ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 21 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 401 - 420 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
401 | รายงานผลการประเมินการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร12 | 17/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประเมินการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีองค์การมหาชนที่เข้าสู่ระบบการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติงาน จำนวน ๓๕ แห่ง โดยกำหนดเกณฑ์การพิจารณาเพื่อจำแนกหรือจัดกลุ่มองค์การมหาชน มีวัตถุประสงค์ในระยะยาวเพื่อการพัฒนาและกำหนดตัวชี้วัดขององค์การมหาชนให้มีความท้าทายและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การจัดตั้ง ให้มากขึ้น โดยพิจารณาจาก ๓ องค์ประกอบ ได้แก่ การเป็นตัวอย่างแนวปฏิบัติที่ดี การกำหนดตัวชี้วัดที่ท้าทาย และการกำกับดูแลกิจการที่ดี ๒. ผลการจัดกลุ่มองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วย กลุ่มที่ ๑ ดีเด่น ได้แก่ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) กลุ่มที่ ๒ ทั่วไป ได้แก่ องค์การมหาชน จำนวน ๓๑ แห่ง เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) และกลุ่มที่ ๓ ควรพัฒนา ได้แก่ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
402 | ผลการเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) | กต | 17/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ ๕-๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ซึ่งได้มีการหารือข้อราชการเกี่ยวกับการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาว และเร่งรัดความร่วมมือต่าง ๆ ให้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๓ ที่ลาวจะเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ ผลการหารือดังกล่าวควรมีการติดตาม ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม วัฒนธรรม และการพัฒนา โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น ความมั่นคงตามแนวชายแดน ความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา เป็นต้น จึงมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปฏิบัติให้เป็นไปตามผลการหารือให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาความเหมาะสมของแต่ละโครงการที่ฝ่ายลาวประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นควรมีการหารือเพื่อพิจารณารูปแบบการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในลำดับต่อไป ควรเร่งดำเนินโครงการสร้างทางรถไฟสายท่านาแล้ง-นครหลวงเวียงจันทน์ ระยะที่สอง เพื่อให้การเชื่อมต่อจังหวัดหนองคายกับนครหลวงเวียงจันทน์เสร็จสิ้นสมบูรณ์โดยเร็ว การพิจารณาดำเนินการสร้างรถไฟความเร็วสูงตามที่ได้วางแผนไว้เพื่อเชื่อมต่อกับเส้นคุนหมิง-เวียงจันทน์ การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาสนามบินที่เมืองเซโน แขวงสะหวันนะเขต การเพิ่มเติมประเด็นเรื่องการบริหารจัดการน้ำร่วมกันของทั้งสองประเทศเข้าไว้ในร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากลาว การให้ความสำคัญและระมัดระวังไม่ให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดใช้ดินแดนของตนเพื่อเคลื่อนไหว ต่อต้าน หรือบ่อนทำลายความมั่นคงของอีกประเทศ นอกจากนี้ ไทยควรเข้าไปลงทุนในลาวให้มากขึ้น ทั้งในภาคอุตสาหกรรม ในเขตเศรษฐกิจพิเศษและเขตเศรษฐกิจเฉพาะ รวมถึงภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ โดยเน้นการพัฒนาสินค้าและบริการการท่องเที่ยว ส่งเสริมการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค (ASEAN Connectivity) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
403 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... | พน | 17/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น โดยโอนภารกิจมาจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๗ และโอนภารกิจหน้าที่ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงานตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ ให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในบทบาท อำนาจหน้าที่และการใช้ประโยชน์ของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับการให้อำนาจสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกู้ยืมเงิน การกำหนดวัตถุประสงค์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และควรมีช่องทางให้สามารถนำงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนหนึ่งมาใช้สนับสนุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพสูง รวมทั้งโครงสร้างของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการกำหนดเพดานฐานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขั้นสูงสุดและต่ำสุด เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ สำหรับการจัดตั้งสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กระทรวงพลังงานดำเนินการตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วแจ้งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับความซ้ำซ้อนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานของกระทรวงพลังงาน การบูรณาการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงาน ความไม่สอดคล้องกับแนวทางการขอจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ และเห็นควรกำหนดให้จัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในสำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การกำหนดกลไกการกลั่นกรองการลงทุนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการวางแผนกรอบอัตรากำลังเจ้าหน้าที่และอัตราผลตอบแทน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
