ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1062 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 21221 - 21240 จากข้อมูลทั้งหมด 124293 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21221 | ขอถอนร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2558 จำนวน 2 ฉบับ | รง | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถอนร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดคุณสมบัติของบุคคลซึ่งสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน หลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทน พ.ศ. .... ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคมสำหรับบุคคลซึ่งสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. ....
|
||||||||||||||||||||||||
21222 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... | สว | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติฯ และเมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับแล้ว หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติฯ ควรเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ลักษณะการกระทำของผู้ทำการขอทานกับผู้แสดงความสามารถ การแจ้งและการขอมีบัตรประจำตัวเป็นผู้แสดงความสามารถ โดยจัดทำเป็นคู่มือเพื่อใช้ประกอบในการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย และเอกสารเผยแพร่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้กับประชาชนทั่วไปได้รับทราบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันและมีประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21223 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยผลการดำเนินงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเกี่ยวกับภาพรวมการจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำแนกตามกระทรวงและหน่วยงาน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21224 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/59 ครั้งที่ 17 | กษ | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ครั้งที่ ๑๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๓๕,๖๔๗ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๑ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๒,๑๔๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๖ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๒. การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๑๓ มีนาคม ๒๕๕๙ แผนการใช้น้ำอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๗,๓๖๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๖๔ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๒,๒๒๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๗๐ ของแผนการจัดสรรน้ำ คิดเป็นระบายน้ำเฉลี่ยวันละ ๑๖.๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ช่วงวันที่ ๗-๑๓ มีนาคม ๒๕๕๙ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อนจำนวน ๔ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เฉลี่ยวันละ ๑๗.๙๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๔. สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ ไม่ปลูก ๑.๐๕ ล้านไร่ โดยในพื้นที่ที่ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๖.๓๘ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน ๑.๙๘ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๓๕ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๐๓ ล้านไร่
|
||||||||||||||||||||||||
21225 | รายงานความคืบหน้าในการพัฒนาบริการใหม่ภายใต้ศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (GovChannel) และระบบติดต่อสื่อสารสำหรับหน่วยงานภาครัฐ | ทก | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความคืบหน้าในการพัฒนาบริการใหม่อย่างต่อเนื่องภายใต้ศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (GovChannel) ตามมติคณะรัฐมนตรี และรับทราบรูปแบบการใช้งานของระบบภาษีไปไหนและระบบติดต่อสื่อสารแบบออนไลน์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ (G-Chat) โดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) ได้พัฒนาบริการใหม่ภายใต้ GovChannel ได้แก่ ๑.๑.๑ ระบบบริการข้อมูลข่าวสารภาครัฐแก่ประชาชน ได้แก่ (๑) ระบบแจ้งข้อมูลข่าวสารภาครัฐ (G-News) เป็นแอปพลิเคชันกลางที่หน่วยงานภาครัฐสามารถใช้เป็นช่องทางในการให้ข้อมูลข่าวสารและบริการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและยังสามารถรองรับการแจ้งเตือนข้อมูลบริการจากภาครัฐเฉพาะรายบุคคลส่งตรงถึงประชาชนได้อีกด้วย และ (๒) ระบบภาษีไปไหน ซึ่งเป็นระบบสืบค้นข้อมูลการใช้จ่ายงบประมาณผ่านโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐที่ สรอ. ดำเนินการร่วมกับกรมบัญชีกลางในการดำเนินการภายใต้โครงการ Thailand Government Spending ๑.๑.