ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 25 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 481 - 500 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
481 | ร่างพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร11 | 01/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงาน ก.พ.ร. ปรับแก้ไขตามมติที่ประชุมร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยกำหนดให้มีกลไกทางกฎหมายในรูปของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) เพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบองค์การมหาชนต่าง ๆ จำนวน ๓๘ แห่ง และที่จะมีเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งเดิมเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||
482 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การจัดการภัยพิบัติตามธรรมชาติภาวะโลกร้อน) (มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลัก) | สผ | 01/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอเรื่อง การจัดการภัยพิบัติตามธรรมชาติภาวะโลกร้อน ของสภาปฎิรูปแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติตามธรรมชาติและภาวะโลกร้อน เช่น วาตภัยจากพายุหมุน อุทกภัยเนื่องจากความแห้งแล้งหรือภัยแล้ง ก๊าซเรือนกระจำในบรรยากาศ เป็นต้น เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิรูปและพัฒนาการบริหารจัดการภัยพิบัติตามธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในด้านโครงสร้าง องค์กร และกลไกการจัดการภัยพิบัติของภาครัฐและเอกชน ด้านกระบวนการวางแผนและกลไกการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ด้านการสร้างองค์ความรู้และฐานข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติตามธรรมชาติรูปแบบต่าง ๆ และด้านการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของแต่ละภัยพิบัติที่มีความแตกต่างกัน ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงพลังงาน และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
483 | ผลการประชุมหารือระดับรัฐมนตรีด้านการคมนาคมไทย - ลาว | คค | 18/08/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย-ลาว เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่งของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนลาว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางถนนระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม ทั้งสองฝ่ายรับทราบความพร้อมของเวียดนามในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหารือสามฝ่ายเพื่อจัดทำความตกลงว่าด้วยการเดินรถโดยสารประจำทางไทย-ลาว-เวียดนาม ช่วงปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ และฝ่ายไทยได้เสนอขอให้ฝ่ายลาวพิจารณาทบทวนการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามพรมแดน ณ จุดผ่านแดนเชียงของ-ห้วยทราย และบ่อเต็น-โมฮาน ที่ไทย ลาว และจีนได้เคยเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกันเมื่อปี ๒๕๕๓ เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว รวมทั้งเสนอให้ฝ่ายลาวสนับสนุนการเพิ่มเส้นทาง R12 ให้รวมอยู่ในพิธีสาร ๑ แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS CBTA) ซึ่งฝ่ายลาวเห็นด้วยกับข้อเสนอของฝ่ายไทย แต่ยังไม่มีความพร้อม ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงเสนอให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ให้การสนับสนุนในการดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดโครงการเส้นทาง R12 (ท่าแขก-ยมมะราด-ลังคัง-น้ำพาว) เพื่อปรับปรุงเส้นทางให้ได้มาตรฐานทางหลวงอาเซียน ๑.๒ การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟไทย-ลาว ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ทบทวนการพิจารณากำหนดจุดที่เหมาะสมสำหรับก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่เพื่อให้เกิดความรอบคอบและเกิดผลกระทบน้อยที่สุด ฝ่ายไทยยินดีพิจารณาข้อเสนอของฝ่ายลาวกรณีขอเปลี่ยนแปลงการใช้เงินกู้จากสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) กระทรวงการคลัง วงเงิน ๑,๖๕๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในการซ่อมบำรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ และทำรั้วสำหรับเขตสงวนรอบสถานีขนส่งผู้โดยสารและสินค้าท่านาแล้ง และฝ่ายลาวเสนอให้มีการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟในเส้นทางอุบลราชธานี-ช่องเม็ก ซึ่งฝ่ายไทยจะดำเนินการของบประมาณปี ๒๕๕๙ เพื่อจ้างที่ปรึกษาสำรวจและศึกษาความเป็นไปได้ในเส้นทางดังกล่าว ๑.๓ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ฝ่ายไทยแจ้งความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๕ บึงกาฬ-ปากซัน และพร้อมที่จะดำเนินการตามขั้นตอนในการขอรับการสนับสนุนของฝ่ายลาวสำหรับการสำรวจและออกแบบสะพานมิตรภาพ แห่งที่ ๖ (อุบลราชธานี-แขวงสาละวัน) รวมทั้งยินดีพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงบริเวณบ้านเชียงแมนข้ามมายังตัวเมืองหลวงพระบาง นอกจากนี้ ฝ่ายไทยแจ้งเรื่องที่สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ยินดีให้ความช่วยเหลือสำหรับโครงการปรับปรุงท่าอากาศยานปากเซและสะหวันนะเขต ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพิจารณาดำเนินการต่าง ๆ ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยคำนึงถึงผลประโยชน์โดยรวมและแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อให้ความร่วมมือด้านการพัฒนาระบบคมนาคมไทย-ลาว เป็นไปอย่างเป็นรูปธรรม และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเส้นทางรถไฟระหว่างสถานีหนองคาย-สถานีท่านาแล้ง โดยเฉพาะในกรณีที่มีการพัฒนาโครงการรถไฟลาว-จีน (บ่อเต็น-เวียงจันทน์) แล้ว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการหารือแนวทางการใช้ประโยชน์เส้นทางรถไฟระหว่างสถานีหนองคาย-สถานีท่านาแล้ง ซึ่งจะช่วยให้การลงทุนดังกล่าวเกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
484 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปรับโครงสร้างอำนาจส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น) | สผ | 11/08/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การปรับโครงสร้างอำนาจส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น) ตามที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติตามรายงานเรื่อง การปรับโครงสร้างอำนาจส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)] กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้สำนักงาน ก.พ.ร. จัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง โดยมีประเด็นการปฏิรูป ๙ ประเด็น ดังนี้
๑. กำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้ชัดเจน และการจัดความสัมพันธ์ระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ๒. ทบทวนและจำแนกบทบาทภารกิจภาครัฐ ๓. ออกแบบโครงสร้างองค์กรที่เหมาะสมกับภารกิจต่าง ๆ ของภาครัฐในลักษณะที่มีความคล่องตัวต่อการเปลี่ยนแปลงและยุบเลิกทั้งระบบงบประมาณ และการบริหารกำลังคน การจัดส่วนราชการประจำจังหวัดที่เป็นตัวแทนของกระทรวงที่แท้จริงในราชการบริหารส่วนภูมิภาค ๔. พัฒนากลไกหรือเครื่องมือในการสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ๕. เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ๖. เสริมสร้างความเข้มแข็งและเร่งรัดการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๗. การจัดสรรงบประมาณตามยุทธศาสตร์และเป้าหมายร่วมกัน ๘. ส่งเสริมให้มีรัฐบาลระบบเปิด (Open Government) ซึ่งเป็นรัฐบาลที่เปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินภารกิจของรัฐเพื่อเป็นเครือข่ายหรือพันธมิตรในการทำงานร่วมกัน ๙. รัฐต้องปฏิรูประบบบริหารงานบุคคลภาครัฐให้มีมาตรฐานสามารถขจัดความเหลื่อมล้ำ มีเอกภาพในด้านค่าตอบแทนและมีความเป็นกลางทางการเมือง และสนับสนุนให้บุคลากรภาครัฐได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||
