ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 111 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2201 - 2220 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2201 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 | กค | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ (PGS 5) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ ปี ๒๕๕๖ บรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน ๑๘,๒๓๙ ราย วงเงิน ๖๑,๕๐๓ ล้านบาท และปี ๒๕๕๗ มียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน ๒๑,๐๓๐ ราย วงเงิน ๕๔,๐๔๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา ๒ ปี บสย. มียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อรวมจำนวน ๓๙,๒๖๙ ราย วงเงิน ๑๑๕,๕๕๐ บาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงิน จำนวน ๑๙๕,๒๕๕ ล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างงาน จำนวน ๘๒๖,๓๔๐ คน ๑.๒ ปัจจุบันโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 มีภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) อยู่ที่ร้อยละ ๘.๕ ของภาระค้ำประกันทั้งหมด โดย บสย. ได้ขอรับการชดเชยความเสียหายจากรัฐบาลตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง จำนวน ๑,๒๒๕.๔ ล้านบาท แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ บสย. เร่งดำเนินการร่วมกับสถาบันการเงินในการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของโครงการ PGS ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม รวมทั้งบริหารจัดการภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPGs) ไม่ให้เร่งตัวขึ้นจนกลายเป็นภาระของรัฐบาลในการสนับสนุนการดำเนินโครงการ PGS ในระยะต่อไป ไปประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2202 | โครงการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | กค | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเงื่อนไขมาตรการเพิ่มวงเงินที่รัฐชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทนผู้ประกอบการ SMEs ที่ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อผ่านโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ เพิ่มอีกจำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้มีผลบังคับใช้กับลูกค้าที่ยื่นขอค้ำประกันสินเชื่อนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของมาตรการดังกล่าวเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ งบประมาณในการดำเนินมาตรการเป็นวงเงินไม่เกิน ๘๗๕ ล้านบาท และเงื่อนไขโครงการ Policy Loan งบประมาณในการดำเนินโครงการเป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๓,๒๒๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ บสย. ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ หรือขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในปีงบประมาณถัดไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามมาตรการให้เป็นตามเป้าหมาย และควรมีการพิจารณาผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการให้มีความหลากหลายของประเภทกิจการ ทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยเฉพาะกิจการที่ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม องค์ความรู้และภูมิปัญญาของไทย รวมทั้งความครอบคลุมของพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการกระจายการลงทุนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และควรมีมาตรการคัดกรองผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการที่ละเอียด รอบคอบ และรัดกุม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงการเกิดหนี้สูญและเพื่อให้ได้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กระทรวงการคลัง และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเร่งประชาสัมพันธ์โครงการหรือมาตรการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2203 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่โครงการรวมใจไทยต้านค้ามนุษย์) | กค | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่โครงการรวมใจไทยต้านค้ามนุษย์ โดยยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดา และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับการบริจาคเงินให้แก่โครงการรวมใจไทยต้านค้ามนุษย์ สามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีหรือรายจ่ายในการคำนวณภาษี และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินที่บริจาคให้แก่โครงการรวมใจไทยต้านค้ามนุษย์ และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินที่บริจาคให้แก่โครงการรวมใจไทยต้านค้ามนุษย์ ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินตามโครงการรวมใจไทยต้านค้ามนุษย์ควรเป็นไปอย่างรอบคอบ และมีกระบวนการตรวจสอบที่เหมาะสม เพื่อให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปตามวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2204 | การลงนามร่างความตกลงยอมรับร่วมกันเกี่ยวกับโครงการผู้ประกอบการทางเศรษฐกิจที่ได้รับอนุญาตระหว่างกรมศุลกากรแห่งราชอาณาจักรไทย และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง | กค | 09/06/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างความตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangement : MRA) เกี่ยวกับโครงการผู้ประกอบการทางเศรษฐกิจที่ได้รับอนุญาตระหว่างกรมศุลกากรแห่งราชอาณาจักรไทยและเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ซึ่งกรมศุลกากรได้ร่วมลงนามในแผนปฏิบัติการ (Action Plan) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาความตกลงยอมรับร่วมกัน (MRA) สำหรับโครงการผู้ประกอบการมาตรฐานเออีโอกับศุลกากรฮ่องกง เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๗ ประกอบด้วย ๔ ขั้นตอน คือ (๑) ศึกษาภาพรวมโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ (Authorized Economic Operator : AEO) ของทั้งสองประเทศ (๒) เปรียบเทียบข้อมูลโครงการ AEO และตรวจสอบสถานประกอบการร่วมกัน (๓) ประเมินภาพรวมโครงการ AEO ของทั้งสองประเทศ และ (๔) เจรจาสรุปผลการจัดทำ MRA ร่วมกัน ๑.๒ ให้อธิบดีกรมศุลกากรเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติ ให้กรมศุลกากรพิจารณาดำเนินการในการพัฒนากลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยของห่วงโซ่อุปทานอย่างเหมาะสม และมีการเตรียมระบบการประเมินความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับการลดการตรวจ (reduced cargo inspections) การให้บริการในการผ่านพิธีการก่อน (priority clearance) และการทำให้การผ่านพิธีการศุลกากรมีความรวดเร็วขึ้นในกรณีที่มีการหยุดชะงักของการค้าระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2205 | เงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ระยะที่ 2 | กค | 09/06/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง มีสาระสำคัญคือ รัฐบาลญี่ปุ่นตกลงที่จะให้กระทรวงการคลังกู้เงินผ่านองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) สำหรับโครงการรถไฟสายสีแดง ระยะที่ ๒ วงเงิน ๓๘,๒๐๓ ล้านเยน โดยมีเงื่อนไขเงินกู้แบบ Preferential Terms ประกอบด้วย อายุเงินกู้ ๒๐ ปี (รวมระยะปลอดหนี้ ๖ ปี) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๔๐ ต่อปี อัตราดอกเบี้ยสำหรับการจ้างที่ปรึกษาร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี Front-End Fee ร้อยละ ๐.๒๐ ของวงเงินกู้ (ชำระครั้งเดียวภายใน ๖๐ วัน หลังจากสัญญาเงินกู้มีผลบังคับใช้) และระยะเวลาเบิกจ่ายเงินกู้ ๓ ปี และร่างสัญญาเงินกู้ มีสาระสำคัญสอดคล้องกับเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น และ General Terms and Conditions for Japanese ODA Loan (GTC) ฉบับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ซึ่ง GTC เป็นเอกสารหลักที่สัญญาเงินกู้ใช้อ้างอิง โดย GTC จะกำหนดรายละเอียดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ต่างๆ ในการกู้เงินจากรัฐบาลญี่ปุ่น ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในนามรัฐบาลไทยจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) สำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๒ วงเงิน ๓๘,๒๐๓ ล้านเยน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กล่าวข้างต้น และอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ยืมเงินต่อจากกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่ รฟท. เพื่อชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงสำหรับเงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทยในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง และลงนามในสัญญาเงินกู้กับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ๑.๔ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำความเห็นทางกฎหมายสำหรับสัญญาเงินกู้ดังกล่าวในโอกาสแรกภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้แล้ว ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น ทั้งนี้ หากในทางปฏิบัติของการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เป็นที่ยอมรับกันระหว่างคู่ภาคีว่าผู้ลงนามไม่จำเป็นต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กระทรวงการคลังแจ้งคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบแนวทางปฏิบัติดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)] ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพิจารณาดำเนินการก่อสร้างงานโยธาและสรุปผลการเจรจาจัดหาระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเร่งพิจารณารูปแบบการบริหารจัดการเดินรถของโครงการรถไฟชานเมือง สายสีแดงที่มีความเหมาะสมต่อความพร้อมทางการเงินบุคลากรของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้สามารถตอบสนองต่อปริมาณความต้องการเดินทางของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนการเปิดให้บริการของโครงการฯ ในปี ๒๕๖๒ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2206 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2558 กรณีโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง | กค | 09/06/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ กรณีโรงงานยาสูบกระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง (โรงงานยาสูบฯ) ขณะนี้ได้ดำเนินโครงการฯ ใกล้แล้วเสร็จ โดยได้ส่งมอบงานงวดสุดท้ายเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดหาเครื่องจักรเพื่อติดตั้งภายในโรงงานต่อไป ๒. แนวทางการบริหารจัดการยาสูบในภาพรวม เช่น การแก้ไขปัญหาราคาใบยาสูบตกต่ำในภาคเหนือ การพัฒนาคุณภาพใบยาสูบไทยเพื่อลดการนำเข้าใบยาสูบจากต่างประเทศ ๒.