ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 20 จากทั้งหมด 6209 หน้า แสดงรายการที่ 381 - 400 จากข้อมูลทั้งหมด 124166 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
381 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร [มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Hub) ของโลก] | กค. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรส่วนทุน (Capital Gains) จากการขายสินทรัพย์ดิจิทัล
(คริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล) ผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๒ (รวม ๕ ปี)
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัล
(Digital Asset Hub) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นควรพิจารณาใช้มาตรการภาษีฯ แบบมุ่งเป้าเฉพาะ Investment Token ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนานวัตกรรมในการระดมทุนของภาคธุรกิจ
ควรพิจารณาผลกระทบจากความไม่เท่าเทียมของการจัดเก็บภาษี
ซึ่งจะเป็นช่องโหว่ในการหลบเลี่ยงภาษี และทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้มากกว่าที่คาด
และควรมีมาตรการลดผลกระทบข้างเคียงจากการส่งเสริมให้เป็น Digital Asset Hub โดยบังคับใช้ Travel Rule ตามมาตรฐานของ The
Financial Action Task Force (FATF) เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องการฟอกเงินและภัยทางการเงิน
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโนโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลให้ถูกต้อง
ครบถ้วน ควบคู่ไปกับการกำหนดแนวทางในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างรัดกุมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนไปพร้อมกัน
เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่จะพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเงินและศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของโลกต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
382 | การขอรับความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษาและระดับรัฐมนตรีด้านการอุดมศึกษา รวมถึงการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในกรอบความร่วมมืออาเซียน | ศธ. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษาและระดับรัฐมนตรีด้านการอุดมศึกษา
รวมถึงการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในกรอบความร่วมมืออาเซียนฯ จำนวน ๒ ฉบับ
ได้แก่ ๑) แถลงการณ์ร่วมลังกาวีว่าด้วยเด็กและเยาวชนที่ตกหล่นในอาเซียน [Langkawi Joint Statement of the ASEAN
Education Ministers on ASEAN Out - O - School
Children and Youth (OOSCY)] มีสาระสำคัญเป็นการให้ความสำคัญเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเพื่อให้การศึกษามีความครอบคลุมเข้าถึง
และมีคุณภาพสูงสำหรับเด็กและเยาวชนที่ตกหล่น
โดยให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการเร่งดำเนินการ และ ๒) ปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการอุดมศึกษา
สู่การเป็นอาเซียนที่รวมเป็นหนึ่ง ยั่งยืน และเจริญรุ่งเรือง (ASEAN
Leaders’ Declaration on Higher Education : Towards an
Inclusive, Sustainable and Prosperous ASEAN)
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรที่เกี่ยวข้องด้านการอุดมศึกษาของอาเซียน
เช่น สำนักเลขาธิการอาเซียน เครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน การกำหนดนโยบายและดำเนินการเพื่อให้ทุกคนในอาเซียนสามารถเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้อย่างเท่าเทียม
โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือผู้แทนให้การรับรอง (adoption) แถลงการณ์ร่วมลังกาวีฯ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนให้ความเห็นชอบ (endorsement) ปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการอุดมศึกษาฯ ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ณ
ประเทศมาเลเซีย รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ในฐานะประธานคณะมนตรีประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน หรือผู้แทน
ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมลังกาวีฯ และปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการอุดมศึกษาฯ
ครั้งที่ ๔๔ ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๘ และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายทราบ (for notation) แถลงการณ์ร่วมลังกาวีฯ และรับรองปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการอุดมศึกษาฯ ครั้งที่ ๔๗ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ที่เห็นควรให้มีการประกาศเจตนารมณ์สู่การเป็น ASEAN Zero
Dropout ภายในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ ตามเป้าหมาย SDG 4
และอาจพิจารณาเพิ่มเติมสาระสำคัญของการสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชนทุกคนได้เรียนต่อระดับอุดมศึกษาอย่างเต็มศักยภาพ
ไม่หลุดจากระบบการศึกษา โดยเฉพาะผู้ที่มาจากครัวเรือนยากจน ด้อยโอกาส
หรือมีปัญหาสุขภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
383 | การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและขออนุมัติรวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีสะพานพระราม 6 สถานีบางกรวย-กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว | คค. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้รวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงตลิ่งชัน - ศิริราช เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว และเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น “โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี
(สถานีสะพานพระราม ๖ สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี)”และอนุมัติกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) โดยแบ่งเป็น
ค่าจ้างที่ปรึกษาจัดประกวดราคา จำนวน ๑๔.๗๘ ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาคุมงาน (CSC) จำนวน ๓๙๒.๑๓ ล้านบาท
ค่าจ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ (ICE) จำนวน ๓๙.๕๕ ล้านบาท ค่างานโยธาและระบบราง
จำนวน ๑๐,๗๗๔.๗๒ ล้านบาท ค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล จำนวน ๓,๙๕๕.๐๓ ล้านบาท รวมกรอบวงเงินโครงการ จำนวน ๑๕,๑๗๖.๒๑
ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี รวมทั้งอนุมัติรายละเอียดอื่นที่มิได้มีการเปลี่ยนแปลงของทั้งสองโครงการ
ให้ยึดถือตามมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติไว้เดิมเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
และเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๒ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการดำเนินงานโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้แล้วเสร็จโดยเร็วและสามารถเปิดให้บริการได้ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในปี
๒๕๗๒ อย่างเคร่งครัด ตลอดจนให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการให้อยู่ภายในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้ด้วย ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๐๙/๒๖๑๗ ลงวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องไปยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงบประมาณ เห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยควรให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยง
รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้า
และกระทรวงคมนาคมควรกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
384 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวและงานรายปีใหม่ ปี 2567 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่
ปี ๒๕๖๗ จำนวน ๖ แผนงาน และงานรายปีใหม่ ปี ๒๕๖๗ จำนวน ๒ งาน ภายในกรอบวงเงินรวม ๙,๙๓๑.๐๐ ล้านบาท โดยให้ทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๑๕/๖๕๒๐ ลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ นร ๑๑๒๔/๓๒๐๑ ลงวันที่
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
และหากได้รับอนุมัติให้กู้เงินแล้วควรดำเนินโครงการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และข้อบังคับให้ถูกต้อง ครบถ้วน
โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญด้วย กระทรวงพลังงาน เห็นควรมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ในการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเกิดการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในระยะยาวต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
385 | ร่างกฎกระทรวงการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้ พ.ศ. .... | พน. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้
(เพิ่มวิธีการขนส่งน้ำมันนอกจากการนำถังขนส่งน้ำมันไปตรึงหรือสร้างไว้กับโครงรถหรือแคร่รถไฟอย่างถาวร)
เช่น การกำหนดลักษณะและการติดตั้งถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้
ระบบท่อน้ำมันและอุปกรณ์ การรับหรือจ่ายน้ำมัน การขนส่งน้ำมัน
และการเคลื่อนย้ายถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้
และการป้องกันและระงับอัคคีภัย
เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมจากรูปแบบการขนส่งน้ำมันที่ใช้ในปัจจุบัน และเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบกิจการ
(ผู้ประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ ๓ ถังขนส่งน้ำมัน)
ในการขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศสามารถประกอบกิจการขนส่งน้ำมัน โดยถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้ให้มีความปลอดภัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม ที่เห็นว่าการกำหนดคุณสมบัติของผู้ขับรถไฟบรรทุกขนส่งน้ำมันเป็นอำนาจของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และปัจจุบันกรมการขนส่งทางรางได้กำหนดมาตรฐาน มขร. - O-๐๐๑ - ๒๕๖๕ มาตรฐานการขนส่งสินค้าอันตรายทางรถไฟ
(Carriage of Dangerous Goods by Rails) บังคับใช้ระหว่างที่กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางรางยังไม่มีผลใช้บังคับ
จึงไม่จำเป็นต้องออกประกาศเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเรื่องของการบรรทุกถังขนส่งน้ำมันด้วยรถไฟ
คุณสมบัติของผู้รับขี่รถไฟบรรทุกถังขนส่งน้ำมัน การจัดวางถังขนส่งน้ำมันทางรถไฟ
และการติดป้ายอักษรภาพและเครื่องหมายของถังขนส่งน้ำมันทางรถไฟ ไปประกอบการพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
386 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี | นร.10 | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
(สคทช.) สำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
(คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
สำหรับการจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคคลสำหรับอัตราข้าราชการตั้งใหม่ดังกล่าว
ให้ส่วนราชการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณกำหนด
และเพื่อประโยชน์ในการติดตาม
ประเมินผลที่แสดงถึงความคุ้มค่าและประสิทธิภาพของการบริหารอัตรากำลัง ให้ สคทช. กำหนดเป้าหมายผลผลิตและผลลัพธ์จากการได้รับการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ดังกล่าว
และรายงานผลให้สำนักงาน ก.พ. ทราบ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ๑.๒ มอบหมายให้ สคทช.
จัดทำแผนการสรรหาและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ และรายงานให้ คปร. ทราบโดยเร็ว ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สำนักงบประมาณ เห็นว่าสำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรของอัตราข้าราชการตั้งใหม่
เห็นควรให้ส่วนราชการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการในลำดับแรกก่อน
และถือปฏิบัติตามนัยหนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๑๘/ว ๘๕ ลงวันที่ ๑๔ มีนาคม
๒๕๖๘ อย่างเคร่งครัด ส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่จะเกิดขึ้นในปีต่อไป ให้ส่วนราชการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็นตามภารกิจ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควร สคทช. เร่งดำเนินการสรรหา
บรรจุ และแต่งตั้งตำแหน่งนักวิชาการแผนที่ภาพถ่าย ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และควรกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของข้าราชการใหม่ให้ชัดเจน รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้และทักษะให้กับบุคลากรตำแหน่งดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างความพร้อมและความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานที่ทำให้ สคทช.
สามารถดำเนินภารกิจเพื่อบรรลุผลสัมฤทธิ์ในข้างต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
387 | ขอแจ้งเลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2568 | นร.04 | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
388 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกื้ดช้าง ตำบลอินทขิล ตำบลสันมหาพน ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง และตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... | กษ. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลกื้ดช้าง ตำบลอินทขิล ตำบลสันมหาพน ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง
และตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกื้ดช้าง ตำบลอินทขิล ตำบลสันมหาพน
ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง และตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ในการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง
- แม่งัด อาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น และระบบท่อส่งน้ำแม่งัด - แม่แตง พร้อมอาคารประกอบ
ตามโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่
เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน
และเพื่อนำที่ดินไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประชาสัมพันธ์โครงการและดำเนินการมีส่วนร่วมของประชาชน
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบและผู้นำชุมชน เพื่อบรรเทาปัญหาผลกระทบและความเดือดร้อนของประชาชนและลดความขัดแย้งระหว่างโครงการของหน่วยงานรัฐและชุมชนในพื้นที่โครงการ
รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรีและนโยบายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
389 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน
การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ ..) พ.ศ.
....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน
การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนและการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท พ.ศ. ๒๕๔๔
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวอาจเปิดช่องว่างให้บริษัทจดทะเบียนสามารถเก็งกำไรโดยสร้างราคาหลักทรัพย์ที่บิดเบือนไปจากกลไกราคาตลาดที่แท้จริง
และเพิ่มความเสี่ยงให้กับนักลงทุนซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนโดยรวมในระยะยาว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
โดยให้ส่งผลการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมไปประกอบการพิจารณาในชั้นการตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงฯ
ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
390 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางจิตรา หมีทอง และนายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์) | นร.04 | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. นางจิตรา หมีทอง ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง [รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล)] ๒. นายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน
ชาญวีรกูล)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
391 | โครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ระยะที่ 13 ส่วนที่ 2 ของการไฟฟ้านครหลวง | มท. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการตามโครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า
ระยะที่ ๑๓ ส่วนที่ ๒ วงเงินลงทุนรวม ๖๘,๗๘๓.๙ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๕๐,๙๐๐
ล้านบาท และเงินรายได้ของการไฟฟ้านครหลวง จำนวน ๑๗,๘๘๓.๙
ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๑๐๓๖๓ ลงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๗)
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ด่วนที่สุด
ที่ สกพ ๕๕๐๒/๑๓๒๕๘ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงพลังงาน เห็นว่าในการดำเนินการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวงในอนาคต
การไฟฟ้านครหลวงอาจพิจารณาจัดทำแนวทางหรือโปรแกรมสำหรับการประเมินสภาพอุปกรณ์ต่าง
ๆ ในระบบจำหน่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง เพื่อใช้ประกอบการวางแผนการบำรุงรักษา
