ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 103 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2041 - 2060 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2041 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วย งบรายได้และค่าใช้จ่าย และงบแสดงฐานะการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ๑.๑ รัฐบาลมีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน ๒,๒๗๓,๑๘๓.๓๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๘๘,๒๓๔.๑๗ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๐๔ ส่วนใหญ่เป็นรายได้แผ่นดินที่หน่วยงานภาครัฐนำส่ง ซึ่งเป็นรายได้จากภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ รวมทั้งรายได้จากการนำส่งกำไรและเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจ รายได้ที่ไม่เป็นตัวเงิน ประกอบด้วย กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และส่วนเกินมูลค่าพันธบัตรตัดจำหน่ายซึ่งเป็นรายการปรับปรุงบัญชีเพื่อรับรู้รายได้ที่ไม่เป็นตัวเงินตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด และรายได้อื่น ๑.๒ รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้นจำนวน ๒,๔๖๔,๒๓๖.๓๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๐๘.๔๑ ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๑๑๓,๓๖๔.๘๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๘๒ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายจากเงินงบประมาณ (ปีปัจจุบันและปีก่อน) ดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมเงินกู้ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ๑.๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รัฐบาลมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย จำนวน ๑๙๑,๐๕๓.๐๓ ล้านบาท ๒. งบแสดงฐานะการเงิน ๒.๑ รัฐบาลมีสินทรัพย์ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖,๖๗๓,๔๕๙.๒๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๔๓๔,๔๓๖.๙๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๙๖ ประกอบด้วย สินทรัพย์หมุนเวียน จำนวน ๖๙๕,๓๒๖.๓๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๐.๔๒ ของสินทรัพย์รวม และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน จำนวน ๕,๙๗๘,๑๓๒.๙๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๙.๕๘ ของสินทรัพย์รวม ๒.๒ รัฐบาลมีหนี้สินและภาระผูกพัน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๔,๑๐๖,๘๑๒.๐๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๑.๕๔ ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๒๗๐,๗๑๘.๕๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๐๖ ประกอบด้วย หนี้สินหมุนเวียน จำนวน ๘๐๑,๔๒๖.๔๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๒.๐๐ ของสินทรัพย์รวม และหนี้สินไม่หมุนเวียน จำนวน ๓,๓๐๕,๓๘๕.๖๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๙.๕๓ ของสินทรัพย์รวม ๒.๓ รัฐบาลมีสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๕๖๖,๖๔๗.๒๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๘.๔๖ ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๑๖๓,๗๑๘.๔๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๘๑
|
|||||||||||||||||||||
2042 | การยกเว้นภาษีและลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการทรัพย์สินที่กระทรวงการคลังรับโอนจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะและลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการสินทรัพย์ หนี้สิน และทรัพย์สินที่ได้รับโอนจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๑ ฉบับ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้กิจการของกระทรวงการคลังเฉพาะการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่กระทรวงการคลังได้รับโอนมาจาก บสท. และต่อมาโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บุคคลอื่น เป็นกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีกระทรวงการคลังบริหารจัดการทรัพย์สินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญเป็นการลดหย่อนค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน จากร้อยละ ๒ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่กระทรวงการคลังได้รับโอนมาจาก บสท. ให้แก่บุคคลอื่น และการจำนองหรือการโอนสิทธิการรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ที่กระทรวงการคลังได้รับโอนมาจาก บสท. ให้แก่บุคคลอื่น ๒.๓ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีกระทรวงการคลังบริหารจัดการทรัพย์สินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญเป็นการลดหย่อนค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองห้องชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด จากร้อยละ ๒ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับการโอนห้องชุดที่กระทรวงการคลังได้รับโอนมาจาก บสท. ให้แก่บุคคลอื่น และการจำนองหรือการโอนสิทธิการรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ที่กระทรวงการคลังได้รับโอนมาจาก บสท. ให้แก่บุคคลอื่น
|
|||||||||||||||||||||