๑ การกำหนดราคาซื้อขายใบยาสูบ โรงงานยาสูบฯ จะเป็นผู้นำในการกำหนดราคารับซื้อใบยาสูบจากชาวไร่เป็นประจำในทุกฤดูการผลิต และผู้รับซื้อใบยาสูบรายอื่นจะใช้ราคาที่โรงงานยาสูบกำหนดเป็นเกณฑ์ในการรับซื้อใบยาสูบในแต่ละสายพันธุ์ โดยกรมสรรพสามิตได้มีการควบคุมให้ผู้เพาะปลูกต้นยาสูบเพาะปลูกต้นยาสูบเท่าที่ได้รับโควตาจากผู้รับซื้ออย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันปัญหาใบยาสูบล้นตลาดและราคาใบยาสูบตกต่ำ ซึ่งจากข้อมูลพบว่าราคารับซื้อเฉลี่ยของใบยาสูบตั้งแต่ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๑/๒๕๕๒ จนถึงฤดูการผลิตที่ผ่านมามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ๒.๒ การพัฒนาคุณภาพใบยาสูบ โรงงานยาสูบฯ และผู้ส่งออกยาสูบได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการยาสูบทางด้านคุณภาพใบยาสูบไว้อย่างชัดเจน โดยใช้หลัก Good Agricultural Practices (GAP) ซึ่งเป็นแนวทางในการทำการเกษตรเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ได้ผลผลิตที่สูงคุ้มค่าการลงทุนและกระบวนการผลิตจะต้องปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค และไม่ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยโรงงานยาสูบฯ และผู้ส่งออกยาสูบ ได้มีพนักงานส่งเสริมเข้าไปให้คำแนะนำและกำกับดูแลการเพาะปลูกของชาวไร่อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงการเพาะปลูก เพื่อพัฒนาคุณภาพของใบยาสูบที่ผลิตในประเทศ ทำให้สามารถลดการนำเข้าใบยาสูบจากต่างประเทศจากเดิมที่ใช้มากกว่าร้อยละ ๓๐ ในปี ๒๕๒๖ เป็นน้อยกว่าร้อยละ ๙ ในปี ๒๕๕๗ ๒.๓ โรงงานยาสูบฯ ได้กำหนดราคาใบยาสูบเวอร์จิเนียที่ปลูกมากในเขตภาคเหนือตามชั้นมาตรฐานและรับซื้อตามคุณภาพใบยา และได้มีการปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี ๒๕๔๗ มีราคารับซื้อเฉลี่ยกิโลกรัมละ ๖๙.๘๐ บาท และในปัจจุบันมีราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ ๘๘.๓๘ บาท รวมทั้งได้บวกเพิ่มค่าสนับสนุนปัจจัยการผลิตยาสูบตามแนวทาง GAP อีกกิโลกรัมละ ๒๖.๐๐ บาท รวมเป็นกิโลกรัมละ ๑๑๔.๓๘ บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖๓.๘๗ ในระยะ ๑๐ ปีที่ผ่านมา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2207 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ปี 2557 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ | กค | 09/06/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๕๗ ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานประจำครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๕๗ ศูนย์ข้อมูลฯ ได้รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รวม ๗ ประเภท ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ โรงแรม อุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า เพื่อนำมาประมวลผลใน ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านอุปสงค์ ด้านอุปทาน ด้านราคา และด้านการเงิน การจัดทำวารสารศูนย์ข้อมูลฯ REIC Journal ประจำไตรมาสที่ ๓ และไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๗ พร้อมทั้งรายงานสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งจัดทำ REIC Web Poll รายครึ่งเดือนผ่านเว็บไซต์ www.reic.or.th โดยเน้นคำถามด้านพฤติกรรมการอยู่อาศัย การซื้อที่อยู่อาศัย หรือข้อคิดเห็นโดยรวมเกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัย เป็นต้น ๒. ข้อมูลสถิติอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญ ได้แก่ การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภทประมาณ ๑๕๑,๖๐๐ หน่วย ลดลงร้อยละ ๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการโอนกรรมสิทธิ์ประเภทห้องชุดคอนโดมีเนียมมีจำนวนมากที่สุด และการสร้างเสร็จจดทะเบียนที่อยู่อาศัยระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีหน่วยสร้างเสร็จจดทะเบียนที่อยู่อาศัยทุกประเภทประมาณ ๑๑๖,๕๐๐ หน่วย ลดลงร้อยละ ๕ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการสร้างเสร็จจดทะเบียนประเภทห้องชุดคอนโดมีเนียมมีจำนวนมากที่สุด ๓. สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในปี ๒๕๕๗ ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวดีขึ้นมากกว่าในครึ่งปีแรก อันมีผลจากสถานการณ์การเมืองเริ่มคลี่คลาย โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลในปี ๒๕๕๗ ลดลงร้อยละ ๑๐.๒๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปัจจัยที่ส่งเสริมตลาดที่อยู่อาศัยในปี ๒๕๕๘ ให้ขยายตัว ได้แก่ การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การตัดถนนเส้นทางใหม่ และการเพิ่มการใช้จ่ายในภาครัฐ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2208 | ขอเสนอรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (กระทรวงการคลัง) (นายอำพน กิตติอำพน) | กค | 09/06/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายอำพน กิตติอำพน ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อไปอีกวาระหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2209 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2558 | กค | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๘) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง นาฬิกาและอุปกรณ์ กระเป๋าและเข็มขัดหนัง สุราต่างประเทศ สูท เสื้อ กระโปรง กางเกง สำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท เลนส์ รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ ไวน์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ดอกไม้ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหาร หรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้า ๘๙๖.