404 | ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนดำเนินการและแนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60 | กค | 17/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง แผนดำเนินการและแนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐) โดยกำหนดให้เกษตรกรผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการฯ เป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ และมีคุณสมบัติอื่น ๆ ตามแผนดำเนินการและแนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ (ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙) และให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มเติม โดยจะต้องเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวตามทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในช่วง ๒-๓ ปี ที่ผ่านมา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในฤดูการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ด้านเศรษฐกิจ ๒. ให้คณะกรรมการบริหารระดับพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกรให้ชัดเจนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการและพิจารณากลั่นกรองเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของกระทรวงการคลัง (โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ โคเนื้อ แพะ การทำนาหญ้า และโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น) โดยเกษตรกรจะต้องเลือกใช้สิทธิ์เข้าร่วมในโครงการใดโครงการหนึ่งเท่านั้น ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ด้านเศรษฐกิจ ๓. ในกรณีที่กระทรวงมหาดไทยมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ควรร่วมกันบูรณาการการพัฒนา Agri-Map เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการเชิงนโยบายในระดับพื้นที่ให้มีความชัดเจนมากขึ้นและสามารถใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมหรือโซนนิ่งเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
405 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย - ลาว | คค | 09/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย-ลาว เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นประธานการประชุมร่วมกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าโครงการรถไฟไทย-จีน และความคืบหน้าโครงการรถไฟ ลาว-จีน (บ่อเต็น-นครหลวงเวียงจันทน์) การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างหนองคาย-เวียงจันทน์ ด้วยขนาดทาง ๑ เมตร โดยนำเงินในส่วนเหลือตามสัญญาเงินกู้โครงการก่อสร้างทางรถไฟไทย-ลาว ระยะที่ ๒ (ท่านาแล้ง-เวียงจันทน์) ประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านบาท มาใช้สำหรับการก่อสร้างทางรถไฟดังกล่าว การก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ขนาด ๑ เมตร และ ๑.๔๓๕ เมตร สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงในอนาคต การดำเนินการก่อสร้างย่านกองเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (Container Yard : CY) และการผลักดันให้มีการเดินรถไฟขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทยและ สปป.ลาว โดยเร็ว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งสองประเทศ ๒. ผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-ลาว เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙ มีประเด็นหารือที่สำคัญ ได้แก่ การเสนอให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ./NEDA) ให้การสนับสนุนทางการเงินสำหรับการปรับปรุงเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง เส้นทางบ่อแก้ว-ปากทา-ก้อนตื้น ระยะทาง ๗๔ กิโลเมตร เพื่อเชื่อมต่อกับเส้นทางที่แขวงไชยบุรี และการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินสำหรับการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ ๕ (บึงกาฬ-ปากซัน) การกำหนดจุดที่เหมาะสมสำหรับการก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ และพิจารณาการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ ณ แขวงสะหวันนะเขตหรือจังหวัดมุกดาหาร แห่งใดแห่งหนึ่ง ๓. การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางถนน ที่ประชุมรับทราบการจัดทำความตกลงว่าด้วยการเดินรถโดยสารประจำทางไทย-ลาว-เวียดนาม การเพิ่มเส้นทาง R12 ให้รวมอยู่ในพิธีสาร ๑ แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS CBTA) การจัดประชุมเพื่อพิจารณาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดน ณ จุดผ่านแดนเชียงของ-ห้วยทราย และบ่อเต็น-โมฮาน ระหว่างไทย-ลาว-จีน การอนุญาตให้รถบรรทุกลาวทำการขนส่งสินค้าผ่านแดนไปยังท่าเรือแหลมฉบัง และการเปลี่ยนหัวลาก-ทางลาก การเพิ่มจุดผ่านแดนถาวร (Additional International Transit Border Crossings for Goods and People) ๔ แห่ง ได้แก่ ด่านนครพนม ด่านเชียงของ ด่านห้วยโก๋น และด่านภูดู่ และการปรับปรุงเส้นทางและอาคารด่าน ณ ด่านพรมแดนช่องเม็ก-วังเต่า ๔. ประเด็นอื่น ๆ ได้แก่ การพิจารณาให้ความช่วยเหลือการฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินแก่ฝ่ายลาว การให้ NEDA พิจารณาให้ความช่วยเหลือสำหรับโครงการน้ำประปาในเมืองเล็กของลาว จำนวน ๘ แห่ง ที่ยังไม่ได้ดำเนินการก่อสร้าง รวมทั้งการให้ฝ่ายลาวพิจารณาการควบคุมน้ำหนักรถบรรทุก และการจัดกิจกรรมปั่นจักรยานในเส้นทางแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) จากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ไปยังแขวงสะหวันนะเขต |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
