ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 27 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 521 - 540 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
521 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ โดยที่การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต้องอาศัยกลไกทางกฎหมายเพื่อให้เกิดการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเพื่อให้สอดคล้องกับความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน (The GMS Agreement) จึงเห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) เร่งรัดให้กฎหมายที่เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับโดยเร็วเพื่อรองรับการดำเนินการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว และให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งพิจารณากำหนดแนวทางในการจัดตั้งโรงงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่มีความสนใจเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้ ให้เน้นโรงงานสำหรับการนำผลิตผลทางการเกษตรมาแปรรูป เช่น โรงงานน้ำตาล เป็นต้น แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการเกี่ยวกับรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) และการเจรจากับบริษัทเอกชนสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงต่อขยาย เพื่อให้สามารถมีรถไฟฟ้าสำหรับให้บริการประชาชนตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยเร็ว ๑.๓ ปัจจุบันมูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศไทยขยายตัวขึ้น โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จึงให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาหาแนวทางการนำนวัตกรรมมาใช้ส่งเสริมสินค้าเพื่อการส่งออกเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกและการแข่งขันกับนานาประเทศ รวมทั้งพิจารณาขยายฐานการส่งออกไปสู่ประเทศคู่ค้าใหม่ที่มีศักยภาพด้วย ๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการจัดตั้งโรงสีข้าวขนาดกลางในเขตพื้นที่ที่มีการทำนา โดยบริการสีข้าวให้แก่ชาวนาเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการขายข้าวของชาวนานอกเหนือจากการขายเฉพาะข้าวเปลือกเท่านั้น ๑.๕ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคเหนือ ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และมติที่ประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับแนวทางการยกระดับสถาบันการศึกษาทางด้านวิชาชีพ โดยส่งเสริมสถาบันอาชีวศึกษาในด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น การสนับสนุนเครื่องมือประจำวิชาชีพของนักเรียนอาชีวศึกษา จัดทำฐานข้อมูลผู้จบการศึกษาระดับอาชีวศึกษา และส่งเสริมให้ผู้จบการศึกษาระดับอาชีวศึกษามีงานทำ แล้วรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาทบทวนสถานที่ก่อสร้างอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค โดยอาจก่อสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขนาดใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครหรือในภาคกลาง หรือขยายพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติที่มีอยู่เดิมให้เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ เช่น พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติที่ตั้งอยู่ในเทคโนธานี ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป ๓. ด้านการต่างประเทศ ๓.๑ ให้ส่วนราชการส่งข้อมูลผลการดำเนินการตามบันทึกความตกลง บันทึกความเข้าใจ หรือเอกสารความร่วมมือระหว่างประเทศให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อรวบรวมเป็นฐานข้อมูลสำหรับการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการตามความตกลงหรือความร่วมมือระหว่างประเทศ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานเจ้าภาพเตรียมการจัดประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ ในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นสารัตถะที่จะใช้ในการประชุมให้ครบถ้วนแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีภายในกลางเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ และให้กระทรวงพลังงานจัดเตรียมข้อมูลและแนวทางในการหารือกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเกี่ยวกับผลกระทบที่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและราชอาณาจักรกัมพูชาจะได้รับจากการสร้างเขื่อนผลิตพลังงานไฟฟ้ากั้นแม่น้ำโขง ๔. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๔.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งจัดลำดับความสำคัญร่างกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบตามแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๗-ตุลาคม ๒๕๕๘) จำนวน ๑๖๓ ฉบับ พร้อมแสดงเหตุผลความจำเป็นและกรอบเวลาให้ชัดเจน แล้วส่งให้กระทรวงยุติธรรมเพื่อรวบรวม และรายงานให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายในสัปดาห์หน้า ๔.๒ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการรวบรวมผลการพิจารณาคดีขององค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมหลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เช่น ความมั่นคง ยาเสพติด อาวุธสงคราม โดยให้รวบรวมจำนวนคดีความที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว จำนวนคดีที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และจำนวนคดีที่พิจารณาเสร็จสิ้น แล้วเสนอนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำรวจข้อมูลการดำเนินงานตามความรับผิดชอบของทุกส่วนราชการและเชื่อมโยงข้อมูลให้ทุกส่วนราชการสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ เช่น การเชื่อมโยงข้อมูลการบริหารจัดการน้ำระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินการอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๕.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เร่งสรุปผลการดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการที่ปัจจุบันให้บริษัทจากเอกชนเป็นผู้ประเมิน ซึ่งภาคเอกชนอาจขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของส่วนราชการ เพื่อให้การประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงภารกิจและการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ให้เป็นที่ยอมรับจากส่วนราชการมากยิ่งขึ้น รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย ๕.๓ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