ปรับปรุง และก่อสร้างสายจำหน่ายและสถานีไฟฟ้าได้อย่างเป็นระบบ สำนักงบประมาณ เห็นว่าการไฟฟ้านครหลวงควรมีมาตรการควบคุมและเร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า
และควรจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงาน
รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ ตลอดจนดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ในทุกมิติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
392 | การเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ในประเทศไทย ประจำปี 2571 - 2575 (5 ปี) | กก. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One ในประเทศไทย
และผลการศึกษารายละเอียดด้านสนามแข่งขันที่เหมาะสมและการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสนามแข่งขัน
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโครงการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก
รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ประจำปี
๒๕๗๑ - ๒๕๗๕ (๕ ปี) สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันดังกล่าว
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการศึกษารายละเอียดของข้อจำกัดและข้อกำหนดต่าง ๆ ตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน เช่น
ข้อจำกัดของผังเมือง การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
การบริหารจัดการจราจร ความพร้อมของเมืองเจ้าภาพ รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างเปิดเผยและโปร่งใส
เพื่อให้การดำเนินการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลกดังกล่าวข้างต้นอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน
และลดความเสี่ยงในการเกิดข้อขัดแย้งในระยะยาว ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าหากจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคำนึงถึงสถานะของกองทุนฯ ด้วย และให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณจากทุกแหล่งเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งควรมีมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนท้องถิ่น
และประเมินผลการจัดการแข่งขันดังกล่าวทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและเป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
393 | การเตรียมการรองรับสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา | นร. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดสุรินทร์เมื่อวันที่
๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๘ เพื่อติดตามสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา
และได้รับฟังข้อเสนอแนะจากผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ชายแดนดังกล่าว ได้แก่
จังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี สระแก้ว บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ
รวมทั้งการรายงานสถานการณ์จากหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ (กองทัพภาคที่ ๒)
ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ และแนวทางการแก้ไข ดังนั้น
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในทุกมิติทั้งด้านความมั่นคงและการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชา จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ
ดังนี้ ๑.๑
จัดทำหรือซ่อมแซมสถานที่หลบภัยเพื่อป้องกันอันตรายในพื้นที่ต่าง ๆ ครอบคลุมพื้นที่
๗ จังหวัดชายแดน ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี สระแก้ว บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ
จันทบุรี และตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชา ให้เหมาะสมและเพียงพอ โดยจะต้องมีโครงสร้างของสถานที่หลบภัยที่มั่นคง
แข็งแรง และพร้อมใช้งานได้ทันทีเมื่อเกิดภัยขึ้น ๑.๒
จัดเตรียมแผนและกำลังพลในการปกป้องดูแลพื้นที่ส่วนหลังเพิ่มเติมจากพื้นที่ในความรับผิดชอบของกองกำลังส่วนหน้าของหน่วยงานความมั่นคง
เพื่อปกป้องดูแลและสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยให้กำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) กองอาสารักษาดินแดน (อส.) หน่วยงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่เชิงกลยุทธ์และการข่าว รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงอย่างใกล้ชิดด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้สถานที่หลบภัยให้แก่นักเรียน
นักศึกษา และประชาชนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัย
รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมในการปรับหลักสูตรการศึกษา
โดยเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้สถานที่หลบภัยที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการปลูกฝังและสร้างการตระหนักรู้
รวมทั้งเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ๓.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงเร่งจัดทำเส้นทางตรวจการณ์และยุทธวิธีในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
การดำเนินการในข้างต้นเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชา ที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลขอให้ความมั่นใจกับประชาชนว่ารัฐบาลจะเร่งแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวให้คลี่คลายลงโดยเร็วที่สุดและจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะรุนแรงในพื้นที่แต่ประการใด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