๒ ระบบติดต่อสื่อสารสำหรับหน่วยงานของภาครัฐที่มีความมั่นคงปลอดภัยและเชื่อถือได้ ได้แก่ (๑) ระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์กลางเพื่อการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐ (MailGoThai) เป็นระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์กลางเพื่อใช้ในการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐ โดยเชื่อมโยงระบบ MailGoThai ให้เข้ากับระบบ Government ID (GovID) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของภาครัฐได้ด้วยบัญชีเดียว และ (๒) ระบบติดต่อสื่อสารแบบออนไลน์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ (G-Chat) เป็นแอปพลิเคชันเพื่อรองรับการสื่อสารภายในและระหว่างหน่วยงานรัฐผ่านคอมพิวเตอร์พื้นฐานและอุปกรณ์สื่อสารแบบเคลื่อนที่ มีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลภาครัฐในระดับสูง (Government Mobile Private & Security Chat) และการบริหารจัดการระดับชั้นและสิทธิของแต่ละบุคคลในการเข้าถึงข้อมูลและการเข้าใช้งานระบบตามที่แต่ละหน่วยงานภาครัฐกำหนด ๑.๒ มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ระบบภาษีไปไหนให้แก่ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนมีช่องทางในการสืบค้นและตรวจสอบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐได้อย่างถูกต้อง และช่วยส่งเสริมความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ ๑.๓ ให้หน่วยงานภาครัฐนำระบบ MailGoThai และระบบ G-Chat ไปใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารภายในและระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ มีความมั่นคง ปลอดภัยของข้อมูล และลดความเสี่ยงในการถูกลักลอบนำข้อมูลทางราชการไปใช้ในทางทุจริตและเกิดความเสียหาย ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เห็นควรพัฒนาระบบให้บริการภาครัฐสำหรับประชาชน (GovChannel) ให้มีความสะดวก ใช้งานง่าย ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ และมีจำนวนเพียงพอต่อผู้ใช้ รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับการใช้งานและการเข้าถึง GovChannel และนำระบบ MailGoThai และระบบ G-Chat ไปใช้งาน พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน และเห็นควรพัฒนาและบริหารจัดการระบบดังกล่าวให้มีความปลอดภัยเชื่อถือได้ โดยใช้แนวทางการรักษาความปลอดภัยบุคคล สถานที่ และข้อมูลข่าวสารตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ มีการกำหนดช่องทางสำรองหรือระบบสำรองในกรณีที่ระบบหลักเกิดปัญหาขัดข้องไม่สามารถใช้บริการได้เพื่อให้สามารถให้บริการระบบดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง และมีการกำหนดมาตรการและแนวทางการรักษาความปลอดภัยการสื่อสาร หรือการส่งข้อมูลราชการที่มีชั้นความลับผ่านทาง ระบบ MailGoThai และระบบ G-Chat นอกจากนี้ ควรดำเนินการประเมินและตรวจสอบช่องโหว่ของระบบและปรับปรุงระบบให้มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานกับทุกส่วนราชการเพื่อปรับปรุงข้อมูลสำหรับให้บริการแก่ประชาชนผ่านศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (GovChannel) ให้เกิดความน่าสนใจและเป็นปัจจุบันด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21226 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการค่าก่อสร้างอาคารเรียน (โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา จังหวัดสงขลา) | ศธ | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการอาคารเรียนโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา จังหวัดสงขลา จากเดิมอาคารเรียนแบบ ๓๒๔ ล/๕๕-ก จำนวน ๑ หลัง วงเงิน ๒๖,๗๒๖,๘๐๐ บาท เป็นอาคารเรียนแบบพิเศษ ๖ ชั้น จำนวน ๑ หลัง ภายในวงเงิน ๒๖,๔๐๒,๕๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๕,๓๔๕,๔๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๒๑,๐๕๗,๑๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากอาคารเรียนได้ตามวัตถุประสงค์ทั้งใช้ในการจัดการเรียนการสอน และการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน รวมทั้งเป็นศูนย์การเรียนภาษาสำหรับครู นักเรียน และชุมชน ในการเตรียมบุคคลให้สู่การอยู่ร่วมกับพลเมืองของอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21227 | โครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | นร | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๘ เรื่อง โครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยให้กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการฯ
|
||||||||||||||||||||||||
21228 | การขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน และการสนับสนุนการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตร ให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรตามมาตรการสำคัญเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร | มท | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล โครงการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน และการสนับสนุนการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร เฉพาะโครงการที่ได้มีการก่อหนี้ผูกพันจนถึงขั้นจองเงินในระบบ PO (Purchase Order) ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ โดยแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๙ ซึ่งกำหนดให้การดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบประมาณ จาก “ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙” เป็น “ให้การดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จตามสัญญา (คาดว่าจะไม่เกินเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙)” ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย กรมบัญชีกลาง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหาแนวทางการดำเนินงานการบริหารจัดการทรัพย์สินที่เกิดจากมาตรการฯ การใช้ประโยชน์ การบำรุงรักษา รวมถึงการโอนทรัพย์สินให้ส่วนราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ ๑.