522 | การเปิดตัวแอปพลิเคชัน "สุขพอที่พ่อสอน" เฉลิมพระเกียรติ 5 ธันวาคม 2557 | ทก | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. การเปิดตัวแอปพลิเคชัน “สุขพอที่พ่อสอน” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๗ พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักราชเลขาธิการได้จัดทำขึ้น โดยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทคัดตัดตอนเพื่อนำมาพัฒนาในรูปแบบดิจิทัลสำหรับรองรับอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ (Mobile Devices) ซึ่งได้จัดเรียงพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทคัดตัดตอนรวมทั้งหมด ๘๘ ข้อความ แบ่งออกเป็น ๙ หมวดหมู่ ประกอบด้วย หมวดการศึกษา หมวดความยุติธรรม หมวดรู้รักสามัคคี หมวดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ หมวดประโยชน์ส่วนรวม หมวดการพัฒนา หมวดความพอเพียง หมวดคุณธรรมจริยธรรมความสุข และหมวดความปรารถนาดี ๒. ขอนำสื่อประชาสัมพันธ์แอปพลิเคชัน “สุขพอที่พ่อสอน” เข้าร่วมเผยแพร่ในกิจกรรมการจัดงานมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวามหาราช ในระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึงวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ บริเวณท้องสนามหลวง ๓. ขอความร่วมมือให้หน่วยงาน/ส่วนราชการช่วยประชาสัมพันธ์แอปพลิเคชัน “สุขพอที่พ่อสอน” ผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงาน/ส่วนราชการ สามารถดาวน์โหลดข้อมูลพร้อมวิธีการและช่องทางการติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าวได้ที www.ega.or.th
|
||||||||||||||||||||||||
523 | รายงานประจำปี พ.ศ. 2556 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | ศธ | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการรายงานผลการดำเนินงานของ สคพ. ในการศึกษาอบรทและค้นคว้าวิจัยเพื่อส่งเสริมการค้าและการพัฒนา รวมถึงการดำเนินกิจกรรมอื่นที่สอดคล้องกับความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและองค์การสหประชาชาติเกี่ยวกับสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
524 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) | วธ | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารหอภาพยนตร์ จำนวน ๘ คน ซึ่งได้รับการสรรหาตามระเบียบหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. รองศาสตราจารย์สุกรี เจริญสุข ประธานกรรมการ ๒. นายชาคร วิภูษณวนิช กรรมการ ๓. นางจิระนันท์ ประเสริฐกุล กรรมการ ๔. นายศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา กรรมการ ๕. ม.ล.วราภา อุกฤษณ์ กรรมการ ๖. นายประวิทย์ แต่งอักษร กรรมการ ๗. นายจิระ มะลิกุล กรรมการ ๘. นายก้อง ฤทธิ์ดี กรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||
525 | ขอความเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 (เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี) | วท | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ขอเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๓๔,๕๓๗,๘๐๐ บาท จากเดิม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการร่วมดำเนินการสนับสนุนองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) เพื่อจัดทำข้อมูลความสูงภูมิประเทศของพื้นที่รับน้ำนอง ภายใต้แผนปฏิบัติการบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน เป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใน ๒ กิจกรรม ๑ โครงการ ดังนี้ ๑.๑ กิจกรรมการจัดทำแผนที่การใช้ที่ดินในเขตป่าไม้ในปัจจุบันเพื่อสนับสนุนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖๖/๒๕๕๗ จำนวน ๘,๓๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ กิจกรรมภูมิสารสนเทศเพื่อติดตามเฝ้าระวังโซนการเกษตรของประเทศไทยในฤดูเพาะปลูก พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ โครงการพัฒนาภูมิสารสนเทศกลางเพื่อสนับสนุนการจัดการทรัพยากรและการจัดการพื้นที่ของประเทศตามศักยภาพ (Zoning) จำนวน ๘,๒๓๗,๘๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป รวมทั้งให้รับไปหารือร่วมกับหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องที่ใช้ประโยชน์จากดาวเทียมไทยโชต หรือดาวเทียมธีออส (Thailand Earth Observation Systems : THEOS) เพื่อพิจารณาแนวทางการเตรียมการรองรับกรณีที่ดาวเทียมไทยโชตจะหมดอายุการใช้งานในทางเทคนิคประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ความคุ้มค่าที่จะได้รับ รวมทั้งความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการร่วมมือกับต่างประเทศดำเนินการส่งดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นสู่วงโคจรแทนดาวเทียมไทยโชต และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
526 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว สำหรับโครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสา - บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว | กค | 12/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสา-บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ในส่วนแหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขทางการเงิน จำนวนไม่เกิน ๑,๙๗๗ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินให้เปล่า (ร้อยละ ๒๐) จำนวนไม่เกิน ๓๙๕.๔๐ ล้านบาท และเงินกู้ (ร้อยละ ๘๐) จำนวนไม่เกิน ๑,๕๘๑.๖๐ ล้านบาท ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการพิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยในเบื้องต้นอาจร่วมกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลในโอกาสการลงทุน และกำหนดมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. ส่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ประกอบการเตรียมการเดินทางไปเยือน สปป.ลาว อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านการต่างประเทศด้วย |
||||||||||||||||||||||||