๒๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๗๓ ของมูลค่านำเข้ารวม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๙๑.๗๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๑.๔๐ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง ผลไม้ นาฬิกาและอุปกรณ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2210 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และ นางสาววิไล ตันตินันท์ธนา) | กค | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒. นางสาววิไล ตันตินันท์ธนา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต (นักวิชาการสรรพสามิตทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพสามิต ตั้งแต่วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2211 | ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กค | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อรองรับการจัดตั้งองค์กรผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนที่กำกับดูแลสมาชิก (Self-Regulatory Organization : SRO) และองค์กรผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุน และแก้ไขพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๖ เพื่อกำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต้องเป็นสมาชิกขององค์กรผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่กำกับดูแลสมาชิก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวทางในการกำกับดูแลผ่านระบบการซื้อขาย Alternative Trading System (ATS) ไว้ในร่างกฎหมายที่เสนอมาในครั้งนี้ให้ชัดเจน ตลอดจนกำหนดให้มีระบบการเฝ้าระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขายผ่านระบบดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณา และให้ยึดหลักการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ในการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2212 | ความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับอินเดีย ฉบับแก้ไข | กค | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับอินเดีย ฉบับแก้ไข ที่กำหนดหลักการที่สำคัญเพื่อขจัดการเก็บภาษีซ้ำซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น อันเนื่องจากอำนาจในการจัดเก็บภาษีระหว่างสองประเทศทำให้เกิดการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนบนฐานรายได้จำนวนเดียวกัน และเพื่อช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีระหว่างประเทศทั้งสอง ตลอดจนมีการจัดสรรรายได้ภาษีระหว่างสองประเทศด้วยการกำหนดสิทธิการเก็บภาษีสำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขโดยที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของความตกลงฯ ให้กระทรวงการคลังสามารถทำการแก้ไขได้ทันที ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการตามแบบพิธีทางการทูตและกฎหมายภายใน เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในภายหลังจากที่ได้มีการบังคับใช้ความตกลงฯ แล้ว และต่อไปในอนาคตข้างหน้าหากมีความจำเป็นในการปรับปรุงแก้ไขความตกลงฯ อีก ควรมีการพิจารณาให้ครอบคลุมประเด็นการขนส่งทางบกระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2213 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากรตามแนวชายแดนในการในรับชำระภาษี และออกใบเสร็จรับเงินค่าภาษีอากรปากระวาง การนำไม้ ไม้แปรรูป หรือสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใดที่ทำด้วยไม้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ถูกต้อง และไม่ตรงตามประเภทของสินค้าไม้ | กค | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอผลการพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากรตามแนวชายแดนในการรับชำระภาษี และออกใบเสร็จรับเงินค่าภาษีอากรปากระวาง การนำไม้ ไม้แปรรูป หรือสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใดที่ทำด้วยไม้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ถูกต้อง และไม่ตรงตามประเภทของสินค้าไม้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2214 | ความตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารพัฒนาเอเชียโครงการ Community - Based Flood Risk Management and Disaster Response in the Chao Phraya Basin | กค | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ชะลอเรื่อง ความตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารพัฒนาเอเชียโครงการ Community-Based Flood Risk Management and Disaster Response in the Chao Phraya Basin ไว้ก่อน และให้ประธานกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ถัดไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2215 | ร่างแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2558 - 2562 | กค | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่ประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ประกอบด้วย กิจการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ จำนวน ๒๐ กิจการ แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ กิจการที่สมควรให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-out) จำนวน ๖ กิจการ และกลุ่มที่ ๒ กิจการที่รัฐส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-in) จำนวน ๑๔ กิจการ โดยมีประมาณมูลค่าการลงทุนในกิจการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ มีมูลค่ารวมประมาณ ๑.