394 | ขออนุมัติโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒
(ด้านการต่างประเทศ การคมนาคม การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม) ในคราวประชุมครั้งที่
๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.๑
ประเด็นอภิปราย ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจงว่า
โครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) จำนวน ๑,๕๒๐ คัน
เพื่อทดแทนรถโดยสารเดิมขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพที่มีอายุการใช้งานมากกว่า ๒๐ -
๓๐ ปี และมีปัญหาด้านการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง
ซึ่งการเปลี่ยนมาใช้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) โดยวิธีการเช่าเป็นระยะเวลา ๗ ปี นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง
ยังสามารถถ่ายโอนความเสี่ยงด้านการจัดหารถและบำรุงรักษาต่าง ๆ ให้แก่เอกชนได้
รวมทั้งช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมให้สภาพแวดล้อมในเมืองดีขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV)
ที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดซื้อมาแล้ว จำนวน ๔๘๙ คัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ [เรื่อง โครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
(NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน
เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซลขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ]
ยังมีสภาพดีและสามารถนำมาใช้งานต่อไปได้
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจึงจะยังไม่มีการปลดระวางรถดังกล่าวแต่อย่างใด ๑.๒
คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีข้อสังเกต ดังนี้ ๑.๒.๑
โดยที่ปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มชะลอตัว ดังนั้น
การเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของไทยที่มีศักยภาพเข้าร่วมแข่งขันในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
และการกำหนดให้ผู้ประกอบการผลิตรถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ใช้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local
Content) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๐ หรือในสัดส่วนที่เหมาะสม
จะช่วยกระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาของอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยต่อไป ๑.๒.๒
กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) ควรพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) ที่จะเช่าเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๒๐ คัน ในครั้งนี้ สามารถรองรับการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่น
ๆ นอกจากบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เช่น บัตรรถไฟฟ้าสายต่าง
ๆ หรือบัตรเรือโดยสาร รวมทั้งรองรับการพัฒนาระบบตั๋วร่วมที่จะดำเนินการในระยะต่อไปด้วย
เพื่อลดภาระให้ผู้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะไม่ต้องพกบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์หลายประเภท ๑.๓ มติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ อนุมัติการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ เมษายน ๒๕๕๖ ที่อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
(NGV) จำนวน ๓,๑๘๓
คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ในวงเงินรวม ๑๓,๑๖๒.๒๐ ล้านบาท และให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพดำเนินโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) จำนวน ๑,๕๒๐ คัน ระยะเวลา ๗ ปี
ซึ่งมีความพร้อมในการดำเนินการในขณะนี้ ในกรอบวงเงินลงทุนโครงการ ๑๕,๓๕๕.๖๐ ล้านบาท และให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเป็นผู้บริหารโครงการ
โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๑๙๕๔
ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๘) และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๙/๒๓๖๐ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) ที่จะเช่า
ควรเป็นรถโดยสารที่ผลิตในประเทศ และใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ เช่น แบตเตอรี่
และตัวถังรถยนต์โดยสาร
เพื่อส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนภายในประเทศ รวมทั้ง
สนับสนุนการจ้างงาน และการพัฒนาแรงงานฝีมือ เพื่อสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของภูมิภาค ๑.๔
ให้กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ)
พิจารณาดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) โดยคำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๔.๑
ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของไทยที่มีศักยภาพเข้าร่วมแข่งขันอย่างเป็นธรรม ๑.๔.๒
กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการผลิตรถโดยสารประจำทางปรับอากากาศพลังงานสะอาด (EV) ใช้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local
Content) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๐ หรือในสัดส่วนที่เหมาะสม ๑.๔.๓
กำหนดเงื่อนไขให้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ที่จะเช่าเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๒๐ คัน ในครั้งนี้ สามารถรองรับการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่น
ๆ นอกจากบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เช่น
บัตรรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ หรือบัตรเรือโดยสาร
