ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1069 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 21361 - 21380 จากข้อมูลทั้งหมด 124293 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21361 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2559) | คค | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ ตั้งแต่เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ของวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๙ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี ๒๕๕๙ และป้องกันความสับสนบริเวณหน้าด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
21362 | ร่างพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงว่า ขอเปลี่ยนเอกสารคำชี้แจงตามหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายการสาธารณสุข โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการสาธารณสุขจังหวัด ปรับปรุงอำนาจผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานระดับพื้นที่ในการระงับเหตุที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน เพิ่มเติมอำนาจของเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการประกาศกำหนดพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ เพิ่มเติมอำนาจของรัฐมนตรีในการกำหนดประเภทหรือขนาดของกิจการที่ต้องศึกษาหรือประเมินผลประกอบการอนุญาต และกำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการเปรียบเทียบคดี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาพร้อมกับคำชี้แจงตามหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมาย ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการนำกลไกประชารัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ มาใช้ในการขับเคลื่อนการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ในการป้องกันและระงับเหตุรำคาญในพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ ควรประสานและหารือการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุมหรือกำกับดูแลกิจการหรือการกระทำที่ก่อให้เกิดเหตุรำคาญ เพื่อให้การกำหนดแนวทางการดำเนินงานสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติมาตรา ๑๘ วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ยกเว้นให้การจัดการของเสียตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน รวมทั้งควรเพิ่มกรรมการให้ครอบคลุมผู้มีส่วนได้เสียจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคประชาชนที่จะเป็นผู้ได้รับการคุ้มครองด้านการสาธารณสุขและการอนามัยสิ่งแวดล้อมตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21363 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและแผนงานในอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งราชอาณาจักรไทย | ทก | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและแผนงานในอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งราชอาณาจักรไทย (Memorandum of Understanding between the Ministry of Science, ICT and Future Planning of the Republic of Korea and the Ministry of Information and Communication Technology of the Kingdom of Thailand on Cooperation in the Field of Information and Communication Technology) โดยร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองประเทศ โดยส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อการพัฒนาในสาขาไอซีที และมีขอบเขตความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมนโยบายด้าน Digital economy, e-Commerce, e-Transaction, e-Government, Cyber security, Broadband Internet, Digital content, Smart city, Tech startups และ SMEs โดยมีการดำเนินการตามขอบเขตความร่วมมือดังกล่าว เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่/ผู้เชี่ยวชาญ การส่งเสริมให้มีผู้เชี่ยวชาญเพื่อบริการให้คำปรึกษาแนะนำการลงทุนและการตลาดสำหรับ Tech startups ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรขยายขอบเขตของความร่วมมือให้ครอบคลุมถึงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา และด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านอื่น ๆ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21364 | ร่างพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยขยายขอบเขตของหลักทรัพย์และสถาบันการเงินเพื่อให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมสามารถช่วยเหลือ SMEs ได้กว้างขึ้นซึ่งจะขยายการเข้าถึงการประกันสินเชื่อของ SMEs รวมทั้งแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าวให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีการใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนสามารถบริหารองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพิ่มอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ ของบรรษัทฯ โดยเพิ่มเติม การโอน รับ รับโอน หรือดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน การเพิ่มการลงทุน หรือถือหุ้นในกิจการที่เกี่ยวข้องหรือที่เกี่ยวเนื่องกับวัตถุประสงค์ของบรรษัทฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มาตรา ๘ ที่ให้เพิ่มเติมความ (๑๑/๒) ของมาตรา ๑๒ ที่ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม มีอำนาจลงทุนหรือถือหุ้นในกิจการที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องตามวัตถุประสงค์ของบรรษัทฯ หรือเป็นประโยชน์โดยตรงแก่กิจการของบรรษัทฯ โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี นั้น มีความหมายกว้าง อาจไม่สอดคล้องกับเหตุผลในการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ เนื่องจากไม่ได้เจาะจงเฉพาะการจัดตั้งหรือเข้าร่วมจัดตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ความเสี่ยงของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในอนาคต และความในร่างพระราชบัญญัติฯ วรรคสอง อาจขัดแย้งกับพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๒ รวมทั้งการบัญญัติการใช้สิทธิของบรรษัทฯ ควรกำหนดให้มีความชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นได้ในตอนใดบ้างและบรรษัทฯ จะมีสิทธิในกระบวนการพิจารณาเพียงใด เนื่องจากบรรษัทฯ อาจเป็นคู่ความในคดีอยู่ก่อนในฐานะเป็นจำเลยรายหนึ่งซึ่งแตกต่างจากกรณีการโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