485 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 23/06/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตั้งคณะทำงาน โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อดำเนินการติดตามและตรวจสอบผู้กระทำผิดที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งในสังคม และบ่อนทำลายสถาบันหลักของชาติ บนเว็บไซต์และเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Media) โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ และดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงพลังงานกำกับดูแลการดำเนินการตามแผนการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ใช้ในภาคการขนส่ง โดยคำนึงถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนเป็นหลัก รวมทั้งให้มีมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้ชัดเจน ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับกรณีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตของ LPG สำหรับภาคการขนส่งว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่รวมถึง LPG สำหรับภาคครัวเรือน ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการจัดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันอาทิตย์ที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ ระหว่างเวลา ๑๕.๐๐-๑๙.๓๐ น. เริ่มต้นจากลานพระบรมรูปทรงม้าถึงกรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนบุคคลในสังกัดเข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วย ซึ่งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน รวมทั้งประชาชนผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสามารถแจ้งความจำนงเข้าร่วมงานได้ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ และขอให้รัฐมนตรีทุกท่านเข้าร่วมกิจกรรมโดยพร้อมเพรียงกัน โดยแจ้งการเข้าร่วมกิจกรรมไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓.๒ ให้รัฐมนตรีทุกท่านเร่งรัดดำเนินการจัดทำข้อมูลตารางสรุปกิจกรรมการดำเนินงานตาม Road Map ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยด่วนต่อไป ๓.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับองค์การมหาชนในอนาคต ว่าควรเป็นอย่างไรเพื่อรองรับการปฏิรูปที่จะมีขึ้นในระยะต่อไป เช่น การคงอยู่ ยกเลิก หรือปรับบทบาทของหน่วยงาน
|
||||||||||||||||||
486 | ผลการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 16/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ทวิภาคี ได้แก่ การติดตามการทาบทามการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ การเตรียมการเข้าร่วมงานเฉลิมการครบรอบ ๕๐ ปีการสถาปนาประเทศสิงคโปร์ของนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้แทนพระองค์ และหัวหน้ารัฐบาลวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๘ และการเป็นเจ้าภาพการประชุมกรอบความร่วมมือทวิภาคี ได้แก่ Civil Service Exchange Program (CSEP) ครั้งที่ ๑๒ และการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๔ ในปี ๒๕๕๘ ๒. การค้าและการลงทุน ได้แก่ การเชิญชวนภาคเอกชนสิงคโปร์ร่วมลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะภาคบริการและโลจิสติกส์ และโครงการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและคมนาคม การดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการยกเว้นภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ ฉบับแก้ไข การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่าง Singapore Manufacturing Federation (SMF) กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจสำหรับความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์และการเข้าร่วมกิจกรรมด้านการผลิตและการตลาดสินค้าประเภท Digital Content ระหว่างสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กับ Media Development Authority (MDA) การอำนวยความสะดวกการลงทุนในศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานในประเทศไทย เช่น ท่าอากาศยานอู่ตะเภา และการกำหนดสัดส่วนถือกรรมสิทธิ์ในธุรกิจดังกล่าว การกระตุ้นบทบาทของสภาธุรกิจไทย-สิงคโปร์ การเพิ่มคลื่นความถี่ของสัญญาณโทรศัพท์มือถือ และการพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบเกี่ยวกับการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศในไทย ๓. การศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศและทรัพยากรมนุษย์ ได้แก่ การเรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีด้านการศึกษา และการเรียนรู้ด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของสิงคโปร์เพื่อนำมาปรับใช้ในการจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลของไทย ๔. การท่องเที่ยว ได้แก่ การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับสิงคโปร์ และการกำหนดจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทย เช่น ภูเก็ต กระบี่ สงขลา พัทยา เกาะสมุย เป็นต้น ๕. ความมั่นคงและการทหาร ได้แก่ การพิจารณาให้สิงคโปร์ใช้พื้นที่ในไทยเพื่อการจัดเก็บยุทโธปกรณ์ และการส่งเสริมความร่วมมือด้าน cyber security ๖. อาเซียน ได้แก่ การร่วมมือกับสิงคโปร์ผ่านโครงการ Initiative for ASEAN Integration (IAI) เพื่อยกระดับการพัฒนาในภูมิภาคให้มีความใกล้เคียงกัน และการประสานสิงคโปร์เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการและการตลาดเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ (ข้าวและยางพารา) ๗. สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ ได้แก่ สนับสนุนสิงคโปร์ในการทำหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานอาเซียน-จีนต่อจากไทยในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ และสนับสนุนให้อาเซียนและจีนเร่งรัดการดำเนินมาตรการเร่งด่วนควบคู่ไปกับการจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ให้เสร็จโดยเร็ว ๘. สถานการณ์ในภูมิภาค ได้แก่ การร่วมมือในการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามด้านดิจิทัลและไซเบอร์ รวมทั้งสื่อออนไลน์
|
||||||||||||||||||
487 | มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว | กก | 09/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการจัดการประชุม อบรม สัมมนา ในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น โดยให้ใช้บริการโรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งกรณีมีการคาดหมายที่จะใช้สถานที่ในการจัดประชุมในเขตภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ขอให้พิจารณาความเหมาะสมในการเลือกใช้ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา เป็นทางเลือกประกอบการตัดสินใจในลำดับต้น ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลโรงแรมหรือศูนย์การประชุมสัมมนา ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ได้ทราบ พร้อมทั้งจัดบริการเสริมในรูปแบบต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างแรงจูงใจแก่หน่วยงานผู้จัดการประชุม อบรม สัมมนา ให้ใช้บริการสถานที่ดังกล่าวมากขึ้น และควรรวบรวมรายชื่อโรงแรมที่สามารถรองรับการจัดประชุม อบรม สัมมนา ในต่างจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานสามารถค้นหาได้สะดวก รวมทั้งกำหนดอัตราค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่มในอัตราพิเศษสำหรับส่วนราชการที่อยู่ในเกณฑ์อัตราการเบิกจ่ายตามระเบียบของกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เร่งจัดทำแผนบริหารธุรกิจจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ โดยกำหนดรูปแบบการบริหารให้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับระยะเวลามาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
