ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1067 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 21321 - 21340 จากข้อมูลทั้งหมด 124293 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21321 | ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
21322 | รายงานประจำปี 2557 ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) | สธ | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเสนอรายงานประจำปี ๒๕๕๗ ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยในประเด็นสำคัญต่อระบบสุขภาพ (๒) เสริมสร้างสมรรถนะนักวิจัยด้านสุขภาพพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานฯ (๓) พัฒนาระบบบริหารจัดการวิจัยแบบครบวงจร (๔) บริหารจัดการเพื่อนำผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ ๒. ผลการประเมินจากการดำเนินการในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ใน ๒๐ ตัวชี้วัด ได้คะแนนเต็ม ๕.๐๐ จำนวน ๑๔ ตัวชี้วัด ช่วงคะแนน ๔.๐๐-๔.๙๙ จำนวน ๓ ตัวชี้วัด ช่วงคะแนน ๓.๐๐-๓.๙๙ จำนวน ๑ ตัวชี้วัด ช่วงคะแนน ๒.๐๐-๒.๙๙ จำนวน ๑ ตัวชี้วัด (ตัวชี้วัด : ร้อยละความสำเร็จการสร้างงานวิชาการประจำปีบัญชี ๒๕๕๗) และช่วงคะแนน ๑.๐๐-๑.๙๙ จำนวน ๑ ตัวชี้วัด (ตัวชี้วัด : การเบิกจ่ายเงินตามแผน) ๓. รายงานทางการเงิน ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่าย และงบกระแสเงินสด โดยในปี ๒๕๕๗ มีสินทรัพย์ ๑,๑๘๙.๔๖ ล้านบาท หนี้สิน ๔๑๙.๘๒ ล้านบาท รวมสินทรัพย์จำนวน ๗๖๙.๖๔ ล้านบาท รายได้จากการดำเนินงาน ๓๓๙.๙๘ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน ๓๙๔.๖๘ ล้านบาท และรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิจำนวน ๕๔.๗๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
21323 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 15 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 31 ธันวาคม 2558) | นร | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๑๕ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น และโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ๒. การปฏิรูปประเทศ การดำเนินการเชิงนโยบาย คณะกรรมการปฏิรูปและขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อเป็นกลไกทำหน้าที่ในการปฏิรูปและขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน จำนวน ๖ คณะ ได้แก่ คณะที่ ๑ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา คณะที่ ๒ ด้านเศรษฐกิจการเงิน การคลัง การลงทุน ภาครัฐ และโครงสร้างพื้นฐาน คณะที่ ๓ ด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและสร้างความปรองดองสมานฉันท์ คณะที่ ๔ ด้านสาธารณสุข คณะที่ ๕ ด้านความมั่งคงลดความเหลื่อมล้ำการเกษตรทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ และคณะที่ ๖ ด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการกีฬา ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน การบริหารเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
||||||||||||||||||||||||
21324 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งสิ้น ๔๑,๖๘๖ ครั้ง รวมจำนวน ๒๖,๕๕๐ เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๗๒ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นร้อยละ ๑๘.๒๘ สำหรับประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย และปัญหาหนี้สินนอกระบบ ตามลำดับ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||
21325 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 31 มกราคม 2559 (ครั้งที่ 12) | มท | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑.รับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๑๒) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๑๖.๗๗ ๑.๒ การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ปัจจุบันยังไม่มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติม โดยส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างอาคารหลักทั้งหมดตั้งแต่วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เหลือพื้นที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ๒๐-๐-๘๐ ไร่ ๑.๓ การขนย้ายดินออกจากพื้นที่ก่อสร้าง ดำเนินการขุดและขนย้ายดินแล้วเสร็จ ๑.๔ ปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ การส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ และปัญหากรณีชาวบ้านปลูกบ้านรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่การก่อสร้างอาคารรัฐสภา บริเวณท่าเรือเกียกกาย จำนวน ๕ ครอบครัว ทำให้เป็นอุปสรรคต่องานก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเร่งรัดการส่งมอบพื้นที่โรงเรียนโยธินบูรณะให้แก่รัฐสภาให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||