21365 | ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า Non-Project Grant Aid (NPGA) จากรัฐบาลญี่ปุ่น | กต | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่าง Exchange of Notes (EN), Agreed Minutes on Procedural Details (AM) และ Record of Discussions (RD) โดยร่างเอกสาร EN, AM เป็นเอกสารความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นเกี่ยวกับการรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยมีเงื่อนไขว่า รัฐบาลไทยจะต้องซื้อสินค้าตามประเภทที่กำหนดไว้โดยรัฐบาลญี่ปุ่นเท่านั้น และมีพันธกรณีที่รัฐบาลไทยต้องดำเนินการตามเงื่อนไขในการรับเงินช่วยเหลือและจัดซื้อสินค้า เช่น การเปิดบัญชีกับธนาคารญี่ปุ่น การยกเว้นภาษี การจัดทำรายงานเกี่ยวกับบัญชี เป็นต้น ส่วนร่างเอกสาร RD เป็นเอกสารบันทึกความเข้าใจของผู้แทนฝ่ายญี่ปุ่นและฝ่ายไทยเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการที่จำเป็นของฝ่ายไทยเพื่อป้องกันการทุจริตในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในเอกสาร EN, AM และ RD ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนสำหรับการลงนามในเอกสาร EN และ AM ๑.๔ มอบหมายให้กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นตัวแทนหน่วยงานราชการไทยที่ได้รับอนุมัติ Non-Project Grant Aid (NPGA) ลงนามในเอกสารย่อย ได้แก่ Agent Agreement (AA) และ Banking Arrangement (BA) ซึ่งเป็นเอกสารย่อยที่มีเนื้อหาเช่นเดียวกับที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่าง EN, AM และ RD ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีตามข้อตกลงดังกล่าวให้เป็นไปตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ ประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๔๘๑ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของประเทศไทย รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการศึกษาการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการจากผู้จัดหาสินค้าและให้บริการในญี่ปุ่นซึ่งจะต้องมีการนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยมีกฎหมายใดที่เกี่ยวข้องบ้าง การประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อขอยกเว้นภาษีศุลกากร ภาษีภายในประเทศ (ซึ่งอาจรวมถึงภาษีท้องถิ่น) และอากรใด ๆ ที่อาจมี รวมทั้งการจัดเตรียมงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นที่อยู่นอกเหนือขอบข่ายเงินอุดหนุน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21366 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการวางแผนอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลี | วท | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการวางแผนอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Memorandum of Understanding on Scientific and Technological Cooperation between the Ministry of Science and Technology of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Science, ICT and Future Planning of the Republic of Korea) โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ประกอบด้วยสาขาความร่วมมือที่มีความสนใจร่วมกัน ๑๒ สาขา ได้แก่ วัสดุขั้นสูง เทคโนโลยีชีวภาพ นาโนเทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ ดาราศาสตร์ เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ มาตรวิทยา การจัดการทรัพยากรน้ำและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม การนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ รวมถึงการอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจที่ตั้งใหม่ และสาขาอื่น ๆ ตามที่คู่ภาคีสัญญาได้เห็นพ้องกัน โดยรูปแบบความร่วมมือครอบคลุมกิจกรรม เช่น การร่วมวิจัยและพัฒนา รวมถึงการแลกเปลี่ยนผลงานวิจัยร่วมกัน การแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ ผู้ชำนาญการและนักวิจัยเพื่อเข้าร่วมในการดำเนินโครงการร่วมกัน รวมทั้งความช่วยเหลือด้านการศึกษาและการฝึกอบรมการวิจัย เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาขยายขอบเขตสาขาและกิจกรรมความร่วมมือที่สาธารณรัฐเกาหลีมีศักยภาพเพิ่มเติม อาทิ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคต การเพิ่มศักยภาพนักวิจัย และการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากการร่วมวิจัยและพัฒนา ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||