488 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย - ลาว | คค | 19/05/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย-ลาว เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๘ ณ เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางถนนระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม ทั้งสองฝ่ายตกลงเห็นชอบให้ประชุมหารือสามฝ่าย โดยฝ่ายไทยเสนอให้จัดทำร่างความตกลงการเดินรถโดยสารประจำทางระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม เพื่อเสนอต่อที่ประชุมร่วมสามฝ่าย บนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกัน สำหรับการขนส่งสินค้าภายใต้กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ไทย-ลาว-เวียดนาม ฝ่ายลาวได้เสนอให้ผู้ประกอบการไทยมาลงทุนจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการลาว รวมทั้งฝ่ายลาวเสนอให้รถขนส่งสินค้าของลาวสามารถขนส่งสินค้าผ่านแดนที่ท่าเรือของไทยได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นระเบียบของกรมศุลกากร ฝ่ายไทยจึงรับที่จะไปประสานงานกับกรมศุลกากรต่อไป ๑.๒ การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ ไทย-ลาว ฝ่ายลาวได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเสร็จแล้ว ส่วนฝ่ายไทยอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาและออกแบบรายละเอียดและจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ประเด็นการเชื่อมเส้นทางรถไฟระหว่างไทย-ลาว-จีน ขนาดทาง ๑.๔๓๕ เมตร ทั้งสองฝ่ายเสนอให้มีการหารือร่วมกัน สำหรับการกำหนดจุดที่เหมาะสมสำหรับก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าควรอยู่ในแนวขนานกับสะพานเดิมค่อนลงมาทางทิศใต้ห่างจากจุดเดิม ๑๐-๓๐ เมตร และกำหนดผู้รับผิดชอบในการดำเนินการศึกษาและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างต่อไป ในส่วนของการก่อสร้างทางรถไฟช่วงท่านาแล้ง-เวียงจันทน์ สปป.ลาว ประสงค์จะขอเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์จากเดิมที่ก่อสร้างทางรถไฟขนาด ๑.๐ เมตร ต่อจากท่านาแล้งไปเวียงจันทน์ เป็น การศึกษาความเป็นไปได้ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างทางรถไฟขนาดทาง ๑.๔๓๕ เมตร ระหว่างเวียงจันทน์-หนองคาย สำหรับการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟในเส้นทางอุบลราชธานี-ช่องเม็ก ฝ่ายลาวแจ้งว่ามีผลการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นแล้ว และยินดีที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อความสมบูรณ์ของจุดเชื่อมต่อบริเวณช่องเม็กต่อไป ๑.๓ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ฝ่ายลาวขอให้สนับสนุนการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดโครงการ (Feasibility Study and Detailed Design) สำหรับเส้นทางหมายเลข ๑๒ (ท่าแขก-ยมมะราด-ลังคัง-น้ำพาว) ซึ่งมีระยะทางรวมประมาณ ๑๕๗ กิโลเมตร โดยขอรับการสนับสนุนจากไทยในช่วงยมมะราด-ลังคัง ระยะทางประมาณ ๗๔ กิโลเมตร และขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงบริเวณบ้านเชียงแมนข้ามมายังตัวเมืองหลวงพระบาง รวมทั้งขอให้ฝ่ายไทยประสานกับสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (NEAD) ผลักดันโครงการที่ฝ่ายลาวขอรับความช่วยเหลือสำหรับการปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานปากเซและสะหวันนะเขต และโครงการศึกษาสำรวจและออกแบบการปรับปรุงระบบน้ำประปา ซึ่งฝ่ายไทยรับที่จะไปหารือกับ NEDA ต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ข้อตกลงในการสร้างความร่วมมือในหลายประเด็นยังไม่ได้ข้อยุติที่ชัดเจน และ/หรืออยู่ระหว่างการประสานและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพิ่มเติมระหว่างหน่วยงานของไทยและลาวเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำรายละเอียดข้อตกลงต่าง ๆ ในอนาคต จึงเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามผลการประชุมเพื่อให้ความร่วมมือระหว่างสองประเทศสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
489 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อทำสัญญาเช่าพื้นที่อาคาร และขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณค่าสิ่งก่อสร้างที่ได้รับอนุมัติ ให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ [สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)] | นร | 19/05/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ทำสัญญาเช่าพื้นที่บริเวณอาคารไปรษณีย์กลาง กับบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด และก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๑ รายการค่าเช่าพื้นที่เพื่อจัดตั้งอาคารศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งใหม่ ในวงเงิน ๕๖๖,๘๔๑,๔๔๒.๒๒ บาท ระยะเวลาการเช่า ๑๒ ปี ๑๐ เดือน โดยทำการต่อสัญญาเช่าทุก ๆ ๓ ปี สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ นั้น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ประกาศใช้บังคับแล้ว ๒. อนุมัติในหลักการให้เปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ จากรายการค่าก่อสร้างศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบของประเทศ เป็นรายการค่าปรับปรุงตกแต่งและก่อสร้างศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบของประเทศ ภายในวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๖๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไปอีก จำนวน ๓๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนลงนามในสัญญาก่อหนี้ผูกพัน ตามนัยของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๓. ให้สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ดำเนินการติดตามผลการปฏิบัติงานและประเมินผลความคุ้มค่าของการลงทุนในการปรับปรุงศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบของประเทศ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาเช่าในแต่ละครั้งเพื่อประกอบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีด้วย |
||||||||||||||||||
