ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 108 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2141 - 2160 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2141 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง) (จำนวน 3 ราย 1. นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ ฯลฯ) | กค | 06/10/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายประภาศ คงเอียด ดำรงตำแหนงรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายยุทธนา หยิมการุณ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||
2142 | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 หมวดงบรายจ่ายอื่น รายการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบกลางและเงินงบประมาณเหลือจ่าย) กรณีขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗หมวดงบรายจ่ายอื่น รายการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
|
||||||||||||||||||||||||
2143 | การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ | กค | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ๑.๑.๑ ปรับเปลี่ยนตำแหน่งรองประธาน ๑ ตำแหน่ง จากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยกเลิกตำแหน่งรองประธาน จำนวน ๑ ตำแหน่ง คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และยกเลิกตำแหน่งกรรมการ จำนวน ๒ ตำแหน่ง ได้แก่ นางพรรณี สถาวโรดม (ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) และผู้แทนการค้าไทย ๑.๑.๒ ปรับเปลี่ยนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ข้อ ๔ จากเดิม “รายงานผลความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๒ สัปดาห์” เป็น “การรายงานผลความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๑ เดือน” ๑.๒ การปรับปรุงกรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศจะใช้ในการติดตามและขับเคลื่อน โดยปรับปรุงกรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘) ให้เหลือเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้เงิน และเพิ่มเติมมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย และมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรฐบาลทั่วประเทศ ไว้ในกรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คณะกรรมการฯ จะใช้ในการติดตาม ประกอบด้วย ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) การขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน (๒) การส่งเสริมการลงทุน (๓) มาตรการการเงินการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วน และ (๔) มาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและความยากจนในการเสริมสร้างความยั่งยืน ๒. ในส่วนขององค์ประกอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ให้เพิ่มผู้แทนสำนักงบประมาณร่วมเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ จำนวน ๑ คน และให้ดำเนินการสรุปการปฏิบัติโดยต่อเนื่อง เป็นมาตรการช่วยเหลือระยะที่ ๑ (คณะรัฐมนตรีชุดเดิม) และมาตรการช่วยเหลือระยะที่ ๒ (คณะรัฐมนตรีชุดใหม่) เพื่อง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2144 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายวรเชษฐ์ ทับทิม) | กค | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวรเชษฐ์ ทับทิม ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้สำนักราชเลขาธิการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่ง และให้พ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เนื่องจากครบเกษียณอายุราชการต่อไปแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
2145 | การกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ในอัตราร้อยละ ๐.๑๘ ต่อปี ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับยอดเงินที่ได้รับจากประชาชนและการคำนวณเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นอำนาจของคณะกรรมการกองทุนที่จะประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๑๕ วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ จึงไม่อาจกำหนดเรื่องดังกล่าวไว้ในร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสมควรนำไปกำหนดเป็นประกาศอีกฉบับหนึ่ง และในกรณีที่มีการเพิ่มทุนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เห็นควรพิจารณาใช้เงินจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นลำดับแรกเพื่อลดภาระงบประมาณในภาพรวมของประเทศและเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2146 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี 2557 | กค | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นการรายงานภาพรวมธุรกิจประกันของไทยรอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๕๗ และผลการดำเนินการตามกรอบแผนพัฒนาประกันภัย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗) ตามมาตรการหลัก ๔ ประการ ของแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ ๒ ประกอบด้วย มาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นและเข้าถึงระบบประกันภัย มาตรการเสริมสร้างเสถียรภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน มาตรการพัฒนาการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย และมาตรการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2147 | ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) | กค | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักการดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) วงเงินลงทุนไม่เกิน ๑,๑๙๙,๒๗๙,๕๔๐ บาท เพื่อกระทรวงการคลังจะได้บรรจุโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ภายในกรอบวงเงินกู้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ขออนุมัติโครงการและการกู้เงินสำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒) ๑.๒ อนุมัติในหลักการสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการรับประกันตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๑ เป็นต้นไป โดยให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ/หรือโอนเงินนอกงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินไม่เกินปีละ ๑๕๒,๔๒๐,๔๓๐ บาท และให้กรมศุลกากรดำเนินการตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่เห็นควรมีการจำแนกรายละเอียดให้ชัดเจนทั้งในด้านจำนวน คุณลักษณะ คุณสมบัติการใช้งาน และความสามารถของอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการพิจารณา มีการระบุถึงความเชื่อมโยงของระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ด้วยเครื่องเอกซเรย์ (X-ray Container Inspection System) และระบบควบคุมการเคลื่อนย้ายและติดตามควบคุมการขนส่งสินค้าผ่านแดนและถ่ายลำ (e-Lock, RFID & GPS System) มีแผนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดหาโดยดำเนินการในลักษณะการซื้อบริการแบบครบวงจร มีการวางแผนในเรื่องการจัดเก็บข้อมูล การสืบค้นข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data analytic) และกำหนดพื้นที่ในการจัดเก็บ อีกทั้งการดูแลบำรุงรักษาข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ มีการประสานความร่วมมือและบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เชื่อมต่อระบบตรวจป้ายทะเบียนรถยนต์และระบบควบคุมยานพาหนะผ่านแดนกับกรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้งานในระบบหรือพัฒนาต่อยอดจากระบบของหน่วยงานอื่นที่ได้ดำเนินการไว้แล้วเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ มีรายละเอียดสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture) ที่แสดงให้เห็นภาพรวมของการดำเนินการและเพื่อประโยชน์ในการขยายระบบในอนาคต ตลอดจนการกำหนดเกณฑ์ราคากลางและคุณลักษณะพื้นฐานของระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด และการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ที่กำหนดให้โครงการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ หรือโครงการจัดหาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินและมีวงเงินงบประมาณในการจัดหาตั้งแต่ ๑๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการระบบ CCTV ของท่าอากาศยานทั่วประเทศ ระบบ BIOMETRICS และระบบ CCTV เพื่อการควบคุมทางศุลกากรเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกันได้และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านความมั่นคงได้ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2148 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเพิ่มมูลค่าของโครงการที่จะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 พ.ศ. .... | กค | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเพิ่มมูลค่าของโครงการที่จะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มมูลค่าของโครงการที่จะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ จากโครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป เป็นโครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ห้าพันล้านบาทขึ้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรกำหนดแนวทางการพิจารณาและขั้นตอนการดำเนินการโครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาท-ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ ล้านบาท ให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการกิจการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะที่มีความจำเป็น ควรให้คงถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ และเห็นควรเร่งพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการที่มีมูลค่าต่ำกว่า ๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามมาตรา ๕๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการปรับเพิ่มมูลค่าของโครงการและมีผลบังคับใช้ในช่วงเวลาเดียวกันกับร่างกฎกระทรวงฯ นอกจากนี้ หากโครงการใดมีความสำคัญหรือสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ก็สามารถกำหนดให้ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2149 | รายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี | กค | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติมว่า เนื่องจากโครงการให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรีเป็นการดำเนินโครงการใหม่ ตามนัยของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงเห็นควรให้กระทรวงมหาดไทย (องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี) ดำเนินการตามมาตรา ๘ ของพระราชบัญญัติฯ โดยเสนอผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาก่อน หากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นด้วยกับโครงการ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการของโครงการต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม การปรับเพิ่มรายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละปีให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งผนวกรวมสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนตามนโยบายของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งจะช่วยให้ผลตอบแทนสุทธิของโครงการสูงขึ้นและสอดคล้องกับความเป็นจริง การพิจารณาประเด็นด้านเทคนิครวมถึงเตรียมบุคลากรที่เชี่ยวชาญเพื่อสร้างความมั่นใจในการเดินระบบให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ การพิจารณาความเสี่ยงหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการบริหารจัดการ ได้แก่ ผลกระทบจากการขนส่งขยะเข้ามาในพื้นที่โครงการ การก่อเหตุรำคาญ ทั้งด้าน เสียง กลิ่น ฝุ่น ความสั่นสะเทือน ผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ปัญหาไดออกซิน ฯลฯ การเร่งประสานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้านครหลวงในการยื่นคำร้องและข้อเสนอการขายไฟฟ้าเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก การจัดทำแผนการลดปริมาณและการคัดแยกขยะมูลฝอยจากแหล่งกำเนิดควบคู่ไปด้วย (Preventive Method) การพิจารณาใช้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย (Polluter Pays Principle) เพื่อลดปริมาณขยะมูลฝอยและภาระค่าใช้จ่ายในการกำจัด และเป็นการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้ดำเนินโครงการด้วยความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และปฏิบัติตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนในพื้นที่ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2150 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กรมชลประทานขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ขอโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณที่เหลือจ่าย หรือแหล่งเงินนอกงบประมาณอื่น ๆ ของกรมชลประทาน ในการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ จำนวน ๓ รายการ วงเงิน ๒๕,๖๐๕,๘๒๕.