406 | ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำกับดูแลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะและหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ | นร12 | 09/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี (๗ กันยายน ๒๕๔๗, ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐, ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ และ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๒) โดยมอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) รับผิดชอบการกำกับดูแลและกลั่นกรองเรื่องของ (๑) องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และ (๒) องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี แทนคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ๑.๒ มอบหมายให้ กพม. ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕/๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยให้ครอบคลุมถึงองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะและหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ (Service Delivery Unit: SDU) ๑.๓ อนุมัติให้แก้ไขผู้รับผิดชอบระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงานของหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๐ จาก ก.พ.ร. เป็น กพม. รับผิดชอบ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นว่า กพม. ควรมีการรวบรวมปัญหาอุปสรรคหรือข้อขัดข้องในการดำเนินการขององค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ไปพิจารณาด้วย ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
407 | การขยายระยะเวลาลงนามสัญญารายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณกรณีไม่สามารถลงนามสัญญาได้ภายในเดือนพฤษภาคม | วธ | 02/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณายกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย โดยให้หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) กระทรวงวัฒนธรรม ขยายระยะเวลาลงนามในสัญญารายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน ๒ รายการ ดังนี้
๑. อาคารเก็บรักษาสิ่งเกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ๑ แห่ง งบประมาณทั้งสิ้น ๕๘,๖๖๐,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๑,๗๙๖,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑ จำนวน ๔๖,๘๖๔,๐๐๐ บาท ซึ่งรายการดังกล่าวมีระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเกินกว่าที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี จึงเห็นควรให้หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ปฏิบัติตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๗(๒) โดยนำเรื่องเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมตามขั้นตอน เพื่อขอขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณก่อนลงนามในสัญญาต่อไป ๒. ค่าตกแต่งและครุภัณฑ์ประกอบอาคารศูนย์อนุรักษ์และบริการโสตทัศน์แห่งชาติ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ๑ แห่ง งบประมาณทั้งสิ้น ๘๓,๕๔๐,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๖,๗๑๑,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๖๖,๘๒๙,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ การดำเนินรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณดังกล่าว ให้กระทรวงวัฒนธรรมเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามงวดงานและงวดเงินที่จะจ่ายจริงตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
408 | ร่างแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2559 - 2564) | ทก | 02/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๔) มีเป้าประสงค์หลักคือ การพัฒนาข้อมูลสถิติให้มีมาตรฐาน คุณภาพ สามารถเชื่อมโยงและบูรณาการเพื่อตอบโจทย์การตัดสินใจ และการกำหนดนโยบายในการพัฒนาในทุกระดับ (ประเทศ ภารกิจ และพื้นที่) ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การพัฒนาระบบสถิติของประเทศเพื่อการวางแผนและติดตามผลการพัฒนาระดับประเทศ และระดับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด (๒) การบูรณาการสถิติจากข้อมูลการบริหารงานและสถิติจากการสำรวจและการเชื่อมโยงสถิติ (๓) การพัฒนาคุณภาพสถิติให้ได้มาตรฐานสากล (๔) การให้บริการสถิติที่สะดวกต่อการเข้าถึง เข้าใจ และใช้ประโยชน์ และ (๕) การเสริมสร้างความเข้มแข็งของหน่วยสถิติและการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรภาครัฐในด้านสถิติและเทคโนโลยีสารสนเทศ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานสถิติแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐที่เห็นควรมีกลไกที่ชัดเจนในการกำหนดหมวดหมู่ของสถิติที่จำเป็น ควรมีแนวทางหรือกลไกในการประสานข้อมูลในภาพรวม ตลอดจนการประสานความต้องการข้อมูลระหว่างสาขาหรือข้อมูลที่อาจจะต้องมีการพัฒนาขึ้นใหม่ ควรให้ความสำคัญกับประเด็นมาตรฐานการจำแนกรายการทางสถิติ และมาตรฐานการสำรวจและจัดเก็บข้อมูล สำหรับการมอบหมายหน่วยงานทุกระดับ (ระดับภารกิจและระดับพื้นที่) จัดเก็บข้อมูลการบริหารงานควรมีการกำหนดภารกิจและงานการจัดทำระบบสถิติของหน่วยงานอย่างชัดเจน ในส่วนของงบประมาณที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินการ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ได้รับการจัดสรรแล้วมาดำเนินการก่อน และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม นอกจากนี้ในการพัฒนาสมรรถนะบุคลากร สำนักงานสถิติแห่งชาติควรจัดประชุมหารือกับสำนักงาน ก.พ. และส่วนราชการต่าง ๆ ที่มีหน่วยงานด้านสถิติ เพื่อกำหนดมาตรฐานสมรรถนะร่วมกัน รวมทั้งในการกำหนดแนวทางการดำเนินงานและตัวชี้วัดเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาฐานข้อมูลที่สนับสนุนการประเมินผลจาหน่วยงานระดับสากล ควรมีการกำหนดให้ครอบคลุมดัชนีและตัวชี้วัดระดับนานาชาติ ตลอดจนควรประสานความร่วมมือกับสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ในด้านการเชื่อมโยงและเปิดเผยข้อมูลสถิติ (Open Data) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
409 | ขออนุมัติการดำเนินงานเพื่อยกระดับความเข้มแข็งด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการปกป้องชื่อโดเมน | ทก | 02/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ดำเนินการตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ เพื่อนำข้อเสนอแนะมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสำหรับเว็บไซต์ (Website Security Standard) ไปใช้ในการดำเนินงาน โดยจะประกาศรายชื่อหน่วยงานของรัฐเพื่อเข้าร่วมโครงการระบบตรวจจับและวิเคราะห์การโจมตีผ่านเครือข่าย (ThaiCERT Government Monitoring System) เป็นระยะต่อไป ๑.๒ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดตั้ง Sector-based CERT ในหน่วยงานสำคัญต่าง ๆ ต่อไป ๑.๓ เป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมรายชื่อโดเมนที่สำคัญของประเทศไทย พร้อมเตรียมแนวทางในการดำเนินการปกป้องรายชื่อดังกล่าวในกระบวนการพิจารณาของ The Internet Corporation for Assigned Names and Numbers (ICANN) ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการเผยแพร่ข้อเสนอแนะมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสำหรับเว็บไซต์ (Website Security Standard) อย่างต่อเนื่องและกว้างขวาง เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถใช้เป็นแนวทางและข้อกำหนดในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ต่อไป รวมทั้งเห็นควรยกระดับมาตรฐานการเฝ้าระวัง ติดตาม และดูแลภัยคุกคามไซเบอร์ในภาคสถาบันการเงิน โดยจัดตั้ง Financial Sector CERT เพื่อให้การจัดการกับปัญหาภัยคุกคามไซเบอร์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
410 | ขออนุมัติการดำเนินงานด้านมาตรฐานรหัสสินค้าและบริการ | ทก | 02/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการใช้การพัฒนามาตรฐานและระบบทะเบียนรหัสสินค้าและบริการของประเทศไทยที่จำเป็นสำหรับการซื้อขายทางออนไลน์ เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง และกรมศุลกากร และสนับสนุนการทำงานร่วมกับภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อให้มีการนำมาตรฐานรหัสสินค้าและบริการไปใช้อย่างแพร่หลายอันสอดคล้องกับมาตรฐานสากลต่อไป ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
411 | รายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานการศึกษาธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. ....) | อื่นๆ | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานการศึกษาธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. ....) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วและมีมติเห็นตรงกันว่ารายงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นรายงานที่มีความสมบูรณ์ครบถ้วนทุกมิติ เป็นแนวทางในการบริหารจัดการที่ดินของประเทศที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินของประชาชนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน และการจัดตั้งธนาคารที่ดินจะนำไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกิน การสูญเสียสิทธิในที่ดิน (ที่ดินหลุดมือ) การบุกรุกที่ดินของรัฐและเอกชน โดยเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการซึ่งไม่มีความซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานที่มีอยู่ อันจะนำไปสู่ความมั่นคงด้านการจัดการที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป โดยยึดหลักการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างเต็มศักยภาพของที่ดิน ในส่วนของร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... ที่ประชุมเห็นชอบด้วยในหลักการของร่างพระราชบัญญัติโดยมีข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งกระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานหลักที่ได้รับมอบหมายจะเป็นผู้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