490 | การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีในการสนับสนุนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง | นร11 | 07/05/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา (Joint High-level Committee : JHC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เมียนมาสำหรับโครงการถนนสองช่องทางเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่ชายแดนไทย-เมียนมา การแลกเปลี่ยนเงินบาทไทย-เงินจ๊าคเมียนมา ในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง การหารือระหว่างกลุ่มกิจการร่วมค้าที่ยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับสัมปทานเป็นผู้พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรก และกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับโครงการท่าเรือ LNG (LNG Terminal) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการร่วมฯ ชุดต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนโครงการทวาย และการจัดประชุมคณะกรรมการ JHC ครั้งที่ ๔ และการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (Joint Coordinating Committee : JCC) ครั้งที่ ๖ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ประธานกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการของแนวทางการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เมียนมาสำหรับโครงการถนนสองช่องทางเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่ชายแดนไทย-เมียนมา ในกรอบวงเงินกู้ ๔,๕๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ เงื่อนไขการกู้ การผ่อนชำระ และอัตราดอกเบี้ย ให้เป็นไปตามผลการเจรจาร่วมกันของทั้ง ๒ ฝ่าย และมอบหมายสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เมียนมาสำหรับโครงการถนนดังกล่าว ๓. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการ วงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) จัดทำรายละเอียดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนในโอกาสต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการ (๑) ประสานงานกับฝ่ายเมียนมาเพื่อจัดทำการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย (๒) สร้างความเข้าใจกับทุกฝ่ายของไทยถึงผลประโยชน์ของโครงการต่อไทยในภาพรวม และ (๓) เร่งรัดหารือกับฝ่ายเมียนมาให้ได้ข้อสรุปภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เมียนมาสำหรับโครงการถนนดังกล่าวควรคิดดอกเบี้ยในอัตราที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
491 | ค่าตอบแทนของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐประเภทต่าง ๆ | นร | 20/04/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับค่าตอบแทนของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐประเภทต่าง ๆ ดังนี้
๑. ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการเยียวยาให้ข้าราชการในหน่วยงานตนได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรม โดยพิจารณาดำเนินการตามบทบัญญัติที่ให้อำนาจไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ผ่านความเห็นของสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ ตามที่เลขาธิการ ก.พ. รายงาน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับประเด็นเกี่ยวกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ ได้บัญญัติรองรับให้การกำหนดค่าตอบแทนของผู้พิพากษาและตุลาการ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรรัฐสภา เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ อีกทั้งยังได้ปรากฏในร่างมาตรา ๒๑๙ ของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทำให้ค่าตอบแทนของบุคคลในองค์กรดังกล่าวสูงกว่าของข้าราชการ ไปดำเนินการเสนอความเห็นต่อคณะทำงานเพื่อศึกษาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. พิจารณาปรับปรุงโครงสร้างองค์กร อัตราเงินเดือน และระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐทั้งระบบครอบคลุมเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท รวมไปถึงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์การมหาชน และข้าราชการการเมือง ให้มีอัตราที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งต้องสัมพันธ์กับรายได้ของภาครัฐ ตลอดจนพิจารณาความเหมาะสมของสวัสดิการและประโยชน์ค่าตอบแทนอื่น เช่น ค่าล่วงเวลา เบี้ยเลี้ยงให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และภารกิจด้วย และให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติพิจารณาในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการอิสระว่าด้วยค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ
|
||||||||||||||||||
492 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 07/04/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ๑.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ และ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการกำหนดสาระสำคัญของประเด็นการเจรจาหรือความตกลงระหว่างประเทศ ท่าทีของไทยในการเจรจา ผลดีและผลเสีย รวมทั้งผลกระทบในการดำเนินการต่อประเทศไทย และในการเจรจาให้ยึดถือผลประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก นั้น ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการตามมติข้างต้นอย่างเคร่งครัด และให้ดำเนินการเพิ่มเติม (๑) ในการเจรจาหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ให้จัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนของประเด็นการเจรจา กำหนดวัตถุประสงค์ ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยควรต้องได้รับ และผลกระทบในการดำเนินการให้ชัดเจน (๒) ในกรณีการจัดประชุมหรือการเข้าร่วมประชุมทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศจะต้องมีการกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน สารัตถะเชิงรุกในทุกมิติ และประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการประชุมแต่ละครั้ง และ (๓) ในกรณีการจัดทำความตกลงหรือการเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี ทุกส่วนราชการต้องเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามหรือการตอบรับเข้าร่วมประชุม เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาเสนอแนวทางการทำประมงในเขตแดนของภูมิภาคอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ ว่าควรแบ่งเขตแดนอย่างไร สามารถทำประมงข้ามเขตได้หรือไม่ อย่างไร ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการถนนสองช่องทางเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่ชายแดนไทย-เมียนมา และเสนอแนวทางผลักดันให้โครงการดังกล่าวเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดกำหนดมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด โดยเน้นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามราคาขายไข่ไก่ปลีกในท้องตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย ๒.๓ ให้กระทรวงการคลังชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณะโดยเฉพาะสื่อมวลชนเกี่ยวกับ “หนี้ครัวเรือนของประเทศ” ว่า หมายถึงอะไร มีองค์ประกอบอย่างไร คำนวณจากปัจจัยใดบ้าง และเหตุใดหนี้ครัวเรือนของประเทศจึงอยู่ในระดับที่สูง ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) หารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพิจารณากำหนดมาตรการในการดำเนินการให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษและผู้ผ่านกระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกลับคืนสู่สังคม มีอาชีพรองรับ และกำหนดมาตรการในการดูแลและติดตามพฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคม ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ติดยาเสพติดและผู้ผ่านการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดของโรงเรียนวิวัฒน์พลเมืองด้วย แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป รวมทั้งให้สร้างการรับรู้ให้สังคมทราบมาตรการดังกล่าว และพิจารณาบทบัญญัติของกฎหมายในปัจจุบันที่เกี่ยวกับการดำเนินการดูแลกลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งหากมีมาตรการไม่เพียงพอหรือเหมาะสมให้พิจารณาดำเนินการเสนอมาตรการในเรื่องโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไป ๓.