ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 6209 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 124177 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
301 | ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กรณีกฎกระทรวงการดำเนินการเพื่อบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2565 ประกาศสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และแนวทางปฏิบัติในการดำเนินงานของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ เพื่อนำผู้เสพหรือผู้ติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาตามประมวลกฎหมายยาเสพติด | สนง. กสม. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กรณีกฎกระทรวงการดำเนินการเพื่อบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
พ.ศ. ๒๕๖๕
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและแนวทางปฏิบัติในการดำเนินงานของเจ้าพนักงาน
ป.ป.ส. พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
เพื่อนำผู้เสพหรือผู้ติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาตามประมวลกฎหมายยาเสพติด
ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้กระทรวงยุติธรรมสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
302 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม 2568 | ปสส. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่
๒๖ ปีที่ ๓ ครั้งที่ ๒ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันพุธที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
303 | การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาซึ่งได้รับการขยายระยะเวลาการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานต่อไป | รง. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีความเห็นสอดคล้องกันว่า
เห็นชอบให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตามที่เสนอในครั้งนี้ไปก่อน
เนื่องจากแรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้เป็นแรงงานกลุ่มเดิมที่อยู่ในประเทศไทยอยู่แล้วแต่จำเป็นต้องขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตทำงานเพื่อให้แรงงานต่างด้าวมีเวลาเพียงพอในการดำเนินการต่าง
ๆ ให้แล้วเสร็จครบถ้วนทุกขั้นตอนภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ในระยะต่อไปกระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกันแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการตรวจสุขภาพ
และการประกันสุขภาพ รวมทั้งอัตราค่าประกันสุขภาพ สิทธิประโยชน์
และความคุ้มครองของแรงงานต่างด้าว ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นต่อไป ๒. เห็นชอบการผ่อนผันให้คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาที่ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ และวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
ซึ่งระยะเวลาการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและการอนุญาตทำงานจะสิ้นสุดในวันที่
๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๘ อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๑๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๙ เพื่อดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานต่อไป โดยเมื่อดำเนินการครบถ้วนตามขั้นตอนที่กำหนด
แรงงานต่างด้าวจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และได้รับอนุญาตทำงานเป็นระยะเวลา
๒ ปี ถึงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๗๐ และอนุมัติในหลักการร่างประกาศของกระทรวงมหาดไทย
จำนวน ๑ ฉบับ รวมถึงให้ความเห็นชอบในหลักการร่างประกาศของกระทรวงแรงงาน จำนวน ๑
ฉบับ รวม ๒ ฉบับ เพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ
แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงยุติธรรม เห็นว่าปัจจุบันกระทรวงแรงงานยังไม่สามารถดำเนินการในส่วนการต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้แก่แรงงานสัญชาติเมียนมาได้อย่างเป็นรูปธรรม
ส่งผลให้เกิดปัญหาหลายประการต่อแรงงานและนายจ้าง อาทิ ๑)
ไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมหรือประกันสุขภาพได้ ๒)
ไม่สามารถแจ้งย้ายนายจ้างได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ๓) ไม่สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้
และ ๔) มีการร้องเรียนว่ามีกลุ่มอิทธิพลเรียกรับผลประโยชน์ เป็นต้น เนื่องจากจะครบระยะเวลาผ่อนผัน
กระทรวงยุติธรรมเห็นควรขยายระยะเวลาออกไป เพราะไม่สามารถปรับปรุงกระบวนการเพื่อแก้ปัญหาได้ทัน
และในช่วงระยะเวลาที่ขยายออกไป
ควรที่จะได้มีการปรับปรุงกระบวนการเพื่อให้มีประสิทธิภาพและเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมีการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ติดตามของแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อาทิ กรมการปกครอง กรมการจัดหางาน และมีการนำเสนอข้อมูลดังกล่าวตามรอบระยะอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวและกลุ่มผู้ติดตามสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ
และเป็นประโยชน์ในการกำหนดมาตรการสำหรับการบริหารกำลังแรงงานข้ามชาติที่มีศักยภาพอย่างเหมาะสมในอนาคตต่อไป ๓. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ...