๔๔ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กรมชลประทานดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ๑.๑.๑ งานก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองพระพิมล จังหวัดนนทบุรี วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่าย ๑๙,๐๓๑,๐๐๐ บาท ๑.๑.๒ งานก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านเลิงบัวน้อย จังหวัดมหาสารคาม วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่าย ๒,๙๒๕,๒๐๐ บาท ๑.๑.๓ งานก่อสร้างระบบส่งน้ำและอาคารประกอบ โครงการระบบส่งน้ำเขื่อนทดน้ำโกกโก่ จังหวัดตาก วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่าย ๓,๖๔๙,๖๒๕.๔๔ บาท ๑.๒ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายเพื่อเป็นเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) และจ่ายคืนเงินค่าปรับให้แก่ผู้ประกอบการก่อสร้าง จำนวน ๔ รายการ วงเงิน ๑๔,๙๓๒,๐๒๒.๓๒ บาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑ อาคารพักแพทย์ ๑๐ ครอบครัว โรงพยาบาลตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ งวดที่ ๑-๕ (สุดท้าย) วงเงิน ๒๕๕,๓๒๗ บาท ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ๑.๒.๒ อาคารศูนย์ศึกษาวิจัยถ่ายทอดความรู้ด้านระบบประสาท งวดที่ ๑๖-๒๔ วงเงิน ๒,๑๕๑,๔๕๐ บาท (เงินนอกงบประมาณสมทบตามสัดส่วนแหล่งเงิน ๑,๐๓๑,๖๔๐.๖๔ บาท) ของกรมการแพทย์ ๑.๒.๓ อาคารหอพักนักศึกษา วิทยาเขตตรัง งวดที่ ๑-๒๓ วงเงิน ๔,๕๑๙,๒๒๙.๙๓ บาท ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ๑.๒.๔ อาคารที่ทำการศาลจังหวัดปัตตานี ขนาด ๑๔ บัลลังก์ ๑ หลัง พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ งวดที่ ๑-๑๘ วงเงิน ๘,๐๐๖,๐๒๐.๓๙ บาท ของสำนักงานศาลยุติธรรม ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาตรวจสอบและเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วและรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2151 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 6/2558 | กค | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๔ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเร่งกำกับและติดตามการรถไฟแห่งประเทศไทยให้มีการดำเนินการซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) และจัดหาขบวนรถไฟสำหรับรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๑ ช่วงพญาไท-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้ได้โดยเร็ว รวมทั้งเร่งศึกษาและเริ่มดำเนินโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนต่อขยายระยะที่ ๓ สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา โดยเร็ว และให้นำเสนอแผนการดำเนินงานต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐบาลต่อไป ตลอดจนกำกับและติดตามการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติ NGV ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ๑.๒ รับทราบกรอบแนวทางในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ พ.ศ. .... ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ๑.๓ รับทราบและเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุน และกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ๑.๔ รับทราบและเห็นชอบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในการพิจารณาโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่เข้าข่ายเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ และการพิจารณาโครงการเกี่ยวกับการขออนุมัติงบประมาณหรือเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ และมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งเร่งดำเนินการในเรื่อง สิทธิประโยชน์ของกรรมการรัฐวิสาหกิจ และเงินบริจาคเพื่อประโยชน์สาธารณะของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนมีการเปิดเผยและปรับปรุงข้อมูลใน website ให้เป็นปัจจุบันภายใน ๑ เดือน ๒. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ (Airport Rail Link) ควรคำนึงถึงความสะดวกในการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยให้มีการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมครอบคลุมรอบด้าน ส่วนการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเพื่อกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่มีฐานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ตามร่างพระราชบัญญัติการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ พ.ศ. .... ควรมีสาระสำคัญเกี่ยวกับอำนาจในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อดำเนินการแผนการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2152 | การลงเงินทุนในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชียในส่วนของประเทศไทย | กค | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติมว่า ข้อเสนอของกระทรวงการคลังในครั้งนี้เป็นการขอความเห็นชอบกรอบวงเงินเพื่อใช้ในการลงทุนในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนเนื่องจากจะมีการประชุมผู้เจรจาหลักในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย ในวันที่ ๒๘-๒๙ กันยายน ๒๕๕๘ ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน และเพื่อให้ประเทศไทยสามารถแสดงบทบาทนำในการจัดตั้งกลุ่มออกเสียง (constituency) ในธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย จึงเห็นควรที่คณะรัฐมนตรีจะเห็นชอบกรอบวงเงินสำหรับการลงเงินทุนในครั้งนี้ตามสัดส่วนที่ได้รับจัดสรรตามขนาดเศรษฐกิจแบบเต็มจำนวน (ร้อยละ ๑๐๐) โดยภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคาดว่าจะอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การเข้าเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของประเทศไทยในธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย) ที่กำหนดว่าเมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินลงทุนในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชียในส่วนของประเทศไทยแล้ว ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพร้อมกับความตกลงในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชียที่ลงนามแล้วต่อไปอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย พ.