ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 102 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2021 - 2040 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2021 | โครงการลดภาระหนี้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา | กค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบโครงการลดภาระหนี้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของธนาคารออมสิน โดยการอนุมัติวงเงินสินเชื่อใหม่เพิ่มเติมให้กับผู้กู้ที่เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ โดยใช้เงินที่ทายาทจะได้รับในอนาคตเพื่อค้ำประกัน ได้แก่ เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ครอบครัว (ช.พ.ค.) และ/หรือเงินบำเหน็จตกทอด เพื่อนำเงินสินเชื่อใหม่มาลดภาระหนี้หรือเปิดบัญชีหนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยปกติของธนาคารออมสิน และผู้กู้ไม่ต้องผ่อนชำระหนี้วงเงินสินเชื่อใหม่ตลอดอายุสัญญา ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับ สามารถแก้ไขบรรเทาปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ประมาณ ๒๘๓,๐๐๐ ราย และสามารถลดภาระหนี้ของครูและบุคลากรทางการศึกษาได้เฉลี่ยรายละ ๓๐๐,๐๐๐-๖๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งครูและบุคลากรทางการศึกษาจะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจากเดิมร้อยละ ๕.๘๕-๖.๗๐ ต่อปี เป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๔ ต่อปี อีกทั้งผู้กู้ไม่ต้องผ่อนชำระหนี้วงเงินสินเชื่อใหม่ตลอดอายุสัญญา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการพิจารณาวงเงินกู้ใหม่ของโครงการลดภาระหนี้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เป็นการกู้เพื่อชดใช้หนี้เดิมโดยคำนึงถึงการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของผู้กู้ควบคู่ไปกับการทำบัญชีวางแผนการใช้จ่าย เพื่อให้สามารถช่วยเหลือข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ประสบปัญหาด้านภาระหนี้สินได้อย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2022 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนดภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้อื่น ๆ ที่เป็นหนี้เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ/เมื่อรายจ่ายสูงกว่ารายได้ วงเงิน ๓๖๖,๐๒๒ ล้านบาท ได้ครบตามแผน รวมทั้งได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะฯ จำนวน ๒๕ ฉบับ และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2023 | มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยภาษีเงินได้] | กค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เพื่อกำหนดสิทธิประโยชน์ภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยให้กับผู้นำเข้า/ผู้ขายที่เป็นบุคคลธรรมดา ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้ามาเพื่อขายหรือการขายเพชร พลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก ไข่มุก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกันเฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่ ให้แก่ผู้นำเข้าหรือผู้ขายซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ๒.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้มีเงินได้จากการขายเพชร พลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก ไข่มุก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่และได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแล้ว ๒.๓ ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ โดยแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๔๔ (พ.ศ. ๒๕๒๒) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินเฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการซื้ออัญมณี บางกรณี ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรพิจารณามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ได้แก่ การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าและการขายพลอยก้อนที่ยังไม่ได้เจียระไนในแบบถาวร การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าเพชรและการขายพลอยก้อนที่เจียระไนแล้วเพื่อใช้ในการผลิตแบบถาวร และการยกเว้นอากรขาเข้าสร้อยขดม้วนเพื่อใช้ในการผลิตและอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยพิจารณาดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำเข้าหรือการขายอัญมณีที่ยังไม่ได้ประกอบเป็นตัวเรือนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs การเร่งรัดการปรับปรุงโครงสร้างภาษีศุลกากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ระยะที่ ๒ โดยเร็ว และจัดทำแนวทางเพื่อพัฒนาและยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs ไทยในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยทั้งระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลังประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการภาษีเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับโลก ซึ่งได้สิ้นสุดเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ และกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการลักลอบการนำเข้าอัญมณีที่ผิดกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2024 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 8/2558 | กค | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๘/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และเห็นชอบผลการพิจารณาของ คนร. เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ตามที่ประธาน คนร. เสนอ ดังนี้