รวมทั้งรองรับการพัฒนาระบบตั๋วร่วมที่จะดำเนินการในระยะต่อไปด้วย ทั้งนี้ จะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
395 | มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูการผลิตปี 2567/2568 | อก. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น
PM2.5 ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘
เฉพาะมาตรการสร้างแรงจูงใจแก่ชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีร้อยละ ๑๐๐
กรอบวงเงิน ๕,๑๗๕ ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรไปพลางก่อน
และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาทางเลือกการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ
เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๕ (ด้านเศรษฐกิจและการเกษตร) ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๙
มิถุนายน ๒๕๖๘ ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๑๔/๒๘๔๘ ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๘) และธนาคารแห่งประเทศไทย
(หนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย ด่วนที่สุด ที่ ธปท. ๔๐๐๘/๒๕๖๘ ลงวันที่ ๑๖
มิถุนายน ๒๕๖๘) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการตัดอ้อยสดและประโยชน์ของการไม่เผาอ้อย
และสนับสนุนให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการเก็บเกี่ยวอ้อยโดยไม่เผาได้อย่างต่อเนื่องยั่งยืนเพื่อเร่งบรรลุเป้าหมายการลด
PM 2.5 จากการเผาไร่อ้อยได้ตามวัตถุประสงค์ของมาตรการฯ
ตลอดจนการเร่งพัฒนาศักยภาพของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายให้สามารถเป็นแหล่งทุนสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในทุกมิติได้อย่างยั่งยืนโดยไม่เป็นภาระงบประมาณในระยะต่อไป ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาแนวทางการเพิ่มรายได้จากใบและยอดอ้อย
รวมถึงควรกำหนดอัตราเงินสนับสนุนที่เหมาะสมแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย
เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลดการเผาอ้อย
และให้มาตรการดังกล่าวเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง ๒. อนุมัติค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
จำนวนเงินรวม ๑๕๘.๕๘๗๕ ล้านบาท ประกอบด้วย
ค่าชดเชยต้นทุนเงินในอัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ประจำไตรมาสบวก ๑ (ปัจจุบันรวมอยู่ที่ร้อยละ ๓.๐๕ ต่อปี) เป็นเงิน ๑๕๗.๘๓๗๕
ล้านบาท และค่าบริหารจัดการรายละ ๕ บาท จำนวน ๑๕๐,๐๐๐ ราย เป็นเงิน ๐.๗๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ (หนังสือกระทรวงอุตสาหกรรม
ด่วนที่สุด ที่ อก ๐๖๐๔/๒๘๔๘ ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๘) ทั้งนี้
ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระงบประมาณนั้น ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๖/๕๒๒ ลงวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๘) |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
396 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 เรื่อง ขออนุมัติโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา | สกพอ. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๗
และเห็นชอบยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ เรื่อง ขออนุมัติโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา ทั้งนี้
ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิก ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม
เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรเร่งรัดการดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภาให้บรรลุวัตถุประสงค์
เป้าหมาย และดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
การดำเนินการต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี ขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงความถูกต้อง โปร่งใส และประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนเป็นสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
397 | การแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา | นร. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์เมื่อวันที่
๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๘ ได้ทราบข้อมูลว่าการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลในจังหวัดต่าง ๆ
หลายพื้นที่มักมีราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล (ฉบับละ ๘๐ บาท)
จึงขอให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเร่งรัดดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในการตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้ชัดเจนและบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
398 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP 29) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน | ทส. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สมัยที่ ๒๙ (COP 29)
และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ณ กรุงบากู
สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน และมอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดเตรียมการดำเนินงานตามภารกิจ โดยการประชุมรัฐภาคีฯ มีสาระสำคัญ
เช่น การให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มีการกำหนดเป้าหมายทางการเงินใหม่ เพื่อให้สามารถสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทุกภาคส่วน
ควรมีการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
เพื่อเตรียมความพร้อมและลดผลกระทบด้านลบจากการดำเนินการ
รวมทั้งเพื่อเสาะหาแนวทางในการที่จะสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
399 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 (เรื่อง การกำหนดมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาการขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์) เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ทางด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับการขอต่ออายุหนังสืออนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ประเภทป่าเพื่อการอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรี (ลุ่มน้ำชั้น 1) เพื่อการทำเหมืองแร่ | ทส. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ยกเลิกและปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ (เรื่อง
การกำหนดมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาการขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์)
เฉพาะในส่วนของหลักเกณฑ์และมาตรการผ่อนผัน หรือยกเว้นการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์
(พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ) เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับความมั่นคงหรือเศรษฐกิจ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกกรณีที่
๒ พื้นที่ที่รัฐได้อนุญาตให้ประชาชนหรือเอกชนเข้าใช้ประโยชน์ในกิจการเพื่อการสำรวจแร่หรือการทำเหมืองแร่
ที่กำหนดว่า “(๑)
พื้นที่ที่รัฐได้อนุญาตให้ประชาชนหรือเอกชนเข้าใช้ประโยชน์เพื่อกิจการสำรวจแร่
ประกอบด้วยอาชญาบัตรสำรวจแร่ อาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ และอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ หรือเพื่อการทำเหมืองแร่
คือ ประทานบัตรเหมืองแร่ ไปแล้วก่อนวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘
และต่อมาพื้นที่ดังกล่าวได้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ
เห็นควรอนุญาตให้ดำเนินการสำรวจแร่ หรือการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตต่อไปจนกระทั่งสิ้นสุดอายุการอนุญาตนั้น
ทั้งนี้ หากอายุหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติสิ้นสุดลง
แต่อายุอาชญาบัตรหรือประทานบัตรเหมืองแร่ยังคงเหลืออยู่
เห็นควรผ่อนผันให้ต่ออายุหนังสืออนุญาตเข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จนกระทั่งสิ้นสุดอายุอาชญาบัตรหรือประทานบัตรเหมืองแร่ โดยผู้ประกอบการต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังจากการสำรวจแร่หรือการทำเหมืองแร่แล้ว
(Post Evaluation) เสนอต่อกระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมพิจารณาให้ความเห็น
เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการพิจารณาว่าอนุมัติหรือไม่อนุมัติ ผ่อนผันการขอต่ออายุหนังสืออนุญาตการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจากคณะรัฐมนตรีต่อไป ในกรณีที่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
เนื่องจากการดำเนินการตามที่ได้รับอนุญาต
ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายที่รับผิดชอบอย่างเด็ดขาดโดยทันที” ๑.๒ ให้ปรับปรุงกรณีที่
๓ พื้นที่ที่รัฐมีข้อผูกพันกับประชาชนหรือเอกชนไว้แล้วในกิจการเพื่อการสำรวจแร่
หรือการทำเหมืองแร่ จากเดิม “(๒)
ในกรณีที่พื้นที่ซึ่งรัฐมีข้อผูกพันกับประชาชนหรือเอกชนไว้แล้วภายหลังวันที่ ๒๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ หากอายุหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติสิ้นสุดลงแต่อายุอาชญาบัตรหรือประทานบัตรการทำเหมืองแร่ยังคงเหลืออยู่
ให้ใช้หลักการพิจารณาเดียวกันกับในกรณีที่ ๒ ข้อ (๑)
ส่วนกรณีอายุอาชญาบัตรหรือประทานบัตรเหมืองแร่สิ้นสุดลง และผู้ประกอบการประสงค์จะขอต่ออายุการอนุญาตหรือการขออนุญาตดำเนินการดังกล่าว
ให้ใช้หลักการเดียวกันกับการขอต่ออายุการอนุญาตอาชญาบัตรหรือประทานบัตรเหมืองแร่
ในกรณีที่ ๒ ข้อ (๒)” เป็น “(๒)
ในกรณีที่พื้นที่ซึ่งรัฐมีข้อผูกพันกับประชาชนหรือเอกชนไว้แล้วภายหลังวันที่ ๒๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ กรณีอายุอาชญาบัตรหรือประทานบัตรเหมืองแร่สิ้นสุดลง
และผู้ประกอบการประสงค์จะขอต่ออายุการอนุญาตหรือการขออนุญาตดำเนินการดังกล่าว
ให้ใช้หลักการเดียวกันกับการขอต่ออายุการอนุญาตอาชญาบัตรหรือประทานบัตรเหมืองแร่
ในกรณีที่ ๒ ข้อ (๒)” ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดมาตรการเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ และการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในภาพรวมและให้นำมารวมกำหนดไว้ในฉบับเดียวเพื่อให้เกิดความชัดเจน
ลดความซ้ำซ้อน และสะดวกในการปฏิบัติ รวมทั้งความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีมาตรการรองรับการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
อาทิ การควบคุมไม่ให้มีการรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ป่าไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต และการกำหนดเขตพื้นที่ในการเข้าทำประโยชน์ให้ชัดเจน
โดยต้องดำเนินมาตรการดังกล่าวให้รัดกุมเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
400 | สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ณ จังหวัดภูเก็ต และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ณ จังหวัดภูเก็ต (นายธเนศ ตันติพิริยะกิจ) | กต. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดกระบี่ พังงา ภูเก็ต ระนอง สตูล
สงขลา สุราษฎร์ธานี และตรัง
|