๒ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาเสนอการแก้ไขปัญหาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้างซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้มาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ในการแก้ไขปัญหา เสนอเรื่องและประเด็นที่ต้องการการแก้ไขปัญหาพร้อมทั้งแนวทางการแก้ไขให้หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อประมวลและจัดกลุ่มปัญหานำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาดังกล่าวสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องว่าการใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ นั้น เป็นการใช้อำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยไม่เพียงใช้เพื่อการรักษาความมั่นคงเท่านั้น หากยังใช้ในเชิงสร้างสรรค์สำหรับการแก้ไขปัญหาสำคัญเร่งด่วนของประเทศด้วย ๔. ด้านสังคม มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) พิจารณาแนวทางการยกระดับสิทธิสตรี เด็ก และผู้พิการในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา การสาธารณสุข ในสังคมให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมในอนาคต ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะประธานกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พิจารณาความเป็นไปได้และเสนอแนวทางในการก่อสร้างสถานที่จอดรถเพิ่มเติมในบริเวณพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ โดยอาศัยกรณีศึกษาจากต่างประเทศที่สามารถดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้วยเทคโนโลยีระดับสูง เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ ๕.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยจัดทำเป็นแผนภาพแสดงให้เห็นถึงแนวทางการให้บริการของศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) แต่ละประเภทและความเชื่อมโยงในการส่งต่องานบริการของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งหมดที่ชัดเจน เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่หน่วยงานที่ให้บริการและประชาชนผู้มาขอใช้บริการ ๕.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในการดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ๕.๔ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมมาตรการช่วยเหลือประชาชนและรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์พายุฤดูร้อน ในระหว่างวันที่ ๗-๑๐ เมษายน ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ให้เน้นมาตรการเชิงรุก เช่น การเร่งตรวจสอบความมั่นคงของสิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ และการตรวจสอบระบบสัญญาเตือนภัยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๕.๕ ให้รัฐมนตรีทุกท่านร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับอธิบดีขึ้นไปลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล เช่น โครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง (การช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่แล้งซ้ำซากตำบลละ ๑ ล้านบาท) โครงการตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การซ่อม-สร้างถนน โรงเรียน โรงพยาบาล ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อเร่งรัดดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||
493 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 31/03/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการจัดผังเมืองเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๓ ส่วน คือ (๑) พื้นที่ที่รัฐบริหารโดยจัดโครงการพื้นฐานให้ (๒) พื้นที่เช่าสำหรับภาคเอกชน และ (๓) พื้นที่เพื่อสนับสนุน SMEs และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานความก้าวหน้าในการเชิญชวนภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุนในพื้นที่ต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนเมษายนนี้ ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งเจรจาหาข้อสรุปรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวผ่านทางจังหวัดหนองคาย และพิจารณาหาแนวทางการปรับปรุงพัฒนาถนนบริเวณบ้านผาจี อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ระยะทางประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ให้สามารถสัญจรได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วย ๑.๓ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับแนวทางดำเนินการให้ด่านสิงขรเป็นจุดผ่อนปรนพิเศษที่เชื่อมโยงทั้งการค้า การท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่งบริเวณชายแดน โดยไม่ถือเป็นแนวเขตแดนและไม่มีผลต่อการปักปันเขตแดนในอนาคต โดยให้รายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนเมษายนนี้ ๑.๔ ตามที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ได้ตรวจสอบมาตรฐานของกรมการบินพลเรือนตามโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยสากล และพบว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐาน นั้น ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดแก้ไขปัญหาโดยเร็ว โดยแบ่งการดำเนินการเป็น ๒ ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน จ้างที่ปรึกษามาแก้ไขประสิทธิภาพการกำกับดูแลการออกใบอนุญาตด้านการบินให้ได้ตามมาตรฐานของ ICAO และระยะต่อไป ปรับปรุงโครงสร้างการทำงาน แผนพัฒนาบุคลากร ตลอดจนแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการระยะเร่งด่วนให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน ๑.๕ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการจัดทำฐานข้อมูลของประชาชนแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยเพื่อนำมากำหนดแนวทางการดูแลความเป็นอยู่และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเชื่อมโยงกับข้อมูลทะเบียนราษฎรให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๑.๖ ให้สำนักงบประมาณร่วมกับกระทรวงการคลังรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ และการลงนามในสัญญาหลังจากสิ้นสุดระยะเวลาก่อหนี้ผูกพัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ให้คณะรัฐมนตรีทราบ และให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายลงทุนจำนวนมาก ได้แก่ กรมทางหลวง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมทรัพยากรน้ำ รวมทั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายงานความก้าวหน้าโครงการส่งให้สำนักงบประมาณทุกสัปดาห์เพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๗ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัด “สัปดาห์นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อ SMEs และเกษตรกร” เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs เจ้าของนวัตกรรมได้มีโอกาสพบปะกับหน่วยงานสนับสนุนเงินทุนของภาครัฐ ๑.๘ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับส่งเสริมการขยายตลาดผลไม้ไทยในต่างประเทศ โดยเริ่มต้นจากการจัดกระเช้าผลไม้ที่มีคุณภาพทั้งผลไม้สดและผลไม้แปรรูปสำหรับการต้อนรับแขกต่างประเทศที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย หรือในโอกาสที่รัฐมนตรีไปเยือนต่างประเทศ ๑.