2043 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะทางการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ (ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ จังหวัด กลุ่มจังหวัด หน่วยงานอิสระ องค์การมหาชน และมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ) กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะ ๑.๒.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความสำคัญ ควบคุม กำกับ ดูแล หน่วยงานภายใต้สังกัดส่งรายงานการเงินของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด เนื่องจากรายงานการเงินเป็นรายงานที่แสดงข้อมูลฐานะทางการเงินและการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานภาครัฐที่หัวหน้าส่วนราชการจะต้องรับผิดชอบในการจัดทำและส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ให้ทันภายในเวลาที่กำหนด เพื่อให้การจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความครบถ้วนและรวดเร็ว ในอันที่จะช่วยให้รัฐบาลได้มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายและการบริหารด้านการคลังให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ยังคงมีหน่วยงานภาครัฐ และ อปท. ที่ไม่ได้ส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ภายใน ๖๐ วัน นับจากวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีหรือภายใน ๙๐ วัน (สำหรับ อปท.) จำนวน ๒๒๙ หน่วยงาน ๑.๒.๒ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียนที่มีเงินที่ปลอดภาระผูกพันจำนวนมาก ควรพิจารณาให้มีการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เต็มศักยภาพเป็นลำดับแรกก่อนที่จะขอใช้งบประมาณแผ่นดินเพิ่มเติม ๑.๒.๓ ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นซึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการกำกับดูแลการปกครองท้องถิ่น ผลักดันให้ อปท. กู้ยืมเงินจากเงินฝากกองทุนในกลุ่ม อปท. เช่น เงินฝากเงินทุนส่งเสริมกิจการองค์การบริหารส่วนจังหวัด เงินฝากเงินทุนส่งเสริมกิจการเทศบาล ซึ่งเป็นกองทุนเงินสะสมของกลุ่ม อปท. มากกว่ากู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้กลุ่ม อปท. ได้รับผลประโยชน์รายได้ดอกเบี้ยการกู้ยืมดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง โดยในส่วนของหน่วยงานที่ไม่สามารถส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลังได้ตามกำหนด ต้องรายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรคต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบเพื่อประกอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี สำหรับการบริหารการเงินของ อปท. เห็นควรให้ อปท. ที่มีเงินสะสมจำนวนมากและไม่มีภาระผูกพัน พิจารณานำเงินดังกล่าวมาดำเนินการตามภารกิจและขั้นตอนของกฎหมายของ อปท. ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ส่วน อปท. ที่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินเพื่อนำมาดำเนินภารกิจตามกฎหมายจะต้องดำเนินการเท่าที่จำเป็นและประหยัดต้นทุนทางการเงินให้มากที่สุด โดยเห็นควรให้กู้ยืมเงินจากเงินฝากจากกองทุนในกลุ่ม อปท. เพื่อให้กลุ่ม อปท. ได้รับผลประโยชน์รายได้ดอกเบี้ยการกู้ยืมดังกล่าว รวมทั้งเป็นการสนับสนุนการบริหารจัดการการเงินของท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ กระทรวงการคลังควรพิจารณาปรับปรุงลักษณะการวิเคราะห์ให้สามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และความเสี่ยงทางการคลังของภาครัฐในภาพรวม เพื่อใช้ประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการการเงินการคลังภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2044 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2558 ณ วันที่ 30 กันยายน 2558 | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ โดยยอดหนี้สาธารณะคงค้างมีจำนวน ๕,๗๘๓,๓๒๓.๑๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๒.๙๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ซึ่งคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๔๖๕,๒๐๐.๔๓ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงิน ๑,๒๙๕,๕๘๔.๓๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๘.๔๓ ของแผนฯ และจากการติดตามผลการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๘ แห่ง พบว่ามีรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔ แห่ง ที่มีการดำเนินโครงการล่าช้ากว่าแผน ได้แก่ การเคหะแห่งชาติ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
|
|||||||||||||||||||||
2045 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อย ปี 2557 และข้อเสนอแนะจากที่ประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี 2558 | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และบริษัทย่อย ปี ๒๕๕๗ และข้อเสนอแนะจากที่ประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี ๒๕๕๘ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ฐานะการเงินและผลการดำเนินการของ กบข. และบริษัทย่อยปี ๒๕๕๗ มีสินทรัพย์สุทธิรวมเพิ่มขึ้นจากเดิม ๖๓๖,๘๖๒.๘๐ ล้านบาท เป็น ๗๑๓,๙๔๔.๙๒ ล้านบาท และมีผลประโยชน์สุทธิรวมเพิ่มขึ้นจากเดิม ๒๓,๖๔๓.๕๗ ล้านบาท เป็น ๓๗,๘๑๐.๗๕ ล้านบาท โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินของ กบข. แล้วพบว่าถูกต้องตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ๒. ในการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกประจำปี ๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ผู้แทนสมาชิกได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น ปัจจัยที่จะทำให้สมาชิกมั่นใจในการบริหารเงินของสมาชิก การแก้ไขสูตรการคำนวณบำนาญ กบข. และการแสดงความประสงค์กลับไปอยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญ (UNDO)
|
|||||||||||||||||||||
2046 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 4/2558 | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ซึ่งที่ประชุมฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย มาตรการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย และมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน และมาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงตารางการรายงานความคืบหน้าของโครงการภายใต้การขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานให้มีความชัดเจน อาทิ ประเภทของแหล่งเงินในการดำเนินโครงการ ระยะเวลาการดำเนินโครงการ แผนการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งรายปีและรายไตรมาส อัตราการเบิกจ่ายจริงเทียบกับประมาณการอัตราการเบิกจ่ายตามแผน รวมถึงปัญหาและอุปสรรคในกรณีที่อัตราการเบิกจ่ายจริงต่ำกว่าเป้าหมาย และเสนอแนะแนวทางหรือมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาและเร่งรัดการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมาย และนำเสนอที่ประชุมในโอกาสต่อไป ๓. มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประสานกับธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อแจ้งผลการให้สินเชื่อกับประชาชนผู้มีรายได้น้อยแก่ผู้ว่าราชการและนายอำเภอได้รับทราบ เพื่อให้การดำเนินมาตรการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งให้มีการพิจารณาเรื่องการประเมินผลเพื่อยกระดับกองทุนที่มีศักยภาพจากระดับ C เป็นระดับ B ๔. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโครงการภายใต้มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบลและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ๕. มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประสานธนาคารออมสินสอบถามความเห็นของธนาคารพาณิชย์ว่ามาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ตรงกับความต้องการของตลาดมากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการปรับปรุงนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ๖. มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบการติดตามและรายงานความคืบหน้าของมาตรการการเงินการคลังเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ (๑) มาตรการเพื่อส่งเสริมการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลางของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (๒) มาตรการการลดค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ (๓) มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ (สำหรับอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุดมูลค่าไม่เกิน ๓ ล้านบาท) ๗. ให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว ได้แก่ มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน และมาตรการการเงินการคลังเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ถือเป็นมาตรการที่อยู่ภายใต้การขับเคลื่อนของคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ให้มีการติดตามความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรค เพื่อรายงานต่อที่ประชุมทุกเดือน
|
|||||||||||||||||||||
2047 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สำหรับโครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในวงเงินรวม ๓๑๓.๓๗ ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติแหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขทางการเงินสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว อย่างไรก็ดี กรณีที่ สพพ. สามารถจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินการดังกล่าวในอัตราที่เหมาะสมตามหลักการประหยัดต้นทุนทางการเงินได้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๒ กรณีการชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้ สพพ. นั้น ให้ใช้เงินสะสมเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอก็ขอให้ สพพ. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า สพพ. ควรมีข้อมูลวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงื่อนไขผ่อนปรน (Soft Loan) จากองค์กรระหว่างประเทศอื่น เช่น ธนาคารโลก (World Bank) หรือธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เพื่อใช้อ้างอิงประกอบการพิจารณาในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2048 | เป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2559 | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี ๒๕๕๙ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ทำความตกลงร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว โดยกำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีที่ร้อยละ ๒.๕ ? ๑.๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าสาธารณชนและภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับค่ากลางของอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายเพื่อประกอบการตัดสินใจในทางธุรกิจและการดำรงชีวิตประจำวัน ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยควรมีการติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งมีการชี้แจงสาเหตุและแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินแก่สาธารณชนโดยเร็วในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายของนโยบายการเงิน ไปพิจารณาต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2049 | ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบในภูมิภาค จำนวน 4 ฉบับ | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างประกาศกระทรวงการคลัง จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่การนำเข้ารถยนต์ต้นแบบหรือรถจักรยานยนต์ต้นแบบเพื่อการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะให้แก่ผู้วิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทรถยนต์ต้นแบบเพื่อการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตจากมูลค่าต้นทุนทั้งหมด ๓. ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ต้นแบบหรือรถจักรยานยนต์ต้นแบบเพื่อการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ ๔. ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากร ตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับรถยนต์ต้นแบบหรือรถจักรยานยนต์ต้นแบบที่นำเข้ามาเพื่อวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะที่ได้รับอนุมัติจากกรมสรรพสามิต |
|||||||||||||||||||||
2050 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 (โครงการจัดทำ Application สำหรับการให้บริการด้าน อิเล็กทรอนิกส์ e-Service ของกรมสรรพากรบนอุปกรณ์ Smart Device) | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑ อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรยกเลิกโครงการจัดทำ Application สำหรับการให้บริการด้านอิเล็กทรอนิกส์ e-Service ของกรมสรรพากรบนอุปกรณ์ Smart Device และให้โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในโครงการดังกล่าว ไปดำเนินโครงการจัดซื้อเครื่องสแกนเนอร์เพื่อจัดเก็บเอกสารในรูปแบบดิจิทัล ในวงเงิน ๒๒,๙๖๒,๒๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการตรวจสอบความล่าช้าที่เกิดขึ้นในการเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี และกำชับให้หน่วยงานในสังกัดให้ความสำคัญในการใช้จ่ายงบประมาณโดยเฉพาะการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีด้วย |
