแล้ว หน่วยงานใดยังไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ ให้เงินงบประมาณดังกล่าวพับไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณในประเด็นการเปลี่ยนแปลงรายการที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีดังกล่าวไปดำเนินโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ขอให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งรัดดำเนินการและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๑ ภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อให้สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในกรณีที่หน่วยงานใดยังมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการต่อ [รวมถึงโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้พับไปเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘) ด้วย] ก็ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรายงานผลการพิจารณาและติดตามการก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ของหน่วยงานที่ได้รับการขยายระยะเวลาดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
||||||||||||||||||
2011 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 2 ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ ตามที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เสนอ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น และช่วยลดปัญหาการกู้เงินนอกระบบของผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs และปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเพื่อขอใช้งบประมาณคงเหลือจากโครงการ PGS New/Start-up ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ และโครงการ PGS OTOP ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับเรื่องงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้ บสย. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการทบทวนแหล่งที่มาของเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ และการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในระยะต่อไป ให้ บสย. ทบทวนเงื่อนไขและวัตถุประสงค์ของโครงการไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกันและสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนโครงการให้ประสบความสำเร็จ รวมทั้งบริหารจัดการภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) ในโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว ไม่ให้เร่งตัวขึ้นจนกลายเป็นภาระของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
2012 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดทำบัญชีของ SMEs [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | กค | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดทำบัญชีของ SMEs สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทรัพย์สินถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกินสองร้อยล้านบาท และมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าจ้างนักเรียนหรือนักศึกษาที่อยู่ระหว่างการศึกษาแผนกวิชาบัญชี สามารถหักรายจ่ายได้สองเท่าของที่จ่ายจริง สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการจ้างงานให้เหมาะสมและสอดคล้องกับนักศึกษากลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งประโยชน์ที่ SMEs และทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ การเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียน นักศึกษาในการพัฒนาความรู้ ความสามารถให้ได้ตามมาตรฐานวิชาชีพบัญชี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการในการจ้างงาน รวมทั้งการเร่งประชาสัมพันธ์ให้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ และผู้ประกอบการภาคเอกชนให้รับรู้และเข้าใจในมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดทำบัญชีของ SMEs เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2013 | มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาภัยแล้งและมาตรการเพิ่มขีดความสามารถภาคการเกษตร | กค | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินโครงการสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและจำเป็นของเกษตรกรที่ประสบภัยแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ และโครงการสินเชื่อ ๑ ตำบล ๑ SME เกษตร เพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย โดยในส่วนของโครงการสินเชื่อ ๑ ตำบล ๑ SME เกษตรฯ นั้น ธ.ก.ส. ควรมีแผนในการสนับสนุน SME เกษตร ที่เข้าร่วมโครงการฯ ที่นอกเหนือจากการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะการให้ความรู้ที่จำเป็นและการเป็นพี่เลี้ยงในการดำเนินกิจการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๒. อนุมัติงบประมาณภายในกรอบวงเงิน ๕๒๕ ล้านบาท เพื่อชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓.๕ ให้แก่ ธ.ก.ส. ในการดำเนินโครงการชุมชนปรับเปลี่ยนการผลิตสู้วิกฤตภัยแล้ง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ รวมทั้งให้โครงการฯ ดังกล่าวเป็นโครงการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตรวจสอบความซ้ำซ้อนของโครงการภายใต้มาตรการดังกล่าวกับมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งที่ได้ดำเนินการอยู่แล้วเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง การกำหนดชนิดพืชปลูกให้เหมาะสมกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่เป้าหมายในการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) เพื่อให้เกษตรกรได้ปรับเปลี่ยนชนิดพืชปลูกให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรในอนาคตอย่างเป็นระบบและยั่งยืน การช่วยเหลือเกษตรกรจะต้องครอบคลุมถึงเกษตรกรที่เป็นสมาชิกของสหกรณ์การเกษตรที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของ ธ.ก.ส. ด้วย เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรเป็นไปอย่างทั่วถึง รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการฯ ตลอดจนกระบวนการในการพิจารณากลั่นกรอง/อนุมัติสินเชื่อในรายละเอียดให้มีความชัดเจน โดยคำนึงถึงศักยภาพและความพร้อมของเกษตรกร ชุมชนหรือกลุ่มที่จะขอสินเชื่อ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2014 | การแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (จำนวน 13 คน 1. นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ฯลฯ) | กค | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๑๓ คน แทนรองประธานกรรมการและกรรมการอื่นชุดเดิมที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งสามปี ในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองประธานกรรมการ ๒. นายสมชาย ชาญณรงค์กุล กรรมการอื่น ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๓. นายสุวิชญ โรจนวานิช กรรมการอื่น ผู้แทนกระทรวงการคลัง ๔. นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข กรรมการอื่น ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ ๕. นายสรรเสริญ อัจจุตมานัส กรรมการอื่น ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ๖. นางฤชุกร สิริโยธิน กรรมการอื่น ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ๗. นายสมคิด พรหมเจริญ กรรมการอื่น ผู้แทนสหกรณ์การเกษตรผู้ถือหุ้น ๘. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล กรรมการอื่น ๙. นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ กรรมการอื่น ๑๐. นางปัทมาวดี โพชนุกูล กรรมการอื่น ๑๑. นายวัชระ ฉัตรวิริยะ กรรมการอื่น ๑๒. นายพีระวัฒน์ ดวงแก้ว กรรมการอื่น ๑๓. นายวัฒนา ธรรมศิริ กรรมการอื่น