412 | ขอความเห็นชอบให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ | วท | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ในประเทศไทย จำนวน ๓ รายการ ได้แก่ ๑.๑.๑ การประชุม First Project Coordination Meeting on the Applications of Emerging Radiopharmaceuticals for Targeted Therapy ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ๑.๑.๒ การประชุม Regional Coordination Meeting ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ๑.๑.๓ การประชุมเชิงปฏิบัติการ Workshop on Developing a Quality Framework to Enhance Patient Care in Diagnostic Radiology ระหว่างวันที่ ๓-๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๑.๒ ให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติดำเนินการประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อแจ้งให้คณะผู้แทนถาวรไทยประจำกรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ทราบและแจ้ง IAEA ตามแนวทางปฏิบัติต่อไป ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันที่เห็นควรระบุยืนยันในหนังสือตอบรับของฝ่ายไทยว่า ไทยจะสามารถให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่บุคคลที่มีสิทธิ์ที่จะได้รับความตกลงว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของ IAEA เท่านั้น เพื่อให้ฝ่ายไทยสามารถปฏิบัติได้โดยไม่ต้องออกหรือแก้ไขพระราชบัญญัติเพื่อรองรับพันธกรณีในเรื่องนี้ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
413 | รายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม 2559) | ทส | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๕๙) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นเรื่องที่เป็นหลักการ ๑.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ/องค์การมหาชน จากงบประมาณทั้งสิ้น ๓๗,๕๔๒.๙๖๑๕ ล้านบาท เบิกจ่ายได้ ๑๐,๘๕๒.๑๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๙ ๑.๒ การเจรจาหรือจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ได้แก่ การสัมมนาระดับสูง เรื่องสิ่งแวดล้อมเมืองที่ยั่งยืน ครั้งที่ ๗ (7th High Level Seminar on Environmentally Sustainable Cities : 7th HLS ESC) การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Assembly : UNEA) การประชุมหารือระดับรัฐมนตรี (Ministerial-level policy review session) โครงการพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และการจัดทำยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๓ การจัดทำโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการ ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ อย่างเคร่งครัด การประกาศเชิญชวนผู้ที่สนใจได้ทราบล่วงหน้าในระบบ e-GP และเว็บไซต์ของหน่วยงานให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้องและโปร่งใส การจัดทำมาตรการป้องกันและลดโอกาสการทุจริตและประพฤติมิชอบ แจ้งเวียนขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างฯ ให้หน่วยงานภายในทราบและถือปฏิบัติ พร้อมทั้งจัดทำคู่มือขั้นตอนการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และเผยแพร่บนเว็บไซต์ของหน่วยงาน ตลอดจนกำชับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามกระบวนการ ข้อระเบียบ กฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแจ้งข้อมูลข่าวสารให้หน่วยงานภายนอกทราบ ๑.๔ การเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีการขับเคลื่อนกฎหมาย รวม ๑๒ ฉบับ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ ๓ ประการ คือ (๑) ต้องเป็นการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่แท้จริงของการบังคับใช้กฎหมาย (๒) พึงระวังการแก้ไขกฎหมายที่เป็นการเพิ่มอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และ (๓) ให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจถึงหลักการและเหตุผลด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ๑.๕ การแต่งตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจ ได้แจ้งรัฐวิสาหกิจในสังกัดให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ โดยเคร่งครัด ๒. เรื่อง/โครงการสำคัญเร่งด่วน ๒.๑ การปรับโครงสร้างและการบริหารจัดการด้านพลังงาน อยู่ระหว่างเตรียมการจัดทำโครงการสร้างโรงไฟฟ้าจาก RDF (Refuse Derived Fuel) ในพื้นที่ทหาร โดยให้เอกชนลงทุน ๒.๒ การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของประเทศ การจัดทำโครงการแก้มลิงเพื่อเป็นพื้นที่กักเก็บน้ำ โดยใช้พื้นที่ราชพัสดุ พื้นที่ราชการหรือพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเพื่อการอุปโภค บริโภค และนิคมอุตสาหกรรม ๒.๓ การแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรในระยะยาวและการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) การดำเนินการกำหนดแนวทางและมาตรการเชิงรุกในการดำเนินการแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรในระยะยาวเป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒.๔ การจัดหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร โดยแนวทางการจัดหาที่ดินให้แก่เกษตรกรในลักษณะที่ไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่อนุญาตให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากที่ดินประเภทต่าง ๆ ๒.๕ การจัดการขยะมูลฝอยและน้ำเสีย องค์การจัดการน้ำเสียได้ดำเนินการโครงการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย โดยสามารถบำบัดน้ำได้ตามมาตรฐานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดไว้ก่อนระบายลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดทำคู่มือประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice : COP) และกรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติงานตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ๒.๖ การจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม ได้ดำเนินงานร่วมกับศูนย์บริการร่วม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการให้บริการประชาชนเกี่ยวกับการรับแจ้งเรื่องร้องเรียน และประสานส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขตามอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๗ การรวบรวมกฎหมายระเบียบที่ล้าสมัยหรือเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและพิจารณาความจำเป็นเร่งด่วนและจัดลำดับความสำคัญของร่างกฎหมาย การปรับปรุงกฎหมายเดิมและเสนอร่างกฎหมายใหม่ตามแผนเสนอร่างกฎหมายของ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวม จำนวน ๑๒ ฉบับ เช่น ร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
414 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งผลการพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) เกี่ยวกับการให้องค์การมหาชนทั้ง ๓๙ หน่วยงาน จัดส่งร่างแก้ไขพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งมายังสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อนำเสนอ กพม. พิจารณา แล้วจึงตอบมติกลับไปยังองค์การมหาชนทุกแห่ง เพื่อนำส่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และนำเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกันทุกหน่วยงาน เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
415 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 เรื่อง การแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้ยากจนและไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง | อื่นๆ | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้ยากจนและไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง) และให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) นำเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรแล้ว จำนวน ๖๙๐,๒๐๐,๐๐๐ บาท ไปดำเนินโครงการ จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการศึกษากระบวนการดำเนินงานของธนาคารที่ดิน (๒) โครงการแก้ไขปัญหาเกษตรกรและผู้ยากจนซึ่งมีปัญหาจะสูญเสียสิทธิในที่ดินจากปัญหาการจำนองและขายฝาก (๓) โครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน (๔) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร และ (๕) โครงการศึกษาวิจัยระบบข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการที่ดิน ตามมติคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ ๑.๒ ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีการดำเนินโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน) จากเดิม “๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีการดำเนินโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ ให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาและสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย โดยประสานรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินการกับสำนักงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป” เป็น “๑. มอบหมายให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน” ๒. ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในประเด็นโครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน นั้น ให้กำหนดหลักเกณฑ์การช่วยเหลือบนหลักความเป็นธรรมและความเสมอภาค คำนึงถึงการแก้ไขปัญหาของพื้นที่อื่น ๆ และติดตามผลการดำเนินงานของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ก่อนกำหนดกิจกรรมและงบประมาณที่จะดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) จัดทำแผนปฏิบัติการตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ทั้งนี้ กิจกรรมใดที่เป็นการดำเนินการซึ่งเกินกว่ากรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ให้นำเรื่องดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนปฏิรูป เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินพิจารณาดำเนินการต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ และรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