527 | แนวทางและวิธีการจ่ายเงินโครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง | กษ | 04/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและวิธีการจ่ายเงินโครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ประกอบด้วย คุณสมบัติเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ ต้องมีสัญชาติไทย เป็นหัวหน้าครัวเรือนหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย (๑ ครัวเรือน ๑ สิทธิ์) ตามทะเบียนเกษตรกร เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และมีสวนยางตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ การรับแจ้งเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน-๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ และสามารถขยายระยะเวลาได้ตามความจำเป็น การตรวจสอบรับรองสิทธิ์เกษตรกร ให้มีคณะทำงานตรวจสอบสิทธิ์โครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยางระดับตำบล คณะกรรมการบริหารโครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยางระดับอำเภอ และระดับจังหวัด ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง การขอใช้สิทธิ์ของเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ และการจ่ายเงินให้เกษตรกร ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของการขยายระยะเวลาการรับแจ้งเข้าร่วมโครงการ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการขยายระยะเวลาการเข้าร่วมโครงการภายในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจ่ายเงินตามโครงการฯ ให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการตรวจสอบสิทธิ์ของเกษตรกรที่มีพื้นที่สวนยางเปิดกรีดเกินกว่า ๑๕ ไร่ ให้ได้รับเงินชดเชยรายได้ไม่เกินครัวเรือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท โดยต้องไม่มีการแบ่งเอกสารสิทธิ์การถือครองที่ดินเพื่อขอรับเงินชดเชยรายได้เพิ่มขึ้น ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ใช้ระบบดาวเทียมในการตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกยางพาราให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบพื้นที่ตามโครงการดังกล่าวข้างต้นต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
528 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | กค | 21/10/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบรายงานการเงินภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยงบแสดงฐานะทางการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ (ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ จังหวัด กลุ่มจังหวัด หน่วยงานอิสระ องค์การมหาชน และมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ) กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๘,๑๘๘ หน่วยงาน จากทั้งหมด ๘,๓๘๘ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๘๐ ซึ่งผลการวิเคราะห์พบว่า กลุ่มรัฐวิสาหกิจมีสินทรัพย์รวมมากที่สุด มูลค่ารวม ๑๑.๘๑ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการเงินและธุรกิจพลังงาน สำหรับรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐมีสินทรัพย์รวม ๙.๑๒ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในรูปที่ดินราชพัสดุ เงินกู้ในภาพรวม ๗.๔๓ ล้านล้านบาท เป็นของรัฐบาลกลาง ๓.๗๒ ล้านล้านบาท รองลงมาเป็นของรัฐวิสาหกิจ ๓.๖๗ ล้านล้านบาท รายได้ในภาพรวมเป็นของรัฐวิสาหกิจ ๔.๙๘ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรายได้ของธุรกิจพลังงานและการไฟฟ้า รองลงมาเป็นรายได้ของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ๒.๘๐ ล้านล้านบาท ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายต้นทุนขายและบริการในภาครัฐวิสาหกิจและค่าใช้จ่ายบุคลากรของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาปรับปรุงลักษณะการวิเคราะห์ให้สามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และความเสี่ยงทางการคลังของภาครัฐในภาพรวม การให้ความรู้ในด้านการบันทึกข้อมูลทางบัญชีให้กับเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้สามารถจัดทำบัญชีได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานที่กำหนด รวมทั้งให้มีการแยกการรายงานในส่วนของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินและไม่ใช่สถาบันการเงินออกจากกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เนื่องจากการรายงานฐานะของกองทุนและทุนหมุนเวียนเป็นองค์ประกอบหนึ่งของรายงานการเงินรวมภาครัฐ ซึ่งที่ผ่านมาหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เคยมีข้อสั่งการ (๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗) เกี่ยวกับเรื่องกองทุนต่าง ๆ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ และส่งให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) วิเคราะห์ และเสนอแนวทางการปรับปรุงพัฒนา หรือยกเลิกกองทุนเพื่อเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) มอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณของกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ ของทุกหน่วยงานเพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) พิจารณาประกอบการจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและการพัฒนาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น จึงให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
529 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ | ทก | 21/10/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางเจริญศรี มิตรภานนท์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการตรวจสอบการเงินและบัญชี ในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ แทนนางจารุพร ไวยนันท์ ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ ตามนัยมาตรา ๑๖(๔) และมาตรา ๑๔ (๒) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
