ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1061 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 21201 - 21220 จากข้อมูลทั้งหมด 124293 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21201 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน | สว | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งมีข้อเสนอแนะเป็นการส่งเสริมให้การทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดบริการสาธารณะได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยให้ความสำคัญต่อการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการพัฒนาปรับปรุงระบบการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในด้านต่าง ๆ เพื่อลดปัญหาการทักท้วง และเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. แจ้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21202 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรมและการแรงงาน เรื่อง มาตรการขับเคลื่อน SMEs และ การแก้ไขปัญหาอุปสรรค | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน เรื่อง มาตรการขับเคลื่อน SMEs และการแก้ไขปัญหาอุปสรรค ซึ่งกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แล้ว ได้แก่ การจัดทำแผนการส่งเสริม SMEs ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาและวางแผนการส่งเสริม SMEs ได้อย่างเหมาะสม การแก้ไขปัญหาและอุปสรรคเพื่อให้ SMEs เข้ามาในระบบภาษีมากขึ้น เช่น ยกเว้นการตรวจสอบภาษีย้อนหลัง ปรับลดฐานภาษีเงินได้นิติบุคคล การจัดทำมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำได้เพิ่มขึ้น การออกมาตรการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs ต่ำ เช่น มาตรการเชิงนโยบาย มาตรการด้านอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เอื้อต่อการพัฒนา SMEs ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21203 | การดำเนินการของกระทรวงคมนาคมกรณีบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) ยกเลิกเที่ยวบิน | คค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมกรณีบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) ยกเลิกเที่ยวบิน จำนวน ๙ เที่ยวบิน ในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการของสายการบินนกแอร์ฯ ได้ดูแลผู้โดยสารที่เช็คอินเพื่อเดินทางในเที่ยวบินที่มีการยกเลิก จำนวน ๓,๐๕๓ คน ตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง การคุ้มครองสิทธิผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินของไทยในเส้นทางประจำภายในประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๓ เช่น เปลี่ยนเที่ยวบิน คืนค่าโดยสาร จัดให้ผู้โดยสารพักค้างที่โรงแรม จัดให้เดินทางโดยการขนส่งอื่น หรือชำระค่าชดเชย รวมทั้งมาตรการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของสายการบินนกแอร์ฯ ๒. การดำเนินการของกระทรวงคมนาคม ๒.๑ กระทรวงคมนาคมได้เชิญสายการบินซึ่งทำการบินแบบประจำภายในประเทศและระหว่างประเทศ ๑๔ สาย มาร่วมประชุมเพื่อซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการยกเลิกเที่ยวบิน โดยกำหนดให้สายการบินที่ให้บริการแบบประจำทุกสายการบินต้องจัดทำแผนฉุกเฉินในทุกกรณี และกำหนดมาตรการในการป้องกันมิให้เกิดปัญหาที่จะส่งผลต่อความไม่สะดวกของผู้โดยสาร โดยหากเกิดเหตุการณ์อีก สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จะดำเนินการตักเตือนสายการบิน หากเกิดเหตุเป็นครั้งที่ ๒ จะพักใช้ใบอนุญาตให้ประกอบกิจการค้าขายในการเดินอากาศ และหากเกิดเหตุเป็นครั้งที่ ๓ จะเพิกถอนใบอนุญาตฯ ๒.๒ กพท. อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการตามข้อกฎหมายกับสายการบินนกแอร์ฯ โดยหากตรวจพบหรือมีผู้โดยสารร้องเรียนว่าสายการบินไม่ได้ให้ความคุ้มครองและดูแลผู้โดยสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีอำนาจเพิกถอนหรือพักใช้ใบอนุญาตทั้งหมดหรือแต่บางส่วน และหากพบว่า สายการบินปล่อยให้นักบินหรือลูกเรือของตนปฏิบัติงานจนเกินข้อจำกัดเวลาทำการบินและเวลาปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการ กพท. มีอำนาจสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศได้ สำหรับนักบินนั้น หากนักบินปฏิบัติงานเกินข้อจำกัดเวลาทำการบินและเวลาปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการ กพท. มีอำนาจพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตผู้ประจำหน้าที่ได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21204 | แนวทางและมาตรการรณรงค์การใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าเนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2559 (สงกรานต์แบบไทย ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า) | วธ | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแนวทางและมาตรการรณรงค์การใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าเนื่องในประเพณีสงกรานต์ ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์แบบไทย ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า” โดยบูรณาการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางและมาตรการรณรงค์การใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าเนื่องในประเพณีสงกรานต์ รวมทั้งเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ประกอบด้วย ๒ มาตรการ ดังนี้
