ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 19 จากทั้งหมด 6209 หน้า แสดงรายการที่ 361 - 380 จากข้อมูลทั้งหมด 124177 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
361 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายการสินค้าและบริการ จำนวน
๕๙ รายการ (๕๔ สินค้า ๕ บริการ) เป็นสินค้าและบริการควบคุม ซึ่งแบ่งเป็น ๑๑
หมวดสินค้า ๑ หมวดบริการ เพื่อให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
กำหนดมาตรการกำกับดูแลสินค้าและบริการให้มีผลบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่ากระทรวงพาณิชย์ควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้องต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
362 | การดำเนินการเพื่อบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย 14 | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารยืนยันการบริจาคเงิน [Instrument of Contribution (IOC)] สำหรับการบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย
๑๔ [Asian Development Fund 14 (ADF
14)] ของประเทศไทย และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในร่าง IOC
เพื่อยืนยันการบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุน ADF 14 ของประเทศไทย ซึ่งเป็นการรักษาจุดยืนของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศในฐานะการมีบทบาทเป็นประเทศผู้นำในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนแก่ประเทศกำลังพัฒนาที่มีฐานะยากจน
รวมถึงแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารยืนยันการบริจาคเงินในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ และในปีต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง)
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
363 | การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี | พน. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี
และมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานและกระทรวงการคลังร่วมกันพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป
รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการและติดตามประเมินผลมาตรการดังกล่าว
เพื่อให้บรรลุผลสัมฤทธิ์โดยเร็วต่อไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงาน
(กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรขยายการให้สิทธิครอบคลุมเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟประเภทที่ ๗ “กิจการสูบน้ำเพื่อการเกษตร”
เพื่อลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร
สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยท่ามกลางกระแสความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภค
รวมทั้งเพื่อให้การดำเนินกิจกรรมการเกษตรมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมาย
การลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดที่ร้อยละ ๓๐ -
๔๐ ในปี ค.ศ. ๒๐๓๐
และยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศที่มีเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
ในปี ค.ศ. ๒๐๕๐ และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. ๒๐๖๕ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรจัดทำคู่มือหรือจัดให้มีบริการให้คำปรึกษาขั้นตอนการยื่นเอกสารหรือการขอรับรองอุปกรณ์
เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถปฏิบัติตามมาตรการฯ ได้ง่ายขึ้น และลดขั้นตอนการดำเนินงานบางขั้นตอนที่มีความซับซ้อนและใช้เวลานาน
และควรมีการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มที่มีข้อจำกัดด้านการเงิน
เพื่อช่วยลดอุปสรรคด้านต้นทุนเริ่มต้น และให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
364 | การกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์เพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2568 | พม. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงานของสำนักงานธนานุเคราะห์เพิ่มเติม และเป็นการเตรียมเงินทุนหมุนเวียนและรองรับธุรกรรมการให้บริการรับจำนำแก่ประชาชน
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานธนานุเคราะห์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และสำนักงานธนานุเคราะห์ควรมีแผนบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินเพื่อรองรับการชำระหนี้ต่อไป
ทั้งนี้ วงเงินดังกล่าวได้รับการบรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘
ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแล้ว เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๘
โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อน
จึงจะสามารถดำเนินการกู้เงินได้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าสำนักงานธนานุเคราะห์ควรบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและพิจารณาเบิกเงินกู้เท่าที่จำเป็น
เพื่อไม่ให้เกิดภาระดอกเบี้ยต่อองค์กรในระยะยาว ตลอดจนความสามารถในการชำระหนี้
รวมถึงการกระจายภาระชำระหนี้ที่เหมาะสม ตามนัยมาตรา ๔๙ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
365 | มาตรการแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์จากกัญชา | นร. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร
เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อเด็กและเยาวชนในสังคมไทย นั้น
ในระยะที่ผ่านมา
ได้มีการนำกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษและกำหนดให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุมเพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น
แต่ในทางปฏิบัติได้มีการนำกัญชาและสารสกัดจากกัญชามาเพื่อใช้ในทางสันทนาการอย่างแพร่หลายด้วย
ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ในการดำเนินนโยบายในเรื่องนี้ของรัฐบาล ดังนั้น
จึงขอให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการศึกษา และกำหนดมาตรการควบคุมการใช้กัญชาและสารสกัดจากกัญชาให้มีความถูกต้องและเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