๓ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายในส่วนของค่าใช้จ่ายบริหารจัดการโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ ๕ ล้านบาท) และโครงการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนได้จนถึงเสร็จสิ้นโครงการ รวมถึงการติดตามประเมินผลโครงการซึ่งจะต้องดำเนินการภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินโครงการตามสัญญา ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพย์สินที่เกิดจากมาตรการฯ จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการถือครองและการใช้ประโยชน์ของทรัพย์สินที่ได้มาจากเงินงบประมาณ รวมถึงการบำรุงรักษา หรือการจดทะเบียนทรัพย์สินให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมทั้งควรกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติในการเบิกจ่ายเงินมาตรการฯ รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ตลอดจนกำหนดให้มีกลไกการติดตามประเมินผลโครงการที่จะดำเนินการภายหลังจากเสร็จสิ้นการดำเนินโครงการตามสัญญาแล้ว เพื่อเป็นการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ และนำไปเป็นข้อมูลสำหรับกำหนดมาตรการในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21229 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | คค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๘,๙๐๐ ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยรับภาระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ส่วนการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมตามแบบฟอร์มที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อประกอบการพิจารณาในขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการดำเนินการของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรและกำหนดมาตรการที่เข้มงวดในการแก้ไขปัญหาขาดทุน รวมทั้งจัดทำแผนการฟื้นฟูกิจการเพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนที่จะเสนองบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในปีงบประมาณถัดไป การรถไฟแห่งประเทศไทยควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาการกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินการและเสริมสภาพคล่องในคราวเดียวกัน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาภาระหนี้สะสมของการรถไฟแห่งประเทศไทยในภาพรวมได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง |
||||||||||||||||||||||||
21230 | ขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) | มท | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OVERDRAFT : O/D) กับธนาคารที่มีเงื่อนไขเหมาะสมที่สุด เพื่อสำรองไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเสริมสภาพคล่องในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เป็นระยะเวลา ๑ ปี (มกราคม-ธันวาคม ๒๕๕๙) ในวงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรพิจารณาวิธีการกู้เงินระยะสั้นในรูปแบบอื่น ๆ และพิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินด้วยวิธีการประมูล เพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านต้นทุนที่เหมาะสมตามอัตราดอกเบี้ยตลาด และให้หน่วยงานให้ความสำคัญกับการชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภค หากมีเงินเหลือจ่ายก็ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการเป็นลำดับแรก รวมทั้งให้ส่วนราชการที่ค้างชำระค่าสาธารณูปโภคเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ อย่างเคร่งครัดด้วย นอกจากนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้ กฟภ. เร่งพิจารณาหาแนวทางหรือมาตรการในการติดตามและเร่งรัดผู้ใช้ไฟฟ้าชำระค่าไฟฟ้าภายในวันครบกำหนดระยะเวลา สำหรับกรณีของส่วนราชการให้พิจารณาประสานความร่วมมือในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
21231 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล เฉพาะโครงการที่จะต้องขอใช้พื้นที่เพื่อดำเนินโครงการ | มท | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินการตามโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล เฉพาะโครงการที่จะต้องขอใช้พื้นที่ (ป่าสงวนแห่งชาติและที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติ) จากหน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาตามกฎหมาย โดยแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ในส่วนที่กำหนดให้ดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณตามโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ จาก “ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙” เป็น “ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙” ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนดระยะเวลาด้วย