๙ ให้กระทรวงพลังงานจัดทำข้อมูลเปรียบเทียบการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมของต่างประเทศ แล้วจัดทำเป็นข้อเสนอทางเลือกเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๑๐ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๙) ตามแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะการพัฒนาทางวิ่งขึ้นลง (Runway) ที่ ๓ ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาฟลูออไรด์ให้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพฟันของเด็กและเยาวชนให้แข็งแรง ๓. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดทำข้อมูลสำหรับใช้ในการเจรจาเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศอาเซียนในระหว่างการประชุมสุดยอดเอเชีย-แอฟริกา ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ เมษายน ๒๕๕๘ ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ในประเด็นที่สำคัญ เช่น การปลูกป่าอาเซียน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ผลผลิตทางการเกษตร การแก้ไขการเผาป่า การศึกษา การท่องเที่ยว วัฒนธรรม โดยส่งให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๔. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๔.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานด้านความมั่นคง ศึกษาผลกระทบของการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ และกำหนดแผนดำเนินการเพื่อรองรับผลกระทบด้วย โดยให้คำนึงถึงประสิทธิภาพของกฎหมายที่สามารถนำมาใช้บังคับได้อย่างแท้จริงและสามารถนำมาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในประเทศได้ ๔.๒ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง เช่น การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การดำเนินการเกี่ยวกับการทำประมงที่ผิดกฎหมาย การปรับปรุงมาตรฐานการบินพลเรือนของไทยตามแนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ การแก้ไขปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา พิจารณาเสนอแนวทางตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะว่าการใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ นั้น ไม่เพียงใช้เพื่อการรักษาความมั่นคงเท่านั้น หากยังใช้ในเชิงสร้างสรรค์สำหรับการแก้ไขปัญหาสำคัญเร่งด่วนของประเทศด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของการแก้ไขปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย และการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานให้นายกรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ด้วย ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจัดทำ application สำหรับ smart phone, tablet ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนเมษายนนี้ ๕.๒ ให้ทุกกระทรวง กรมประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการขับเคลื่อนและสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในเรื่องต่อไปนี้ (๑) ด้านสังคม ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างทางการศึกษาของประเทศไทยให้มีมาตรฐานและทัดเทียมกับต่างประเทศ แก้ไขปัญหาไฟป่าและมลพิษหมอกควัน (๒) ด้านเศรษฐกิจ ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างการผลิตทางการเกษตร การพักชำระหนี้เกษตรกร กำหนดมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และกำหนดมาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (๓) ด้านกฎหมาย ได้ออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้ในการแก้ไขปัญหาในเรื่องเร่งด่วน และปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย และ (๔) ด้านการต่างประเทศ สร้างความเข้าใจกับนานาประเทศให้รับทราบผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องสำคัญ เช่น การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การดำเนินการเกี่ยวกับการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ๕.๓ ให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับแนวทางการใช้ประโยชน์ภาพถ่ายแผนที่จากการสำรวจระยะไกลทางอากาศและดาวเทียม เพื่อบูรณาการข้อมูลของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งกำหนดเจ้าภาพในการรวบรวม จัดเก็บและกลั่นกรองข้อมูลในแต่ละด้าน โดยกำหนดระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูลและการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓ เดือน ๕.๔ ให้ทุกหน่วยงานจัดทำข้อมูลผลการดำเนินการในความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน โดยเน้นในสิ่งที่ได้ดำเนินการเกิดผลเป็นรูปธรรมแล้ว และสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปในระยะ ๕ ปีข้างหน้า แล้วส่งข้อมูลให้สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีทุกสัปดาห์เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการแถลงผลงานรัฐบาลครบรอบ ๖ เดือน ซึ่งจะเริ่มต้นในวันศุกร์ที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๘ โดยนายกรัฐมนตรีจะแถลงผลการดำเนินนโยบายในภาพรวมในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ จากนั้นในสัปดาห์ถัดไปรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะแถลงผลงานในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และการต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||
494 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร | อพท | 27/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทการบูรณาการการบริหารพื้นที่พิเศษอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร ที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๕) ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่นำเสนอในแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร ให้เหมาะสม รวมทั้งจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑ ปี และกำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน รวมถึงแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในลักษณะปีต่อปี โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของโครงการ และประโยชน์สูงสุดต่อภาระงบประมาณของประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
495 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองโบราณอู่ทอง | อพท | 27/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรม/โครงการใด ๆ ในบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง ให้คำนึงถึงความกลมกลืนและสอดคล้องกับความเป็นเมืองเก่าด้วย และเห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทองที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๖) ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้ความสำคัญกับกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับแหล่งประวัติศาสตร์ และโบราณสถาน เน้นบทบาทการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งในฐานะของผู้ให้และผู้รับ รวมถึงให้ความสำคัญลำดับแรกกับการดำเนินงานโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นสินค้าหลักของพื้นที่พิเศษ และการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของการส่งเสริมท่องเที่ยวในพื้นที่ ได้แก่ การพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อการเข้าถึงพื้นที่เมืองโบราณอู่ทอง และการส่งเสริมประชาสัมพันธ์ด้านการตลาด นอกจากนี้ ควรพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสม โดยจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑ ปี และกำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน รวมทั้งแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณีองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