โดยมุ่งเน้นให้ใช้กัญชาและสารสกัดจากกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น
ทั้งนี้
เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงหรือใช้กัญชาและสารสกัดจากกัญชาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
รวมทั้งให้เร่งการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและประกาศที่เกี่ยวข้องกับการใช้กัญชาและสารสกัดจากกัญชาให้เหมาะสม
เป็นปัจจุบันและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลดังกล่าวข้างต้น
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและสังคมไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
366 | การออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล | นร.09 | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางการออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล
สรุปได้ ดังนี้ ๑) การออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างได้สัดส่วนและมีประสิทธิภาพตามหลักสากล
ยังมีความจำเป็นในสภาวะการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ใช้บริการ
ซึ่งกลไกของร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลจะช่วยให้การกำกับดูแล
การบังคับใช้ และบทกำหนดโทษมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าพระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
และยังอาจใช้เป็นประโยชน์ในการต่อรองกับมาตรการทางภาษีศุลกากร (Tariffs) ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้
ทั้งยังจะช่วยให้แพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ มีสถานะที่เท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น (level
playing field) อันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคตลอดจน SMEs ในประเทศไทยอีกด้วย และ ๒)
เพื่อให้มีความพร้อมในการดำเนินการและหลีกเลี่ยงความซ้ำช้อน ควรมีการศึกษาตลาดและเตรียมบุคลากรให้พร้อมก่อนการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลและควรมีกลไกการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การกำกับดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และพิจารณาการแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบให้ชัดเจน ๒. มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
(สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์)
และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าเร่งหาข้อยุติเกี่ยวกับแนวทางและมาตรการส่งเสริมและกำกับดูแลเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เหมาะสมสำหรับบริบทของประเทศไทย
แล้วให้รายงานแนวทางการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
367 | สถานการณ์ระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย | นร. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สถานการณ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและรัฐอิสราเอล
ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนและเข้าร่วมการโจมตีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านด้วยอาจนำไปสู่การขยายตัวของสถานการณ์ดังกล่าวในวงกว้างออกไปโดยไม่สามารถคาดเดาระยะเวลาสิ้นสุดได้อย่างแน่ชัด
และจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาของประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับนโยบายกำหนดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งล่าสุดได้กำหนดกรอบระยะเวลาผ่อนปรนไว้ ๙๐ วัน และจะครบกำหนดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๘ โดยในส่วนของประเทศไทยได้ดำเนินการเจรจาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวกับประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
ทั้งในด้านปริมาณและราคาพลังงาน การเงิน การคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยว ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างมาก
รวมถึงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชาด้วย
จึงขอให้รัฐมนตรีทุกท่านติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
พร้อมทั้งเตรียมการและกำหนดมาตรการในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ เพื่อรองรับและลดผลกระทบในด้านต่าง ๆ
ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด และขอให้อยู่ใกล้ชิดประชาชน เพื่อสร้างความมั่นใจในการดำเนินการของรัฐบาล
และหากมีปัญหาใด ๆ ก็ให้เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
และขอย้ำว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เสถียรภาพของรัฐบาลและความสามัคคีภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ทั้งนี้
ในสถานการณ์ปัจจุบันมีประเด็นปัญหาที่รัฐบาลให้ความสำคัญและขอมอบหมายการดำเนินการ
ดังนี้ ๑. ปัญหาภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ
โดยเฉพาะกรณีอาชญากรรมข้ามชาติ (Transnational Crimes) ซึ่งปรากฏตามรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ
(UNODC) ว่ามีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย -
กัมพูชา จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
รับไปบูรณาการการดำเนินงานกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามหน้าที่และอำนาจของหน่วยงาน
โดยขอเน้นย้ำให้ใช้แนวทางสันติวิธี
เพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติและเกิดประโยชน์กับประชาชนทั้งสองฝ่ายโดยเร็ว ๒. ปัญหาความมั่นคงด้านพลังงาน
ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) รับไปพิจารณากำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ด้านพลังงาน
ทั้งในส่วนของการจัดหาพลังงานสำรองและการบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน
โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดภาวะขาดแคลนพลังงานหรือราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ๓. ปัญหาเศรษฐกิจและการเงิน
โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย
ชุณหวชิร) รับไปหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เหมาะสม
พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมด้วย ๔. ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร
ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) รับไปหารือในประเด็นปัญหาดังกล่าวร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในส่วนของปัญหาราคาข้าวที่จะต้องเร่งสรุปมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือเกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบให้ราคาที่พืชผลทางการเกษตรในประเทศตกต่ำ
และให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) เร่งประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปปัญหาอุปสรรคและกำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรดังกล่าว
รวมทั้งมาตรการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศ
แล้วให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า ๕. ปัญหายาเสพติด ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) รับผิดชอบเกี่ยวกับการเตรียมการจัดประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดทั่วประเทศในสัปดาห์หน้า เพื่อให้นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายและกำชับการดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
โดยให้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม
และเป็นการขยายผลอย่างต่อเนื่องจากมาตรการ “Seal Stop
Safe” ที่ดำเนินการอยู่แล้ว ๖. ปัญหาการท่องเที่ยว ขอมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาปรับปรุงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและจากต่างประเทศให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
รวมถึงกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม และสามารถดำเนินการให้เกิดผลได้อย่างรวดเร็ว
แล้วให้นำมาตรการดังกล่าวข้างต้น เสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า ๗. การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
ขอมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเร่งนำ เรื่อง
การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี ๒๕๖๘ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า
เพื่อให้สามารถประกาศให้มีผลใช้บังคับได้ทันในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๘ นี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
368 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)] | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
โดยให้หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ ๒ เท่า (ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท) สำหรับค่าซื้อหรือค่าจ้างทำหรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ฮาร์ดแวร์ และอุปกรณ์อัจฉริยะ หรือบริการด้านดิจิทัล
ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
แต่ไม่รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการถึงวันที่
๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่เห็นว่าควรพิจารณาเพิ่มจำนวนรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีจากเดิมไม่เกิน
๓๐ ล้านบาท เป็น ไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมขับเคลื่อนและสร้างการรับรู้และความเข้าใจมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแปลงเป็นดิจิทัล
(Digital Transformation) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) รวมทั้งร่วมติดตามและประเมินประโยชน์ที่ได้รับจากมาตรการนี้
ตลอดจนนำส่งข้อมูลดังกล่าวให้แก่กระทรวงการคลังเป็นรายปีจนสิ้นสุดมาตรการเพื่อประกอบการจัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการตามมาตรา
๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
369 | การมอบหมายผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรี | นร.05 | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า
โดยที่ได้มีรัฐมนตรีขอลาออกจากตำแหน่ง จำนวน ๘ ราย ได้แก่ ๑. รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (นางสาวศุภมาส อิศรภักดี) ตั้งแต่วันที่ ๑๙
มิถุนายน ๒๕๖๘ ๓. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายนภินทร ศรีสรรพางค์) ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ๔. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายทรงศักดิ์
ทองศรี) ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ๕. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นางสาวซาบีดา
ไทยเศรษฐ์) ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ๖. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (นายพิพัฒน์
รัชกิจประการ) ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ ๗. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลตำรวจเอก
เพิ่มพูน ชิดชอบ) ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ๘. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล) ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ โดยที่กระทรวงที่รัฐมนตรีขอลาออกดังกล่าวข้างต้น
มีรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนอยู่แล้ว จำนวน ๑ กระทรวง
และยังไม่มีรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน จำนวน ๓ กระทรวง คือ ๑. กระทรวงมหาดไทย :
มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์)
เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ๒. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม : ไม่มีรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน
เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๗
มอบหมายให้เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ตามลำดับ ได้ขอลาออกจากตำแหน่งแล้วในครั้งนี้ ๓. กระทรวงแรงงาน : ไม่มีรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน ๔. กระทรวงศึกษาธิการ :
ไม่มีรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน ดังนั้น