รวมทั้งการพิจารณาอนุญาตการเข้าใช้พื้นที่ให้เป็นไปตามหลักการของกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21232 | การร่วมเป็นเจ้าภาพการประชุมเชิงปฎิบัติการระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการปฏิบัติตามสนธิสัญญาว่าด้วยการค้าอาวุธ ระหว่างวันที่ 4 - 5 เมษายน 2559 | กต | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศตอบรับการเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการปฏิบัติตามสนธิสัญญาว่าด้วยการค้าอาวุธ ณ โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๔-๕ เมษายน ๒๕๕๙ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายคณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก มีหนังสือแลกเปลี่ยนตอบรับข้อตกลงการเป็นประเทศเจ้าภาพ (Host Country Agreement) สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรรายงานผลการประชุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อให้มีการพิจารณาศึกษาผลกระทบทั้งด้านกฎหมาย ความมั่นคง การค้า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งจากการละเมิดสนธิสัญญา รวมทั้งไม่ให้เกิดพันธกรณีที่ทำให้ประเทศสูญเสียผลประโยชน์จากการให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21233 | การนำเข้าหัวพันธุ์มันฝรั่ง หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ตามพันธกรณีความตกลงระหว่างประเทศ ปี 2559 | กษ | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การเปิดตลาดหัวพันธุ์มันฝรั่ง ตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๕๙ ไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ (ตามข้อผูกพันร้อยละ ๒๗) และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ โดยให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง กำหนด และให้การนำเข้ามีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ ๑.๒ การเปิดตลาดหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ตามข้อผูกพัน WTO ปี ๒๕๕๙ ปริมาณในโควตา ๔๕,๐๐๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ โดยให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง กำหนด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพัฒนาและขยายพันธุ์มันฝรั่งเพื่อจัดสรรให้กับเกษตรกร และถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการบริหารจัดการแปลงมันฝรั่ง รวมทั้งวิธีป้องกันโรคและการลดการสะสมของโรคในมันฝรั่งให้กับเกษตรกร ตลอดจนร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสำรวจพื้นที่เพาะปลูกมันฝรั่งให้บ่อยครั้งมากขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการและส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งเพื่อทดแทนการนำเข้าในพื้นที่ที่เหมาะสมให้มากขึ้น และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21234 | ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ 66 (SC66) และแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | ทส | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปประเด็นสำคัญในวาระการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ครั้งที่ ๖๖ ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ซึ่งที่ประชุมฯ มีมติให้ประเทศในกลุ่ม Primary Concern ซึ่งรวมถึงประเทศไทยเสนอรายงานเพิ่มเติมวิธีการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งชาติ การดำเนินการในกิจกรรมหรือประเด็นใหม่ ๆ หรือการพัฒนานโยบายในการต่อต้านการล่าช้างและค้างาช้างผิดกฎหมายไปยังสำนักเลขาธิการ CITES ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๒.๑ ให้กรมการปกครองเร่งรัดการแก้ไขพระราชบัญญัติสัตว์พาหนะ พ.ศ. ๒๔๘๒ ให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการควบคุมช้างบ้านและป้องกันมิให้นำช้างที่ผิดกฎหมายมาจดทะเบียนเป็นช้างบ้าน ๑.๒.๒ ให้กรมการปกครองร่วมกับกรมปศุสัตว์และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เร่งรัดดำเนินการรวบรวมข้อมูล DNA ของช้างบ้านทั้งหมดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาความเหมาะสมในการควบคุมการครอบครองสัตว์ในบัญชี CITES ที่เป็นสัตว์ต่างถิ่น (Non-native species) เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญา CITES และกำหนดมาตรการที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นในการควบคุม กำกับ ดูแลสวนสัตว์สาธารณะและสถานเพาะพันธุ์สัตว์ป่าที่มีสัตว์ตระกูลแมวใหญ่ของเอเชีย เพื่อมิให้มีการนำสัตว์ดังกล่าวเข้าสู่การค้าระหว่างประเทศที่ผิดกฎหมาย ๑.