ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 105 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2081 - 2100 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2081 | รายงานผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรายงานของคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ พิจารณาศึกษาเรื่องหลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพ ของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออม แห่งชาติ พ.ศ. 2554 ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส สภาปฏิรูปแห่งชาติ | กค | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรายงานของคณะกรรมาธิการการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาศึกษาเรื่องหลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส สภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป โดยมีผลการพิจารณา ดังนี้
๑. เห็นด้วยกับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยกองทุนการออมแห่งชาติได้เปิดรับสมัครสมาชิกไปแล้ว โดยให้สิทธิผู้ที่มีอายุ ๕๐ ปีขึ้นไป และสมาชิกจำนวนทั้งสิ้น ๓๒๗,๒๐๓ ราย สำหรับเงินสมทบของรัฐได้กำหนดจำนวนเงินสูงสุดไว้ในบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งจำนวนเงินสมทบต่อปีได้กำหนดในกฎกระทรวง นอกจากนี้ การกำหนดให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่ดูแลหลักประกันบำนาญของประชาชนซึ่งเป็นภาระระยะยาว และกระทรวงแรงงานควรทำหน้าที่ดูแลการจัดสวัสดิการระยะสั้นของแรงงานเป็นไปตามหลักการที่กระทรวงการคลังได้เคยเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกองทุนการออมแห่งชาติ ๒. สำหรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งขาติ เห็นชอบตามที่คณะกรรมาธิการฯ เสนอ โดยปัจจุบันได้มีการเสนอร่างกฎหมายที่จะยุบเลิกความคุ้มครองประกันสังคมตามมาตรา ๔๐ ทางเลือกที่ ๓-๕ แล้ว ดังนั้น เมื่อร่างกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับ จะไม่เกิดความซ้ำซ้อนหรือการแข่งขันระหว่างกองทุนการออมแห่งชาติและกองทุนประกันสังคม กองทุนการออมแห่งชาติได้มีการจัดเก็บข้อมูลอายุและอาชีพของสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติที่สมัครผ่านหน่วยรับสมัครสมาชิกด้วยแล้ว และสนับสนุนการทำประชาสัมพันธ์ไปยังแรงงานนอกระบบให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||
2082 | การสมัครเข้าเป็นภาคีสมาชิกความร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Partnership : OGP) | กค | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การสมัครเข้าเป็นภาคีสมาชิกความร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Partnership : OGP) ของประเทศไทย เพื่อที่กระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการความร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Partnership Committee) มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีกรรมการ จำนวน ๑๑ คน โดยมีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นกรรมการและเลขานุการ ที่ปรึกษา/รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง และผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายการจัดซื้อโดยรัฐระหว่างประเทศเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๒. ให้กระทรวงการคลัง คณะกรรมการร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลที่กระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเข้าร่วมเป็นกรรมการ ตามโครงสร้าง องค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการความร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐอีกหน่วยงานหนึ่งด้วย นอกจากนี้ องค์ประกอบและการดำเนินการของคณะกรรมการดังกล่าวควรคำนึงถึงการเปิดเผยข้อมูลตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ และข้อกำหนดในการเปิดเผยข้อมูลตามกฎหมายอื่น ๆ ของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานหรือข้อมูลภาครัฐที่เกี่ยวกับความมั่นคงด้านการทหารและการป้องกันประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เมื่อเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกความร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Partnership : OGP) แล้ว หากมีการกำหนดเงื่อนไขหรือการดำเนินการใด ๆ ที่ส่งผลให้เกิดข้อผูกพันที่กำหนดให้ต้องมีการแก้ไขกฎหมายใหม่ ให้กระทรวงการคลังนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2083 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ ๓ เดือนแรก ที่ใช้เงินกู้เหลือจ่ายจากโครงการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (ไทยเข้มแข็ง) กรอบวงเงิน ๑๕,๒๐๐ ล้านบาท ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการยกเลิกรายการที่ไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ทันภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ อนุมัติให้การขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการสำหรับรายการที่ลงนามในสัญญาแล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๓๖๐ วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา ทั้งนี้ หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จจะไม่มีการจัดสรรเงินเพื่อดำเนินการอีกต่อไป รวมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอน คือ เรียกค่าปรับ หากบริษัทไม่ยินยอมก็จะต้องมีการฟ้องร้องเรียกค่าปรับต่อไป ตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ๒. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่าย จำนวน ๑๖ รายการ วงเงิน ๔๗,๒๖๙,๙๒๑.๗๗ บาท ๓. เห็นชอบการปิดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และยุติการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ๔. สำหรับแนวทางการจัดสรรเงินสำรองจ่ายเมื่อปิดโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยหากปรากฏภายหลังว่าหน่วยงานเจ้าของโครงการมีความจำเป็นต้องขอรับการชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ก็เห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติหลักการให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เรื่อง การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้าง กรณีที่ต้องจ่ายค่า K ตามสัดส่วนแหล่งที่มาของวงเงินค่าก่อสร้าง เพื่อให้สามารถใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินหรือเงินรายได้ของหน่วยงานในการชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย |
||||||||||||||||||||||||
2084 | รายงานผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน | กค | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยให้มีวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณรับไปพิจารณาเรื่องแหล่งที่มาของรายได้สำหรับกองทุนฯ ดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำหนดหลักเกณฑ์ในการให้งบประมาณสนับสนุนด้านต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างชัดเจน โปร่งใส และมีความสอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมของประเทศ และข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับการกำหนดรายได้ของกองทุนฯ จากเงินกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกองทุนพัฒนาการกีฬา จำเป็นต้องกำหนดเป็นนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขกฎหมายของ ๒ กองทุนดังกล่าว เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินกองทุนฯ เป็นลำดับแรก ก่อนขอสนับสนุนเงินงบประมาณแผ่นดิน และในการยกร่างกฎหมายจัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ควรต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการที่มีความโปร่งใส รอบคอบ และตรวจสอบได้ เพื่อให้มีความเป็นธรรมในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2085 | การปรับปรุงโบนัสของพนักงานและลูกจ้างประจำของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล | กค | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติมว่า ขอยืนยันตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า การปรับปรุงโบนัสของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่จ่ายเป็นเงินค่าตอบแทนพิเศษจากผลการปฏิบัติงานเป็นเงินที่จ่ายให้แก่พนักงานโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นรางวัลและเพื่อเป็นแรงจูงใจให้แก่พนักงาน มิใช่อยู่ในความหมายและขอบเขตของคำว่า “สภาพการจ้าง” ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งหมายถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทั่วไปเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงาน ๒. เห็นชอบให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลปรับปรุงการจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำ จาก ๓.๗๕ เท่าของเงินเดือนหรือค่าจ้าง เป็น ๔ เท่าของเงินเดือนหรือค่าจ้าง ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับเฉพาะในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการตามแผนปฏิรูประบบสลากกินแบ่งรัฐบาลของคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมทั้งเร่งปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลให้เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในโอกาสต่อไปสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะต้องมีการดำเนินการตามแผนการปฏิรูประบบสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยการปรับเข้าระบบแรงจูงใจกลุ่มรัฐวิสาหกิจประเภทที่จัดสรรโบนัสให้พนักงานได้เมื่อมีผลกำไร เพื่อให้การจัดสรรโบนัสตามระบบประเมินผลโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2086 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 17/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... กรณีการใช้อำนาจเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องของอธิบดีกรมศุลกากรหรือคณะกรรมการเปรียบเทียบงดการฟ้องร้อง