ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1065 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 21281 - 21300 จากข้อมูลทั้งหมด 124293 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21281 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) คดีระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ฟ้องคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน ต่อศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย | อส | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) คดีระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ฟ้องคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ ๑ กับพวกรวม ๓ คน ต่อศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||
21282 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เกี่ยวกับภาพรวมการจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำแนกตามกระทรวงและหน่วยงาน ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ประกอบด้วยผลการดำเนินงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นเกี่ยวกับภาพรวมการจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำแนกตามกระทรวงและหน่วยงาน ที่สำนักงบประมาณเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
21283 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมกราคม 2559 | นร11 | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. เศรษฐกิจไทยเดือนมกราคม ๒๕๕๙ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวเร่งขึ้น ขณะที่ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีปริมาณการส่งออก ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงหลังจากการขยายตัวในเกณฑ์สูงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๕๘ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๘ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศและภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะเห็นได้จากการขยายตัวของดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร จำนวนนักท่องเที่ยว รวมทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ เศรษฐกิจกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีทิศทางชะลอตัวตามเศรษฐกิจยูโรโซนและเศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งมีสาเหตุจากการชะลอตัวของภาคการผลิตและการบริโภคภายในประเทศ ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของตลาดแรงงานซึ่งส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจจีนชะลอตัวต่อเนื่องตามการหดตัวในอัตราเร่งขึ้นของการส่งออกและการชะลอตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับเศรษฐกิจประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียที่ชะลอตัวตามการส่งออกและการผลิตในภาคอุตสาหกรรม
|
||||||||||||||||||
21284 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/59 ครั้งที่ 15 และครั้งที่ 16 | กษ | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ครั้งที่ ๑๕ ๑.๑ สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๙ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๓๖,๓๔๑ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๒ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๒,๘๓๘ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๗ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๑.๒ การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๒ มีนาคม ๒๕๕๙ แผนการใช้น้ำอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๖,๔๓๒ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๖ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๒,๐๒๙ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๖๓ ของแผนการจัดสรรน้ำ คิดเป็นระบายน้ำเฉลี่ยวันละ ๑๖.๕๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๓ การบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ช่วงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์-๒?๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อนจำนวน ๔ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เฉลี่ยวันละ ๑๗.๙๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๔ สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ ไม่ปลูก ๑.๐๕ ล้านไร่ โดยในพื้นที่ที่ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๖.๓๘ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน ๑.๙๗ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๐.๘๒ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๐๓ ล้านไร่ ๒. สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ครั้งที่ ๑๖ ๒.๑ สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๓๖,๑๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๑ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๒,๕๙๗ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๗ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๒.๒ การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๖ มีนาคม ๒๕๕๙ แผนการใช้น้ำอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๖,๗๕๕ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๙ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๒,๑๐๑ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๖๖ ของแผนการจัดสรรน้ำ คิดเป็นระบายน้ำเฉลี่ยวันละ ๑๖.๕๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓ การบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ช่วงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์-๖ มีนาคม ๒๕๕๙ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อนจำนวน ๔ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เฉลี่ยวันละ ๑๗.๘๖ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๔ สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ ไม่ปลูก ๑.๐๕ ล้านไร่ โดยในพื้นที่ที่ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๖.๓๘ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน ๑.๙๗ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๐.๘๒ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๐๓ ล้านไร่