๑. ให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยดำเนินการตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งองค์กรและการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อย่างเคร่งครัด ๒. ให้คณะกรรมการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเร่งพิจารณาการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๔๘๙ คัน ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งพิจารณาเกี่ยวกับการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าธรรมดา (City Line Airport Rail Link) ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ๔. ให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดทำแผนปฏิรูปองค์กร พร้อมทั้งจัดทำเป้าหมายและประมาณการด้านรายได้และค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนที่จะดำเนินการจนถึงไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๙ ๕. การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องเสาโทรคมนาคม ให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินการนำเสนอคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ กระทรวงเจ้าสังกัดหรือผู้ที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2025 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. .... | กค | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะของเหรียญที่ระลึก ๑๐๐ ปี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลายและลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว ราคา ๒๐ บาท เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบ ๑๐๐ ปี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2026 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 5/2558 | กค | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ๒. มอบหมายกระทรวงคมนาคม ๒.๑ รับไปพิจารณากำหนดแนวทางการขับเคลื่อนโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งตามแนวเส้นทางพัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Corridor) โดยเฉพาะโครงข่ายถนนเชื่อมโยงจากจังหวัดกาญจนบุรีไปยังเมียนมา และนำเสนอที่ประชุมในโอกาสต่อไป ๒.๒ จัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะต้องนำเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมพิจารณา เพื่อให้การพิจารณาโครงการสามารถแล้วเสร็จตามกำหนด ๓. มอบหมายสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ๓.๑ หารือกับสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเกี่ยวกับการประเมินเพื่อจัดระดับกองทุนหมู่บ้านให้สอดคล้องกับสถานการณ์ล่าสุด รวมทั้งพิจารณาแนวทางการประเมินผลเพื่อยกระดับกองทุนที่มีศักยภาพจากระดับ C เป็นระดับ B ด้วย ๓.๒ มีหนังสือถึงธนาคารกรุงไทยเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน เพื่อร่วมลงทุนในส่วนของทุนกับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs) กลุ่มเป้าหมาย ๔. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางมาตรการใหม่ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมประสานกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางมาตรการใหม่ได้ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และในอนาคตเมื่อกระทรวงการคลังจัดทำระบบ E-payment แล้วเสร็จก็จะสามารถรองรับและเชื่อมต่อกับข้อมูลทะเบียนผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. ที่ประชุมมีมติให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ได้แก่ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และโครงการสร้างความข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสสวนยาง ให้ถือเป็นมาตรการที่อยู่ภายใต้การขับเคลื่อนของคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ โดยให้มีการติดตามความคืบหน้า ปัยหาอุปสรรค เพื่อรายงานต่อที่ประชุมทุกเดือน พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2027 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี 2557 | กค | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประเมินผลฯ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๗ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลฯ ตามระบบปัจจุบัน พบว่า รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ การกีฬาแห่งประเทศไทย ๓.๗๗๓๕ คะแนน บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ๓.๕๙๖๕ คะแนน และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ๓.๕๗๑๒ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับสุดท้าย ได้แก่ องค์การตลาด ๑.๙๔๐๗ คะแนน องค์การสะพานปลา ๒.๒๙๘๔ คะแนน และการรถไฟแห่งประเทศไทย ๒.๔๗๐๔ คะแนน โดยมีระดับคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ที่ ๓.๐๑๕๙ คะแนน ลดลง ๐.๐๑๕๓ คะแนน เมื่อเทียบกับปีบัญชี ๒๕๕๖ ซึ่งมีระดับคะแนนเฉลี่ย ๓.๐๓๑๒ คะแนน เนื่องจากผลการดำเนินการตามนโยบายของรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ๒. การประเมินผลฯ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๗ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลฯ ตามระบบประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) พบว่า รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ธนาคารออมสิน ๔.๘๔๘๓ คะแนน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๔.๘๒๗๘ คะแนน และการประปานครหลวง ๔.๗๑๙๑ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับสุดท้าย ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๒.๔๕๗๖ คะแนน บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ๒.๗๐๒๒ คะแนน และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ๒.๗๖๗๒ คะแนน โดยมีระดับคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ที่ ๓.๘๘๔๔ คะแนน ลดลง ๐.๑๘๐๘ คะแนน เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๖ ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ย ๔.๐๖๕๒ คะแนน เนื่องจากการดำเนินงานด้านผลลัพธ์ของรัฐวิสาหกิจหลายแห่งไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2028 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กระทรวงการคลังเสนอ เกี่ยวกับการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในสถานประกอบการให้เพิ่มขึ้น แนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ลูกจ้างเข้าสู่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมาย และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2029 | การอนุมัติวงเงินลงทุนในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชียในส่วนของประเทศไทย | กค | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อบทของความตกลงว่าด้วยธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Articles of Agreement of the Asian Infrastructure Investment Bank) ที่ได้ลงนามแล้ว โดยสาระสำคัญของความตกลงฯ เพื่อจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank : AIIB) และเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อำนาจรัฐบาลปฏิบัติการเกี่ยวกับธนาคาร และการยอมรับสถานะความเป็นนิติบุคคลของธนาคาร รวมทั้งการให้เอกสิทธิ์ ความคุ้มกัน และการยกเว้นภาษีอากรแก่ธนาคารและบุคลากรของธนาคาร และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การลงทุนในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชียในส่วนของประเทศไทย) และหากสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบข้อบทของความตกลงฯ แล้ว ให้กระทรวงการคลังเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรพิจารณาแนวทางในการสร้างความเข้าใจกับสาธารณชนเกี่ยวกับประโยชน์และความคุ้มค่าที่จะได้รับจากการลงทุนดังกล่าวควบคู่กันไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบการให้สัตยาบันข้อบทของความตกลงฯ ที่ลงนามไปแล้ว หลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสารเพื่อให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดท่าทีของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย โครงสร้าง และทิศทางการดำเนินงานของ AIIB ที่สอดคล้องกับแผนงาน/โครงการในส่วนของประเทศไทยที่จะขอรับความช่วยเหลือจาก AIIB แผนงาน/โครงการเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค และการสนับสุนนประเทศที่กำลังพัฒนา เพื่อให้เงินลงทุนที่ต้องชำระของไทยในฐานะประเทศสมาชิกผู้ก่อตั้ง AIIB เกิดประโยชน์และความคุ้มค่าสูงสุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2030 | การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน | กค | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน โดยยังคงเรียกเก็บในอัตราเดิม ที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2031 | โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ | กค | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน และเพื่อดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ ที่ชุมชนเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมายสนับสนุนเงินทุนให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน ๗๙,๕๕๖ กองทุน กองทุนละไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ภายในวงเงิน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนแห่งชาติ (สทบ.) ใช้จ่ายจากเงินของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองก่อน หากไม่เพียงพอ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ สทบ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายเงินงบกลาง ผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ สทบ. รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ควรคำนึงถึงหลักการของประชารัฐที่มีส่วนร่วมทั้งจากภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาคราชการ โดยมุ่งเน้นภาคการผลิต การแปรรูป และการตลาดอย่างครบวงจร รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และการบริหารจัดการพื้นที่การผลิตที่เหมาะสม และให้ สทบ. จัดทำระเบียบที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ และแผนการจัดทำบัญชีไว้เป็นการเฉพาะ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบริหารจัดการกองทุนและการติดตามประเมินผลโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง และ สทบ. ดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ดำเนินโครงการฯ อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ รวดเร็ว และสอดคล้องกับแผนงาน/กิจกรรมในพื้นที่ด้วย ๔. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2032 | ความตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารพัฒนาเอเชียโครงการ Community - Based Flood Risk Management and Disaster Response in the Chao Phraya Basin | กค | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือความตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) โครงการ Community-Based Flood Risk Management and Disaster Response in the Chao Phraya Basin โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอุทกภัยในพื้นที่ชุมชน และส่งเสริมการป้องกันการเกิดอุทกภัยซึ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กในชุมชนนำร่อง ๕ พื้นที่ มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของหน่วยงานราชการและประชาชนในพื้นที่เพื่อกำหนดความเสี่ยง แผนปฏิบัติการ รวมถึงการวิเคราะห์รูปแบบความเสี่ยงและความรุนแรงที่เกิดจากอุทกภัย และจัดทำมาตรการลดความเสี่ยงของชุมชน สำหรับร่างหนังสือความตกลงรับความช่วยเหลือฯ มีสาระสำคัญคือ โครงการความช่วยเหลือแบบให้เปล่าดังกล่าวมีวงเงินทั้งสิ้น ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินจากกองทุน Japan Fund for Poverty Reduction (JFPR) ของ ADB มีระยะเวลาดำเนินโครงการ ๒ ปี ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ออกหนังสือมอบอำนาจเต็มให้กระทรวงการคลัง โดยนางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สินเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือความตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจาก ADB ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ภายในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กำกับดูแลมิให้การดำเนินการโครงการ Community-Based Flood Risk Management and Disaster Response in the Chao Phraya Basin ก่อให้เกิดผลผูกมัดหรือพันธสัญญาให้ประเทศไทยต้องกู้เงินจากองค์การระหว่างประเทศเพื่อดำเนินการตามแผนงาน/โครงการตามผลการศึกษาของโครงการดังกล่าว ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2033 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ.... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการถาวร) | กค | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๙ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการถาวร) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2034 | แจ้งการยกเลิกกองทุน Asian Bond Fund 1 และการดำเนินการต่อไป | กค | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. การยกเลิกกองทุน Asian Bond Fund 1 (ABF1) ตามมติของที่ประชุมผู้ว่าการธนาคารกลางกลุ่มธนาคารกลางในเขตเอเชียแปซิฟิก ๑๑ แห่ง (Executive Meeting for East Asia Pacific Central Banks and Monetary Authorities : EMEAP) เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ๒. มติของคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเห็นชอบแนวทางการดำเนินการหลังจากการยกเลิกกองทุน ABF1 โดยขายหน่วยลงทุน ABF1 และให้นำเงินไปลงทุนในกองทุน ABF2 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทศสมาชิกในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในภูมิภาค
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2035 | การให้สิทธิพิเศษในการให้บริการทางวิชาการและการวิจัยแก่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ | กค | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติได้รับสิทธิพิเศษ ประเภทไม่บังคับ เฉพาะการให้บริการทางด้านวิชาการและการวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ประสงค์จะจ้างหรือให้บริการทางวิชาการหรือการวิจัยในลักษณะเป็นการจ้างที่ปรึกษา สามารถติดต่อจ้างหรือขอใช้บริการจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติได้โดยตรง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๘๓ (๔)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2036 | ข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก โครงการเตรียมความพร้อมด้านกลไกตลาดเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก (Partnership for Market Readiness: PMR) | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก โครงการเตรียมความพร้อมด้านกลไกตลาดเพี่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก (Partnership for Market Readiness : PMR) มีสาระสำคัญเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขมาตรฐานของการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าของธนาคารโลก ซึ่งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการฯ ได้พิจารณาขอบเขตในการดำเนินกิจกรรมแล้วว่าอยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ และวัตถุประสงค์ที่จะสามารถดำเนินการได้ โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เงินสนับสนุนในการศึกษา วิเคราะห์ และพัฒนากลไกตลาดภายในประเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและลดก๊าซเรือนกระจก ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ออกหนังสือมอบอำนาจให้ กระทรวงการคลัง โดยนางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน เป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่ากระทรวงการคลังและ อบก. ต้องระมัดระวังมิให้ข้อตกลงฉบับนี้ส่งผลให้เกิดข้อผูกพันให้ประเทศไทยต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งในอนาคต รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการพิจารณาในรายละเอียดของโครงการให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของ อบก. ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๐ การพิจารณากลไกตลาดที่สามารถกระตุ้นการดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างรอบคอบ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจก การระบุถึงเรื่องการเปิดเผยข้อมูลให้กับธนาคารโลกให้ชัดเจนในข้อตกลงฯ ว่ามีรายละเอียดถึงเรื่องใดบ้าง และเห็นควรให้ อบก. ในฐานะหน่วยงานบริหารโครงการ ดำเนินการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ แผนงานโครงการ และเงื่อนไขตามมาตรฐานของธนาคารโลก รวมทั้งจะต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับภารกิจที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ตลอดจนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2037 