21326 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 (ระยะที่ 2 ตุลาคม 2558 - กรกฎาคม 2560) [แผนปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประเทศ ระยะที่ 2 ของส่วนราชการ จำแนกตามกรอบการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน] | นร04 | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประเทศ ระยะที่ ๒ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๘-กรกฎาคม ๒๕๖๐ ของ ๒๘ หน่วยงาน โดยแผนปฏิบัติการดังกล่าวจำแนกตามประเด็นการปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ทั้ง ๑๑ ด้าน และ ๓๗ วาระการปฏิรูป ๘ วาระการพัฒนาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งจัดกลุ่มตามคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน จำนวน ๖ คณะ ประกอบด้วย คณะที่ ๑ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา คณะที่ ๒ ด้านเศรษฐกิจการเงิน การคลัง การลงทุนภาครัฐ และโครงสร้างพื้นฐาน คณะที่ ๓ ด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและสร้างความปรองดองสมานฉันท์ คณะที่ ๔ ด้านสาธารณสุข คณะที่ ๕ ด้านความมั่งคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วน และการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ และคณะที่ ๖ ด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการกีฬา
|
||||||||||||||||||||||||
21327 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2558 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ในด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการเงิน ด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล และด้านการกำกับดูแลที่ดี นโยบายของคณะกรรมการ รฟม. ในการกำกับดูแลการดำเนินงานของ รฟม. รวมทั้งโครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต ซึ่งมีโครงการหลักที่สำคัญที่จะดำเนินการในปี ๒๕๕๙ จำนวน ๒๕ โครงการ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบราง โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงเตาปูน-ท่าพระ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ โครงการจัดหารถไฟฟ้าธรรมดา (City Line Airport Rail Link) ของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และโครงการพัฒนารถไฟฟ้าตามความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย-จีน
|
||||||||||||||||||||||||
21328 | แผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร01 | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. หลักการ/ยุทธศาสตร์ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ ๒ ประเด็นนโยบาย คือ ประเด็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล เรื่องการบริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม และประเด็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล ๒. วิสัยทัศน์ เป็นเครือข่ายองค์กรการตรวจราชการที่มีความเป็นเลิศด้านการตรวจราชการตามหลักธรรมาภิบาล ๓. พันธกิจ ได้แก่ (๑) การขับเคลื่อนการบูรณาการและบริหารจัดการด้านการตรวจราชการให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน (๒) เร่งรัด ติดตาม ประเด็น และนโยบายสำคัญตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด และ (๓) ให้ข้อเสนอทั้งในเชิงนโยบายและในเชิงปฏิบัติเพื่อขจัดปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน และสร้างกลไกให้เกิดมูลค่าเพิ่ม และฝ่ายบริหารสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงบริหารน ๔. กลยุทธ์ ได้แก่ (๑) การตรวจราชการเพื่อสนับสนุนการบูรณาการโครงการภายใต้แผนงบประมาณในลักษณะบูรณาการ และการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะเฉพาะพื้นที่ และ (๒) การตรวจราชการเพื่อประเมินประสิทธิผลของการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนของมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล ๕. การจัดทำรายงานภาพรวม ได้แก่ ครั้งที่ ๑ จัดทำรายงานการตรวจราชการแบบบูรณาการ โดยประมวลปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการให้แล้วเสร็จ และนำเสนอนายกรัฐมนตรีภายในพฤษภาคม ๒๕๕๙ และจัดรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในรอบ ๖ เดือน (Semi-Annual Inspection Report : SAIR) ให้แล้วเสร็จต่อไป และครั้งที่ ๒ จัดทำรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ (AIR : 2016) ให้แล้วเสร็จนำเสนอนายกรัฐมนตรี และ/หรือ คณะรัฐมนตรี ภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ๖. กรอบแนวทางการติดตามประเมินผล โดยประเมินผลใน ๔ มิติ ได้แก่ (๑) ประสิทธิผล (๒) คุณภาพการให้บริการ (๓) ประสิทธิภาพ (๔) การพัฒนาองค์กร
|
||||||||||||||||||||||||