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ
เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและต่อเนื่อง และเป็นไปตามนัยมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔
จึงเห็นควรพิจารณามอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ต่อไป ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ดังนี้ ๑. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร
สินธุไพร) เป็นผู้รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ)
เป็นผู้รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ๓. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายชูศักดิ์
ศิรินิล) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
370 | ขอความเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) | กก. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์
ครั้งที่ ๓๓ พ.ศ. ๒๕๖๘ (ค.ศ. ๒๐๒๕) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่
๑๓ พ.ศ. ๒๕๖๘ (ค.ศ. ๒๐๒๕) ภายในกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๒,๐๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้การกีฬาแห่งประเทศไทยใช้จ่ายจากเงินลงทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
จำนวน ๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เงินรายได้จากการจัดการแข่งขัน
รายได้จากการบริหารสิทธิประโยชน์ รายได้ค่าจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขัน รายได้ค่าลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ที่ได้ประมาณการไว้
จำนวน ๑๕๔,๓๖๐,๐๐๐ บาท
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวนวน ๑๕๗,๕๘๔,๔๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๑,๓๔๓,๐๕๕,๖๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับการใช้จ่ายเงินของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
และควรขอรับการสนับสนุนจากภาคเอกชนมาสมทบการดำเนินงาน
เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการส่งเสริมทางด้านกีฬาและเป็นการลดภาระงบประมาณ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องตลอดจนใช้จ่ายงบประมาณให้ตรงตามวัตถุประสงค์และเกิดความคุ้มค่าสูงสุดต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
371 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2568 เรื่อง การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ: นิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ | สกพอ. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๘ เรื่อง การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ
นิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ ทั้งนี้
หากคณะรัฐมนตรีรับทราบโดยไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น
ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหรือเห็นชอบตามมติ กพอ. ดังกล่าว เพื่อ กพอ.
จะได้ออกประกาศจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้การสนับสนุนการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
และให้ดำเนินการตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด กระทรวงมหาดไทย เห็นควรสนับสนุนการขับเคลื่อนเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวเพื่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนในพื้นที่
สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินการ
ทั้งนี้ การดำเนินการต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี
รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการ (EIA) ขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงความถูกต้อง
โปร่งใส และประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
372 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและกลุ่มอัล ชาบับ (Al-Shabaab) | กต. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
(United Nations Security Council :
UNSC) ที่ ๒๗๗๖ฯ (ค.ศ. ๒๐๒๕)
เพิ่มเติมจากข้อมติ UNSC เกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและกลุ่มอัล
ชาบับ (Al - Shabaab) ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว
ซึ่งมีเนื้อหาโดยรวม
ข้อมติดังกล่าวต่ออายุมาตรการลงโทษต่อกลุ่มอัล ชาบับ ตามข้อมติฯ ที่ ๒๗๑๓ (ค.ศ.
๒๐๒๓) จนถึงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๘
โดยพันธกรณีต่อรัฐสมาชิกสหประชาชาติยังคงเดิมในเรื่อง (๑) มาตรการห้ามค้าอาวุธต่อกลุ่มอัล ชาบับ (๒)
การห้ามนำเข้าและส่งออกถ่านไม้จากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย (๓) มาตรการห้ามนำเข้าและส่งออกส่วนประกอบของระเบิดแสวงเครื่อง
และ (๔)
การอนุญาตให้รัฐสมาชิกดำเนินมาตรการสกัดกั้นทางทะเลเพื่อบังคับใช้มาตรการลงโทษต่อกลุ่มอัล
ชาบับ ที่เกี่ยวข้อง ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๒
หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินถือปฏิบัติ และปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษต่อสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและกลุ่มอัล
ชาบับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแจ้งผลให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ
เพื่อประโยชน์ในการรายงานสหประชาชาติต่อไป ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เห็นควรให้หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องติดตามและเฝ้าระวังบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษ
รวมทั้งประเมินสถานการณ์และการดำเนินการของกลุ่มอัล ชาบับ ต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานตามข้อมติ UNSC ที่ ๒๗๗๖ฯ
ให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
373 | ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการดำเนินการและผลการพิจารณากลั่นกรองโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท
และการมอบหมายคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงเพิ่มเติม ๒.