กรมศุลกากรได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาและปรับปรุงเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้อง เพื่อศึกษาและรวบรวมเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้อง พิจารณาและปรับปรุงเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องให้ทันสมัยและเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็นในการพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องให้เป็นไปโดยเรียบร้อย โดยคณะทำงานฯ จะเชิญผู้แทนจากกรมป่าไม้ และกรมการค้าต่างประเทศเข้าร่วมในการพิจารณากำหนดเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องดังกล่าวด้วย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2087 | การขออนุมัติจำหน่ายหนี้สูญเงินทุนหมุนเวียนโครงการไทย - เยอรมัน | กค | 17/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอการจำหน่ายหนี้สูญเงินทุนหมุนเวียนโครงการไทย-เยอรมัน ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยไม่ขอเงินชดเชยจากรัฐบาล ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๗,๖๒๔,๕๒๔.๖๓ บาท ตามรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ จำหน่ายดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๑๐ แห่ง ลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๑๖๑ ราย เป็นเงิน ๓,๘๔๕,๖๗๓.๒๑ บาท ๑.๒ จำหน่ายเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๖ แห่ง ลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๓๕๙ ราย เป็นเงิน ๓,๗๗๘,๘๕๑.๔๒ บาท (เงินต้น ๑,๖๒๒,๑๒๙.๑๐ บาท และดอกเบี้ย ๒,๑๕๖,๗๒๒.๓๒ บาท) ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรในภาพรวมอย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยในการส่งเสริมอาชีพและสร้างรายได้แก่เกษตรกรเพื่อเพิ่มศักยภาพการชำระหนี้คืนและป้องกันปัญหาหนี้สูญที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ในการปรับปรุงมติสภาบริหารคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ เกี่ยวกับเรื่องจำหน่ายหนี้เงินและทรัพย์สินออกจากบัญชี แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2088 | มาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบในภูมิภาค | กค | 17/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบในภูมิภาค โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ต้นแบบที่ใช้ในการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ และอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติพิธีการนำเข้า รวมทั้งควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ๑.๒ มอบหมายกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการแก้ไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการอนุญาตให้นำรถยนต์ที่ใช้แล้วเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๙ สำหรับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ต้นแบบที่ได้รับการรับรองจากกรมสรรพสามิตไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าจากกระทรวงพาณิชย์ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรให้ครอบคลุมไปถึงชิ้นส่วนต้นแบบ การกำกับดูแลที่เหมาะสมในทางปฏิบัติโดยเฉพาะในการบริหารจัดการต้นแบบรถยนต์และรถจักรยานยนต์ภายหลังการดำเนินงานวิจัยพัฒนาสิ้นสุด การเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐและภาคการศึกษาที่มีความสนใจเข้าเยี่ยมชมพื้นที่และใช้เครื่องมืออุปกรณ์วิเคราะห์ทดสอบที่ทันสมัยเพื่อการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ หรือการทำวิจัย ในส่วนที่ไม่เป็นความลับ การให้ความสำคัญแก่ยานยนต์ต้นแบบที่สร้าง/ผลิตขึ้นในประเทศไทย (สภาพใหม่) หรือเคยผลิตขึ้นในประเทศไทย (สภาพใช้แล้ว นำมาทำการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะเพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ สมรรถนะที่ดีขึ้น) การยกร่างกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยให้หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรมการขนส่งทางบก ร่วมพิจารณาด้วย การเสนอข้อมูลและข้อเท็จจริง เช่น ปริมาณยานยนต์ต้นแบบที่นำเข้าเพื่อการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ จำนวนบริษัทที่ประสงค์จะนำเข้ายานยนต์ต้นแบบ จำนวนเงินที่รัฐต้องสูญเสียรายได้จากการให้ยกเว้นภาษี ความเพียงพอของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ เพื่อประกอบการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี การกำหนดแนวทางในการควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบยานยนต์ต้นแบบสำหรับใช้ในการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการนำออก ส่งออก หรือทำลายยานยนต์ต้นแบบภายหลังจากการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะแล้ว เพื่อป้องกันการนำยานยนต์ต้นแบบไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการต้องจัดให้มีบุคลากรวิจัยของไทยเข้าร่วมในการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบุคลากรวิจัยของไทย ตลอดจนมีระบบการติดตามและประเมินผลการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงรูปแบบของมาตรการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาที่มีความเหมาะสมในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อให้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้โดยเร็วต่อไป ๓. กำหนดหลักการและแนวทางการนำเสนอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปรับลดหรือปรับเปลี่ยนอัตราภาษีอากรหรือปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณอัตราเพื่อเสียภาษีอากรต่อคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๓.