|
||||||||||||||||||
21285 | โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด | พม | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการให้เงินอุดหนุนตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดโดยให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจนครบอายุ ๓ ปี (๓๖ เดือน) ที่อยู่ในครอบครัวยากจนหรือเสี่ยงต่อความยากจน และดำเนินการโครงการต่อเนื่องสำหรับกลุ่มเป้าหมายใหม่แต่ละปี เป็นเงินรายละ ๖๐๐ บาทต่อเดือน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยในส่วนของงบประมาณในการดำเนินการ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประเมินผลสำเร็จจากการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในระยะครึ่งปีและสิ้นปีงบประมาณ และเตรียมความพร้อมข้อมูลพื้นฐานในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรมีการตรวจสอบผู้ได้รับสิทธิ์ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเดิมทุกปี เพื่อให้การจ่ายเงินอุดหนุนเป็นปัจจุบันและสอดรับกับหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ และจัดทำระบบการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและกลุ่มเป้าหมายได้เข้าถึงโครงการอย่างทั่วถึง รวมทั้งควรมีการสร้างฐานข้อมูลของเด็กที่เข้าร่วมโครงการในระยะยาวเพื่อใช้ในการติดตามผลลัพธ์ของการได้รับเงินอุดหนุนตามโครงการนี้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประเมินผลในเชิงความคุ้มค่าและผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นรายปี แล้วรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
||||||||||||||||||
21286 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - สาธารณรัฐเกาหลี | คค | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-สาธารณรัฐเกาหลี ฉบับลงนาม วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและสาธารณรัฐเกาหลี มีสาระสำคัญคือ ทั้งสองฝ่ายเพิ่มข้อบทเรื่อง การแข่งขันที่เป็นธรรม (Fair Competition) ไว้ในความตกลงฯ เพื่อให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายได้รับโอกาสที่เท่าเทียมและเป็นธรรมในการทำการบิน โดยมีถ้อยคำเป็นไปตามร่างความตกลงฯ ฉบับมาตรฐานของไทย และสอดคล้องกับกฎหมายภายในของทั้งสองประเทศ รวมทั้งปรับปรุงข้อบทพิกัดอัตราค่าขนส่ง (Tariff) ให้เสรีมากยิ่งขึ้น โดยให้สายการบินสามารถกำหนดพิกัดอัตราค่าขนส่งของตนเอง และแจ้งพิกัดอัตราค่าขนส่งที่สายการบินกำหนดให้กับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจโดยไม่ต้องขออนุมัติ ๑.๒ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมศุลกากร และกรมควบคุมโรค เป็นต้น กำกับการให้บริการและการรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานไทยให้ได้มาตรฐานตามข้อตกลงระหว่างประเทศ รวมทั้งวางแผนการบริหารจัดการห้วงอากาศเพื่อให้สามารถรองรับปริมาณความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
21287 | โครงการฝึกอบรมหลักสูตรกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน | มท | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กรมการปกครอง (วิทยาลัยการปกครอง) ดำเนินการโครงการฝึกอบรมหลักสูตรกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประกอบด้วย หมวดวิชาอำนาจหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน (Law Function) หมวดวิชาการเป็นตัวแทนของรัฐบาลในพื้นที่ (Area Manager) หมวดวิชาการเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่มีคุณธรรม (The good officer) และหมวดกิจกรรมการศึกษาดูงาน (The Best Practice) ระยะเวลาฝึกอบรมไม่น้อยกว่ารุ่นละ ๑๒ วัน โดยให้ปรับเพิ่มเป้าหมายการฝึกอบรมกำนันและผู้ใหญ่บ้าน จากร้อยละ ๕ เป็นร้อยละ ๑๐ ของจำนวนกำนันและผู้ใหญ่บ้านทั้งหมด เพื่อให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านสามารถเข้ารับการฝึกอบรมครบถ้วนทุกคนได้อย่างรวดเร็วขึ้น รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนการจัดฝึกอบรมโดยกำหนดเนื้อหาหลักสูตรให้ครอบคลุมสาระสำคัญด้านต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เช่น ความรู้ด้านการรักษาความมั่นคง การบริหารราชการแผ่นดิน/การบริหารงบประมาณ และกลไกประชารัฐ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหลักสูตรให้สอดคล้องกับการแก้ปัญหาและการให้บริการประชาชน เพื่อให้สามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ รวมทั้งกำหนดให้มีการติดตามและประเมินผลการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าวเป็นระยะ ๆ เพื่อนำผลการประเมินดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาในการปรับปรุงหลักสูตรการฝึกอบรมให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป ตลอดจนเร่งรัดการฝึกอบรมกลุ่มเป้าหมายให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