๓ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการค้าและการครอบครองช้างไทยในประเทศ ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ๖ หมวดกิจกรรม ได้แก่ (๑) การออกระเบียบและกฎหมาย (๒) การพัฒนา/ปรับปรุงระบบทะเบียนข้อมูล (๓) การกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย (๔) การศึกษาวิจัยและเสริมสร้างศักยภาพ (๕) การประชาสัมพันธ์ และ (๖) การติดตามและประเมินผล ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมให้กรมศุลกากรเป็นหนึ่งในหน่วยงานรับผิดชอบในกิจกรรมพิจารณาทบทวนเส้นทางการลักลอบนำเข้า-ส่งออกงาช้างจากข้อมูล ETIS (The Elephant Trade Information System) และให้ความสำคัญในเรื่องประเด็นม้าน้ำ รวมถึงดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการด้านสัตว์ (Animals Committee : AC) อย่างจริงจัง และรายงานต่อสำนักเลขาธิการ CITES ทราบเป็นระยะ ๆ ก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯ (Standing Committee : SC) ครั้งที่ ๖๗ รวมทั้งควรมีการดำเนินการในเรื่องงาช้างอย่างต่อเนื่อง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการกับสัตว์ต่างถิ่นชนิดพันธุ์อื่น ๆ โดยให้มีการออกแบบการจัดการทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21235 | ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และวงเงินงบประมาณรายจ่ายของโครงการดังกล่าวตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) ๑.๒ อนุมัติให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ในรูปแบบ PPP Next Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ค่างานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนรวมเป็นเวลา ๓๓ ปี ๓ เดือน (ระยะเวลาการก่อสร้าง ๓ ปี ๓ เดือน และระยะเวลาเดินรถ ๓๐ ปี) และเอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสารของโครงการ (Ridership Risk) ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๕๖ โดยเคร่งครัดต่อไป ๑.๓ อนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ในกรอบวงเงินรวมจำนวน ๖,๘๔๗ ล้านบาท และ ๖,๐๑๓ ล้านบาท ตามลำดับ โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินจริงต่อไป ๑.๔ อนุมัติกรอบวงเงินสนับสนุนแก่เอกชนเป็นเงินสนับสนุนค่างานโยธา ในวงเงินไม่เกิน ๒๐,๑๓๕ ล้านบาท สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และไม่เกิน ๒๒,๓๕๔ ล้านบาท สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ที่เป็นมูลค่าปัจจุบันตามที่ตกลงในสัญญาสัมปทาน โดยทยอยจ่ายให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดเดินรถแล้ว และแบ่งจ่ายเป็นรายปี โดยกำหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี ทั้งนี้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณร่วมพิจารณาแหล่งเงินและรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการจ่ายเงินสนับสนุนแก่เอกชนต่อไป ๑.๕ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและ รฟม. รับไปดำเนินการ (๑) กำกับดูแลให้โครงการรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ สามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนงานเพื่อลดความเสี่ยงด้านปริมาณผู้โดยสาร และพิจารณาความเหมาะสมของอัตราค่าโดยสาร รวมทั้งเร่งดำเนินการใช้ระบบตั๋วร่วมและการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมในภาพรวม ทั้งในระบบรถไฟฟ้าและระบบขนส่งมวลชนรูปแบบอื่น ตลอดจนเร่งรัดการปฏิรูปเส้นทางเดินรถโดยสารสาธารณะให้สอดคล้องกับเส้นทางและระยะเวลาการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว (๒) พิจารณารูปแบบลักษณะการจ่ายเงินสนับสนุนแก่เอกชนที่สามารถส่งเสริมการประเมินผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด (KPI) ของโครงการ เพื่อให้เอกชนเกิดแรงจูงใจในการพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเมื่อเอกชนมีผลประกอบการเกินกว่าระดับที่ตกลงกันแล้ว ก็ควรพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดส่วนแบ่งรายได้จากผลประกอบการที่ดีขึ้นด้วย (๓) เร่งจัดทำแผนการดำเนินโครงการในรายละเอียดที่ชัดเจน โดยเฉพาะแผนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และพิจารณาวงเงินขอรับจัดสรรงบประมาณสำหรับจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เพียงพอและสอดคล้องกับขั้นตอน/ระยะเวลาการดำเนินโครงการ รวมทั้งประสานกระทรวงมหาดไทยและ/หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าให้สามารถรองรับการขยายตัวของเมืองได้มากขึ้นต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการรับความเสี่ยง และการกำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของตลาด เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการประมูลโครงการ การแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้า โดยมีองค์ประกอบเป็นผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุน เสนอแนะ และให้ข้อคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาในเชิงบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของ รฟม. การกำหนดผลตอบแทนจากการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดเงินในปัจจุบัน และพิจารณากรอบวงเงินสนับสนุนให้แก่เอกชนผู้เข้าร่วมดำเนินโครงการให้อยู่บนหลักการที่ภาคเอกชนต้องมีส่วนรับผิดชอบค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการกำหนดให้ส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ภาครัฐในอัตราที่เหมาะสม รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไขของสัญญาที่มีบทปรับที่สะท้อนถึงมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจในกรณีที่ภาคเอกชนไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ตามกำหนดการ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. กำกับการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเริ่มการประมูลได้ตามกำหนดเวลา โปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตามขั้นตอนการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกำหนดเวลาตามมาตรการ PPP Fast Track เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระยะเวลาในการศึกษา และวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบและครบถ้วน |