21367 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีกระบวนการบาหลี เรื่องการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ (Bali Process Ministerial Declaration on Irregular Migration) | กต | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีกระบวนการบาหลี เรื่อง การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ (Bali Process Ministerial Declaration on Irregular Migration) เป็นเอกสารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกกระบวนการบาหลีในการร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อรับมือและแก้ไขปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติให้เป็นไปอย่างครอบคลุม มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน บนพื้นฐานของหลักการการแบ่งเบาภาระระหว่างประเทศ และการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการให้ความคุ้มครองแก่ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ผู้แสวงหาที่พักพิง และผู้ลี้ภัย ๑.๒ อนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมรับรองปฏิญญาดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21368 | การประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 1 | กต | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อร่างปฏิญญาซานย่าการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ (Sanya Declaration of the First Lancang-Mekong Cooperation Leaders’ Meeting) และร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตระหว่างประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Joint Statement on Production Capacity Cooperation Among Lancang-Mekong Countries) โดยร่างปฏิญญาซานย่าฯ เป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิก ความสำคัญของความร่วมมือ หลักเกณฑ์ในการดำเนินความร่วมมือ และประเด็นความร่วมมือที่สำคัญใน ๓ สาขา ได้แก่ (๑) การเมืองและความมั่นคง (๒) ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ (๓) การแลกเปลี่ยนด้านสังคม วัฒนธรรม และปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ส่วนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ระบุความสำคัญและประโยชน์ของความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตระหว่างประเทศสมาชิก หลักเกณฑ์ในการดำเนินความร่วมมือ สาขาหลักของความร่วมมือ ความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐกับภาคธุรกิจ สถาบันทางการเงิน และการพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ เป็นผู้ร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาซานย่าฯ และร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงเอกสารผลลัพธ์ดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||
21369 | การรับรองปฏิญญาลิมา (Lima Declaration) และแผนปฏิบัติการลิมา (Lima Action Plan) สำหรับปี ค.ศ. 2016 - 2025 | ทส | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบท่าทีต่อร่างปฏิญญาลิมา (Lima Declaration) และแผนปฏิบัติการลิมา (Lima Action Plan) สำหรับปี ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๕ โดยร่างปฏิญญาลิมามีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการมนุษย์และชีวมณฑล (MAB) ในพื้นที่สงวนชีวมณฑล การเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกยูเนสโกให้การสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของโครงการมนุษย์และชีวมณฑล (MAB) และการแสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการลิมาฯ ส่วนแผนปฏิบัติการลิมาฯ เป็นร่างแผนปฏิบัติการสำหรับการดำเนินงานในพื้นที่สงวนชีวมณฑลในปี ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๕ โดยกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงานออกเป็น ๕ ด้าน มีกรอบการดำเนินงานรวม ๒๙ ผลลัพธ์ ๖๒ กิจกรรม ๑.๒ อนุมัติให้คณะผู้แทนไทยที่ไปเข้าร่วมการประชุม World Congress of Biosphere Reserves ครั้งที่ ๔ รับรองปฏิญญาลิมาและแผนปฏิบัติการลิมาดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาลิมาและแผนปฏิบัติการลิมาดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการขยายผลการดำเนินงาน และเผยแพร่ผลกิจกรรมและวิธีปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จในพื้นที่สงวนชีวมณฑลให้กับพื้นที่อื่น ๆ รวมทั้งควรพัฒนาความร่วมมือกับเครือข่ายทั้งในประเทศและกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21370 | รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องด้านกระบวนการยุติธรรมในคดีการค้ามนุษย์ [ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | นร04 | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอตามรายงานของคณะกรรมการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องด้านกระบวนการยุติธรรมในคดีค้ามนุษย์ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อให้มีบทบัญญัติที่ครอบคลุมในเรื่องความหมายของบทนิยามคำว่าแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบและการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ รวมทั้งมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การเรียกค่าสินไหมทดแทนแทนผู้เสียหายตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และปรับปรุงบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นเจ้าของเรื่องรับไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
21371 | การขออนุมัติในหลักการเรื่องการผ่อนผันให้ผู้เสียหายและพยานในคดีค้ามนุษย์อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และได้รับอนุญาตให้ทำงานได้ตามกฎหมาย | มท | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทยใช้อำนาจตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกประกาศกระทรวงมหาดไทยอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับผู้เสียหาย และพยาน ในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน ๑ ปี และหากมีความจำเป็นตามข้อเท็จจริงแห่งคดีให้สามารถขอขยายเวลาได้ไม่เกินครั้งละ ๑ ปี และให้จัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รวมทั้งสิทธิประโยชน์แก่ผู้เสียหายในคดี ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพให้กับคนต่างด้าวที่ได้จัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร เพื่อใช้ประกอบในการขออนุญาตทำงาน ๔. ให้กระทรวงแรงงานพิจารณาอนุญาตให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้เสียหายและพยานในคดีค้ามนุษย์ซึ่งได้จัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรแล้ว ให้สามารถทำงานตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามลักษณะงานที่อธิบดีกรมการจัดหางานกำหนด ๕. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงยุติธรรมพิจารณาให้การช่วยเหลือพยานในคดีค้ามนุษย์ และได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม ๖. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||||||||