21329 | รายงานผลการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการเหมืองแร่ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ท่าหลวง) จำกัด และบริษัท ศิลาสานนท์ จำกัด ของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นางอรรชกา สีบุญเรือง) และคณะ | อก | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการเหมืองแร่ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ท่าหลวง) จำกัด และบริษัท ศิลาสานนท์ จำกัด ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นางอรรชกา สีบุญเรือง) และคณะ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๙ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ การตรวจเยี่ยมบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ท่าหลวง) จำกัด พบว่า มีกระบวนการผลิตที่เป็นระบบและทันสมัย เพื่อให้สามารถนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด ควบคู่กับการดูแลรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและชุมชน ตั้งแต่การสำรวจ การทำเหมือง และการฟื้นฟูพื้นที่โครงการ รวมทั้งมีการประกอบการเป็นไปตามหลักการเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining) ส่วนการตรวจเยี่ยมบริษัท ศิลาสานนท์ จำกัด พบว่า การทำเหมืองเป็นไปตามหลักวิศวกรรมเหมืองแร่ โรงโม่หินมีระบบการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อม เช่น มีการจัดสร้างโรงโม่หินเป็นระบบปิดคลุม มีการติดตั้งระบบสเปรย์น้ำ มีระบบลานล้างล้อ เพื่อลดฝุ่นละออง และมีการปลูกต้นไม้บริเวณพื้นที่สถานประกอบการเพื่อเป็นแนวกันชนป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและเพิ่มพื้นที่สีเขียว ๑.๒ การหารือกับผู้ประกอบการถึงแนวทางในการจัดหาแหล่งน้ำสำรองจากขุมเหมือง เพื่อใช้ประโยชน์ในการอุปโภคและบริโภคให้กับประชาชน และเตรียมรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมทั้งได้ทำพิธีเปิดน้ำขุมเหมืองเพื่อชุมชน ณ ขุมเหมืองของบริษัท ศิลาสานนท์ จำกัด ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของสถานประกอบการเหมืองแร่ที่อยู่ร่วมกับชุมชนและท้องถิ่น และการดำเนินงานตามกรอบโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมแร่ให้มีมาตรฐานสากลเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR-DPIM) ที่เปิดให้ชุมชนโดยรอบสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ๑.๓ การพบปะประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงโดยรอบสถานประกอบการ เพื่อรับฟังปัญหาและข้อคิดเห็นของประชาชน พบว่า ประชาชนบางรายได้รับผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการประกอบการเหมืองหินและโรงโม่หินในด้านฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย มีเสียงดังและความสั่นสะเทือนจากการระเบิด แต่มีความเห็นว่าการประกอบการเหมืองหินและโรงโม่หินในพื้นที่ทำให้เกิดการสร้างรายได้ และพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชน รวมทั้งผู้ประกอบการได้มีการประกอบการที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยให้การช่วยเหลือสนับสนุนด้านการศึกษา ด้านการศาสนา การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ และการพัฒนาสาธารณูปโภคของชุมชน ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่บริเวณสถานประกอบกิจการเหมืองแร่เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และร่วมพิจารณากำหนดแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่บริเวณดังกล่าว รวมทั้งสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณสถานประกอบกิจการเหมืองแร่ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
21330 | รายงานผลการเดินทางไปร่วมการประชุมหารือเรื่องแนวทางการดำเนินความร่วมมือด้านการเกษตรและประมงภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย - ฟิจิ ณ สาธารณรัฐฟิจิ | กษ | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐฟิจิของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ตามคำเชิญของนายไอเนีย เซรูอิราตู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร การพัฒนาชนบทและทะเล และการจัดการภัยพิบัติแห่งชาติฟิจิ เพื่อหารือความร่วมมือตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร และหารือบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง กับนายโอเซีย ไนกามู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประมงและป่าไม้ ฟิจิ ที่ได้ลงนามเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญำได้ ดังนี้
๑. การหารือกับนายไอเนีย เซรูอิราตู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร การพัฒนาชนบทและทะเล และการจัดการภัยพิบัติแห่งชาติฟิจิ ไทยและฟิจิได้เห็นชอบร่วมกันที่จะดำเนินความร่วมมือด้านการเกษตร ๓ เรื่องหลัก ได้แก่ ความร่วมมือด้านวิชาการการพัฒนามะพร้าว การเป็นฐานการกระจายสินค้าเกษตรของกันและกันไปยังประเทศที่สาม และการสนับสนุนซึ่งกันและกันในเวทีองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร การค้า และมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร ๒. การหารือกับนายโอเซีย ไนกามู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประมงและป่าไม้ ฟิจิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ขอความอนุเคราะห์ฟิจิในเรื่องการอำนวยความสะดวกในการออกเอกสารใบรับรองการจับสัตว์น้ำหรือเอกสารประกอบการขนถ่ายสัตว์น้ำเพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่านำมาจากการประมงที่ไม่ผิดกฎหมาย และขยายความร่วมมือด้านการทำประมงและพัฒนาอุตสาหกรรมประมงร่วมกัน รวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์แนวทางการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมายระหว่างกัน