||||||||||||||||||||||||
21236 | ร่างพระราชกำหนดการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. .... | รง | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกำหนดการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศไทย เพื่อประโยชน์ในการควบคุมการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานและป้องกันมิให้มีการลักลอบการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
๑. ข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ๑.๑ การตราเป็นพระราชกำหนดต้องเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน จึงควรพิจารณาความเหมาะสมของรูปแบบในการตรากฎหมายด้วย ๑.๒ ร่างมาตรา ๘ เป็นการให้อำนาจอย่างกว้างขวางในการยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามพระราชกำหนดนี้และกฎหมายอื่นอีก ๕ ฉบับ จึงควรกำหนดความชัดเจนว่ากรณีใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่องที่จะยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามพระราชกำหนดนี้และกฎหมายอื่นด้วย ๑.๓ ควรพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนของกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น กฎหมายว่าด้วยการจัดหางานและคุ้มครองคนหางานและกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว ๑.๔ หากมีประเด็นใดที่มีความจำเป็นรีบด่วนควรใช้อำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เพื่อดำเนินการไปพลางก่อนได้ ๒. ความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่า การกำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศ ต้องมีทุนเป็นของผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยไม่น้อยกว่า ๓ ใน ๔ ของจำนวนทุนทั้งหมด ตามมาตรา ๑๑ ของร่างพระราชกำหนดฯ ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีและแนวทางการเปิดเสรีการค้าบริการของไทยภายใต้กรอบอาเซียน และ FTA ที่อยู่ระหว่างการเจรจา เช่น ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค (RCEP) โดยพันธกรณีของไทยที่ได้ผูกพันไว้แล้ว ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการบริการของอาเซียน เปิดให้ต่างชาติถือหุ้นได้ถึงร้อยละ ๔๙ ซึ่งพันธกรณีดังกล่าวของไทย ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจากรัฐสภาแล้ว เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ทั้งนี้ ในการเปิดเสรีการค้าบริการในอาเซียน และ FTA ในอนาคต ไทยมีแนวโน้มที่จะต้องปฏิบัติตามพันธกรณีที่ต้องเปิดให้ต่างชาติถือหุ้นได้มากกว่าร้อยละ ๔๙ |
||||||||||||||||||||||||
21237 | ร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... | อก | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอขอถอนร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... เพื่อนำไปหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยให้ได้ข้อยุติ และเมื่อได้ข้อยุติแล้วให้เสนอคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีว่า ในการดำเนินการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ควรกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคณะต่าง ๆ ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ให้ชัดเจน โดยให้คณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นผู้วางกลไก (Regulator) ในการบริหารจัดการพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้บูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และอำนวยความสะดวก เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่เฉพาะมีความสอดคล้องกับศักยภาพแต่ละพื้นที่ภายใต้หลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน หลักความโปร่งใส และหลักการการมีส่วนร่วมของประชาชน และเพื่อให้การบริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
21238 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันการพยาบาล สภากาชาดไทย พ.ศ. .... | ศธ | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันการพยาบาล สภากาชาดไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกฐานะของวิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทยมาจัดตั้งเป็นสถาบันการพยาบาล สภากาชาดไทย เพื่อยกระดับการบริหารการศึกษาของวิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทยให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางที่สามารถประสาทปริญญาบัตรได้ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรปรับร่างมาตรา ๑๕ วรรคห้า และวรรคหก ออก กรณีรายได้ไม่เพียงพอ หรือรัฐบาลได้ปรับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง ค่าตอบแทน หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดให้ข้าราชการ ให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้สถาบัน เนื่องจากในกรณีที่รายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของสถาบันในระหว่างปีงบประมาณ สถาบันก็สามารถขอรับการจัดสรรงบประมาณหรือเงินรายได้ผ่านสภากาชาดไทยตามขั้นตอนและวิธีการตามกฎหมายวิธีการงบประมาณได้อยู่แล้ว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21239 | แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (พ.