และร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ .... รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
304 | ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายชยธรรม์ พรหมศร) | คค. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ
นายชยธรรม์ พรหมศร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
กระทรวงคมนาคม ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบการต่อเวลา ๑ ปี (ครั้งที่ ๑) ในวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ ต่อไปอีก ๑ ปี (ครั้งที่ ๒) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ ถึงวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๙ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
305 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม | วธ. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีอนุมัติมอบหมายเป็นหลักการให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒ ราย ตามลำดับ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ
ตันเจริญ) ๒. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร
สินธุไพร)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
306 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (ค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศและการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4,000) | กห. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๒,๙๓๐,๐๐๐ บาท ให้กับกองบัญชาการกองทัพไทย
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศ และการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔,๐๐๐ (One Map) จำนวน ๒
โครงการ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้กระทรวงกลาโหม (กองบัญชาการกองทัพไทย)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนมาก ที่ นร ๐๗๐๕/๕๐๑๖
ลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลแล้วแต่กรณี
ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓) และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และให้กองบัญชาการกองทัพไทยนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามขั้นตอนก่อนนำเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงกลาโหม โดยกองบัญชาการกองทัพไทย ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และประกาศที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
307 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-อินเดีย | คค. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-อินเดีย และเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทย และมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป
โดยบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเอกสารที่จัดทำขึ้นระหว่างสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยกับกระทรวงการบินพลเรือนอินเดีย
เพื่อบันทึกผลการเจรจาการบินระหว่างไทยกับอินเดีย
จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูต
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขใบพิกัดเส้นทางบิน ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวจะต้องได้รับการยืนยันโดยหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย
ดังนั้น หนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของรัฐบาลไทยและรัฐบาลอินเดียประกอบกันจึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญฯ
ซึ่งจะต้องเสนอร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพัน
และหากจำเป็นต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา
ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตจะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ ที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เห็นว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงควรให้ความสำคัญต่อการดำเนินมาตรการการคัดกรองการเข้าประเทศอย่างเข้มงวดมากขึ้น
ตลอดจนติดตาม เฝ้าระวัง
รวมทั้งประเมินโอกาสและผลกระทบมาตรการการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางสัญชาติอินเดียเป็นกรณีพิเศษ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งกำหนดแนวทางในการปรับปรุงใบพิกัดและบริหารจัดการการจัดสรรตารางเวลาการบินระหว่างไทยและอินเดียให้มีความเหมาะสมและสมดุลยิ่งขึ้น
ควรคำนึงถึงความพร้อมของผู้ประกอบการสายการบินสัญชาติไทยและขีดความสามารถของท่าอากาศยาน
และกระทรวงคมนาคมควรร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และกรมท่าอากาศยานในการพัฒนา/ปรับปรุงระบบบริหารจัดการท่าอากาศยานโดยการนำระบบที่ทันสมัยมาใช้เพื่อบรรเทาปัญหาความแออัดของท่าอากาศยานจากการขยายเส้นทางการบินตามผลการเจรจาสิทธิการบินได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
308 | การขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร - UNDP (Bangkok-UNDP Regional Innovation Center: RIC) หรือห้องปฏิบัติการนโยบายประเทศไทย (Thailand Policy Lab: TPLab) | นร.11 สศช | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development
Programme : UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร - UNDP
(Bangkok - UNDP Regional Innovation
Center : RIC) และอนุมัติให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างพิธีสารฯ ของฝ่ายไทย
พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม รวมทั้งเห็นชอบกรอบวงเงินโครงการฯ
รวมทั้งสิ้นจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐
ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๗๒,๐๐๐,๐๐๐
บาท โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
โดยร่างพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม
๒๕๗๐ โดยมีกรอบความร่วมมือ ๕ ด้าน ได้แก่ (๑)
การพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์และนวัตกรรมนโยบาย (๒)
การเสริมสร้างศักยภาพด้านนวัตกรรมนโยบาย (๓)
การพัฒนาข้อเสนอแนะด้านนวัตกรรมนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญ (๔) การเสริมสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ของสังคมนวัตกรรมที่เข้มแข็ง
และ (๕) การให้บริการที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมนโยบาย
โดยไทยจะให้เงินอุดหนุนเพิ่มเติมแก่ UNDP เป็นจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มเติมจากเดิม ๓,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ) และขยายระยะเวลาออกไปตั้งแต่
๑ มีนาคม ๒๕๖๘ - ๓๐ กันยายน ๒๕๗๐ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่องการจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
รวมทั้งให้รับข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