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แนวทางการส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงินขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน) | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงินขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยกระทรวงการคลังพิจารณาเห็นด้วยกับหลักการที่กำหนดให้การให้ความรู้ทางการเงินเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความรู้ทางการเงินแห่งชาติว่า ปัจจุบันมีหน่วยงานที่ดำเนินงานด้านการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนอยู่หลายหน่วยงาน รวมทั้งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการยกร่างแผนการให้ความรู้ทางการเงินเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านการให้ความรู้ทางการเงินระดับประเทศ ซึ่งจะทำให้มีเป้าหมายและแนวทางในการดำเนินงานและมีกลไกการขับเคลื่อนที่ชัดเจน นำไปสู่การดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความรู้ทางการเงินแห่งชาติขึ้นมาใหม่ แต่ควรกำหนดบทบาทหน้าที่และตัวชี้วัดในการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานที่ดำเนินการอยู่ให้ชัดเจน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2038 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พุทธศักราช ๒๔๘๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเพิ่มหลักเกณฑ์ในการควบคุมการส่งหรือนำเงินตรา และตราสารเปลี่ยนมือ ออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ รวมทั้งหลักการให้ตราสารเปลี่ยนมือเป็นของตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรแก้ไขถ้อยคำในหลักการของร่างพระราชบัญญัติฯ ในข้อ ๒ จาก “... การออกกฎกระทรวงกรณีการส่งหรือนำเงินตรา เงินตราต่างประเทศ ตราสารเปลี่ยนมือ ออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ” เป็น “... การออกกฎกระทรวงกรณีการส่งหรือนำตราสารเปลี่ยนมือออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ และการนำเงินตราเข้ามาในประเทศ” และข้อ ๓ จาก “(แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๒)” เป็น “(แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๘ ทวิ)” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2039 | การรับโอนภารกิจการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติสามารถเบิกเงินคงคลังเป็นเงินทดรองราชการเพื่อทดรองจ่ายในการแก้ไขปัญหา และดำเนินการช่วยเหลือเพื่อผ่อนคลายความเดือดร้อนเฉพาะหน้าแก่ประชาชน ผู้ประสบภัยพิบัติจากภัยพิบัติต่างๆ ให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขโดยเร็ว รวมทั้งกำหนดให้มีระบบการตรวจสอบติดตามการใช้จ่ายเงินทดรองราชการโดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินต่อไปได้ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน ๕,๒๐๐,๐๐๐ บาท นั้น ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กรมบัญชีกลางพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้ขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และขอตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปพิจารณาร่วมกันเกี่ยวกับการจัดสรรอัตรากำลังเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมให้แก่กรมบัญชีกลางเพื่อรองรับภารกิจที่ได้รับโอนมา ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้กรมบัญชีกลางมีการเตรียมการรองรับภารกิจเกี่ยวกับการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติโดยเงินทดรองราชการ สำหรับงบประมาณโครงการพัฒนาสารสนเทศให้ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ และการพิจารณาของสำนักงบประมาณตามความจำเป็นเหมาะสม การให้สำนักงานตรวจสอบเงินแผ่นดินทำหน้าที่ในการตรวจสอบเอกสารหลักฐานต้นฉบับของแต่ละหน่วยงานไว้ตามเดิม การวางระบบการบริหารจัดการอัตรากำลัง การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยเฉพาะข้อมูลผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินและพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันและทันสมัยอยู่ตลอดเวลา รวมทั้ง การพัฒนาระบบฐานข้อมูลดังกล่าวให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสามารถเชื่อมโยงกับระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2040 | การลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในช่วงระยะเวลา ๕ ปีแรกของการเปิดดำเนินการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔ เป็นไปตามกรอบบันทึกข้อตกลง เรื่อง การเสียภาษีของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๗ ที่ตกลงให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินให้แก่ อปท. เหมาจ่ายปีละ ๓๐ ล้านบาท โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๔ ๑.๒ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ คิดเป็นค่ารายปีจำนวนเงิน ๑๐๕,๑๘๒,๒๖๗.๔๔ บาท (คำนวณจากค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินจำนวนเงิน ๑๓,๑๔๗,๗๘๓.๔๓ บาท) โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๔ ๑.๓ ให้การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับอาคารทั้ง ๕ กิจกรรมของบริษัท การบินไทยฯ ตั้งแต่ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป เป็นไปตามที่ข้อกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดินกำหนด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายกระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งนำหลักการการลดหย่อนค่ารายปีของบริษัท การบินไทยฯ ไปพิจารณาร่วมด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความเสมอภาค และลดข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง ขอลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] |
.....