530 | ขอความเห็นชอบหลักการให้ข้าราชการการเมืองตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 และกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีต้องไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ | นร | 07/10/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักการให้ข้าราชการการเมืองตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ และกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีต้องไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ดังนี้ ๑.๑ ต้องไม่ดำรงตำแหน่งกรรมการหรือที่ปรึกษาของรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือองค์กรอื่นของรัฐ เว้นแต่การเป็นกรรมการตามที่กฎหมายบัญญัติหรือได้รับแต่งตั้งในการบริหารราชการแผ่นดิน ๑.๒ ต้องไม่เป็นคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอนหรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ขัดหรือแย้งกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือองค์กรอื่นของรัฐ ทั้งนี้ โดยให้มีผลภายใน ๑๕ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๒. เห็นชอบในหลักการให้แก้ไขความในข้อ ๑๑ แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ ให้สอดคล้องตามหลักการในข้อ ๑ โดยมอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ดังกล่าว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
531 | การกำหนดหลักการให้รองนายกรัฐมนตรีอนุมัติเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีและกลั่นกรองเรื่องให้นายกรัฐมนตรี | นร05 | 01/10/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบประเภทเรื่องที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ/อนุมัติ และเรื่องที่มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ/อนุมัติ ให้เสนอคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๑.๑ เรื่องที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ/อนุมัติ ได้แก่ ๑.๑.๑ การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ๑.๑.๒ การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ๑.๑.๓ การแต่งตั้งเอกอัครราชทูต กงสุลของไทยประจำต่างประเทศ ๑.๑.๔ การแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี ๑.๑.๕ การแต่งตั้งผู้บริหารสูงสุด รองผู้บริหารสูงสุด และคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐ ๑.๑.๖ การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒ เรื่องที่มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ/อนุมัติ ได้แก่ ๑.๒.๑ เรื่องเพื่อทราบตามกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี หรือตามที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบ ๑.๒.๒ เรื่องที่ผ่านการพิจารณาของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง หรือคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามกฎหมาย/ระเบียบ/ข้อบังคับ หรือโดยคณะรัฐมนตรี/นายกรัฐมนตรี เช่น ร่างประกาศต่าง ๆ ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องแล้ว ๑.๒.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศ ที่ไม่ใช่เรื่องนโยบาย เช่น ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ต่าง ๆ ๑.๒.๔ เรื่องที่มีกฎหมายหรือระเบียบรองรับอยู่แล้ว เช่น การอนุมัติให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานที่ต่างประเทศ ๑.๒.๕ เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไม่ใช่เรื่องนโยบาย เช่น การแต่งตั้งเอกอัครราชทูต กงสุลของต่างประเทศประจำประเทศไทย ๒. เห็นชอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเรื่องดังต่อไปนี้เสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อพิจารณากลั่นกรองก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๒.๑ เรื่องที่หน่วยงานอิสระเสนอคณะรัฐมนตรี เช่น ศาลปกครอง ศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ๒.๒ การดำเนินคดีในศาลปกครองในกรณีที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องในคดีปกครอง
|
||||||||||||||||||||||||
532 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 02/09/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลัง ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาทบทวนมาตรการสร้างแรงจูงใจทั้งมาตรการทางภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tax) เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนทั้งจากในและต่างประเทศทำการลงทุนและส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคหรือสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย (Regional Operation Headquarters : ROH) เพื่อให้กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางด้านการค้า การเงิน และการลงทุนของประชาคมอาเซียน นั้น ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามมติดังกล่าวโดยเร็ว ๑.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการผลักดันโครงการต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลตอบแทนที่ประเทศจะได้รับเป็นสำคัญ เช่น การจ้างงานในประเทศ การใช้วัตถุดิบภายในประเทศ สนับสนุนให้เกิดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของคนไทย ส่งเสริมการประหยัดพลังงานและไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับคนไทย นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ โดยเน้นการส่งเสริมนักลงทุนต่างชาติที่มีแผนการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับคนไทยเป็นลำดับแรก ๑.๓ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทยส่งเสริมการปลูกพืชทดแทนตามแผนการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ของพืชเกษตร และเร่งดำเนินโครงการต้นแบบเพื่อสร้างความรู้ให้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการปลูกพืชทดแทน พืชหมุนเวียน และเกษตรผสมผสาน โดยนำองค์ความรู้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ และปราชญ์ชาวบ้านมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นั้น ในการดำเนินโครงการต้นแบบศูนย์การเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชของเกษตรกรจะต้องขยายให้ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมทั่วประเทศ จึงมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คำนึงถึงความสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำ ระบบการขนส่ง และการเชื่อมโยงกับตลาด รวมทั้งระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในพื้นที่ด้วย ๑.