๔๑ ล้านล้านบาท เพื่อคณะกรรมการนโยบายฯ จะได้ดำเนินการประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๑.๒ รับทราบการจัดทำรายการโครงการ (Project Pipeline) ในกิจการภายใต้ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ จำนวน ๖๕ โครงการ เพื่อคณะกรรมการนโยบายฯ กำกับดูแลและติดตามให้เป็นไปตามแผนงานโครงการต่อไป ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายฯ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการเร่งศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน การพัฒนาระบบโครงข่ายในภาพรวมและการให้เอกชนร่วมลงทุนในแต่ละช่วงของการพัฒนา (Phase) ในคราวเดียวกันเพื่อให้การพัฒนาโครงการเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง การดำเนินโครงการจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนและระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การสร้างความเข้มแข็งให้กับกิจการขนาดกลางและขนาดย่อมที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของกิจการนั้น ๆ และการเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาประเทศในระดับต่าง ๆ การจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนและแยกประเภทโครงการที่ดำเนินการตามขอบเขตและระยะเวลา การสร้างความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาวของประเทศโดยมุ่งเน้นให้การพัฒนาและการดำเนินโครงการสามารถสร้างองค์ความรู้ และ/หรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศสู่ผู้เกี่ยวข้องในประเทศอย่างเพียงพอ การเปิดโอกาสให้ส่วนราชการต่าง ๆ สามารถเสนอโครงการที่เห็นสมควรให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม การประชาสัมพันธ์ให้แผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ เป็นที่แพร่หลายในสังคมเพื่อดึงดูดให้เอกชนสนใจเข้ามาร่วมลงทุนในกิจการของรัฐมากขึ้น รวมทั้งกำหนดแนวทางการติดตาม กำกับ ดูแลโครงการต่าง ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายฯ ปรับกรอบระยะเวลาของแผนดังกล่าวให้สอดคล้องกับระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) และพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุนกับภาครัฐในโครงการเชิงสังคมเพื่อดูแลผู้มีรายได้น้อยด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2216 | มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย (จ่ายเงินชาวนาไร่ละ 1,000 บาท) | กค | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย (จ่ายเงินชาวนาไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท) โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนเกษตรกรกับบัญชีเงินฝาก การจัดทำเอกสารและค่าธรรมเนียมการโอนเงินให้แก่เกษตรกร จำนวน ๓,๖๐๒,๖๔๖ ราย โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ นั้น เห็นควรพิจารณาอนุมัติรายละ ๑๒ บาท เป็นเงิน ๔๓,๒๓๑,๗๕๒ บาท เนื่องจาก ธ.ก.ส. มีระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินโครงการอยู่แล้ว และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมีความชำนาญ รวมทั้งการใช้ข้อมูลทะเบียนเกษตรกรจากกรมส่งเสริมการเกษตรนั้น ธ.ก.ส. ได้ตรวจสอบมาอย่างต่อเนื่อง ในการดำเนินโครงการรัฐในช่วงปลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี เนื่องจากขณะนี้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว จึงเห็นสมควรให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. พิจารณาดำเนินการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในขั้นของการแปรญัตติตามปฏิทินงบประมาณก่อน หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ภายหลังพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลใช้บังคับแล้ว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว ๒. ให้ ธ.ก.ส. ตรวจสอบเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ ของเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์ตามมาตรการดังกล่าวในส่วนที่เหลือให้ถูกต้อง ครบถ้วนต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2217 | ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิต พ.ศ. .... และร่างประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิต รวม 2 ฉบับ | กค | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิต พ.