|||||||||||||||||||||
2051 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับโครงการพัฒนาจุดผ่านแดนถาวรสตึงบทและถนนเชื่อมโยงไปกับถนนหมายเลข 5 ราชอาณาจักรกัมพูชา | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กัมพูชา เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการพัฒนาจุดผ่านแดนถาวรสตึงบทและถนนเชื่อมโยงไปยังถนนหมายเลข ๕ ราชอาณาจักรกัมพูชา ในรูปแบบเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน ในวงเงินรวม ๙๒๘,๑๑๐,๖๘๑ บาท ตามขอบเขตของโครงการฯ ๑.๒ อนุมัติแหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขทางการเงินสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กัมพูชา และเห็นชอบให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีให้ สพพ. ๒. สำหรับการขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือการชำระคืนให้แก่แหล่งเงินทุนกรณีที่กัมพูชาผิดนัดชำระนั้น เห็นควรให้ สพพ. ใช้เงินสะสมเป็นแหล่งเงินทุนในลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
2052 | ขอขยายระยะเวลามาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย และมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาในการดำเนินมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับหมู่บ้าน โดยให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ หรือภายในกรอบวงเงินที่กำหนด ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท (ธนาคารออมสิน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท) แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงกำหนดก่อน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับการขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายงบประมาณมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ โครงการตามมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศที่ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท ที่ไม่สามารถก่อหนี้และเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในไตรมาสที่ ๑ ให้ก่อหนี้ได้จนถึงสิ้นเดือนมกราคม ๒๕๕๙ และเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำหรับโครงการ/รายการที่ไม่สามารถดำเนินการก่อหนี้และเบิกจ่ายงบประมาณได้ ให้ยกเลิกโครงการและส่งคืนงบประมาณเพื่อนำไปใช้ในโครงการสำคัญเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลต่อไป ๒.๒ โครงการตามมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ ที่ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๔,๐๐๐ ล้านบาท ที่ไม่สามารถก่อหนี้และเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ให้ยกเลิกโครงการ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ต่อไป ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
2053 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (จำนวน 3 คน 1. นายกฤษฎา บุณยสมิต ฯลฯ) | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน จำนวน ๓ คน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายกฤษฎา บุณยสมิต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. นายนนทิกร กาญจนะจิตรา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหาร ๓. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||
2054 | การจัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. ....) | กค | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้มีกฎหมายว่าด้วยกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เกี่ยวกับการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการดำเนินงานของกองทุนฯ รวมทั้งการกำหนดแหล่งเงินของกองทุนฯ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรกำหนดขอบเขตของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายให้มีความชัดเจนในรายละเอียดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ลดความทับซ้อนในการดำเนินงาน และส่งผลให้การจัดสรรงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ รวมทั้งให้มีการประเมินผลการดำเนินงานของกิจการในลักษณะที่เป็น Performance-based ที่ชัดเจน โดยให้มีการรายงานผลการประเมินดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง รวมถึงการประเมินความสำเร็จทั้งในระดับผลลัพธ์ (Outcome) และผลกระทบ (Impact) ของมาตรการสนับสนุนทั้งในระหว่างและหลังจากการดำเนินการที่ชัดเจน และให้กระทรวงอุตสาหกรรมขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2055 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางสาววัชราภรณ์ มาตยานันท์) | กค | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววัชราภรณ์ มาตยานันท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2056 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกช้างไทย พ.ศ. .... | กค | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกช้างไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกช้างไทย ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์ทองคำ ราคาสี่พันบาท หนึ่งชนิด เหรียญกษาปณ์ทองคำ ราคาสองพันบาท หนึ่งชนิด และเหรียญกษาปณ์เงิน ราคาสองร้อยบาท หนึ่งชนิด เพื่อเป็นที่ระลึกและเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงมีพระราชดำริเรื่องการอนุรักษ์ช้างป่า และปลูกจิตสำนึกให้เกิดความรักและเห็นความสำคัญของการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับช้าง ซึ่งเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
2057 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ด่านพรมแดนสิงขร) | กค | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อกำหนดที่ตั้งของด่านพรมแดนสิงขร และทางอนุมัติจากด่านพรมแดนสิงขรถึงด่านศุลกากรประจวบคีรีขันธ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