๑. การรณรงค์ เรื่อง สงกรานต์แบบไทย ๑.๑ ขอความร่วมมือจากประชาชนช่วยกันสืบสานประเพณีสงกรานต์แบบไทยให้คงไว้ เช่น การไปทำบุญตักบาตร การสรงน้ำพระพุทธรูป การสรงน้ำพระสงฆ์ การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ ควรใช้น้ำสะอาด เล่นน้ำอย่างสุภาพ แต่งกายด้วยผ้าไทย และแต่งกายให้เหมาะสมในเทศกาลสงกรานต์ ๑.๒ จัดให้มีการสวดมนต์ขอพรรับวันขึ้นปีใหม่ไทย เพื่อรณรงค์ให้คนไทยเข้าวัดมากขึ้นในเทศกาลสงกรานต์ ๑.๓ รณรงค์ละเว้นอบายมุขและสิ่งมึนเมา เพื่อลดอุบัติเหตุและลดอาชญากรรมต่าง ๆ ในเทศกาลสงกรานต์ ๒. การรณรงค์ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ๒.๑ กำหนดสถานที่ให้ประชาชนเล่นน้ำเป็นการเฉพาะ โดยขอความร่วมมือจากประชาชน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดูแล รักษา และควบคุมการใช้ปริมาณน้ำ ๒.๒ ขอความร่วมมือไม่ใช้น้ำอย่างฟุ่มเฟือย เช่น ไม่นำน้ำใส่รถกระบะเล่นสาดน้ำกัน หรือใช้สายยางฉีดน้ำใส่กันบริเวณท้องถนนหรือบริเวณจัดงานต่าง ๆ ๒.๓ กำหนดระยะเวลาและปริมาณการจ่ายน้ำ รวมทั้งจุดบริการน้ำ เพื่อให้การจัดกิจกรรมงานสงกรานต์มีการใช้น้ำอย่างประหยัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21205 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร12 | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การมอบอำนาจให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งของส่วนราชการอื่นที่ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติราชการภายใน รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การมอบอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด และการมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนในต่างประเทศให้คล่องตัวชัดเจนมากขึ้น ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21206 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของกรมประมง | นร10 | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๙ เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของกรมประมง ตามที่ คปร. เสนอ ดังนี้
๑. ความเห็น คปร. ๑.๑ กรมประมงควรบูรณาการการปฏิบัติงานในพื้นที่ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการมีอัตรากำลังไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ๑.๒ กรมประมงควรมีการวางแผนการสรรหาบุคคลเพื่อให้มีผู้ปฏิบัติงานในภารกิจที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ หากกรมประมงมีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องใช้อัตรากำลังในการปฏิบัติงานเพิ่มก็อาจจัดทำแผนเพื่อขอรับการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ต่อไป ทั้งนี้ การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของกรมประมงในครั้งนี้จะมีค่าใช้จ่ายด้านบุคคลเพิ่มสูงขึ้น ประมาณ ๕๒,๘๒๘,๙๒๐ บาท ในปีแรก ๒. มติ คปร. ๒.๑ เห็นควรอนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับกรมประมง จำนวน ๒๒๑ อัตรา ๒.๒ กำหนดเงื่อนไขการใช้ตำแหน่งดังกล่าว โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับจัดสรรมายุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอื่นเป็นระดับที่สูงขึ้น ๒.๓ สำหรับการจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรตามกรอบอัตรากำลังที่ได้รับจัดสรรเพิ่มใหม่ ให้กรมประมงดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๙ ที่ให้กรมประมงดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณโดยให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21207 | แผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคง รองรับการเดินทางของประชาชน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2559 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคง รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๙ โดยมีระยะเวลาดำเนินการระหว่างวันที่ ๘-๑๘ เมษายน ๒๕๕๙ มีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน ป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในคุณภาพการให้บริการในการขนส่งสาธารณะ ประกอบด้วย (๑) แผนอำนวยความสะดวกรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๙ ได้แก่ การจัดบริการขนส่งสาธารณะ การอำนวยความสะดวกด้านโครงข่ายถนน การจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในท่าเรือ/สถานีขนส่ง/ท่าอากาศยานและอาคารผู้โดยสาร/สถานีรถไฟ และอำนวยความสะดวกในด้านข้อมูลการจราจร และ (๒) แผนอำนวยการด้านความปลอดภัยและมั่นคง ได้แก่ มาตรการด้านการบริหารจัดการผู้ขับขี่/ผู้โดยสารปลอดภัย มาตรการยานพาหนะปลอดภัย มาตรการถนนปลอดภัย มาตรการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ มาตรการด้านความมั่นคง และมาตรการด้านการประชาสัมพันธ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21208 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ออกเป็น 5 กลุ่ม | นร07 | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๗๒๐,๐๐๐.๐ ล้านบาท จำแนกเป็น ๕ กลุ่ม ประกอบด้วย