เห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท
ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่
๓/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๘ จำนวน ๕๐ หน่วยรับงบประมาณ ๔๘๑ โครงการ ๘,๙๓๙ รายการ ภายในกรอบวงเงินรวม ๑๑๕,๓๗๕.๒๗๑๕ ล้านบาท
และอนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณ ทั้ง ๕๐
หน่วยงานเป็นหน่วยงานดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป
โดยให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
พ.ศ. ๒๕๖๗ รวมทั้งกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ตั้งแต่กระบวนการจัดทำคำขอรับจัดสรรงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง การดำเนินโครงการ
ตลอดจนการติดตามและประเมินผล และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด/หน่วยงานต้นสังกัดกำกับดูแล
ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณในทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รอบคอบ เป็นธรรม และทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้งบประมาณพับไป
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด ผลสัมฤทธิ์
และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมทั้งให้คณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจกำกับการปฏิบัติตามโครงการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง
ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ
Three Lines of Defense ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันภายในปีงบประมาณและให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรกำหนดเงื่อนไขสำหรับโครงการที่เกี่ยวกับการจ้างงานและฝึกอบรม
ให้ใช้วิธีการจ่ายค่าจ้างผ่านบัญชีธนาคารไปยังผู้ที่ได้รับการจ้างงานเพื่อให้การดำเนินการในทุกขั้นตอนมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
สำหรับการดำเนินโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ภายใต้งบประมาณในส่วนที่เหลือ
ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกเป็นสำคัญ
เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
374 | (ร่าง) แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561-2580) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) | ลคสช. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง)
แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖ -
๒๕๗๐) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ระยะที่ ๒
(พ.ศ.๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ไปดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของประชาชนคนไทยในทุกระดับ
โดยร่างแผนพัฒนาสุขภาพจิตดังกล่าว ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑
ส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต
ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ขับคลื่อนและผลักดันมาตรการทางกฎหมาย
สังคม และสวัสดิการ และยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาวิชาการและกลไกการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต
ตามที่คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติเสนอ ให้คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เห็นว่าการพัฒนาระบบบริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวช
ควรเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยเฉพาะทรัพยากรด้านข้อมูลให้อยู่บนระบบคลาวด์ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าควรส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต
และควรให้การสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการดูแลงานด้านสุขภาพจิต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการฐานข้อมูลสุขภาพจิตระดับชาติที่ครอบคลุมผลการดำเนินงานและปัจจัยที่กระทบต่อสุขภาพจิตของคนไทย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
375 | ผลการประชุมและข้อเสนอการปฏิบัติตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 5 | ทส. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท
สมัยที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๓๐ ตุลาคม - ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
และเห็นชอบข้อเสนอการปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอทของประเทศไทย ตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท
สมัยที่ ๕ ประกอบด้วย ๑) สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยควรพิจารณาดำเนินการและแผนการดำเนินงาน
และ ๒) แนวทางการดำเนินงานก่อนมอบตราสารรับรองการแก้ไขเพิ่มเติมภาคผนวก เอ และ บี ของประเทศไทย จำนวน ๓ รายการ คือ เครื่องสำอาง
อะมัลกัม ที่ใช้ทางทันตกรรม
และการผลิตโพลียูรีเทนที่ใช้ปรอทเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา โดยมอบหมายให้หน่วยงาน คือ
กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) กระทรวงสาธารณสุข
(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและกรมอนามัย) กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ)
กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และกระทรวงการต่างประเทศ (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและระยะเวลาที่ระบุในแผนการดำเนินงานต่อไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าหากกรมควบคุมมลพิษยืนยันได้ว่าการดำเนินการไม่จำเป็นต้องมีการออกพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญา
อีกทั้งไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาประเภทอื่นตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