๑ การเสนอมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการปรับลดหรือปรับเพิ่มอัตราภาษีอากรหรือปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณอัตราเพื่อเสียภาษีอากรที่อาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่นำมาซึ่งการได้เปรียบในเชิงการค้าก่อนมาตรการมีผลใช้บังคับตามกฎหมาย เช่น การกักตุนสินค้า เป็นต้น ให้กระทรวงการคลังจัดทำข้อวิเคราะห์ผลกระทบในภาพรวมจากการดำเนินการดังกล่าว โดยเฉพาะผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐ และเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาไปในคราวเดียวกัน ๓.๒ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนและกรณีไม่เข้าข่าย ตามข้อ ๓.๑ กระทรวงการคลังอาจเสนอมาตรการเพื่อขอความเห็นชอบในหลักการจากคณะรัฐมนตรีก่อนได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังต้องนำเสนอร่างกฎหมายที่จะออกตามมาตรการภาษีดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๒ สัปดาห์ |
||||||||||||||||||||||||
2089 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายอานุภาพ จามิกรณ์) | กค | 10/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายอานุภาพ จามิกรณ์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2090 | การทบทวนปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้สิทธิพิเศษแก่บริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด | กค | 10/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามมติคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เรื่อง การทบทวน ปรับปรุง มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้สิทธิพิเศษแก่บริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด ในการจำหน่ายอุปกรณ์อากาศยานหรือจ้างซ่อมอากาศยานและอุปกรณ์ จากเดิมเป็น ดังนี้ “อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ประสงค์จะซื้อหรือจ้างบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด เกี่ยวกับพัสดุอุปกรณ์อากาศยานหรือการซ่อมอากาศยานและอุปกรณ์ให้ดำเนินการซื้อหรือจ้างซ่อมได้ โดยวิธีกรณีพิเศษ หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งมีวิธีการทำนองเดียวกัน ตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุที่หน่วยงานนั้น ๆ ถือปฏิบัติ โดยให้ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในการซื้อหรือจ้างดังกล่าวดำเนินการต่อรองราคาให้อยู่ในวงเงินที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้บริษัทฯ ดำเนินการจ้างซ่อมอีกทอดหนึ่งได้เฉพาะงานที่บริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินการได้เองเท่านั้น และให้บริษัทฯ คำนึงถึงความสำคัญของการถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยเรียนรู้วิทยาการด้านการซ่อมอากาศยานให้มากขึ้น รวมทั้งดำเนินการให้สอดคล้องกับทรัพยากรที่มีอยู่ด้วย เพื่อลดอัตราการจ้างช่วง และเป็นการลดอัตราสูญเสียเงินตราต่างประเทศต่อไป และให้บริษัทฯ จัดทำบัญชีต้นทุนการใช้พื้นที่ในการประกอบกิจการและการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ เช่น บุคลากร เครื่องมืออุปกรณ์ เป็นต้น ทั้งในส่วนของบริษัทฯ และ/หรือในส่วนที่บริษัทฯ ใช้ร่วมกับกองทัพอากาศ ตามมาตรฐานด้านการบัญชีที่บริษัทฯ ถือปฏิบัติให้ถูกต้องชัดเจนด้วย” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรให้มีการประเมินผลประกอบการและการดำเนินการของบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด อย่างสม่ำเสมอ และเมื่อเห็นว่า บริษัทฯ สามารถที่จะดำเนินกิจการได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งแล้ว ก็สมควรที่คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจจะพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการให้สิทธิพิเศษแก่บริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2091 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 120 ปี กรมยุทธศึกษาทหารบก พ.ศ. .... | กค | 10/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๒๐ ปี กรมยุทธศึกษาทหารบก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๒๐ ปี กรมยุทธศึกษาทหารบก ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ราคายี่สิบบาท หนึ่งชนิด เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมยุทธศึกษาทหารบก เพื่อทำหน้าที่จัดการศึกษาของนักเรียนนายทหารบก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