21372 | ร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... | นร07 | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดสัดส่วนงบประมาณรายการต่าง ๆ เช่น งบประมาณเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งงบประมาณของโครงการตามนโยบายของรัฐบาลนอกเหนือจากภารกิจตามปกติไว้ในร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... นั้น เนื่องจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวในกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดประเด็นดังกล่าวไว้ในร่างกฎหมายฉบับนี้ และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในส่วนของร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ควรมีการปรับปรุงรูปแบบการทำงานของสำนักงบประมาณเพื่อให้เป็นไปในลักษณะของคณะกรรมการที่มีความรู้ความชำนาญ และมีองค์ประกอบจากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบครอบคลุมภารกิจที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาศึกษาและทบทวนขอบเขตความรับผิดชอบและแนวการทำงานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับแนวทางการกระจายอำนาจที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพและประสิทธิภาพให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น สำหรับร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลัง พ.ศ. .... ควรกำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ในการกำกับ ติดตามการดำเนินการและการบริหารงานของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และจากผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติฯ ควรนำไปสู่การจัดทำบัญชีสาธารณะ (Consolidated Public Account) โดยรวม ที่มีความครอบคลุมสมบูรณ์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านการคลังในระยะยาว และผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการปรับตัว เพิ่มสมรรถนะในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการเกี่ยวกับการบูรณาการในการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน (หน่วยงานของรัฐ) เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||
21373 | ร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... | กค | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดสัดส่วนงบประมาณรายการต่าง ๆ เช่น งบประมาณเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งงบประมาณของโครงการตามนโยบายของรัฐบาลนอกเหนือจากภารกิจตามปกติไว้ในร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... นั้น เนื่องจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวในกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดประเด็นดังกล่าวไว้ในร่างกฎหมายฉบับนี้ และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในส่วนของร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ควรมีการปรับปรุงรูปแบบการทำงานของสำนักงบประมาณเพื่อให้เป็นไปในลักษณะของคณะกรรมการที่มีความรู้ความชำนาญ และมีองค์ประกอบจากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบครอบคลุมภารกิจที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาศึกษาและทบทวนขอบเขตความรับผิดชอบและแนวการทำงานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับแนวทางการกระจายอำนาจที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพและประสิทธิภาพให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น สำหรับร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลัง พ.ศ. .... ควรกำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ในการกำกับ ติดตามการดำเนินการและการบริหารงานของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และจากผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติฯ ควรนำไปสู่การจัดทำบัญชีสาธารณะ (Consolidated Public Account) โดยรวม ที่มีความครอบคลุมสมบูรณ์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านการคลังในระยะยาว และผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการปรับตัว เพิ่มสมรรถนะในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการเกี่ยวกับการบูรณาการในการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน (หน่วยงานของรัฐ) เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||
21374 | ร่างพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... | ลต | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... เพื่อให้การดำเนินการจัดการออกเสียงประชามติของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สุจริต และเที่ยงธรรม ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
21375 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง (นายกฤษฎา บุญราช และนายมนัส แจ่มเวหา) | มท | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่น (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวงแทนผู้ที่พ้นจากตำแหน่ง จำนวน ๒ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายกฤษฎา บุญราช เป็นประธานกรรมการ แทน พลเอก พิรุณ แผ้วพลสง ที่พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากมีอายุครบ ๖๕ ปีบริบูรณ์ ๒. นายมนัส แจ่มเวหา เป็นกรรมการอื่น (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง แทนนายสมชัย สัจจพงษ์ ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากลาออก
|
|||||||||||||||||||||||||||
21376 | แต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (นายธีธัช สุขสะอาด) | กษ | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายธีธัช สุขสะอาด ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๑๑๓,๕๒๐ บาท ตามมติคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย ในคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๖/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการแต่งตั้งผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยในครั้งต่อไปให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
21377 | การเดินทางเยือนประเทศอินเดียเพื่อหารือเรื่องการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ | นร04 | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานเกี่ยวกับการเดินทางเยือนประเทศอินเดียเพื่อหารือเรื่องการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ระหว่างวันที่ ๖-๙ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ การหารือระหว่างประเทศไทยและประเทศอินเดีย รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) ในฐานะประธานกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ได้เข้าเยี่ยมคารวะมุขมนตรี และรัฐมนตรีแห่งรัฐมหาราษฏระ ซึ่งรับผิดชอบงานด้านการศึกษา อาชีวศึกษา การศึกษาด้านการแพทย์และวัฒนธรรม เพื่อหารือในประเด็นความร่วมมือเกี่ยวกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม และการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน รวมทั้งได้พบหารือกับผู้แทนส่วนราชการ ผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของอินเดียเพื่อเตรียมการจัดทำข้อตกลงการร่วมทุนด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ระหว่างประเทศไทยและประเทศอินเดีย ๑.๒ ผลที่คาดว่าจะได้รับ เป็นการเปิดมิติความร่วมมือทวิภาคีด้านภาพยนตร์ระหว่างประเทศไทยและประเทศอินเดีย ทั้งด้านการลงทุน การสร้างงาน และการแลกเปลี่ยนบุคลากรด้านภาพยนตร์ในอนาคต โดยภาครัฐอินเดียยินดีสนับสนุนและเห็นโอกาสที่จะร่วมลงทุน เช่น การเปิดตลาดภาพยนตร์ไทยในประเทศอินเดียและการถ่ายทำภาพยนตร์อินเดียในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของไทย นอกจากนี้ยังส่งเสริมความร่วมมือด้านวัฒนธรรมโดยจะมีการแลกเปลี่ยนและการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับศิลปวัตถุ และโบราณวัตถุ รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการดำเนินการเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ให้สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวต้องสอดคล้องกับข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
21378 | โครงการจับคู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ยางของกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานเกี่ยวกับโครงการจับคู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาง สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้จัดงานจับคู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ยางขึ้นในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว โดยได้นำผู้ซื้อต่างประเทศ จำนวน ๑๔๗ บริษัท จาก ๒๘ ประเทศ ได้แก่ จีน อาเซียน ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรป และอเมริกาเหนือ มาเจรจาธุรกิจกับผู้ส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางของไทย อาทิ ยางล้อ ถุงมือยาง ไม้ยางพารา หมอนและที่นอนยางพารา ชิ้นส่วนยานยนต์ที่ทำจากยาง จำนวนรวมทั้งสิ้น ๑๐๙ บริษัท ในการนี้ ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) จะซื้อขายยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง รวมทั้งสิ้น ๘ ฉบับ ประกอบด้วย (๑) ยางแท่ง จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน (๒) ยางแผ่นรมควันชั้น ๓ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ตัน (๓) น้ำยางข้น จำนวน ๕๐,๐๐๐ ตัน (๔) ไม้ยางพารา จำนวน ๒๒,๐๐๐ ตู้คอนเทนเนอร์ (ขนาด ๔๐ ฟุต) ซึ่งเป็นปริมาณเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยส่งออกปีละ ๔๘,๐๐๐ ตู้คอนเทนเนอร์ คิดเป็นมูลค่าส่งออกที่เพิ่มขึ้น ๙,๕๐๐ ล้านบาท (๕) หมอนและที่นอนยางพารา จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ชิ้น โดยมีกำหนดส่งมอบภายใน ๑ ปี คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น ๑๗,๕๐๐ ล้านบาท นอกจากนี้ มีการซื้อขายผลิตภัณฑ์ยางและยางพาราธรรมชาติอื่น ๆ ภายในงานอีก ๒,๑๖๐ ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายระหว่างการเจรจาการค้าในงานจับคู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ยางที่มีกำหนดส่งมอบภายใน ๑ ปี รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น ๑๙,๖๖๐ ล้านบาท ๑.๒ ในบริเวณงานได้มีการจัดนิทรรศการยางพาราไทยเพื่อแสดงให้ผู้ซื้อจากต่างประเทศที่เดินทางมาเจรจาการค้าได้เห็นและรับรู้ถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมยางพาราของไทยตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ และนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยางพาราใหม่ ๆ รวมถึงได้นำคณะผู้ซื้อจากต่างประเทศกว่า ๑๐๐ ราย ไปเยี่ยมชมธุรกิจที่ผลิตยางพาราชั้นนำของประเทศไทยด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาแนวทางการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ประกอบการต่างประเทศที่สนใจลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยาง ข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง ในระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