|
||||||||||||||||||||||||
21331 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... | ศธ | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... ว่า กรณีรักษาการในตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ตามมาตรา ๕๘ แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้หมายความรวมถึงผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ด้วย และได้มีบุคคลดำรงตำแหน่งเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์แล้ว ประกอบกับสภามหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ตามบทเฉพาะกาลในมาตรา ๕๙ ของพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ทำหน้าที่สภามหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์แล้ว และในการประชุมสภามหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ ได้มีมติเห็นชอบให้ออกข้อบังคับมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหาอธิการบดี พ.ศ. ๒๕๕๘ และประธานคณะกรรมการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ได้ออกประกาศคณะกรรมการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดี พ.ศ. ๒๕๕๘ และขณะนี้สภามหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ตามบทเฉพาะกาล อยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกและดำเนินการเสนอขอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21332 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับคดีปกครอง) | สว | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับคดีปกครอง) ที่เห็นควรแก้ไขถ้อยคำในเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติฯ และในการที่ศาลปกครองจะมีคำสั่งตามมาตรา ๔ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๗๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ศาลปกครองคำนึงถึงระยะเวลาดำเนินการทั้งในการพิจารณาพิพากษาและการบังคับคดี เพื่อให้การปฏิบัติงานของศาลปกครองมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งควรปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงาน ทั้งในด้านการบริหารจัดการคดี ระยะเวลาการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ให้รวดเร็วและชัดเจนยิ่งขึ้น และเพิ่มจำนวนตุลาการศาลปกครองให้มากขึ้น อันจะทำให้คดีค้างการพิจารณามีจำนวนน้อยลง ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้สำนักงานศาลปกครองไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21333 | รายงานผลการประชุมทางเทคนิคเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง (Enforcing Contracts) และด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย (Resolving Insolvency) ณ ธนาคารโลก กรุงวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา | ยธ | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการประชุมทางเทคนิคเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง (Enforcing Contracts) และด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย (Resolving Insolvency) เมื่อวันที่ ๑๖-๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ณ ธนาคารโลก กรุงวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา โดยมีเลขาธิการ ก.พ.ร. เป็นหัวหน้าคณะการเข้าร่วมประชุมทางเทคนิค (Technical Meeting) ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก เรื่อง การเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจตามกรอบความยาก-ง่าย ในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business: EoDB) โดยเฉพาะเรื่องตัวชี้วัดที่ ๙ ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง (Enforcing Contracts) และตัวชี้วัดที่ ๑๐ ด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย (Resolving Insolvency) ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมฯ กรมบังคับคดีจะดำเนินการจัดประชุมเพื่อชี้แจงที่ประชุมกับธนาคารโลกให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ และประสานการดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21334 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ 22 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ ๒๒ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒-๓ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ประเด็นที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในฐานะประธานอาเซียนปี ๒๕๕๙ ให้ความสำคัญ เช่น การจัดทำกรอบด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียน กรอบระเบียบข้อบังคับความปลอดภัยด้านอาหารของอาเซียน การสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การจัดทำแนวทางการพัฒนาความร่วมมือสำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีในการพัฒนาและดำเนินการเขตเศรษฐกิจพิเศษ และแผนแม่บทสำหรับการพัฒนากลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) ๒. การดำเนินการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่สมบูรณ์ในปี ๒๕๖๘ ประกอบด้วยมาตรการที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องตามแผนงาน AEC Blueprint 2015 เช่น มาตรการด้านการขนส่งและศุลกากร ระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน การจัดทำระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน คลังข้อมูลการค้าอาเซียน การจัดทำความตกลงยอมรับร่วมกันในสินค้ากลุ่มต่าง ๆ และการดำเนินการตามแผนงาน AEC Blueprint 2025 เช่น สาขาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย การแข่งขันทางการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การค้าบริการ ๓. ความสัมพันธ์กับคู่เจรจา ที่ประชุมเน้นย้ำเจตนารมณ์ที่จะต้องสรุปการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ให้ได้ภายในปีนี้ โดยเฉพาะประเด็นหลัก ได้แก่ การเปิดเสรีการค้าสินค้า บริการ และการลงทุนที่ไม่ต่ำกว่าความตกลง ASEAN+1 และได้มีการหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและกรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรปเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการรื้อฟื้นเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) ระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป รวมทั้งการหารือระหว่างอาเซียน-สหรัฐอเมริกาเพื่อสรุปหลักการร่วมด้านการลงทุน หลักการร่วมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แนวปฏิบัติที่ดีด้านความโปร่งใสและข้อพึงปฏิบัติที่ดีในการออกกฎระเบียบ และพิจารณาเสนอหัวข้อที่อาเซียนสนใจสำหรับโครงการการฝึกงานในบริษัทของสหรัฐอเมริกา ๔. การหารือสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (APEC Business Advisory Council : ABAC) รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนขอให้ ABAC มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันในภูมิภาคอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||
21335 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2559 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๙/๒๕๕๙ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สั่ง ณ วันที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21336 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (รายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน เรื่อง การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมทั้งสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติ) | พน | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (รายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน เรื่อง การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมทั้งสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติ) ซึ่งกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นว่า ในระยะแรกควรนำร่องด้วยกลุ่มรถโดยสารสาธารณะก่อน เพื่อให้การส่งเสริมเกิดประโยชน์กับสาธารณชนในวงกว้างและสามารถจำกัดงบประมาณในการส่งเสริมได้ หลังจากดำเนินการไประยะหนึ่งแล้ว ควรมีการประเมินผลเพื่อปรับปรุงและขยายผลไปสู่การส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลต่อไป และในระยะการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล ควรเริ่มส่งเสริมจากรถประเภท Plug-in Hybrid Electric Vehicles : PHEV (รถยนต์ที่มีการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในและมอเตอร์ไฟฟ้า โดยจะสามารถประจุไฟฟ้าได้จากแหล่งพลังงานภายนอก) แล้วจึงค่อยเปลี่ยนไปเป็นประเภท Battery Electric Vehicles : BEV (รถยนต์ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นต้นกำลังในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว โดยมีแหล่งพลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าเท่านั้น) เพื่อให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถยนต์แบบเครื่องยนต์สันดาปภายในมีระยะเวลาเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเพื่อให้ระบบไฟฟ้าของประเทศได้มีระยะเวลาในการปรับตัวเพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้น ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของกระทรวงพลังงานให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21337 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. .... | มท | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี ในท้องที่แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