|
||||||||||||||||||
2015 | ขอถอนคืนร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีภาษีอากรฝ่ายสรรพากร พ.ศ. .... | กค | 16/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีภาษีอากรฝ่ายสรรพากร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||
2016 | ขออนุมัติใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กค | 16/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรดำเนินโครงการแผนงานการแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณชายแดนบ้านคลองลึก ด่านศุลกากรอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๑๑๔,๖๑๑,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ลักษณะงบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ทั้งนี้ ให้กรมศุลกากรเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามความเป็นจริง ไว้ไม่เกิน ๓๐ วัน และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นต่อไป
|
||||||||||||||||||
2017 | การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ] | กค | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้การจัดเก็บภาษีของประเทศไทยมีความเป็นกลางมากขึ้น รวมทั้งช่วยสนับสนุนและเร่งรัดการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (Real Estate Investment Trust : REIT) ตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๓ ฉบับ เพื่อยกเลิกการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (กอง ๑) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน (กอง ๒) กองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน (กอง ๓) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิเรียกร้อง (กอง ๔) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนรวมดังกล่าวโดยเร็ว และควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ถือหน่วยลงทุนที่ยังไม่สิ้นสุดอายุโครงการและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษี ซึ่งอาจกระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
2018 | ขอขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) | กค | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ ที่เห็นชอบเงื่อนไขโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) จากเดิม ที่กำหนดให้เริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน เป็น เริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินแล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) พิจารณาตรวจสอบและเร่งรัดการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ตามเป้าหมายด้วยความรอบคอบ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระดับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) ในอนาคต และควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการโครงการที่ผ่านมาเพื่อนำมาปรับปรุงการดำเนินโครงการให้สามารถเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว รวมทั้งควรเร่งรัดการประชาสัมพันธ์โครงการและการพิจารณาการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เกิดสภาพคล่องในการดำเนินกิจการ สำหรับกิจการที่ไม่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ของโครงการ ธนาคารฯ ควรเร่งชี้แจงให้ผู้ประกอบการทราบถึงสาเหตุหรือข้อบกพร่องดังกล่าวเพื่อให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจและสามารถนำไปปรับปรุงการดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของโครงการได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2019 | ร่างกฎหมายตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนกองทุนการออมแห่งชาติ | กค | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงรวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้กิจการของกองทุนการออมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ เป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรแสตมป์ให้แก่กองทุนการออมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ ๓. ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังต่อไปนี้ ๓.๑ เงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นสมาชิกองทุนการออมแห่งชาติ จ่ายเป็นเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนประเภทต่าง ๆ เงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญซึ่งได้รับยกเว้นภาษีแล้ว ต้องไม่เกินห้าแสนบาทสำหรับปีภาษีนั้น ๓.๒ เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับจากกองทุนการออมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ เนื่องจากสมาชิกของกองทุนการออมแห่งชาติทุพพลภาพ หรือสิ้นสมาชิกภาพเพราะอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ หรือถือว่าเป็นกรณีที่สมาชิกมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ หรือตาย |
||||||||||||||||||
2020 | มาตรการสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) | กค | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมาตรการสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Start Up Committee) โดยมีปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก ๑๙ คน เป็นกรรมการ เพื่อร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์หลัก (Grand Strategy) ในการแก้ไขปัญหาวิสาหกิจของประเทศ ๑.๒ จัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนกับวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้นที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยง่ายและมีเป็นจำนวนมาก โดยให้ความช่วยเหลือในด้านแหล่งเงินทุนให้กับวิสาหกิจดังกล่าว โดยมีวงเงินลงทุนเริ่มแรกประมาณ ๓,๐๐๐ ล้านบาท และมีแหล่งเงินทุนจากกองทุนรวมวายุภักษ์ และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ รูปแบบและวิธีการจัดตั้งกองทุนฯ จะพิจารณาในรายละเอียดต่อไปโดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการดำเนินการจัดตั้งกองทุนฯ ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว โดยคำนึงถึงความพร้อมของกลุ่มเป้าหมาย SMEs ระยะเริ่มต้นอย่างแท้จริง การให้ความสำคัญกับการบูรณาการมาตรการด้านการคลังในการส่งเสริม SMEs อย่างรอบด้าน การเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เป็นต้น รวมทั้งเร่งพิจารณารูปแบบและวิธีการจัดตั้งกองทุนฯ และกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการให้เกิดการกระจายเงินทุน นอกจากนี้ เห็นควรประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้คำแนะนำ สร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการรายใหม่ ให้ทราบถึงมาตรการของภาครัฐ และพิจารณาไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับมาตรการสนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่กิจการ SMEs ต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....