496 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน | อพท | 27/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ในส่วนของแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ในพื้นที่เมืองเก่า ควรคำนึงถึงการรักษาคุณ ค่าความสำคัญดั้งเดิมของโบราณสถาน อาคาร สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และสภาพแวดล้อมโดยรอบที่เหมาะสมสอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และศักยภาพในการรองรับการท่องเที่ยวของพื้นที่ และเห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่าน่าน ที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งควรพิจารณาให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาชุมชนท้องถิ่นเมืองน่านให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้เชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออกเป็นดินแดนมรดกน่าน มรดกไทย และมรดกโลก มุ่งเน้นการรักษาเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่น นำต้นทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์ใช้ประโยชน์ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ควรพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมโดยจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑ ปี และกำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน รวมถึงแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในลักษณะปีต่อปี โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของโครงการ และประโยชน์สูงสุดต่อภาระงบประมาณของประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
497 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเลย | อพท | 27/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเลยที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๕) ให้สอดคล้องกับระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และในการดำเนินการขับเคลื่อนแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเลย ควรคำนึงถึงขีดความสามารถในการรองรับของแหล่งท่องเที่ยว (Carrying Capacity) โอกาสและความเสี่ยงที่จะเกิดจากการขยายตัวของนักท่องเที่ยว กลุ่มเป้าหมายที่จะต้องเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น และมีความสนใจเฉพาะด้าน รวมถึงการพัฒนายกระดับมาตรฐานบริการและการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการพำนักระยะยาว (Long Stay) นอกจากนี้ ควรพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญโครงการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาในแต่ละระยะและบทบาทของแต่ละกลุ่มพื้นที่ที่สะท้อนถึงศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวหลักและความต้องการของนักท่องเที่ยว รวมทั้งควรใช้โอกาสความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งของจังหวัดเลยเพื่อพัฒนาเป็นประตูเชื่อมโยงสู่ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
498 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | รง | 17/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเพื่อจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับร่างมาตรา ๑๐ (๒) ของร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวที่บัญญัติให้ทุนและทรัพย์สินในการดำเนินกิจการของสถาบันฯ ประกอบด้วยเงินที่รัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิม นั้น ตามร่างมาตรา ๔๐ กำหนดเกี่ยวกับการโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานไปเป็นของสถาบันฯ ไว้แล้ว ประกอบกับมีแหล่งเงินทุนต่าง ๆ และเงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามความเหมาะสม ดังนั้น ในวาระเริ่มแรก สถาบันฯ น่าจะมีทุนที่เพียงพอในการดำเนินกิจการอยู่แล้วไม่ต้องกำหนดให้รัฐบาลจ่ายเงินเป็นทุนประเดิมแต่อย่างใด รวมทั้งเมื่อมีการโอนภารกิจบางส่วนของสำนักความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ไปเป็นของสถาบันฯ ตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้แล้ว ก็ควรมีการพิจารณายุบเลิกสายงานหรือปรับลดบุคลากร เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจที่ลดลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
499 | รายงานสถานภาพการให้บริการข้อมูลและบริการภาครัฐผ่านแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ | ทก | 10/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและมอบหมายหน่วยงาน ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบช่องทางการเข้าถึงบริการของรัฐในรูปแบบแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ (Mobile Applications) ได้จากจุดเดียวผ่านศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ (Government Application Center) หรือ GAC ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน รวมทั้งสถานภาพการพัฒนา Mobile Applications ภาครัฐ ณ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ สรุปได้ว่า ที่ผ่านมามีหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ได้นำ Mobile Applications ที่ได้พัฒนาขึ้นบรรจุไว้ในศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐแล้วจำนวนทั้งสิ้น 81 Applications โดยสามารถจัดหมวดหมู่และเรียงลำดับ Mobile Applications ตามประเภทของบริการที่มีการพัฒนามากที่สุด ๕ อันดับแรก คือ (๑) หมวดการเดินทาง ขนส่ง และคมนาคม 15 applications (๒) หมวดสุขภาพและการสาธารณสุข 15 applications (๓) หมวดการเงินภาษีและธุรกิจ 12 applications (๔) หมวดสิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชน 8 applications และ (๕) หมวดอื่น ๆ 6 applications แต่ยังมีหน่วยงานภาครัฐอีกจำนวนมากที่ทำการพัฒนา Mobile Applications และยังไม่ได้นำมาขึ้นให้บริการประชาชนผ่านศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ ซึ่งในการเข้าถึง Mobile Applications ดังกล่าว ประชาชนหรือผู้ใช้บริการยังไม่ได้รับความสะดวกในการเข้าถึงบริการเท่าที่ควร อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่า หน่วยงานภาครัฐมีบริการอะไรบ้างที่เปิดให้บริการในรูปแบบ Mobile Application แล้ว ส่งผลให้บริการ Mobile Applications ของหน่วยงานภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันมีผู้ใช้งานยังไม่มากนัก ซึ่งโครงการพัฒนาช่องทางการเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐ จะช่วยให้ประชาชนผู้ที่รับบริการภาครัฐสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวก จากทุกที่ ทุกเวลา ผ่านอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ (Mobile Devices) ได้ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐที่ทำการพัฒนา Mobile Applications และยังไม่ได้ให้บริการประชาชนผ่านศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ หรืออยู่ระหว่างการพัฒนา Mobile Applications ใหม่ โปรดประสานงานมายังสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) ที่ศูนย์บริการลูกค้า (หมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๒๖๑๒ ๖๐๖๐ หรือ [email protected]) เพื่อนำ Mobile Applications บรรจุไว้ในศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้าถึงบริการต่อไป ๓. มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี ทำการประชาสัมพันธ์บริการของภาครัฐในรูปแบบ Mobile Applications และศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ โดยใช้สื่อประชาสัมพันธ์ของรัฐที่มีอยู่อย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ
|
||||||||||||||||||
500 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/03/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่รัฐบาล (คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ได้มีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO-Car) นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle-EV Car) ต่อไปด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เช่น ผลผลิตทางการเกษตร ๑.๓ ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่ประชาคมอาเซียนด้วยกันนั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำ Website เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงความสำคัญและการดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐบาลในเรื่องนี้ รวมทั้งเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างกัน โดยอาจเชื่อมโยง Website ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกลุ่มประเทศ CLMV และให้ทุกหน่วยงานที่มีแผนดำเนินการต่าง ๆ ร่วมกับประเทศในกลุ่ม CLMV ตรวจสอบว่ามีความร่วมมือใด ๆ ตามแผนที่จะต้องจัดทำเป็นบันทึกความเข้าใจหรือไม่ แล้วให้ดำเนินการจัดทำเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดเป้าหมายการพัฒนานักเรียน โดยนักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จะต้องอ่านออกเขียนได้ และนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจะต้องมีวิชาเลือกเป็นวิชาชีพเสริม เพื่อเป็นทางเลือกให้นักเรียนมีโอกาสได้รับรู้ถึงความถนัดของตนเอง โดยให้เริ่มดำเนินการได้ภายใน ๖ เดือน รวมทั้งในการกำหนดหลักสูตรการสอนทุกระดับจะต้องมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศและการพัฒนาในพื้นที่ เช่น การกำหนดหลักสูตรอาชีวะด้านเทคโนโลยีการขนส่ง เพื่อรองรับการพัฒนาระบบขนส่งทางราง เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดบริเวณเส้นทางที่เป็นจุดตัดทางรถไฟ ด้วยการติดตั้งเครื่องกั้น ป้ายหยุด ป้ายเตือน เนินชะลอความเร็ว ไฟสัญญาณเตือนต่าง ๆ เป็นต้น ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากมีงบประมาณไม่เพียงพอให้ประสานสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามความเร่งด่วนและจำเป็นต่อไปด้วย รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการก่อสร้างอุโมงค์รถไฟลอดผ่านถนนตามแยกต่าง ๆ ที่มีการจราจรคับคั่ง เช่น บริเวณสี่แยกยมราช เป็นต้น ๒.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการดูแลและเยียวยาเหยื่อจากการค้ามนุษย์หรือจากการใช้แรงงานประมงโดยผิดกฎหมาย รวมทั้งให้มุ่งเน้นการดูแลและเยียวยาเหยื่อจากการค้ามนุษย์ด้วย ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลความเหมาะสมของสถานที่ใช้ควบคุมผู้ต้องขังสตรี สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาที่เป็นเด็กและเยาวชน สตรี โดยจัดสวัสดิการที่เหมาะสมกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ และควรสอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติได้มีมติว่า การดำเนินโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส มีการปฏิบัติกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ จึงให้หน่วยงานตระหนักและให้ความสำคัญกับแนวทางข้างต้น หากพบว่ามีการละเว้นการปฏิบัติ ผู้ที่เกี่ยวข้องจะถูกดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายจนถึงที่สุด ๔.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) สอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในการดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) นั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้การสนับสนุนการดำเนินการข้างต้นด้วย ๔.๓ ในการแต่งตั้งประธานกรรมการบริหาร รวมถึงผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้สำหรับรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ และตามที่บัญญัติในกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งพิจารณาระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง ซึ่งควรมีระยะเวลามากกว่า ๑ ปี เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ๔.๔ ให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) โดยจัดทำข้อมูลในภารกิจสำคัญของหน่วยงานที่แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินการที่เป็นการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประชาชน หรือทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และแผนการดำเนินการในระยะต่อไป และส่งให้กรมประชาสัมพันธ์และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สำนักโฆษก) ใช้ในการสื่อสารกับประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) และกรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการเร่งสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน เช่น การเปรียบเทียบค่าจ้างแรงงานในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับต้นทุนแรงงานที่แตกต่างกัน สาเหตุของการส่งออกที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา แนวทางการพัฒนาคนโดยมุ่งสร้างเยาวชนที่รักการอ่านและสามารถวิเคราะห์ได้ การส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แนวทางการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ๔.๕ ให้ทุกหน่วยงานส่งเรื่องที่เป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลดำเนินการ เช่น โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา การส่งเสริมการใช้จักรยานในการสัญจร การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย การพัฒนาคูคลอง การแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานคร ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาเพื่อบูรณาการแนวทางการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี และให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกรุงเทพมหานครพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา เช่น การขยายเส้นทางจักรยานริมน้ำ การขยายเส้นทางสัญจรทางน้ำ โดยให้เชื่อมกับเส้นทางบนบก เช่น การสัญจรโดยเรือเล็ก เรือพาย ระหว่างสองฝั่งของเมืองหรือระหว่างเส้นทางที่มีปัญหาการจราจรติดขัดมาก และให้ดำเนินการจัดระเบียบการค้าขายริมทางเท้า โดยอาจจะจัดการค้าขายทางน้ำเพิ่มขึ้น รวมทั้งการดูแลความสะอาดของพื้นที่ทางบกและทางน้ำด้วย ๔.๖ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดและการสร้างที่อยู่อาศัยรุกล้ำแนวลำคลองและทางระบายน้ำ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการจัดหาที่อยู่ใหม่ให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าว ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๔.๗ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) ร่วมกันพิจารณาประเมินผลการกระจายอำนาจทางการบริหารให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผ่านมาว่าทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของประเทศมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างไร มีกรณีใดที่ประสบปัญหาและควรปรับปรุงแก้ไข และเสนอแนวทางการปรับปรุงต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
.....