416 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2559 | สวพส. | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนโครงการหลวง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๙ ซึ่งที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานสำคัญในการสนับสนุนงานโครงการหลวง รวมทั้งเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนแม่บท ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และคำของบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒ รับทราบกรอบคำของบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง จำนวน ๓๘ แห่ง จำนวน ๑,๗๐๔,๔๔๖,๖๔๐ บาท และโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง จำนวน ๒๙ แห่ง จำนวน ๔๙๙,๗๓๙,๕๕๑ บาท ซึ่งหน่วยงานได้ส่งกรอบคำขอตั้งงบประมาณให้สำนักงบประมาณพิจารณาแล้ว และสำนักงบประมาณได้พิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ตามความเหมาะสม และได้ปรับปรุงโครงสร้างแผนงานตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในส่วน “แผนงานยุทธศาสตร์สนับสนุนการพัฒนาโครงการหลวง” โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมสนับสนุนการดำเนินโครงการตามแผนงานดังกล่าวด้วย ๑.๓ เห็นชอบแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) กรอบงบประมาณรวม ๕,๘๔๗,๙๙๗,๖๗๓ บาท และแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) กรอบงบประมาณรวม ๓,๐๙๐,๒๔๐,๙๗๙ บาท ๒. ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๒๑ (เรื่อง ขออนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเป็นผู้ตรวจสอบโครงการวิจัย) สำหรับโครงการและแผนงานวิจัยตามแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ๓. ให้สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความสำคัญในการผลักดันกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้โครงการที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะด้านการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มเติมรายละเอียดมาตรการควบคุมและป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและการแพร่กระจายของมลพิษจากกิจกรรมต่าง ๆ การเพิ่มเติมมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในพื้นที่ดำเนินการ โดยเฉพาะการเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้มีการนำเข้าชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ต่างถิ่นที่อาจส่งผลกระทบต่อชนิดพันธุ์ดั้งเดิม การเพิ่มเติมโครงการ/กิจกรรมด้านการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในความสำคัญของพื้นที่ต้นน้ำลำธารให้กับประชาชนในพื้นที่ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูดิน น้ำ และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ผ่านการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น การจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม การให้ความสำคัญกับการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยยึดพื้นที่เป็นเป้าหมาย การแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายป่าและปัญหายาเสพติดควบคู่ไปกับการพัฒนาอาชีพของประชาชนบนพื้นที่สูง รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยลดการใช้หรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทางการเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
417 | ขออนุมัติหลักการในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการประเมินสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพให้กับผู้เข้ารับการประเมินสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ ภายใต้โครงการสร้างโอกาสในการพัฒนาสมรรถนะของผู้ประกอบอาชีพ | อื่นๆ | 14/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการในการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการประเมินสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพให้กับผู้เข้ารับการประเมินสมรรถนะใน ๕๓ สาขาวิชาชีพ ได้มีโอกาสเข้าสู่ระบบคุณวุฒิวิชาชีพเพื่อสร้างรายได้และความก้าวหน้าในอาชีพ ในระยะ ๕ ปีแรก ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ประมาณ ๓๑๐,๐๐๐ คน ภายใต้โครงการสร้างโอกาสในการพัฒนาสมรรถนะของผู้ประกอบอาชีพ รวมทั้งวงเงินงบประมาณรายจ่ายสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการประเมินสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ จำนวน ๒,๕๐๐ บาทต่อ ๑ คน ต่อ ๑ อาชีพ ต่อ ๑ ระดับชั้น สำหรับผู้เข้ารับการประเมินสมรรถนะฯ ตามที่สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เสนอ ทั้งนี้ งบประมาณในการดำเนินงานให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เห็นควรให้สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ใช้จ่ายจากเงินสะสมเหลือจ่ายหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณแล้วแต่กรณี ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยให้พิจารณาดำเนินโครงการในลักษณะของการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายในการประเมินสมรรถนะดังกล่าวระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการ และผู้เข้ารับการประเมิน รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์แนวทางการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการประเมินสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพที่ให้ผู้ประกอบอาชีพสามารถเข้าถึงโอกาสการประเมินสมรรถนะได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีแล้ว และมีบัญชาเพิ่มเติมว่า “ให้มีผลงานเป็นรูปธรรม/กำหนดว่าอะไรจะสำเร็จในระยะแรก ๑ ๒ ๓/เป็นตัวเลขทางวิทยาศาสตร์ ๒. ให้สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้สำนักงาน ก.