๑. กลุ่ม Function (ภารกิจพื้นฐาน) รวมทั้งสิ้น ๑,๕๐๘,๘๒๙.๐ ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๕๕.๕ ของวงเงินงบประมาณ (ไม่รวมงบประมาณของท้องถิ่น) จำแนกเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากร จำนวน ๙๙๗,๖๒๕.๑ ล้านบาท และภารกิจพื้นฐาน จำนวน ๕๑๑,๒๐๓.๙ ล้านบาท ๒. กลุ่ม Agenda (ภารกิจยุทธศาสตร์ นโยบายเร่งด่วน แนวทางการปฏิรูปภาครัฐ งบประมาณบูรณาการ) รวมทั้งสิ้น ๖๐๘,๘๗๕.๓ ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๒๒.๔ ของวงเงินงบประมาณ (ไม่รวมงบประมาณของท้องถิ่น) จำแนกเป็นแผนบูรณาการ จำนวน ๒๑๒,๒๖๙.๐ ล้านบาท และภารกิจยุทธศาสตร์ จำนวน ๓๙๖,๖๐๖.๓ ล้านบาท ๓. กลุ่ม Area (ภารกิจพื้นที่ ท้องถิ่น ภูมิภาค จังหวัด กลุ่มจังหวัด) รวมทั้งสิ้น ๒๘๓,๑๘๙.๘ ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑๐.๔ ของวงเงินงบประมาณ จำแนกเป็นจังหวัดและกลุ่มจังหวัด จำนวน ๒๔,๖๒๙.๙ ล้านบาท และท้องถิ่น จำนวน ๒๕๘,๕๕๙.๙ ล้านบาท ๔. งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น หรืองบภัยพิบัติหรือเร่งด่วน รวมทั้งสิ้น ๑๐๔,๕๔๕.๕ ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๓.๘ ของวงเงินงบประมาณ ๕. รายจ่ายชดใช้เงินกู้และดอกเบี้ย และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง รวมทั้งสิ้น ๒๑๔,๕๖๐.๔ ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๗.๙ ของวงเงินงบประมาณ จำแนกเป็นบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน ๒๐๑,๐๒๔.๓ ล้านบาท และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๑๓,๕๓๖.๑ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21209 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2559 | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘) โดยสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง นาฬิกาและอุปกรณ์ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง สูท เสื้อ กระโปรง กางเกง สำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท สุราต่างประเทศ รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ ไวน์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ดอกไม้ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้า ๑,๐๔๒.๔๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๒.๑๓ ของมูลค่านำเข้าร่วม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๙๒.๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๙.๗๖ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง นาฬิกาและอุปกรณ์ สำหรับสินค้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด ๕ กลุ่มสินค้า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้แก่ ดอกไม้ เครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล ผลไม้ นาฬิกาและอุปกรณ์ และแว่นตา ส่วนสินค้าที่มีการหดตัวสูงสุด คือ ไฟแช็คและอุปกรณ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21210 | รายงานการดำเนินการมาตรการต่อการนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็น | พณ | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานการดำเนินการมาตรการต่อการนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็น โดยมีมาตรการต่าง ๆ ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ได้แก่ (๑) มาตรการด้านมาตรฐานสินค้า จำนวน ๒ มาตรการ (๒) มาตรการเข้มงวดการตรวจสอบสินค้าเข้า จำนวน ๖ มาตรการ (๓) มาตรการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาสินค้าภายในประเทศ จำนวน ๗ มาตรการ และ (๔) มาตรการสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน และการใช้พลังงานอย่างประหยัด จำนวน ๒ มาตรการ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้พิจารณามาตรการต่าง ๆ ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแล้ว เห็นว่ามาตรการดังกล่าวไม่ขัดต่อพันธกรณีและข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศที่จะก่อให้เกิดผลเสียต่อการค้าไทยในเวทีโลก ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การกำหนดและรักษามาตรฐานสินค้าเป้าหมายที่นำเข้าและผลิตในประเทศให้มีความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค จูงใจให้ประชาชนและผู้ประกอบการไทยใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาวิจัย (R&D) ในสินค้าต่าง ๆ และสร้างเสริมศักยภาพของผู้ผลิตไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันของสินค้าไทยอย่างยั่งยืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21211 | รายงานผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2559 ไตรมาส 1 (ตุลาคม - ธันวาคม 2558) | นร11 | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๙ ไตรมาส ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘) ซึ่งได้มีการปรับกรอบการลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี ๒๕๕๙ จากเดิม ๕๓๓,๑๖๗ ล้านบาท เป็น ๕๒๘,๗๙๑ ล้านบาท เป็นผลให้ ณ เดือนธันวาคม ๒๕๕๘ รัฐวิสาหกิจมีกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ จำนวน ๕๒๘,๗๙๑ ล้านบาท และประมาณการเบิกจ่ายลงทุนในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑๗,๑๕๘ ล้านบาท สำหรับผลการเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ ไตรมาส ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘) รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายลงทุนสะสมถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ได้จำนวน ๑๕,๒๖๙ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๘๙.