21288 | แผนบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง (พ.ศ. 2558 - 2564) | นร08 | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการมอบหมายผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการจัดระเบียบพื้นที่ที่มีเงื่อนไขของปัญหาความมั่นคงหรือควบคุมการใช้พื้นที่ที่มีปัญหาเส้นเขตแดนทับซ้อนไปพิจารณาดำเนินการปรับแผนบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๔) ให้เหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริง รวมทั้งปรับปรุงแผนดังกล่าวให้มีความชัดเจนในการปฏิบัติในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง เช่น การดำเนินการด้านกฎหมาย การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การเปิด-ระงับ หรือปิดจุดผ่านแดนต่าง ๆ ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมข้อความ “พัฒนาระบบการป้องกันการระบาดในสัตว์ตามแนวชายแดนร่วมกับการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์อย่างยั่งยืน” ในข้อ ๔.๖ พัฒนาระบบการตรวจโรคระบาดและระบบส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดน และเมื่อจัดทำแผนบริหารจัดการชายแดนฯ (แผนหลัก) แล้วเสร็จ ควรให้แต่ละกลุ่มภารกิจย่อยจัดทำแผนปฏิบัติงานของกลุ่มเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยง สอดคล้องและชัดเจนในการปฏิบัติงาน ทั้งแผนการดำเนินงานและแผนงบประมาณเพื่อให้สามารถกำหนดขอบเขตภาระงานในปีต่อไปได้ สำหรับกรณีระบบตรวจคนเข้าเมืองที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ควรทำการยกระดับการติดตามคนเข้าเมืองตามมาตรฐานสากลด้านการรักษาความปลอดภัย โดยปรับปรุงพัฒนาระบบฐานข้อมูลและพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลคนเข้าเมืองไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานระดับกระทรวงตั้งแต่ ๒ หน่วยงานขึ้นไปให้เป็นระบบเดียว (National Single Window) และหาแนวทางการบูรณาการจัดตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกัน โดยให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ รวมทั้งควรสร้างเครือข่ายภาคประชาชนตามแนวพื้นที่ชายแดนเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และรายงานสถานการณ์ภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
21289 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้สิทธิพิเศษแก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ตั้งแต่ 10,000 ลิตรขึ้นไป กับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจอื่น | กค | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ที่กำหนดให้สิทธิพิเศษของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ ลิตรขึ้นไป ให้แก่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจอื่นนอกจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประเภทไม่บังคับ เพื่อให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจอื่นนอกจาก กฟผ. มีทางเลือกในการจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ ลิตรขึ้นไป และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||
21290 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - สเปน | คค | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-สเปน ฉบับลงนาม วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและสเปน มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ การกำหนดสายการบิน ใบพิกัดเส้นทางบิน ความจุ ความถี่ และสิทธิรับขนการจราจร และการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๑.๒ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของทั้งสองประเทศกำหนดว่าเจ้าหน้าที่เดินอากาศทั้งสองฝ่ายตกลงจะนำหลักการ (principles) ของความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฉบับใหม่ไปใช้เป็นการชั่วคราวและภายใต้อำนาจหน้าที่ของตนจนกว่าจะมีการทำความตกลงฉบับใหม่ นั้น โดยที่การจัดทำร่างความตกลงฉบับใหม่ยังไม่แล้วเสร็จและมีประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติหลายประการ จึงควรที่หน่วยงานเกี่ยวกับการเดินอากาศของทั้งสองฝ่ายจะได้หารือกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนตรงกันและสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมศุลกากร และกรมควบคุมโรค เป็นต้น กำกับการให้บริการและการรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานไทยให้ได้มาตรฐานตามข้อตกลงระหว่างประเทศ รวมทั้งวางแผนการบริหารจัดการห้วงอากาศเพื่อให้สามารถรองรับปริมาณความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
21291 | ร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มประเภทของหุ้นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถซื้อหรือมีไว้ได้ และเพิ่มประเภทสินทรัพย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถเข้าลงทุนได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดสัดส่วนการลงทุน โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินทรัพย์ที่ไปลงทุน จัดให้มีกระบวนการติดตามและกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด และมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการจัดให้มีระบบการบันทึกบัญชีที่สามารถแสดงผลตอบแทนจากการลงทุนตามประเภทของสินทรัพย์อย่างชัดเจน เพื่อให้การลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