พ. กำหนดให้ผู้ที่ผ่านการประเมินสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพสามารถนำหนังสือรับรองสมรรถนะในสายงานที่เกี่ยวข้องมาใช้แสดงเป็นใบประกอบวิชาชีพเพื่อเพิ่มเงินแรกบรรจุในการเข้ารับราชการ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายควรครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มนักศึกษา กลุ่มคนทำงาน และกลุ่มคนไม่มีงานทำ เป็นต้น การกำหนดมาตรการแรงจูงใจสร้างความเชื่อมั่นและยอมรับมาตรฐานอาชีพจากภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาระบบการประเมินสมรรถนะให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมถึงการประเมินผลสัมฤทธิ์การใช้จ่ายงบประมาณควรเน้นเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ การสร้างความตระหนักหรือการยอมรับในความสำคัญของระบบคุณวุฒิวิชาชีพสำหรับผู้ประกอบการและผู้ประกอบอาชีพในสาขาสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ การสร้างความเชื่อมั่นด้านกระบวนการจัดทำมาตรฐานและเครื่องมือการประเมินการรับรองสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชนในกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่มีบทบาทสำคัญต่อการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะสอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิตและบริการ การจัดทำฐานข้อมูลเพื่อติดตามความก้าวหน้าในสายอาชีพของผู้ได้รับการประเมินสมรรถนะตามมาตรฐานอาชีพเพื่อประเมินความสำเร็จของโครงการฯ และการประชาสัมพันธ์มาตรฐานอาชีพ รวมทั้งกระบวนการในการจัดทำมาตรฐานอาชีพที่แสดงให้เห็นว่ามาจากความร่วมมือของกลุ่ม/สมาคมอาชีพร่วมกันพัฒนา การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการและผู้เข้ารับการประเมินมีส่วนร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการประเมินสมรรถนะ รวมทั้งความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการพิจารณาความเชื่อมโยงมาตรฐานและระบบการประเมินของหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องมาตรฐานอาชีพ เช่น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ส่วนค่าใช้จ่ายในการประเมินสมรรถนะฯ ซึ่งในการทดสอบแต่ละสาขาวิชาชีพอาจจะมีค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน จึงควรพิจารณาความเหมาะสมของงบประมาณที่ใช้ในการประเมิน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยสาธารณะของผู้ประกอบอาชีพต่าง ๆ เช่น ผู้ขับขี่ยานพาหนะสาธารณะ ผู้ให้บริการหรือผู้ควบคุมเครื่องเล่นหรือเครื่องยนต์ในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวผู้ใช้บริการ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
418 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (จำนวน 5 คน 1. นายสมชัย สัจจพงษ์ ฯลฯ) | นร12 | 14/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน จำนวน ๕ คน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙) ดังนี้
๑. นายสมชัย สัจจพงษ์ ๒. นายเฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารองค์การมหาชน) ๓. นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ๔. นายสุรพล นิติไกรพจน์ (ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารองค์การมหาชน) ๕. นายรณภพ ปัทมะดิษ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
419 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 23/2559 เรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 24/2559 เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง | สลธ.คสช. | 24/05/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๓/๒๕๕๙ เรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) สั่ง ณ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๔/๒๕๕๙ เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง สั่ง ณ วันที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
420 | สรุปมติ - ข้อสั่งการที่สำคัญในการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2559 | สลธ.คสช. | 24/05/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติ-ข้อสั่งการที่สำคัญในการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริต (คตช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๙ ซึ่งมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการ คตช. ในรอบปี ๒๕๕๘ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศแปลเป็นภาษาอังกฤษและแจกจ่ายเผยแพร่ในต่างประเทศ และให้กรมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ภายในประเทศ รวมทั้งให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ดำเนินการจัดทำในรูปแบบ Infographics เผยแพร่บนสื่อออนไลน์ และรับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการคตช. ได้แก่ ด้านการปลูกจิตสำนึกและสร้างการรับรู้ ด้านการปราบปรามการทุจริต ด้านการป้องกันการทุจริต เป็นต้น ตามที่ คตช. เสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมติและข้อสั่งการของ คตช. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
.....