309 | โครงการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ตโฟน | กค. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ตโฟน
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ตโฟน
และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หารือเพื่อกำหนดระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ
ที่เหมาะสมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) รวมทั้งความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามมาตรฐาน หลักเกณฑ์
และแนวทางการปฏิบัติงานดิจิทัลในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ การเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ
กระบวนการหรือการดำเนินงานทางดิจิทัล และการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัล
รวมถึงความมั่นคงปลอดภัยและความน่าเชื่อถือตามแนวทางการพัฒนามาตรฐานที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนดอย่างเคร่งครัดด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
310 | การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง | นร. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและต่อเนื่อง
จึงขอกำชับให้รัฐมนตรีที่มีข้าราชการระดับสูงในสังกัดจะเกษียณอายุราชการในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ นี้ เร่งพิจารณาเสนอชื่อผู้ที่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทน
หรือที่ประสงค์จะโยกย้าย สับเปลี่ยน หมุนเวียน ตามแต่กรณี
ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อจะได้มีเวลาเพียงพอในการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปให้แล้วเสร็จทันภายในวันสิ้นปีงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
311 | มาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ 2) | คค. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ [เรื่อง มาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด ๒๐ บาท ตลอดสาย
ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต)
ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย]
จากเดิม สิ้นสุดมาตรการวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ เป็น สิ้นสุดมาตรการวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ ๑.๒ แนวทางการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กรุงเทพมหานคร
และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. รับทราบการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) สำหรับรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล
สายฉลองรัชธรรม สายนัคราพิพัฒน์ และสายสีชมพู ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
เป็นระยะเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๖๙
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. อนุมัติในหลักการการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล
(ระยะที่ ๒) สำหรับโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงและโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
เป็นเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๖๙ ๔.
สำหรับค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) ข้างต้น เมื่อกระทรวงคมนาคม
(การรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้คำนวณเงินค่าใช้จ่ายและพิจารณาแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินมาตรการดังกล่าวให้เหมาะสมและชัดเจนแล้ว
และแตกต่างไปจากที่นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคมรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๕. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย)
กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด ๒๐ บาท
ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย กฎ ระเบียบ
ข้อบังคับ ข้อบัญญัติ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
และความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนระบบตั๋วร่วมที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม
พ.ศ. .... โดยเฉพาะโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วม มาตรฐานทางเทคโนโลยีและรูปแบบของระบบบัตรโดยสารร่วม
รวมถึงการพัฒนาระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central
Clearing House : CCH) เพื่อให้การพัฒนาระบบตั๋วร่วมของระบบขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
เห็นว่าการดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต้องเป็นไปเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ของการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนตามมาตรา
๖ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาวินัยการเงินการคลัง
และความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในการจัดทำและดำเนินโครงการร่วมลงทุนรวมถึงกระบวนการตัดสินใจที่เกี่ยวข้อง ๖. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการดำเนินมาตรการค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสายในระยะยาว
เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนอย่างยั่งยืน
รวมถึงการจัดหาแหล่งเงินทุนในการดำเนินการที่สอดคล้องกับภาระทางการคลังของรัฐภายหลังจากสิ้นสุดมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด ๒๐
บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) ในครั้งนี้ เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการในอนาคตต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
312 | การเสนอรายชื่อบุคคลเพื่อเข้ารับการแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ตามมาตรา 14 (4) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (นายกิตติ สุระคำแหง) | ยธ. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายกิตติ สุระคำแหง เป็นกรรมการ
(ด้านสิทธิมนุษยชน)
ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ตามมาตรา ๑๔ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. ๒๕๖๕
แทนกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากขอลาออก
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
313 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ ฯลฯ จำนวน 4 ราย) | มท. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย
ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑. นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง ๔. ร้อยตำรวจโท ภพชนก ชลานุเคราะห์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
314 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสถาบันการบินพลเรือน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 | คค. | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสถาบันการบินพลเรือน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
315 | การขอความเห็นชอบการจัดทำตราสารการยอมรับของไทยต่อบทเพิ่มเติมสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | กต. | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำตราสารการยอมรับของไทยต่อบทเพิ่มเติมสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งการจัดทำตราสารการยอมรับของไทยต่อบทเพิ่มเติมสนธิสัญญาฯ
ถือเป็นการสนับสนุนกระบวนการภาคยานุวัติเข้าร่วมเป็นรัฐภาคีของสนธิสัญญาฯ ในอนาคต และเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการสนับสนุนการลดอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์
และเป็นการเน้นย้ำบทบาทของไทยในฐานะรัฐผู้เก็บรักษาสนธิสัญญาฯ
ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของไทยและยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ
โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีทางกฎหมายเพิ่มเติมแก่ไทย ดังนั้น
การจัดทำตราสารยอมรับต่อบทเพิ่มเติมสนธิสัญญาฯ เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
316 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2567 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค. | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
ในปีงบประมาณ ๒๕๖๗ นโยบายของคณะกรรมการ
และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต โดยมีสาระสำคัญ
ประกอบด้วย ๑) ผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ ๒๕๖๗ (ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗) เช่น ด้านพัฒนาบริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนทุกกลุ่มเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทาง
๒) นโยบายของคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (รฟม.) เช่น ให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนด้วยความสะดวก
รวดเร็ว ปลอดภัย ตรงเวลา ราคาสมเหตุสมผล
โดยศึกษาแนวทางการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า และนำเทคโนโลยีมาพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ
รวมถึงนำระบบตั๋วร่วมมาใช้พัฒนาบัตรโดยสาร
โดยคำนึงถึงความพึงพอใจของผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม และเร่งรัดดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายต่าง
ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จ เปิดบริการได้ตามแผนงาน และในการศึกษาระบบรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและในเมืองหลักอื่น
ให้คำนึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุน ภาระงบประมาณผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และความพึงพอใจของประชาชนในพื้นที่ดำเนินโครงการเป็นหลักด้วย และ ๓) โครงการและแผนงานของ
รฟม. ในอนาคต โดยคณะกรรมการ รฟม. ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๗
ได้มีมติเห็นชอบผลการทบทวน/ปรับปรุงแผนวิสาหกิจ ปีงบประมาณ ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐
ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ ๒๕๖๘ และแผนปฏิบัติการ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘
โดยในช่วงปีงบประมาณ ๒๕๖๘ - ๒๕๗๐ รฟม. มีโครงการแผนงานที่สำคัญของ รฟม. เช่น ด้านพัฒนาบริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนทุกกลุ่ม
มีแผนที่จะพัฒนาเชื่อมโยงระบบการเดินทางและพัฒนาการบริการด้านต่าง ๆ
เพื่อตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ และด้านสร้างสรรค์ระบบโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีผลิตภาพสูง
และล้ำสมัย มีเป้าหมายว่าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าจะต้องมีความสำเร็จตามแผน
เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
317 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รายการค่าเช่ารถยนต์พร้อมพนักงานขับรถยนต์ 5 คัน และรายการค่าเช่ารถยนต์พร้อมพนักงานขับรถยนต์ 3 คัน รายการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ 5 ปี (ปี 2568-2573) | คค. | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ จากรายการค่าเช่ารถยนต์พร้อมพนักงานขับรถยนต์ ๕ คัน (รถนั่งส่วนกลาง)
ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๓ เป็นรายการค่าเช่ารถยนต์ ๕ คัน
(รถนั่งส่วนกลาง) ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๓ และเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ จากรายการค่าเช่ารถยนต์พร้อมพนักงานขับรถยนต์ ๓ คัน (รถนั่งโดยสาร ๑๒
ที่นั่ง) ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๖๕๗๓ เป็นรายการค่าเช่ารถยนต์ ๓ คัน (รถนั่งโดยสาร
๑๒ ที่นั่ง) ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๖๕๗๓ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์
เสถียรภาพและความมั่งคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
318 | รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีลากิจ ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 | นร.05 | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งว่า รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้ลากิจในวันพุธที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ตั้งแต่เวลา ๑๔.๐๐ น. เป็นต้นไป ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้จัดทำหนังสือเวียนแจ้งให้รัฐมนตรีทุกท่านทราบแล้ว ทั้งนี้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๔๑ กำหนดให้การลาทุกประเภทของนายกรัฐมนตรีให้อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
319 | การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี | นร.04 | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ตามลำดับ ดังนี้ ๑. นายภูมิธรรม เวชยชัย ๒. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ๓. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ๔. นายพิชัย ชุณหวชิร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
320 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน และรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 | คค. | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน
ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน งบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน
และงบกระแสเงินสด และรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองรายงานการเงิน
และสรุปนโยบายการบัญชีที่สำคัญตามรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินแล้ว
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมนำรายงานในเรื่องนี้ไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อรัฐสภาได้รับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว
|