๔ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบการประกันภัยให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผ่านกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ นั้น เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวแล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด จึงมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งประสานงานกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำระเบียบรองรับการดำเนินการของกองทุนฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๑.๕ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗] ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำเทคนิคการฝังท่อลงไปในท้องน้ำเพื่อให้น้ำจากแหล่งน้ำระหว่างประเทศซึมไหลไปสู่แหล่งน้ำในประเทศที่มีระดับต่ำกว่าเพื่อนำน้ำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น กรณีแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวิน นั้น ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ศึกษาวิธีการใช้เทคนิคดังกล่าวจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการใช้เทคนิคนี้ โดยให้ส่งบุคลากรไปศึกษาข้อมูลเพื่อนำมาแก้ไขปัญหาน้ำแล้งในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาหาแนวทางการพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าเพื่อการส่งออก เช่น ผลไม้ กล้วยไม้ ให้สามารถรักษาคุณภาพ ความสดใหม่ให้คงอยู่ได้เป็นระยะเวลานาน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าส่งออกของไทยด้วย ๒.๒ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) พิจารณากำหนดช่องทางพิเศษในการตรวจลงตราสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาร่วมประชุม/สัมมนานานาชาติในประเทศไทย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการจัดประชุม/สัมมนานานาชาติที่จัดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้ ให้ประสานสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) เกี่ยวกับกำหนดการประชุม/สัมมนานานาชาติเพื่อนำไปประกอบการดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย ๒.๓ จากการที่มีผู้ประกอบการก่อสร้างที่รับจ้างดำเนินโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ และไม่สามารถดำเนินการได้ตามกำหนดในสัญญาจนละทิ้งงาน ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐได้รับผลกระทบนั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐประสานงานกับทุกหน่วยงานและทุกจังหวัดเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ประกอบการเหล่านี้และนำมาจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงานแจ้งให้ทุกหน่วยงานนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการว่าจ้างต่อไป ๒.๔ ตามที่ได้มีการปรับลดราคาน้ำมันและก๊าซตามมาตรการเร่งด่วนในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันและก๊าซ นั้น ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลระดับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันและก๊าซในปัจจุบันด้วย ๓. ด้านกฎหมาย ในการเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาเสนอร่างกฎหมายที่ยังไม่เคยบัญญัติไว้และมีลักษณะเป็นสากล เช่น กฎหมายที่มีวัตถุประสงค์มุ่งแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นต้น ๔. ด้านสังคม ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดตั้งสถาบันการศึกษาที่มีการสอนหลักสูตรเฉพาะทางที่สอดคล้องกับแนวทางการผลิตของภาคเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศในอนาคต รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการในตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษาสามารถมีงานทำได้ทันที ๕. ด้านอื่น ๆ ๕.๑ ให้ฝ่ายกิจการพิเศษ โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งสรุปผลการดำเนินการของศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้เป็นศูนย์ขจัดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งประชาชนได้ส่งข้อร้องเรียนต่าง ๆ กว่า ๕๘,๐๐๐ ราย นั้น ให้จัดกลุ่มประเภทของข้อร้องเรียนและจำนวนข้อร้องเรียนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการหรือดำเนินการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว เพื่อเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป และให้ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์เชื่อมโยงการทำงานกับศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศเพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นไปอย่างครบวงจร และสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ๕.๒ ให้ทุกฝ่ายจัดให้มีการประชุมชี้แจงกลุ่มย่อยเพื่อเป็นเวทีให้ประชาชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และทุกภาคส่วนได้รับทราบข้อเท็จจริงในการดำเนินการในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เช่น การบริหารจัดการพลังงาน การแก้ไขปัญหาขยะ โดยดำเนินการทุกเดือนเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน รวมทั้งเป็นการรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชนไปพร้อมกันด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการนำข้อคิดเห็นเหล่านี้มาพิจารณาประกอบการดำเนินการในระยะต่อไป อันจะทำให้การขับเคลื่อนประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๕.๓ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เร่งดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะอุทกภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วนั้น โดยที่ปัจจุบันแต่ละพื้นที่ในภูมิภาคของไทยยังประสบปัญหาอุทกภัยอันเนื่องมาจากลมมรสุม โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งส่งผลให้เกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลัน หรือน้ำล้นตลิ่ง จึงมีข้อสั่งการ ดังนี้ ๕.๓.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว และให้ประสานข้อมูลสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด รวมทั้งแจ้งเตือนภัยผ่านทุกช่องทางการสื่อสารให้ประชาชนผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงทราบเพื่อจะได้เตรียมความพร้อมได้โดยเร็ว ๕.๓.๒ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาหามาตรการแก้ไขปัญหาน้ำล้นตลิ่งโดยเฉพาะในบริเวณลุ่มแม่น้ำยม