2092 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางสาวเยาวนุช วิยาภรณ์) | กค | 10/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวเยาวนุช วิยาภรณ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมายและระเบียบการคลัง (นิติกรทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2093 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 - 30 เมษายน 2559 | กค | 10/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ วงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น ๒,๑๐๓ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๑,๕๙๙ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๕๐๔ ล้านบาท ๒. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ และกระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่) ให้แล้วเสร็จและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการตามมาตรการใหม่ได้ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ |
||||||||||||||||||||||||
2094 | การปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ | กค | 10/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนใหม่ของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)ทุกระดับตำแหน่งตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครส.) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ๑.๒ เห็นชอบการปรับเงินเดือนเข้าโครงสร้างเงินเดือนใหม่ หากเงินเดือนใหม่ที่ได้รับยังไม่ถึงอัตราขั้นต่ำของกระบอกเงินเดือน ให้ปรับเงินเดือนให้ได้รับในอัตราขั้นต่ำ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของเงินเดือนใหม่ หากเกินร้อยละ ๑๐ ของเงินเดือนใหม่ ให้รอปรับเงินเดือนในปีต่อไปก่อน จึงจะปรับให้ได้รับในอัตราขั้นต่ำ ตามมติ ครส. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ และเนื่องจากการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและการปรับเงินเดือนเข้าโครงสร้างเงินเดือนใหม่ของพนักงาน ธอส. อาจส่งผลกระทบให้ ธอส. มีภาระค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ ธอส. ดำเนินการตามแนวทางการปรับเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรโดยเคร่งครัดเพื่อสร้างรายได้ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อมิให้กระทบต่อฐานะการเงินของ ธอส. ในระยะยาว รวมทั้งต้องมีการประเมินผลงานรายบุคคลให้สอดคล้องกับการประเมินผลงานทั้งองค์กร และรายงานให้กระทรวงการคลังทราบความคืบหน้าของการดำเนินการด้วย ๑.๓ ไม่เห็นชอบให้ ธอส. ปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานทุกตำแหน่งในอัตราร้อยละ ๒ ๑.๔ การกำหนดอัตราเงินเดือนขั้นสูงของพนักงานระดับ ๑๖ ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส/รองกรรมการผู้จัดการ เนื่องจากที่ผ่านมา ธอส. ยังไม่ได้กำหนดอัตราเงินเดือนขั้นสูงสำหรับพนักงานระดับ ๑๖ ไว้ และในคราวนี้ ธอส. ได้เสนอและกำหนดอัตราเงินเดือนขั้นสูงสำหรับตำแหน่งระดับ ๑๖ ไว้แล้ว ดังนั้น จึงเห็นควรกำหนดอัตราเงินเดือนขั้นสูงของตำแหน่งระดับ ๑๖ สำหรับรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส/รองกรรมการผู้จัดการที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันให้อยู่ภายใต้โครงสร้างเงินเดือนใหม่ ๑.๕ เห็นชอบในหลักการแนวนโยบายการปรับโครงสร้างเงินเดือนพนักงานของ ธอส. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน ภายใต้เงื่อนไขและระยะเวลาที่กระทรวงการคลังกำหนด ทั้งนี้ เพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกัน ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและปรับเพิ่มเงินเดือนให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของหน่วยงาน และพิจารณาการปรับเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรโดยไม่มีผลกระทบต่อประชาชนผู้รับบริการเพื่อสร้างรายได้ให้เพียงพอและครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น การกำหนดแนวนโยบายในการพิจารณาปรับบัญชีโครงสร้างเงินเดือนและปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่อยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงการคลังให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การปรับปรุงตัวชี้วัดของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งระบบให้สะท้อนประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน รวมทั้งมีแผนงานและแนวทางในการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ และในการปรับโครงสร้างเงินเดือนในคราวถัดไปต้องอยู่บนพื้นฐานของการประเมินค่างานที่แสดงให้เห็นถึงภารกิจหรือค่างานที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลและปรับปรุงวิธีการปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานรัฐวิสาหกิจเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเน้นการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในกรณีที่พนักงานในตำแหน่งระดับสูงได้รับการปรับเพิ่มเงินเดือนในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับพนักงานระดับล่าง |