๐ ของเป้าหมายไตรมาส ๑ (จำนวน ๑๗,๑๕๘ ล้านบาท) และทั้งปีคาดว่าจะเบิกจ่ายลงทุนได้ทั้งสิ้น ๕๒๔,๖๙๖ ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ ๙๙.๒ ของเป้าหมายรวม โดยรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงและเบิกจ่ายลงทุนได้ล่าช้ากว่าแผนงานที่กำหนดไว้ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งล่าช้าต่อเนื่องมาจากปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เนื่องจากมีการทบทวนการลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจเร่งรัดติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในสังกัด หากโครงการใดพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สามารถดำเนินการได้ ให้มีการทบทวนการลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการและ/หรือนำงบลงทุนไปใช้ดำเนินการในโครงการสำคัญในลำดับถัดไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21212 | รายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | นร12 | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ตามผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลของ ค.ต.ป. โดยมีข้อค้นพบที่สำคัญ เช่น การกำหนดบัญชีรายชื่อที่คาดการณ์ความแห้งแล้งในพื้นที่เกษตร ควรพิจารณาสภาพปัญหาที่แท้จริงในพื้นที่ด้วย การดำเนินโครงการมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและระยะเวลาในการดำเนินงาน บางชุมชนต้องคัดเลือกโครงการที่มีความสำคัญน้อยกว่าเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามกรอบงบประมาณและระยะเวลาที่กำหนด มีการจ้างแรงงานจากในชุมชนเป็นหลัก บางชุมชนขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ในชุมชนเป็นผู้สูงอายุ หรือประชากรวัยแรงงานในภาคอุตสาหกรรมมีรายได้สูงกว่าการจ้างงานในโครงการ รวมทั้งการใช้จ่ายงบประมาณค่าวัสดุในแต่ละพื้นที่ไม่มีการกำหนดราคากลางงานก่อสร้างตั้งแต่เริ่มโครงการ เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะตามรายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลของ ค.ต.ป. ประกอบด้วยข้อเสนอแนะต่อผู้รับผิดชอบโครงการ ข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานกลาง และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ เช่น หน่วยงานเจ้าของโครงการควรจัดทำคู่มือการดำเนินงานให้ชัดเจน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรจัดทำระบบฐานข้อมูลผลการดำเนินงาน ข้อดี และข้อเสียของโครงการไว้ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดพื้นที่เป้าหมายควรพิจารณาสภาพปัญหาที่แท้จริงในพื้นที่เพื่อนำมาเป็นหลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณา รวมทั้งควรกำหนดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น และเห็นควรแจ้งให้หน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. หากมีการรายงานข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น ๆ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประสานหน่วยงานนั้น ๆ เพื่อบูรณาการข้อมูลให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21213 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 1/2559 | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๙ โดยที่ประชุมมีมติและข้อเสนอแนะ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานการส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มาตรการการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน มาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมกำกับการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๙ (Action Plan) ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งแจ้งหน่วยงานเจ้าของโครงการให้เร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมประกวดราคาให้มีการประกวดราคาและลงนามในสัญญาก่อสร้างได้ภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ เพื่อให้มีการเบิกจ่ายเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ขนาดทาง ๑ เมตร (Meter Gauge) ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ให้เร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ในปี ๒๕๕๙ ควรมีการเบิกจ่ายประมาณ ๘,๐๕๒ ล้านบาท และ (๒) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา-มาบตาพุด ให้เร่งรัดการเจรจาต่อรองราคาใน ๘ ตอนที่เหลือ รวมทั้งเร่งประกวดราคาในอีก ๒ ตอนที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ๓. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเร่งรัดติดตามการดำเนินการโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าข่ายโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ๔. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ ๕ ล้านบาท) ที่ได้รับอนุมัติแล้วให้มีการเบิกจ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ ในช่วง ๒ เดือนที่เหลือของไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ (กุมภาพันธ์-มีนาคม ๒๕๕๙) ควรมีการเบิกจ่ายประมาณ ๑๐,๐๐๐-๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๕. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศมีหนังสือถึงหน่วยงานราชการเน้นย้ำให้ดำเนินการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการตามมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ สำหรับวงเงิน ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ก่อหนี้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ และเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำหรับกรณีที่สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ แต่อาจจะเบิกจ่ายงบประมาณแล้วเสร็จภายหลังสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ในกรณีนี้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นส่งเรื่องขอผ่อนผันกรณีการเบิกจ่ายล่าช้าดังกล่าวมายังสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้รวบรวมเสนอขอผ่อนผันต่อคณะรัฐมนตรีในคราวเดียว แต่หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นมิได้แจ้งผ่อนผันไปยังสำนักงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นจะต้องนำเสนอขอผ่อนผันต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายกรณี รวมทั้งเร่งดำเนินการตามโครงการและมาตรการที่อยู่ภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21214 | รายงานการจัดหาพื้นที่รองรับกากอุตสาหกรรม 6 พื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้แผนการจัดการกากอุตสาหกรรมปี พ.ศ. 2558 - 2562 | อก | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการจัดหาพื้นที่รองรับกากอุตสาหกรรม ๖ พื้นที่ทั่วประเทศ (Reference Plan) ภายใต้แผนการจัดการกากอุตสาหกรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ ๓ (การสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและต่างประเทศ) ของแผนฯ ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการจัดหาพื้นที่รองรับกากอุตสาหกรรม ๒๐-๓๐ ปีข้างหน้าให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ รายงานดังกล่าวเป็นผลการศึกษาทางวิชาการที่สามารถนำไปใช้อ้างอิงสำหรับการจัดการกากอุตสาหกรรมในแต่ละพื้นที่ในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี โดยมุ่งเน้นในหลักการ “ขยะเกิดที่ไหน กำจัดที่นั่น” และจากผลการศึกษาพบว่าพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศูนย์จัดการกากอุตสาหกรรมแบบบูรณาการ (IWMCs) มีจำนวน ๑๕ จังหวัด ใน ๖ ภูมิภาค คือ ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดลำปาง และลำพูน ภาคตะวันตก ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และตาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา และขอนแก่น ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ปราจีนบุรี ระยอง และสระแก้ว ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร และสระบุรี และภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช และสงขลา และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำผลการศึกษาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดเกณฑ์พื้นฐานในการคัดเลือกพื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นศูนย์จัดการกากอุตสาหกรรมแบบบูรณาการ โดยพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อาทิ ลักษณะทางอุทกวิทยา สภาพชั้นดิน แหล่งน้ำใต้ดิน ผลกระทบต่อชุมชน การคมนาคมขนส่ง และแนวทางการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม เป็นต้น การกำหนดพื้นที่ตั้งที่ชัดเจน หากจะมีการจัดตั้งโรงไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมในศูนย์จัดการกากอุตสาหกรรมแบบบูรณาการ เพื่อนำไปพิจารณาวางแผนการเชื่อมโยงระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้า การกำหนดรัศมีระยะของแหล่งกำเนิดกากกับผู้ขนส่งและผู้กำจัดกากที่เหมาะสม และให้ความสำคัญการกำกับดูแลมาตรฐานของโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด รวมทั้งพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการเชื่อมโยงพื้นที่เป้าหมายในการจัดการกากอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับพื้นที่ที่กำหนดตามนโยบายหรือในแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21215 | การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ | รง | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ ๕) ลงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙ โดยกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณี และกลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวม ๕ กลุ่มอุตสาหกรรม ๒๐ สาขาอาชีพ โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ รวมทั้งมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลิตแรงงานฝีมือให้มีศักยภาพ และมีความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกอบการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21216 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์) | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21217 | การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการและคณะกรรมการซึ่งรับผิดชอบเรื่องเขตแดนทางบกระหว่างไทย - ลาว ไทย - เมียนมา และไทย - มาเลเซีย | กต | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการและคณะกรรมการซึ่งรับผิดชอบเรื่องเขตแดนทางบก รวม ๓ คณะ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-ลาว (ฝ่ายไทย) ๑.๑ แก้ไของค์ประกอบในส่วนของตำแหน่งประธานกรรมาธิการฯ จากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ๑.๒ เพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมาธิการฯ โดยเพิ่มผู้แทนกองทัพเรือเป็นกรรมาธิการ เพื่อให้ครอบคลุมการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในแม่น้ำโขง ๒. คณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-เมียนมา (ฝ่ายไทย) ๒.๑ แก้ไของค์ประกอบในส่วนของตำแหน่งประธานกรรมการฯ จากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (หรือผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ๒.๒ แก้ไของค์ประกอบในส่วนของกรรมการและที่ปรึกษาของนายเชิดชู รักตะบุตร โดยให้นายเชิดชู รักตะบุตร พ้นจากตำแหน่งกรรมการและที่ปรึกษาเนื่องจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ๓. คณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วม (LBC) ระหว่างไทย-มาเลเซีย (ฝ่ายไทย) แก้ไของค์ประกอบคณะกรรมการฯ โดยเพิ่มนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูต ณ คูเวต เป็นกรรมการและที่ปรึกษาใน LBC (ฝ่ายไทย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21218 | การดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2559 | มท | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยใช้ชื่อในการรณรงค์ว่า “สงกรานต์ปลอดภัย ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย สร้างวินัยจราจร” มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเพื่อให้จำนวนการเกิดอุบัติเหตุทางถนน จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ (Admit) ลดลงให้เหลือน้อยที่สุด โดยให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น เป็นผู้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานด้วยตนเอง ช่วงเวลาดำเนินการ แบ่งออกเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงการรณรงค์และเสริมสร้างวินัย ระหว่างวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์-๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ และดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ และช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับคดีผู้ขับขี่ขับรถขณะมึนเมาสุรา ให้ศาลใช้ดุลยพินิจสั่งผู้ถูกคุมประพฤติดังกล่าวไปบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล หรือดูแลผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึก เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่ให้มีความปลอดภัยทางถนนมากขึ้น และในการทำประชาคมเพื่อกำหนดกติกาหรือธรรมนูญชุมชน หมู่บ้าน และมาตรการองค์กร ให้มีบทลงโทษและโทษทางวินัยหากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อเป็นการกำกับ ทำให้เกิดความเกรงกลัวต่อโทษ และปฏิบัติตามธรรมนูญชุมชน หรือมาตรการองค์กรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเข้มงวดไม่ให้ยานพาหนะ โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่จอดบนไหล่ทางที่มีทัศนวิสัยไม่ดี โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ลดความเสี่ยงต่อการเฉี่ยวชน หรือชนท้าย และให้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจ “ศูนย์สร่างเมา” ในด่านชุมชน โดยมีกิจกรรมคัดกรองผู้ขับขี่ที่มีอาการหรือพฤติกรรม สงสัยว่าเมา หรืออาจดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เมื่อพบให้กักตัว หรือนำส่งที่ศูนย์สร่างเมา เพื่อบำบัดอาการเมาให้สร่างโดยเร็ว นอกจากนี้ ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งมีการกำหนดมาตรการบทลงโทษอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21219 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 และแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี | มท | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรายงานสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๙ และแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๙ พบว่าสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ สาเหตุหลักส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่ยานพาหนะ ได้แก่ เมาสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะ ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขับรถตัดหน้ากระชั้นชิด และพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ การไม่สวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ และการไม่คาดเข็มขัดนิรภัย โดยยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือ รถจักรยานยนต์ สำหรับการจัดทำแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนตลอดทั้งปี จะเน้นหนักด้านการบังคับใช้กฎหมายควบคู่กับการสร้างจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย รวมทั้งการพัฒนากลไกการติดตามประเมินผลการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย การสร้างจิตสำนึกและวัฒนธรรมความปลอดภัย การเฝ้าระวังความปลอดภัยและลดปัจจัยเสี่ยงจากอุบัติเหตุทางถนน และพัฒนาประสิทธิภาพองค์กรและกลไกการบริหารงานความปลอดภัยทางถนนทุกระดับ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติจราจร พ.ศ. ๒๕๒๒ ต้องทำงานบริการสังคมภายใต้คำสั่งศาลที่มีการระบุประเภทงานที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนน เช่น การดูแลช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ การช่วยเหลือผู้ป่วยที่ได้รับผลจากอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนตามสถานพยาบาล การดูแลอำนวยความสะดวกผู้ป่วยอุบัติเหตุทางถนน การช่วยงานที่ตึกอุบัติเหตุหรือห้องเก็บศพ และการช่วยเหลือสงเคราะห์ดูแลคนบาดเจ็บหรือพิการจากอุบัติเหตุอย่างเข้มข้น และกำหนดจำนวนชั่วโมงที่เพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับสภาพความผิดและความร้ายแรงตั้งแต่ ๔๘ ชั่วโมงขึ้นไป รวมทั้งควรมีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดทางลมหายใจ (Breath Analyzer) หรือทางการตรวจเลือดของผู้ขับขี่ในรายที่เกิดอุบัติเหตุและมีผู้บาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิต นอกจากนี้ ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และให้ดำเนินมาตรการองค์กรอย่างจริงจัง ไม่เน้นเฉพาะเรื่องการสวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์เท่านั้น แต่ให้ครอบคลุมถึงพฤติกรรมเสี่ยงสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ การใช้เข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่หรือโดยสารรถยนต์ การดื่มสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะ และการใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ทั้งการใช้รถส่วนบุคคลและรถยนต์ราชการ และสนับสนุนให้ภาคเอกชนดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มาเก็บรักษาไว้ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๖/๒๕๕๘ เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการขับขี่ยานพาหนะ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ โดยไม่เกิดความเสียหายและพร้อมที่จะส่งคืนเจ้าของรถต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
21220 | การลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงโครงการ "Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand" | ทส | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงโครงการปรับปรุงสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคาม ในระบบนิเวศพื้นดินที่ถูกรบกวนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย (Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand) ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์หลักในการศึกษาวิจัยเพื่อปรับสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคาม ในระบบนิเวศพื้นดินที่ถูกรบกวนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย เพื่อเป็นการศึกษา วิจัยความรู้ และบทเรียนในวิธีการที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาค โดยสำนักงานเลขานุการ ASEAN-Korea Forest Cooperation จะสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ จำนวน ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ๖ ปี นับจากวันลงนาม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ควรเน้นย้ำในการให้ความสำคัญและการปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBD) ที่ไทยเป็นภาคีและอนุวัติในการดำเนินโครงการ ควรมีการจัดทำข้อตกลงการจัดส่งวัสดุชีวภาพ (Material Transfer Agreement) ในกรณีที่มีการเคลื่อนย้ายเชื้อพันธุกรรมทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ควรมีการจัดทำลายพิมพ์ดีเอ็นเอของพันธุ์พืชที่ทำการศึกษาในโครงการเพื่อเป็นหลักฐานในการระบุอัตลักษณ์พันธุ์พืชนั้น ๆ ของประเทศไทย ควรสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูระบบนิเวศ และการปรับปรุงสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคามอย่างยั่งยืน รวมทั้งควรนำระบบการบริหารจัดการ “สะแกราชโมเดล” ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งได้รับการรับรองจาก UNESCO ให้เป็นแหล่งสงวนชีวมณฑล (Biosphere Reserve) มาปรับใช้เพื่อขยายผลในระดับภูมิภาค และเป็นแบบอย่างที่ดีในการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....