|
||||||||||||||||||||||||
533 | แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน | กค | 26/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการและแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน โดยการให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของสมาชิกในชุมชนผ่านองค์กรการเงินชุมชนที่เข้มแข็งและมีศักยภาพควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ นอกจากนี้ แนวทางดังกล่าวจะสร้างกลไกในการเจรจาประนอมหนี้ระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้ง ๒ ฝ่าย ซึ่งรวมถึงการสร้างกลไกในการพัฒนาและฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้มีศักยภาพในการหารายได้และสามารถชำระหนี้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปเป็นหนี้นอกระบบอีก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อกระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กรมสรรพากร กรมบัญชีกลาง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสามารถดำเนินการได้อย่างบูรณาการและยั่งยืน ให้กระทรวงการคลังประสานการดำเนินงานโดยให้เชื่อมโยงกับศูนย์ดำรงธรรมของกระทรวงมหาดไทยที่จัดตั้งขึ้นในทุกจังหวัดทั่วประเทศ และให้กระทรวงมหาดไทยรวบรวมข้อมูลหนี้นอกระบบในพื้นที่จัดส่งให้กระทรวงการคลังด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังคัดเลือกสถาบันการเงินเฉพาะกิจและองค์กรการเงินชุมชนที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยคำนึงถึงสถานะการเงิน ความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สิน รวมทั้งความสามารถในการฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ ของสถาบันการเงินฯ ดังกล่าว เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป ๔. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแลการให้บริการบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์และการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในภาพรวมของประชาชนให้เหมาะสมเพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้จ่ายเงินเกินความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุประการหนึ่งของการก่อหนี้นอกระบบ |
||||||||||||||||||||||||
534 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้ทุกฝ่ายประสานงานกระทรวงและหน่วยงานในกำกับเพื่อรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ และส่งให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) วิเคราะห์และเสนอแนวทางการปรับปรุง พัฒนา หรือยุบเลิกกองทุน เพื่อเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติภายในวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบและแก้ไขปัญหากรณีการปลอมแปลงธนบัตร โดยเฉพาะธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์และวิธีการตรวจสอบธนบัตรด้วย ๑.๓ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณากำหนดแนวทางผลักดันให้กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางด้านการค้า การเงิน และการลงทุน ของประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะการกำหนดมาตรการสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ภาคเอกชนทั้งจากในและต่างประเทศดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจดังกล่าวในกรุงเทพมหานคร ๑.๔ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงคมนาคมประสานกับกระทรวงกลาโหม (กองทัพเรือ) เพื่อพิจารณาแนวทางการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์แห่งที่ ๓ และกำหนดแนวทางการปรับปรุงท่าอากาศยานดอนเมือง รวมทั้งแนวทางการเชื่อมโยงทางรถไฟ (Airport Link) ระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา กับกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับการขยายตัวของการคมนาคมขนส่งทางอากาศในอนาคต นอกจากนั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทบทวนแผนการดำเนินการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารภายในประเทศของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยพิจารณากำหนดพื้นที่ก่อสร้างใหม่ เนื่องจากรายงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมระบุว่าพื้นที่เดิมไม่เหมาะสม ๑.๕ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลังพิจารณากลไกสนับสนุนการออมของประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ซึ่งสามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ โดยให้พิจารณาถึงความเหมาะสมและเท่าเทียมกันในการได้รับสิทธิดังกล่าวของประชาชนด้วย ๑.๖ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติศึกษาและจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ของพืชเกษตรชนิดต่าง ๆ เช่น ข้าว อ้อย ปาล์มน้ำมัน ยางพารา โดยส่งเสริมให้มีการเพาะปลูกในพื้นที่เกษตรกรรมเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่ประสบปัญหาภัยแล้งหรืออุทกภัยเป็นประจำ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติม ๑.๗ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมาธิการร่วมระหว่างไทย-จีน (Joint Committee) เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานจากผลการเจรจาและความตกลงด้านเศรษฐกิจร่วมกันของทั้ง ๒ ประเทศ ๒. ด้านการต่างประเทศ ๒.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในการกำหนดท่าทีของไทยในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระดับพหุภาคี โดยให้ยึดหลักท่าทีของอาเซียนเป็นสำคัญ ขณะเดียวกันให้ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศด้วย ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ ๒.๒ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการช่วยเหลือและอพยพคนไทยออกจากประเทศลิเบีย โดยเฉพาะในกรณีของแรงงานให้เร่งประสานนายจ้างของแรงงานไทยเพื่อให้สามารถอพยพแรงงานไทยไปยังสถานที่ปลอดภัยได้โดยเร็วก่อนดำเนินการอพยพกลับประเทศไทย ๓. ด้านสังคมและการศึกษา ๓.