21338 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานการศึกษาและข้อเสนอแนะแนวทางการสร้างความปรองดอง) | ยธ | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง รายงานการศึกษาและเข้อเสนอแนะแนวทางการสร้างความปรองดอง) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ จำนวน ๖ ประเด็น ได้แก่ (๑) การสร้างความเข้าใจร่วมของสังคมต่อเหตุแห่งความขัดแย้ง (๒) การแสวงหาและเปิดเผยข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ความรุนแรง (๓) การอำนวยความยุติธรรม การสำนึกรับผิดและการให้อภัย (๔) การเยียวยา ดูแลและการฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง (๕) การสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกัน และ (๖) มาตรการป้องกันการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นชอบในหลักการของข้อเสนอดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของกระทรวงยุติธรรมให้คณะกรรมการประสานงานรวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21339 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง ระบบบริการสาธารณสุข ระบบการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และระบบบริหารจัดการและการเงินการคลังด้านสุขภาพ) | สธ | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง ระบบบริการสาธารณสุข ระบบการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และระบบบริหารจัดการและการเงินการคลังด้านสุขภาพ) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การปฏิรูประบบบริการสาธารณสุข ควรกำหนดกรอบให้ชัดเจนก่อนแก้ไขกฎหมาย ควรเพิ่มจำนวนแพทย์ และควรคำนึงถึงการย้ายถิ่นฐานของผู้ประกันตน ๑.๒ การปฏิรูประบบการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีความเข้าใจบทบาทหน้าที่ คณะกรรมการสาธารณสุขระดับจังหวัด/ชุมชน/ท้องถิ่นควรร่วมกำหนดทิศทางและเป้าหมายการทำงานร่วมกัน และควรให้ความสำคัญกับการประเมินผล ๑.๓ การปฏิรูประบบการบริหารจัดการและการเงินการคลังด้านสุขภาพ ควรติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณด้านสุขภาพอย่างเป็นระบบ ควรพิจารณาว่ากระทรวงสาธารณสุขจะมีบทบาทหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลระบบสุขภาพ หรือเป็นผู้ให้บริการ ควรบูรณาการข้อมูลสารสนเทศประกันสุขภาพและการเบิกจ่ายงบประมาณเข้ากับระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร การจัดตั้งหน่วยงานกลางในการบริหารจัดการกองทุนสุขภาพไม่ควรรวมกองทุนนอกเหนือจากการประกันสุขภาพ การเพิ่มภาษีผลิตภัณฑ์ที่เป็นภัยต่อสุขภาพไม่เกิดผลเป็นรูปธรรม และการตั้งหน่วยงานใหม่อาจเกิดความซ้ำซ้อนไม่ควรสร้างสถานพยาบาลใหม่สำหรับแรงงานต่างด้าว ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของกระทรวงสาธารณสุขให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21340 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เรื่อง ปฏิรูปการแรงงาน | รง | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง ปฏิรูปการแรงงาน ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงแรงงานได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วมีความเห็นว่า การพัฒนากำลังคนและฝีมือแรงงานทั้งระบบ ควรเป็นวาระแห่งชาติ โดยออกพระราชบัญญัติเป็นกฎหมายเฉพาะประกอบด้วยทุกภาคส่วนครอบคลุมทุกมิติ ทั้งกำลังแรงงาน ผู้สูงอายุ คนพิการ การพัฒนาคนในวัยเรียน และมีระบบบูรณาการข้อมูลสารสนเทศ ส่วนการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ ควรดำเนินงานอย่างเป็นระบบและยั่งยืน นอกจากนี้ การจัดตั้งธนาคารแรงงาน ควรมีการกำหนดวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานที่ชัดเจน ไม่มีภารกิจซ้ำซ้อนกับสถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูล ควรมีการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ โดยเชื่อมโยงข้อมูลการดำเนินงานจากฐานข้อมูลต่าง ๆ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรตัดมาตรา ๑๖ ของร่างพระราชบัญญัติบูรณาการการพัฒนากำลังคนและฝีมือแรงงานแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่ “ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เพื่อจัดให้มีสิทธิและประโยชน์ทางภาษีแก่หน่วยงานภาคเอกชน...” ออก การให้ศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติอยู่ภายใต้กระทรวงแรงงานเพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลฐานข้อมูลแรงงานของประเทศ การกำหนดให้การพัฒนากำลังคนและฝีมือแรงงานทั้งระบบเป็นวาระแห่งชาติและการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบและยั่งยืนเป็นเรื่องทางนโยบายที่กระทรวงแรงงานและรัฐบาลสามารถพิจารณาได้ตามความเหมาะสม การจัดตั้งธนาคารแรงงานอาจมีความซ้ำซ้อนกับการดำเนินการหรือการให้บริการจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน การจัดทำข้อมูลด้านแรงงานโดยจัดตั้งศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติเห็นควรจัดตั้งเพียงแห่งเดียว และควรตรวจสอบความซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติกระทรวงแรงงานด้วย รวมทั้งการจัดตั้งธนาคารแรงงานควรศึกษาความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความยั่งยืนของการดำเนินธุรกิจก่อนการตัดสินใจดำเนินการ และให้ใช้ช่องทางที่มีอยู่ในปัจจุบันในการช่วยเหลือแรงงานให้เข้าถึงแหล่งทุนเป็นลำดับแรก ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาดังกล่าวของกระทรวงแรงงานให้คณะกรรมการประสานงานรวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
.....