ศ. 2557 - 2560) ฉบับทบทวนใหม่ (รอบปี พ.ศ. 2560) แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร12 | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนพัฒนาจังหวัด จำนวน ๗๖ จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด จำนวน ๑๘ กลุ่มจังหวัด (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) ฉบับทบทวนใหม่ (รอบปี พ.ศ. ๒๕๖๐) ๑.๒ แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๖ จังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๗๖ จังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒. ในส่วนโครงการของกระทรวง กรม และโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของโครงการเพื่อเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดพิจารณานำแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยใช้ “ห่วงโซ่คุณค่า” มาเป็นกรอบในการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของแผนงาน/โครงการภายใต้แผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง โดยอาจปรับลำดับโครงการที่อยู่ในส่วนเห็นชอบสนับสนุนภายในกรอบวงเงิน และเห็นชอบสนับสนุนเกินกรอบวงเงินให้สอดคล้องตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีภายใต้กรอบวงเงินเดิมได้ อย่างไรก็ตามจังหวัดและกลุ่มจังหวัดควรให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการตามแผน ให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งกระทรวง กรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาในเชิงพื้นที่ โดยพิจารณาจัดทำคำของบประมาณโครงการที่สอดคล้องกับศักยภาพและโอกาสการพัฒนาของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21240 | โครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ. 2559 - 2572) | ศธ | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๗๒) โดยเป็นการนำร่องการผลิตครูระบบจำกัดรับ (ระบบปิด) ในสาขาวิชาและพื้นที่ที่เป็นความต้องการของหน่วยงานผู้ใช้ครู ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรุงเทพมหานคร และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โดยดึงดูดคนดี คนเก่งเข้ามาศึกษาวิชาชีพครู ด้วยหลักสูตรและกระบวนการที่เน้นการปฏิบัติและการฝึกอบรมที่เข้มข้น และเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูในภูมิลำเนาของตนเอง มีเป้าหมายรวมตลอดโครงการจำนวนรวมทั้งสิ้น ๔๘,๓๗๔ คน ทั้งนี้ อัตราที่บรรจุเป็นข้าราชการครูดังกล่าวเป็นอัตราเกษียณอายุราชการของแต่ละหน่วยงานระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ (มิใช่อัตราตั้งใหม่) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการเฉพาะในระยะที่ ๑ ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ส่วนงบประมาณดำเนินการ ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนการปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสาขาวิชาที่ผลิตโดยเฉพาะสาขาวิชาชีพที่ควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังคนของประเทศและนโยบายด้านอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศในอนาคต (S-curve) รวมทั้งพื้นที่ในการบรรจุข้าราชการครูควรเป็นไปในลักษณะการกระจายไปยังท้องถิ่น มิใช่กระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาเกี่ยวกับการจัดทำแผนการผลิตครูที่สะท้อนถึงความต้องการในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง การจัดทำแนวทาง วิธีการ และตัวชี้วัดโครงการที่สะท้อนถึงผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการที่ชัดเจนทั้งในเรื่องของการกระจายครูในพื้นที่ คุณภาพของครูที่ผลิต การลดความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการศึกษาในเชิงพื้นที่ การจัดทำแผนการผลิตครูภาพรวมที่คำนึงถึงสัดส่วนครูต่อนักเรียนที่เหมาะสม ตลอดจนการจัดทำแนวทาง วิธีการ และตัวชี้วัดโครงการที่สะท้อนถึงผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของการขอใช้อัตราเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูเพื่อบรรจุนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาตามหลักเกณฑ์ของโครงการ ให้กระทรวงศึกษาธิการนำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ [ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ เรื่อง มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑)] เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ส่วนโครงการในระยะที่ ๒ ตั้งแต่ปี ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ให้กระทรวงศึกษาธิการนำไปบรรจุไว้ในแผนการปฏิรูปการศึกษาที่จะส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไปรับไปพิจารณาดำเนินการ ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เกี่ยวกับโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๗๒) มีการให้ทุนการศึกษาแก่ผู้เข้าร่วมโครงการด้วย และเพื่อเป็นการป้องกันกรณีการไม่ชดใช้ทุนการศึกษา จึงควรมีมาตรการป้องกันปัญหาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....