๑ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) ตรวจสอบระบบการประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาสถาบันการอุดมศึกษาของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ตามที่มีข้อร้องเรียนว่าการประเมินไม่สะท้อนผลงานที่แท้จริง ทั้งนี้ หากตรวจสอบแล้วพบว่าการประเมินไม่เหมาะสม อาจระงับการประเมินไว้ก่อนจนกว่าจะได้กำหนดวิธีการที่เหมาะสมต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมในการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการที่ปัจจุบันให้บริษัทจากภาคเอกชนเป็นผู้ประเมิน ซึ่งภาคเอกชนอาจขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของส่วนราชการ ๔. ด้านอื่น ๆ ๔.๑ ให้ทุกฝ่ายสรุปผลการดำเนินการในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาและจัดทำแผนการดำเนินการระยะ ๑ ปีต่อจากนี้ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ โดยให้กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจนในรอบ ๓ เดือน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการของรัฐบาลต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับสำนักงบประมาณนำข้อมูลจากแผนข้างต้นไปใช้ประกอบในการจัดทำคำแถลงนโยบายรัฐบาลและคำชี้แจงงบประมาณประจำปี ๒๕๕๘ ตามมติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการจัดทำคำแถลงนโยบายรัฐบาลและคำชี้แจงงบประมาณประจำปี ๒๕๕๘ ด้วย ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เร่งรัดดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย รวมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและเตรียมความพร้อมเพื่อให้ความช่วยเหลือได้ทันการณ์ ทั้งนี้ ในการใช้จ่ายเงินทดรองราชการให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบของราชการอย่างเคร่งครัด และให้ฝ่ายความมั่นคงกำหนดกลไกในการตรวจสอบการประกาศพื้นที่ภัยพิบัติให้มีความถูกต้องตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
535 | การเข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย | กค | 22/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการให้มีการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank : AIIB) เพื่อรักษาโอกาสให้ประเทศไทยสามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดรายละเอียดการระดมเงินทุน การจัดสรรหุ้น สิทธิการออกเสียง โครงสร้างการบริหาร ธรรมาภิบาล ตลอดจนรายละเอียดสำคัญของบันทึกความเข้าใจและร่างความตกลงเพื่อการจัดตั้ง AIIB ๑.๒ มอบหมายกระทรวงการคลังเป็นผู้เจรจาจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจและความตกลงเพื่อการจัดตั้ง AIIB โดยให้คำนึงถึงประโยชน์โดยรวมต่อประเทศไทยเป็นสำคัญ ๑.๓ เมื่อการยกร่างบันทึกความเข้าใจ และ/หรือ ความตกลงเพื่อการจัดตั้ง AIIB ดำเนินการแล้วเสร็จ ให้กระทรวงการคลังนำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งก่อนการลงนาม ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังพิจารณาถึงความเหมาะสมของสัดส่วนการถือหุ้นและความพร้อมในการชำระค่าหุ้นของประเทศไทยให้รอบคอบ โดยคำนึงถึงการเป็นสมาชิกของประเทศไทยในกองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund : AIF) ที่ได้จัดตั้งขึ้นแล้วที่ประเทศมาเลเซีย และเห็นควรพิจารณาถึงการเชื่อมโยงกันในเชิงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) และ AIIB ซึ่งต่างมีวิสัยทัศน์และเป้าประสงค์ที่คล้ายคลึงกัน คือ การสนับสนุนด้านการเงินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแก่ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ยังขาดแคลนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการ และให้กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
536 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู | นร04 | 11/02/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายโอยันตา อุมาลา ตัสโซ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ ๔-๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องสำหรับการลงนามความตกลงการค้าเสรีไทย-เปรู ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผลักดันให้มีการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กับสถาบันพลังงานนิวเคลียร์แห่งสาธารณรัฐเปรู อย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับฝ่ายเปรู ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขผลักดันให้มีการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐเปรู อย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับฝ่ายเปรูเรื่องโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันให้มีการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุนเอกชนแห่งสาธารณรัฐเปรูเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุนในระดับทวิภาคี อย่างเป็นรูปธรรม และศึกษาแผนการลงทุนของฝ่ายเปรูโดยเฉพาะในสาขาการก่อสร้างและพลังงาน ๕. ให้กระทรวงศึกษาธิการติดตามให้มีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตจำนงที่จะมีความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างเอกอัครราชทูตเปรูประจำประเทศไทยกับผู้บริหารระดับสูงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือกับฝ่ายเปรูเรื่องทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทย และการส่งอาจารย์ชาวเปรูมาสอนภาษาสเปนที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย ๖. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดให้มีเที่ยวบินตรงระหว่างไทยกับเปรู ๗. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับฝ่ายเปรูโดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงสุขภาพ ๘. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือด้านสวัสดิการสังคมกับฝ่ายเปรูโดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ๙. ให้กระทรวงการต่างประเทศผลักดันให้มีการดำเนินการตามสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเปรูว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาคดีอาญา อย่างเป็นรูปธรรม |
||||||||||||||||||||||||