21292 | หลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหาร และข้าราชการตำรวจ ผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน (ข้าราชการทหาร) | กห | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหาร มีสาระสำคัญเป็นการบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารผู้รับเงินเดือน ป.๑, ป.๒, น.๔, น.๕, น.๖ และ น.๗ ในระหว่างการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๑๑/๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารกับข้าราชการประเภทอื่น ประกอบกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการเยียวยาให้ข้าราชการในหน่วยงานตนได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรม และเห็นชอบให้ถอนร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนออกจากชั้นการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจ มีสาระสำคัญเป็นการบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจผู้รับเงินเดือนระดับ ส.๔, ส.๕, ส.๖ และ ส.๗ ในระหว่างการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๖๘/๑ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจกับข้าราชการประเภทอื่น ประกอบกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการเยียวยาให้ข้าราชการในหน่วยงานตนได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรม โดยเป็นการกำหนดอัตราและวิธีการเยียวยาเช่นเดียวกับหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหาร ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปพิจารณาทบทวนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. คณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เกี่ยวกับการเยียวยาความเหลื่อมล้ำสามารถดำเนินการได้โดยหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และควรพิจารณาทบทวนร่างหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน (กรณีหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาฯ) จะมีผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐในการคำนวณเงินบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ค่าตอบแทนของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐประเภทต่าง ๆ) รวมทั้งการปรับปรุงบัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจนั้น ควรพิจารณาพร้อมกับการปรับปรุงค่าตอบแทนของข้าราชการทั้งระบบ เพื่อมิให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำของค่าตอบแทนของข้าราชการประเภทต่าง ๆ ที่มีอัตราค่าตอบแทนยึดโยงกัน |
||||||||||||||||||
21293 | การขอความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และการแก้ไขมาตรา 12 ของข้อแก้ไขความตกลงเกี่ยวกับองค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ | ทก | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้องค์การโทรคมนาคมดาวเทียมระหว่างประเทศ ทรัพย์สิน และบรรณสารขององค์การ ผู้แทนของภาคีองค์การ และเจ้าหน้าที่ขององค์การได้รับเอกสิทธิ์ สิทธิยกเว้น และความคุ้มกันในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยหรือเข้ามาในประเทศไทยเพื่อปฏิบัติหน้าที่หรือในการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับองค์การ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. เห็นชอบการแก้ไขมาตรา ๑๒ (c) (ii) ของข้อแก้ไขความตกลงว่าด้วยองค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ เพื่อเป็นการคุ้มครองประเทศภาคีสมาชิกในเรื่องมรดกร่วม (Common Heritage) ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมและการจัดสรรคลื่นความถี่ เพื่อให้บรรลุตามหลักการเบื้องต้นขององค์การ ซึ่งได้แก่ การคงไว้ซึ่งการเชื่อมโยงและครอบคลุมทั่วโลก การให้บริการแก่ลูกค้าซึ่งไม่มีทางเลือกอื่น และการจัดให้มีการเข้าถึงระบบของบริษัทโดยไม่เลือกปฏิบัติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการเห็นชอบดังกล่าวให้ผู้เก็บรักษาความตกลงฯ ต่อไป |
||||||||||||||||||
21294 | การให้สัตยาบันพิธีสารว่าด้วยกรอบกฎหมายเพื่อดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (แนวทางการปฏิบัติในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่มีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการอย่างชัดเจนและทราบล่วงหน้าอยู่แล้ว) | กค | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสารของพิธีสารว่าด้วยกรอบกฎหมายเพื่อดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน และดำเนินการส่งมอบแก่เลขาธิการอาเซียนต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการเชื่อมโยงระบบ National Single Window ของหน่วยงานภายในประเทศให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งให้ความสำคัญกับการแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ในการจัดตั้งและเชื่อมโยงระบบดังกล่าวแก่ประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อให้การพัฒนาระบบของแต่ละประเทศมีความเท่าเทียมและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการจัดตั้ง ASEAN Single Window และจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในทางปฏิบัติอย่างแท้จริงไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่มีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการอย่างชัดเจนและทราบล่วงหน้าอยู่แล้ว ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี) อย่างเคร่งครัดด้วย |
||||||||||||||||||
21295 | การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | กค | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการธนาคารออมสินให้เป็นผู้กำหนดวงเงินจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการธนาคารออมสิน ประกาศงบดุลซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้รับรองแล้วและประกาศฐานะการเงินโดยย่อของธนาคารออมสินประจำไตรมาสภายในหกเดือนต้นของปีถัดไป ประกาศรายงานประจำปีว่าด้วยธุรกิจซึ่งธนาคารออมสินได้จัดทำในระหว่างปี จำนวนผู้ฝาก จำนวนเงินฝาก จำนวนเงินดอกเบี้ยที่จ่ายผลประโยชน์ที่ได้มาจากเงินทุนและอื่น ๆ และให้ธนาคารออมสินสามารถได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือจากแหล่งอื่นได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเกี่ยวกับประเด็นการเพิ่มทุนของธนาคารออมสินอาจได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือจากแหล่งอื่น การเสนอแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการธนาคารออมสินเพื่อให้สอดคล้องกับร่างมาตรา ๒๕ และร่างมาตรา ๒๖ ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม การเพิ่มข้อความ "ให้คณะกรรมการ ผู้อำนวยการ และรองผู้อำนวยการ เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา" ในมาตรา ๑๙ (ข) และกำหนดกรณีที่ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และเพื่อไม่เป็นการเปิดช่องให้ธนาคารสามารถดำเนินการบางอย่าง เช่น กู้เงินจากแหล่งเงินอื่นได้เอง จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มข้อความ "มาตรา ๒๐/๑ ในกรณีที่ธนาคารออมสินมีเหตุจะต้องเพิ่มกองทุนเพื่อให้เพียงพอต่อการดำเนินกิจการ ธนาคารออมสินอาจได้รับจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือจากแหล่งอื่นได้" ส่วนในมาตรา ๒๖ เห็นควรคงข้อความ "จำนวนเงินฝาก" ตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติเดิม เนื่องจากเห็นว่า "จำนวนเงินฝาก" เป็นภาระหนี้ของธนาคาร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับสาธารณชนจำนวนมาก ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||
21296 | การรับรองร่างแถลงการณ์ของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ครั้งที่ 4 ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่าง วันที่ 31 มีนาคม - 1 เมษายน 2559 | กต | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐนมตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ (ครั้งที่ ๔) ปี ค.ศ. ๒๐๑๖ (2016 Nuclear Security Summit Communique) และร่างแผนปฏิบัติการแนบท้าย ๕ ฉบับ โดยร่างแถลงการณ์ฯ เป็นผลลัพธ์ของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ครั้งที่ ๔ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันและระบุแนวทางความร่วมมือในการเสริมสร้างความมั่นคงทางนิวเคลียร์ระหว่างประเทศเพื่อลดภัยคุกคามจากการก่อการร้ายที่ใช้นิวเคลียร์ โดยเน้นถึงการสร้างความตระหนักรู้ การขับเคลื่อนให้เกิดพัฒนาการด้านความมั่นคงทางนิวเคลียร์ที่เป็นรูปธรรม มีความสำคัญและยั่งยืน เน้นย้ำถึงพันธกรณีต่อเป้าหมายร่วมกันในการลดอาวุธนิวเคลียร์ การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ การพิทักษ์ความปลอดภัย วัสดุนิวเคลียร์ การป้องกันการลักลอบค้าและขนส่งวัสดุนิวเคลียร์ และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมติร่วมของที่ประชุมฯ ที่จะดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ ๕ ฉบับ เพื่อสนับสนุนองค์การระหว่างประเทศและกรอบความริเริ่มต่าง ๆ ได้แก่ สหประชาชาติ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ องค์การตำรวจสากล ความริเริ่มระดับโลกเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายที่ใช้นิวเคลียร์ และหุ้นส่วนระดับโลกว่าด้วยการต่อต้านการแพร่ขยายของอาวุธและวัสดุที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ๑.๒ เห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยรับรองร่างแถลงการณ์และร่างแผนปฏิบัติการดังกล่าว (โดยไม่มีการลงนาม) ในที่ประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๓๑ มีนาคม-๑ เมษายน ๒๕๕๙ ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงการณ์ดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||
21297 | โครงการบ้านประชารัฐ | กค | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐ โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สนับสนุนสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรน แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) สำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อย ระยะเวลาโครงการ ๒ ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ระยะเวลาการยื่นความจำนงขอรับสินเชื่อ) ครอบคลุมที่อยู่อาศัยทุกประเภทในราคาไม่เกิน ๑.๕ ล้านบาทต่อหน่วย ทั้งที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่ ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ทรัพย์สินรอการขาย (Non-Performing Assets : NPAs) ของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ และทรัพย์รอการขายของกรมบังคับคดี ทั้งที่สร้างบนที่ดินของตนเอง ที่ดินของเอกชนผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และที่ดินของรัฐ รวมถึงการซ่อมแซม/ต่อเติมที่อยู่อาศัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเสนอขอถอนเงื่อนไขการดำเนินโครงการฯ เกี่ยวกับการถือครองกรรมสิทธิ์ เพื่อนำไปพิจารณาแนวทางและรูปแบบการดำเนินโครงการฯ บนที่ดินราชพัสดุ และจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งในโอกาสต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาการปล่อยสินเชื่ออย่างรอบคอบเพื่อมิให้มีผลกระทบต่อสถานะความมั่นคงทางการเงินของธนาคาร และควรมีมาตรการในการกำกับดูแลให้การกำหนดราคาขายอสังหาริมทรัพย์มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนของผู้ประกอบการ มีการคัดกรองผู้เข้าร่วมโครงการให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ มีกระบวนการบริหารความเสี่ยง การประเมินความเสี่ยง ตลอดจนการคำนวณความเสียหายและติดตามผลกระทบต่อฐานะที่อาจจะเกิดขึ้นต่อธนาคาร และให้ความสำคัญกับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เห็นชอบให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารออมสินแยกบัญชีมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน (Post Finance) เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) และไม่นับรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NPLs) จากการดำเนินโครงการฯ เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของธนาคาร รวมทั้งให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการฯ บวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงานได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารออมสิน จะต้องไม่ขอรับการชดเชยงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการฯ ในอนาคต ๔. ให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้สินเชื่อในส่วนของมาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) ให้ชัดเจนโดยเฉพาะห้ามให้สินเชื่อเพื่อชดใช้หนี้เดิม (refinance) ของโครงการที่อยู่อาศัยที่มีอยู่เดิม ๕. ให้กระทรวงการคลังกำหนดให้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการฯ ประชาสัมพันธ์ และให้ข้อมูลโครงการฯ แก่ประชาชนผู้ขอรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) และผู้ประกอบการที่ขอสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกภาคส่วนในโครงการ ๖. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจจำนวนผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อวางแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยในระยะยาว รวมทั้งกำหนดรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไป ๗. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และไม่ได้ใช้ประโยชน์ รวมทั้งตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถนำที่ดินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในโครงการอื่น ๆ ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐต่อไป |
||||||||||||||||||
21298 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอินเดีย | กห | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอินเดียของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การเข้าเยี่ยมคำนับนายโมฮัมมัด ฮามิด อันสารี รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินเดีย ทั้งสองฝ่ายได้หารือและเห็นพ้องในการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคง โดยฝ่ายไทยประสงค์ที่จะพัฒนาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศกับสาธารณรัฐอินเดียให้มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งไทยมีนโยบาย Outward Investment ส่งเสริมภาคเอกชนลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะสาธารณรัฐอินเดีย พร้อมทั้งขอให้สาธารณรัฐอินเดียติดตามความคืบหน้าในการจัดทำความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรี ไทย-สาธารณรัฐอินเดีย ๒. การเยี่ยมคำนับนายมาโนฮาร์ พาร์ริการ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐอินเดีย ฝ่ายไทยได้หารือถึงความร่วมมือทางทหารที่มีร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแลกเปลี่ยนการเยือน และการฝึกศึกษา โดยสาธารณรัฐอินเดียพร้อมที่จะขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และสนับสนุนไทยในการจัดการฝึกอบรม ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์แก่เจ้าหน้าที่ของไทยในด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ ทั้งนี้ ฝ่ายไทยพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคง พร้อมทั้งได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐอินเดียเดินทางเยือนไทย ๓. การพบหารือกับนายอาจิต โดวาล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสาธารณรัฐอินเดีย ทั้งสองเห็นพ้องที่จะจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกัน ประกอบด้วย ข้าราชการตำรวจ และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและความมั่นคง ควบคู่กับการจัดให้มีการหารือเพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านยาเสพติดและจะลงนามร่วมกันในโอกาสการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกันให้เกิดเป็นรูปธรรมมากขึ้น
|
||||||||||||||||||
21299 | ขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพัน (กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว) | กก | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. กรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการบูรณาการระบบบริการรับแจ้งเหตุนักท่องเที่ยว ๑๑๕๕ กับศูนย์ประสานงานการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ จำนวน ๘๔,๘๘๑,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งกล้องวงจรปิดในพื้นที่เกาะพงัน เกาะช้าง เกาะเสม็ด จำนวน ๓๙,๒๓๘,๔๐๐ บาท นั้น ให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗) ทั้งนี้ หากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการทั้ง ๒ รายการดังกล่าว ให้เสนอกระทรวงการคลังเพื่อกลั่นกรองเหตุผลความจำเป็นและความเหมาะสมในการขยายระยะเวลา เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. กรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบลงทุนสำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑ รายการ ได้แก่ โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของตำรวจท่องเที่ยว จำนวน ๑๗๙,๙๘๗,๕๐๐ บาท นั้น ให้ปฏิบัติตามหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๖/ว ๖๒ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙) อย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||
21300 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 เพิ่มเติม | กห | 22/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบกใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๙๓๑,๙๒๖,๗๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการก่อสร้างและปรับปรุงถนนที่ชำรุดเสียหายในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา จำนวน ๓๗ เส้นทาง (ระยะที่ ๒) ระยะทางรวม ๑๔๘.๑๔๒ กิโลเมตร โดยให้ประชาสัมพันธ์/ในพื้นที่สังคมโซเชียล เพื่อเห็นความสำคัญที่รัฐให้กับ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา และเห็นควรให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบกจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลางและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
.....