||||||||||||||||||||||||
2095 | การขยายระยะเวลาการใช้บัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันออกไปอีก 1 ปี [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | กค | 10/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการใช้บัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันออกไปอีก ๑ ปี จากที่สิ้นสุดในปี ๒๕๕๘ เป็นสิ้นสุดในปี ๒๕๕๙ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยเป็นการลดอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดามีผลใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังสร้างการรับรู้และส่งเสริมให้ประชาชนชำระภาษีให้ถูกต้องตามหน้าที่ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งศึกษาผลกระทบจากการปรับปรุงโครงสร้างภาษี ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และการยกเว้นหรือลดหย่อนต่าง ๆ ตลอดจนควรเร่งจัดทำมาตรการ และแนวทางในการขยายฐานภาษีให้ผู้มีเงินได้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีเพิ่มมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2096 | การขอกู้เงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ | กค | 03/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินโดยการออกพันธบัตร จำนวนไม่เกิน ๒๖,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้ ธอส. สามารถดำเนินงานตามแผนการจัดหาแหล่งเงินทุนและการปรับสมดุลโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินในระยะเวลา ๕ ปี ของ ธอส. ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้ ธอส. ร่วมกับกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาจัดทำแผนการจัดหาแหล่งเงินทุนและการปรับสมดุลโครงสร้างเงินทุนในระยะยาวที่แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารในอนาคตที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับหลักสากล และนำเสนอแผนดังกล่าวให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาโดยด่วนต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ ธอส. และกระทรวงการคลังร่วมกันพิจารณาออกแบบผลิตภัณฑ์เงินฝากหรือการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ที่มีความสอดคล้องกับการปล่อยเงินกู้ระยะยาวเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องในระยะยาวจากความไม่สัมพันธ์กันระหว่างอายุของหนี้สินและสินทรัพย์ (Maturity Mismatch) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2097 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูประบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ) | กค | 03/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การปฏิรูประบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
๑. คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ๔ คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ คณะอนุกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบกำกับดูแลและระบบบรรษัทภิบาลของรัฐวิสาหกิจ และคณะอนุกรรมการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ (Multi-Stakeholder Group) สำหรับโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ๒. แนวทางการปฏิรูปสถาบันการเงินเฉพาะกิจในประเด็นการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจเท่ากับที่ดูแลธนาคารพาณิชย์ นั้น กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ ธปท. กำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจใน ๔ ด้าน คือ การออกเกณฑ์กำกับดูแล การตรวจสอบความเหมาะสมของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บริหาร การติดตามและตรวจสอบ และการสั่งการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจแก้ไขปัญหา ๓. กรณีของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอให้เร่งออกกฎหมายทางการเงินต่าง ๆ ตามหลักซะรีอะฮ์ เพื่อขจัดอุปสรรคในการดำเนินกิจการตามหลักศาสนา นั้น ธอท. ได้เสนอขอปรับปรุงพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ ต่อกระทรวงการคลังซึ่งมีประเด็นปัญหาและอุปสรรคด้านภาษีอากรและค่าธรรมเนียม กระทรวงการคลังจึงได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาภาษีอากรและค่าธรรมเนียมจากการให้บริการทางการเงินตามหลักศาสนาอิสลามเพื่อแก้ไขเรื่องดังกล่าวแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