2058 | แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) | กค | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละโครงการเร่งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ พร้อมทั้งให้แต่ละโครงการดำเนินการขออนุมัติงบประมาณในแต่ละโครงการโดยตรง และดำเนินการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องตามแผนยุทธศาสตร์ด้วย ๑.๒ เห็นชอบการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเป็นประธาน เพื่อผลักดันการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแผนยุทธศาสตร์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามวัตถุประสงค์ กรอบเวลา และตัวชี้วัดที่กำหนด รวมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ (Working Committee) เป็นคณะทำงานย่อยที่รับผิดชอบแต่ละโครงการในแผนยุทธศาสตร์ ๑.๓ ให้กำหนดแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ในระยะต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดรายละเอียดสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture) ที่แสดงให้เห็นภาพรวมของการดำเนินการและเพื่อประโยชน์ในการขยายระบบในอนาคต การให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาระบบการชำระเงินของประเทศจะต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลเป็นสำคัญเพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการใช้ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์และราชการสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดแนวทางและนโยบายเพื่อผลักดันและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ให้ประสบผลสำเร็จ ตลอดจนให้มีอำนาจในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ (Working Committee) เป็นคณะทำงานย่อยในแต่ละ โครงการตามแผนยุทธศาสตร์ รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้คำนึงถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนทั่วไปที่มีความคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าและบริการในร้านค้าที่ยังไม่มีระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ควรจะบูรณาการเชื่อมโยงฐานข้อมูลในบัตรประชาชนกับข้อมูลของหน่วยงานอื่นเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดทำฐานข้อมูลภาครัฐ โดยเริ่มจัดทำฐานข้อมูลที่ยังไม่มีด้วย เช่น รายได้ของผู้ประกอบอาชีพค้าขายที่มีรายได้ไม่แน่นอนและยังไม่ได้อยู่ในระบบการเสียภาษี เป็นต้น และในการจัดเก็บข้อมูลบุคคลในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ รวมทั้งข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เห็นชอบให้เพิ่มปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment |
|||||||||||||||||||||
2059 | โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ระยะที่ 2 | กค | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ระยะที่ ๒ และงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๑๐,๐๑๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาพรวมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ เห็นควรให้เสนอคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมพิจารณาก่อนดำเนินการ ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าวให้ธนาคารออมสินพิจารณาการอนุมัติสินเชื่อให้กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบการอย่างรอบคอบและตรง SMEs กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการโดยการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำอย่างแท้จริง สำหรับค่าใช้จ่ายและภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้ธนาคารออมสินเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป และหากธนาคารออมสินจะขอนำส่วนต่างระหว่างค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ได้รับชดเชยมาบวกกลับเพื่อคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานนั้น เห็นควรให้ธนาคารออมสินเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังทำการประเมินผลการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ระยะที่ ๑ ควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ระยะที่ ๒ และเมื่อดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ระยะที่ ๒ เสร็จสิ้นแล้ว ให้กระทรวงการคลังประเมินผลการดำเนินโครงการดังกล่าวและเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
2060 | การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2555 - 2558 | กค | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี และเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบกลางและเงินงบประมาณเหลือจ่าย) ๑.๒ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ในส่วนของเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ และเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ สำหรับโครงการที่มีความพร้อมและสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๕,๖๔๐.๙๔ ล้านบาท และ ๔.๒๓๖.๓๖ ล้านบาท (ตามลำดับ) ส่วนเงินงบประมาณที่เหลือจำนวน ๑,๑๗๙.๕๙ ล้านบาท และ ๕๐๐.๕๓ ล้านบาท (ตามลำดับ) เห็นควรให้เงินงบประมาณนั้นพับไป ๑.๓ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ ภายหลังเดือนกันยายน ๒๕๕๘ กรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐส่งเรื่อง รายการเงินงบประมาณดังกล่าวให้กระทรวงการคลังเพิ่มเติมในภายหลัง และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามให้มีการก่อหนี้ผูกพันให้เป็นไปตามกำหนดระยะเวลาและตรงตามวัตถุประสงค์ของการใช้เงินงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้เสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณ หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้เงินงบประมาณนั้นพับไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และสำนักงบประมาณรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือนต่อไปด้วย ๔. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
.....