21379 | การรวมพลังคนไทยลดพีคไฟฟ้า | อื่นๆ | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานว่า การใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยมีระดับสูงขึ้นทุกปี โดยในปี ๒๕๕๘ มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๗ ร้อยละ ๓.๒ และปี ๒๕๕๙ คาดการณ์ว่าจะมีการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๘ ร้อยละ ๓.๕ โดยช่วงเวลาที่ประชาชนต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดหรือ "พีคไฟฟ้า" (Peak Load) คือ ระหว่างวันที่ ๒๐ มีนาคม-๒๐ พฤษภาคม ซึ่งมีประมาณการอยู่ที่ ๒๙,๐๐๐ เมกะวัตต์ เนื่องจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น จึงต้องมีการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอกับความต้องการ หากไม่เพียงพอประเทศไทยอาจต้องซื้อพลังงานจากประเทศเพื่อนบ้านในราคาที่สูงหรืออาจต้องใช้มาตรการปิดไฟในบางพื้นที่ ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว จึงควรขอความร่วมมือประชาชน "ปิด ปรับ ปลด เปลี่ยน" คือ ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นในช่วงเวลา ๑๔.๐๐-๑๕.๐๐ น. ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศจาก ๒๕ องศาเซลเซียส เป็น ๒๖ องศาเซลเซียส ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน และเปลี่ยนไปใช้เครื่องปรับอากาศที่มีค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานตามฤดูกาล (ค่า SEER) สูง หรือใช้หลอดไฟ LED แทนการใช้หลอดไฟแบบไส้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในระยะยาวโดยพิจารณาวิธีการต่าง ๆ เช่น การจัดกิจกรรมเพื่อให้ประชาชนสามารถนำเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่ามาแลกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ที่ประหยัดพลังงานได้ โดยดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
21380 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเร่งดำเนินการรักษาความสงบเรียบร้อยโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้ความสำคัญกับการแสวงหาความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๖ เดือน ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ เร่งพิจารณาจัดทำมาตรการ/โครงการเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในระดับท้องที่ตามแผนของจังหวัดและอำเภอ โดยพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่ออุดหนุนให้เกิดการสร้างงานและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อพิจารณากำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางการลงทุนเพิ่มเติม การผ่อนปรนหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งรถยนต์ การยกเว้นภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิตของชิ้นส่วนสำคัญที่ใช้ในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้เป็นอุตสาหกรรมใหม่ และรักษาสถานะของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของภูมิภาค ๒.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณากำหนดแนวทางในการสนับสนุนให้ภาคเอกชนรับซื้อยางพารามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับราคายางพาราให้ได้ราคาตามเป้าหมาย ๒.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรม ๒.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางการขยายพื้นที่เพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตมะพร้าวในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประสบภาวะการขาดแคลนผลผลิตมะพร้าวในอนาคต ๓. ด้านสังคม ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกันพิจารณาแนวทางเพื่อสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศในการได้รับโอกาสเข้าทำงาน รวมทั้งการกำหนดชั่วโมงทำงาน ความก้าวหน้าในการทำงาน และการประเมินผลการทำงานด้วย ๔. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมในการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกลุ่ม ๗๗ ว่าด้วยการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (G77 Meeting on Investment for Sustainable Development) ในวันที่ ๔-๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะการพัฒนาความร่วมมือส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศ ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินแต่ละคณะให้นายกรัฐมนตรีทราบทุกเดือน ๕.๒ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางในการนำสินทรัพย์ของหน่วยงานที่อยู่ระหว่างการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว มาใช้ประโยชน์ในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล เช่น สินทรัพย์ของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ๕.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการก่อสร้างฝายกักเก็บน้ำขนาดเล็กโดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ทั้งนี้ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ๕.๔ ให้กระทรวงกลาโหมจัดหน่วยทหารในพื้นที่ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ๕.๕ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาดำเนินการจัดให้มีมาตรการคัดแยกขยะอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถนำขยะบางประเภทกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) หรือใช้ประโยชน์อื่นได้ โดยดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙
|
.....