กรณีก็จะไม่ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่เป็นกรณีที่ต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการดำเนินการส่งมอบตราสาร กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่ากรณีการเตรียมการเพื่อรองรับการแก้ไขภาคผนวก
เอ ส่วนที่ ๑ ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท กรณีแบตเตอรี่กระดุม สะพานไฟ สวิตซ์และรีเลย์
รวมถึงหลอดฟลูออเรสเซนต์ชนิดต่าง ๆ กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรพิจารณาปรับปรุงระยะเวลาดำเนินการและจัดทำแผนการดำเนินการในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
โดยกระทรวงอุตสาหกรรมยินดีให้ความร่วมมือตามกรอบอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
376 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณงานจ้างที่ปรึกษาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางหลวงสนับสนุนการพัฒนาด่านชายแดน บ้านฮวก - กิ่วหก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ของกรมทางหลวง | คค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ โครงการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงแผ่นดิน งบรายจ่ายอื่น กิจกรรมก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน
จากเดิมรายการการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทางหลวงหมายเลข ๑๑๓๖
แยกทางหลวงหมายเลข ๑๑ (ลำพูน) - บรรจบ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖ (เหมืองง่า)
จังหวัดลำพูน วงเงิน ๙.๕๐๐๐ ล้านบาท
เป็นรายการการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางหลวงสนับสนุนการพัฒนาด่านชายแดนบ้านฮวก
- กิ่วหก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา วงเงิน ๙.๓๗๓๕ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๖.๖๕๐๐ ล้านบาท และส่วนที่เหลือ จำนวน ๒.๗๒๓๕ ล้านบาท
กรมทางหลวงจะปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อรองรับต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ส่วนการขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เป็นปีงบประมาณ ๒๕๖๗ -
๒๕๖๙ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากมีการดำเนินงานในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
จะต้องดำเนินการตามระเบียบและประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
377 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 1 | พน. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานถอนเรื่องนี้คืนไปได้
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
378 | การขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี 2568 | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
(ปรับปรุงใหม่) ปี ๒๕๖๘ พร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณวงเงินรวมไม่เกิน ๗๕๐
ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง
ธนาคารออมสินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่ากระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่าธนาคารออมสิน
และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
ควรพิจารณาให้การอนุมัติสินเชื่อการสอบทานกระบวนการอนุมัติสินเชื่อ
และการสุ่มสอบทานลูกหนี้เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีกระบวนการทบทวนความจำเป็นและกำหนดแนวทางการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้โครงการบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับปรุงเงื่อนไขหรือต่ออายุโครงการในระยะต่อไป ๓. เพื่อให้การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี ๒๕๖๘ (โครงการฯ) เป็นไปอย่างเหมาะสม
มีประสิทธิภาพ และช่วยรักษาวินัยทางการเงินของผู้กู้
รวมทั้งป้องกันการเกิด Moral
Hazard ให้กระทรวงการคลังและธนาคารออมสินดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑
พิจารณาให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายใหม่เป็นลำดับแรกก่อน
รวมทั้งดำเนินการประชาสัมพันธ์ ชี้แจง
และสร้างการรับรู้ให้แก่กลุ่มเป้าหมายเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าร่วมโครงการฯ
เพิ่มมากขึ้น ๓.๒
กำกับดูแลให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ จัดทำแผนการชำระคืนให้มีความสอดคล้อง
เหมาะสม กับช่วงระยะเวลาโครงการฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการภายใต้โครงการฯ
สามารถชำระหนี้คืนได้ตามกำหนดระยะเวลาโครงการฯ ๓.๓
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการปิดโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ
ในปี ๒๕๗๐ โดยไม่ให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก
และให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ ให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ต่อไปอีก ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดทำเป็นโครงการใหม่
โดยให้นำผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ พร้อมทั้งปัญหา
อุปสรรคที่เกิดขึ้นมาเป็นข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการใหม่ดังกล่าวให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์และบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
379 | การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายณฐพงศ์ วรรณรัตน์) | นร.11 สศช | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายณฐพงศ์ วรรณรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
380 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายวัธนชัย ทองประเสริฐ) | นร.06 | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวัธนชัย
ทองประเสริฐ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบงานการข่าว
(นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
ให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ มิถุนายน
๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ
|