537 | การจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพสำหรับการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญนานาชาติโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) | ยธ | 28/01/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพสำหรับการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญนานาชาติในเรื่องเกี่ยวกับการยุติความรุนแรงต่อเด็ก โดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (Thailand Institute of Justice : สถาบัน TIJ) ร่วมกับสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ โดยการจัดทำความตกลงสำหรับจัดการประชุมดังกล่าวจะใช้วิธีการแลกเปลี่ยนหนังสือระหว่างกัน (Exchange of Letters) ระหว่างรัฐบาลไทยกับสหประชาชาติ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
538 | ผลการประชุม Singapore - Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ 3 | พณ | 25/11/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ทางการค้า ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าระหว่างไทยกับสิงคโปร์ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ติดตามปัญหา/อุปสรรคทางการค้าและนำขึ้นหารือกับสิงคโปร์เพื่อหาแนวทางแก้ไข และสนับสนุนการดำเนินงานความร่วมมือภายใต้กรอบอาเซียน ๒. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ จัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อกำหนดแนวทางและกิจกรรมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเรือสำราญ และจัดทำแผนงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเรือสำราญระหว่างไทยกับสิงคโปร์ ๓. ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตรและอาหาร ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ สานต่อความร่วมมือและประสานงานร่วมกับฝ่ายสิงคโปร์ คือ Agri-Food & Veterinary Authority (AVA) เพื่อการดำเนินการให้เกิดผลในเรื่องการอนุญาตให้โรงงานไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยส่งออกไปสิงคโปร์เพิ่มขึ้น การผลักดันให้สิงคโปร์อนุญาตนำเข้าไก่ปรุงสุกจากไทยเป็นสายการผลิต การผลักดันให้สิงคโปร์อนุญาตนำเข้าสุกรแช่เย็นแช่แข็งจากไทย และการเข้ามาลงทุนเลี้ยงสุกรในไทยเพื่อส่งออกไปยังสิงคโปร์ ๔. ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ จัดทำรายละเอียดขอบเขตความร่วมมือโครงการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ OTOP ของไทย เพื่อนำไปสู่การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับ Infocomm Development Authority (IDA) ของสิงคโปร์ และติดตามการดำเนินงานตาม MOU ๒ ฉบับ คือ MOU ระหว่างสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (SIPA) กับ Media Development Authority (MDA) ของสิงคโปร์ และ MOU ระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับ Infocomm Development Authority (IDA) ของสิงคโปร์ ๕. ความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐาน ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยให้แก่ภาคเอกชนสิงคโปร์ และการเข้ามาลงทุนของสิงคโปร์ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย ๖. ความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ จัดทำแผนดำเนินการเพื่อไปสู่การจัดทำความตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Agreement : MRA) ด้าน Authorized Economic Operator (AEO) ระหว่างกรมศุลกากรไทยกับสิงคโปร์ให้แล้วเสร็จและการลงนาม MRA ภายในกำหนดเวลาที่เหมาะสม และติดตามการประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างผู้ประสานงานด้านศุลกากรของฝ่ายไทยกับสิงคโปร์ ๗. การจัดประชุม STEER ครั้งที่ ๔ ได้แก่ ประสานกับฝ่ายสิงคโปร์เพื่อกำหนดวันและสถานที่ และดำเนินการจัดการประชุม |
||||||||||||||||||||||||
539 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐชิลี | นร04 | 25/11/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการของนายเซบัสเตียน ปิเญรา เอเชนีเก ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐชิลี ระหว่างวันที่ ๔-๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางประมวลประเด็นที่ต้องติดตามที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรี ไทย-ชิลี ให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อให้ภาคเอกชนไทยได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงอย่างเต็มที่ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะมอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันดิอาโก ดำเนินการในสาธารณรัฐชิลีอีกทางหนึ่งด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาเรื่องการจัดทำความตกลงด้านการลงทุนกับสาธารณรัฐชิลี ๓. ให้กระทรวงคมนาคมติดตามและเร่งรัดการเจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศกับสาธารณรัฐชิลี ๔. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีติดตามและเร่งรัดการจัดทำหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างสถาบันดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กับคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสาธารณรัฐชิลี (CONICYT) ๕. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลง Work and Holiday กับสาธารณรัฐชิลี
|
||||||||||||||||||||||||
540 | รายงานประจำปี 2555 [สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน)] | ศธ | 19/11/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานประจำปี ๒๕๕๕ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) โดยมีหัวข้อสำคัญของรายงาน ดังนี้
๑. สาร ประกอบด้วย สารรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สารปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และสารผู้อำนวยการ ๒. การบริหารงานของ สคพ. ประกอบด้วย ความเป็นมา อำนาจหน้าที่ วิสัยทัศน์/พันธกิจ วัตถุประสงค์ โครงสร้างองค์กร คณะกรรมการ สคพ. และผู้แทนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผล และคณะอนุกรรมการด้านวิชาการ รายงานคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผล ผลผลิตและกิจกรรมหลัก ประเด็นยุทธศาสตร์ (Strategic issues) แนวทางการดำเนินงานในอนาคต รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวทางการดำเนินงานตามแผนงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓. ผลการดำเนินงานของ สคพ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย งานฝึกอบรม งานวิจัย งานสารสนเทศและเผยแพร่วิชาการ และความร่วมมือกับองค์กรภายนอก ๔. รายงานการเงิน
|
.....