2098 | การให้สิทธิพิเศษแก่ผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทย | กค | 03/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๘ เรื่อง การให้สิทธิพิเศษแก่ผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทย โดยอนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ที่ประสงค์จะจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ขายหรือผู้ให้บริการที่มีรายชื่อตามบัญชีนวัตกรรมไทยตามที่หน่วยงานจัดทำบัญชีนวัตกรรมไทยที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี โดยวิธีกรณีพิเศษหรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งมีวิธีการทำนองเดียวกันตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุที่หน่วยงานนั้น ๆ ถือปฏิบัติ ทั้งนี้ หากผลิตภัณฑ์หรือบริการนวัตกรรมที่จัดซื้อจัดจ้างมีผู้ขายหรือผู้ให้บริการที่มีรายชื่อตามบัญชีนวัตกรรมไทยตั้งแต่ ๒ ราย ขึ้นไป ตามที่หน่วยงานจัดทำบัญชีนวัตกรรมไทยที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการแจ้งผู้ขายหรือผู้ให้บริการที่มีรายชื่อตามบัญชีนวัตกรรมไทยทุกรายเข้าเสนอราคา แล้วจัดซื้อจากรายที่เสนอราคาต่ำสุด โดยวิธีกรณีพิเศษหรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งมีวิธีการทำนองเดียวกันตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุที่หน่วยงานนั้น ๆ ถือปฏิบัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติเร่งรัดการตรวจสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมที่ขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย เพื่อที่สำนักงบประมาณจะได้ดำเนินการจัดทำและประกาศบัญชีนวัตกรรมไทยได้ต่อไป รวมทั้งให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ สนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทยในหน่วยงานภาครัฐ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
2099 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 03/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับเพิ่มสัดส่วนการนำเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ไปลงทุนในต่างประเทศและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในปัจจุบัน และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิก กบข. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย กบข. กำกับดูแลการลงทุนอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้บริหารจัดการความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า และให้ชี้แจงทำความเข้าใจเรื่องการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กับสมาชิก กบข. เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดเป้าหมาย ผลการดำเนินงาน แนวทางการลงทุน และยกระดับการกำกับดูแลเป็นพิเศษสำหรับการลงทุนในต่างประเทศและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งประชาสัมพันธ์แก่สมาชิก กบข. ถึงแนวทางการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงและผลกระทบด้านความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการขยายเพดานการลงทุนในต่างประเทศและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และควรพิจารณาอย่างรอบคอบกับการนำเงินของกองทุนไปลงทุนกับสถาบันการเงิน บริษัท หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งควรพิจารณาให้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง และโดยที่ปัจจุบันกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนคลายให้ทำได้เป็นจำนวนไม่เกิน ๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่าต่อปี จากเดิม ๑๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่าต่อปี กรณีที่มีความต้องการลงทุนเกินจำนวนดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินก่อน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2100 | การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว | กค | 03/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long-term Equity Fund : LTF) ซึ่งมีเพดานไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ ๒. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มระยะเวลาการถือหน่วยลงทุนใน LTF จากไม่น้อยกว่า ๕ ปีปฏิทิน เป็นไม่น้อยกว่า ๗ ปีปฏิทิน สำหรับหน่วยลงทุนใน LTF ที่ซื้อตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ๓. เห็นชอบให้ยกเลิกการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่ LTF และกำหนดให้เงินได้จากการขายหน่วยลงทุนใน LTF ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นเดียวกันกับเงินได้จากการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอื่น ๆ สำหรับหน่วยงานลงทุนใน LTF ที่ซื้อตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป โดยเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่ LTF สำหรับหน่วยลงทุนที่ซื้อก่อนวันดังกล่าวยังคงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไป หากได้ถือหน่วยลงทุนนั้นมาแล้วไม่น้อยกว่า ๕ ปีปฏิทิน สำหรับหน่วยลงทุนที่ซื้อก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ และไม่น้อยกว่า ๗ ปีปฏิทิน สำหรับหน่วยลงทุนที่ซื้อระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ |
.....