ศ. .... และร่างประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิต รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการให้มีกฎหมายที่รวบรวมบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยไพ่ กฎหมายว่าด้วยสุรา กฎหมายว่าด้วยยาสูบ กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสรรพสามิต และกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสุรา ไว้ในประมวลกฎหมายฉบับเดียวกัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และสำนักงานศาลยุติธรรม เกี่ยวกับมาตรการทางกฎหมายที่รัฐใช้ในการควบคุมการบริโภคและจำกัดการเข้าถึงสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์ยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บทนิยามของสินค้าในบางผลิตภัณฑ์ควรพิจารณาปรับเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น กรณีของผลิตภัณฑ์ยาสูบควรครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์อื่นที่มีสารเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ มอระกู่หรือบารากุ กรณีสินค้ารถยนต์ควรพิจารณากำหนดให้ร่างพระราชบัญญัติฯ เริ่มมีผลบังคับใช้ในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป การแก้ไขข้อความของบทนิยามคำว่า “ราคาขายปลีก” โดยตัดคำว่า “ตรง” ออกจากคำว่า “ขายตรง” เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและเป็นการสื่อความหมายที่ชัดเจนของคำนิยาม กรณีสินค้าที่มีโครงสร้างพิกัดอัตราภาษีซ้ำซ้อนควรพิจารณากำหนดให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกที่สามารถชำระภาษีในอัตราเต็มได้ทันที โดยสามารถได้รับคืนภาษีที่ชำระไว้เกินได้ในภายหลัง และการพิจารณาปรับปรุงปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการบังคับใช้กฎหมายให้พร้อมรองรับเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ เช่น การสร้างความเข้าใจในประมวลกฎหมายที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน การมีระบบควบคุม ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ และร่างประมวลกฎหมายฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2218 | ร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับคณะกรรมการ) | กค | 12/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕ โดยแก้ไขเพิ่มเติมให้คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน และคณะกรรมการระบบการชำระเงิน สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่มีกรรมการในคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ รวมทั้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ยึดหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ในการตรวจพิจารณาด้วย เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ๒. ให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการแก้ไขให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน และคณะกรรมการระบบการชำระเงิน ตามจำนวนที่ระบุไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ จะทำให้องค์ประกอบของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีจำนวนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนคณะกรรมการที่เหลืออยู่หรือมีจำนวนน้อยกว่าจำนวนคณะกรรมการโดยตำแหน่งซึ่งเป็นผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะมีผลให้ขาดการถ่วงดุลอำนาจของผู้แทนในคณะกรรมการที่มาจากธนาคารแห่งประเทศไทย และในกรณีที่กรรมการคณะใดคณะหนึ่งไม่ครบองค์ประชุม คณะกรรมการที่เหลืออยู่ควรมีองค์ประกอบของผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก จึงจะสามารถประชุมต่อไปได้ รวมทั้งควรมีการบัญญัติให้มีการเปิดเผยบัญชีทรัพย๋สินของคณะกรรมการดังกล่าวก่อนเข้ารับการดำรงตำแหน่งและหลังการออกจากตำแหน่ง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2219 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุในท้องที่ตำบลหินตก อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ. .... | กค | 12/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ในท้องที่ตำบลหินตก อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ในท้องที่ตำบลหินตก อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืนให้แก่นายประสิทธิ์ อายุวัฒน์ ทายาทของนายเอื้อม อายุวัฒน์ (ผู้ยกให้) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2220 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการป้องกันการกำหนดราคาโอนระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน (Transfer Pricing)] | กค | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการป้องกันการกำหนดราคาโอนระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์ (Transfer Pricing)] ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาราคาโอนระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน โดยให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจในการปรับปรุงรายได้และรายจ่าย รวมทั้งกำหนดอายุความในการขอคืน และกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันยื่นเอกสารแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกันต่อเจ้าพนักงานประเมิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมสรรพากรเร่งออกกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์ รวมทั้งหลักการ วิธีการและเงื่อนไขในการคำนวณราคาตามวิธีการคำนวณราคาโอนขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ที่กำหนดไว้ใน Transfer Pricing Guidelines for Multinational Enterprises and Tax Administrations เพื่อให้การใช้ดุลยพินิจของเจ้าพนักงานมีหลักเกณฑ์สากลรองรับอำนาจหน้าที่ที่เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....