ศ. .... ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาโดยเร็วต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2153 | มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน | กค | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการกำหนดวิธีการดำเนินงานของโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs เพิ่มเติม โดยกำหนดให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการสามารถใช้ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยผู้ประกอบกิจการ SMEs หรือรายงานสรุปยอดสินเชื่อของผู้ประกอบกิจการ SMEs แต่ละรายเพื่อประกอบการเบิกเงินกู้ (ทุนหมุนเวียนและสินเชื่อระยะยาว) จากธนาคารออมสินได้ และให้มีการตรวจสอบการดำเนินการและประเมินผลความก้าวหน้าของโครงการกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการโดยหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดมาตรการบริหารความเสี่ยงจากการก่อหนี้ของผู้ประกอบกิจการ SMEs เพื่อป้องกันกรณีการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) |
||||||||||||||||||||||||
2154 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (กระทรวงการคลัง) (นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์)] | กค | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ กันยายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2155 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 2/2558 | กค | 15/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ โดยที่ประชุมมีมติและข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. มาตรการเร่งรัดการดำเนินโครงการในกลุ่มโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ระหว่างดำเนินการ สำหรับโครงการตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบกลางปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๙ เห็นควรเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สำหรับโครงการที่เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๙ ให้เร่งดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามมาตรการเร่งรัดของกรมบัญชีกลาง โครงการเงินกู้ตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน เห็นควรเร่งรัด (๑) โครงการที่ลงนามในสัญญาแล้วให้เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามแผนงาน และขอความร่วมมือผู้รับจ้างให้เบิกเงินล่วงหน้า (Advance Payment) ร้อยละ ๑๕ ตามวงเงินสัญญา โดยกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ไม่น้อยกว่า ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการที่ยังไม่ลงนามในสัญญา ให้เร่งรัดการลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (๓) โครงการที่อยู่ระหว่างรอสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรที่มีผลประกวดราคาแล้ว เห็นควรให้สำนักงบประมาณจัดสรรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ และ (๔) โครงการที่ยังไม่มีผลประกวดราคา เห็นควรให้เร่งรัดดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและลงนามในสัญญาเมื่อได้รับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณ ๒. มาตรการเร่งรัดการดำเนินโครงการในกลุ่มโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเริ่มประกวดราคาได้ในปี ๒๕๕๘ เห็นควรเร่งรัดขั้นตอนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ตั้งไว้ รวมทั้งเร่งรัดและติดตามให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามกระบวนการประกวดราคาให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้ ๓. มาตรการเร่งรัดการดำเนินโครงการในกลุ่มโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเริ่มประกวดราคาได้ในปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ สำหรับกลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี เห็นควรเร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอโครงการที่มีความพร้อมให้ดำเนินโครงการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติภายในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๘ กลุ่มโครงการที่ยังไม่ได้อนุมัติ EIA เห็นควรเร่งรัดกระบวนการอนุมัติ EIA โดยกำหนดให้เป็นโครงการ “Fast Track” กลุ่มโครงการรถไฟขนาดทางมาตรฐาน (ไทย-ญี่ปุ่น/ช่วง กรุงเทพฯ-หัวหิน/กรุงเทพฯ-ระยอง) เห็นควรให้รัฐรับภาระเฉพาะค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การให้สิทธิ์การใช้ราง (Right of Way) และให้เอกชนร่วมลงทุนค่าใช้จ่ายอื่นทั้งหมดในรูปแบบ PPP Net Cost และกำหนดค่าโดยสารเอง รวมทั้งต้องมีการกำหนดระยะเวลาการร่วมลงทุนที่ชัดเจนด้วย และโครงการร่วมพัฒนารถไฟความเร็วปานกลาง (ไทย-จีน) จึงต้องให้ความสำคัญกับการพิจารณาด้านต้นทุนโครงการให้เหมาะสม จึงควรกำหนดมาตรการเพื่อเร่งรัดขั้นตอนการดำเนินการในรูปแบบ EPC ให้มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบต้นทุนของโครงการได้ ในการนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยควรต้องจ้างที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบและประเมินค่าใช้จ่ายของโครงการในส่วนที่ฝ่ายจีนเป็นผู้ออกแบบรายละเอียดและกำหนดต้นทุนของโครงการให้ชัดเจน ๔. การส่งเสริมการลงทุนควรเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนแล้วให้มีการลงทุนจริงโดยเร็ว โดยลดระยะเวลาการถือบัตรส่งเสริมให้สั้นลง ๕. การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs เพื่อแก้ไขปัญหาข้อจำกัดของทุนจดทะเบียน เห็นควรให้มีการแปลงสินทรัพย์ถาวรเป็นทุนจดทะเบียนก่อนทำการร่วมทุน และสำหรับการแปลงสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนเห็นควรให้มีการเปิดกว้างเอาไว้ โดยระบุเรื่องดังกล่าวเอาไว้ในสัญญาร่วมลงทุนและหากจะนำสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนมาใช้ขอเพิ่มเงินร่วมลงทุนจากกองทุนฯ ในภายหลัง จำเป็นต้องได้รับการประเมินมูลค่าตามวิธีมาตรฐานและแปลงเป็นทุนจดทะเบียนให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ๖. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมของมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
2156 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (นายวรวิทย์ จำปีรัตน์) | กค | 15/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายวรวิทย์ จำปีรัตน์ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แทนนายอัชพร จารุจินดา ที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๕ กันยายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||
2157 | การแต่งตั้งเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (นายสุทธิพล ทวีชัยการ) | กค | 15/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายสุทธิพล ทวีชัยการ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย แทนนายประเวช องอาจสิทธิกุล ที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2158 | กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการรับมอบรถยนต์ตามโครงการรถยนต์คันแรก | กค | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการรับมอบรถยนต์ตามโครงการรถยนต์คันแรก โดยผู้ขอใช้สิทธิที่จะได้รับสิทธิตามโครงการฯ จะต้องรับมอบรถยนต์ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ส่วนการยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม ให้ยื่นภายใน ๙๐ วัน นับถัดจากวันรับมอบรถยนต์ตามที่กำหนดไว้ในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขยายเวลาการส่งมอบรถยนต์และยื่นเอกสารสำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก) ทั้งนี้ หากรับมอบรถยนต์ภายหลังวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ให้ถือว่าไม่ได้รับสิทธิตามโครงการฯ นี้ และจะเรียกร้องสิทธิและค่าเสียหายใด ๆ กับทางราชการไม่ได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้สิทธิตามโครงการรถยนต์คันแรกเฉพาะรถยนต์ที่มีประเภท ลักษณะ ยี่ห้อ แบบ และรุ่นตามที่กำหนดไว้ในใบจองรถยนต์เท่านั้น |
||||||||||||||||||||||||
2159 | มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน | กค | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs โดยธนาคารออมสินให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ และธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs เฉพาะการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยมีเงื่อนไขไม่ให้ Refinance หนี้เดิม วงเงินโครงการรวม ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการเป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๒๐,๐๒๐ ล้านบาท ๑.๒ ทบทวนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ (PGS-5) เดิมที่เคยได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และอนุมัติหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ PGS-5 โดยมีวงเงินค้ำประกัน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท อายุการค้ำประกันไม่เกิน ๗ ปี และอนุมัติงบประมาณการชดเชยความเสียหาย จำนวน ๑๔,๒๕๐ ล้านบาท ๑.๓ เห็นชอบการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีกำไรสุทธิตั้งแต่ ๓๐๐,๐๐๑ บาทขึ้นไป จากเดิมร้อยละ ๑๕ และ ๒๐ ของกำไรสุทธิ เป็นร้อยละ ๑๐ ของกำไรสุทธิ เป็นเวลา ๒ รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ จนถึงรอบระยะเวลาบัญชีวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๑.๔ เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ (New Start-up) โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ในอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักที่มีศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่จดทะเบียนพาณิชย์ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ เป็นเวลา ๕ รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน ๑.๕ มอบหมายให้กรมสรรพากรดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มาตรการ ตามข้อ ๑.๓ และ ๑.๔ มีผลบังคับใช้โดยเร็วต่อไป ๒. ในส่วนของงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs จำนวน ๒๐,๐๒๐ ล้านบาท ให้ธนาคารออมสินเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปีตามความจำเป็นและเหมาะสม สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการ PGS-5 ให้ บสย. ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ส่วนการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่สมควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการ PGS-5 ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพให้มีความเข้มแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งการเข้าถึงโครงการ PGS-5 อย่างทั่วถึงของผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนการกำหนดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมาย เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการพิจารณาธุรกิจที่จะร่วมลงทุนและเป็นประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2160 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของกระทรวงการคลัง | กค | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเปลี่ยนแปลงผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของกระทรวงการคลัง โดยแต่งตั้งนายอำนวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็น ปคร. ของกระทรวงการคลัง แทนนายประสิทธิ สืบชนะ รองปลัดกระทรวงการคลัง ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
.....