ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 30 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 581 - 600 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
581 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรับมือเศรษฐกิจไทยจากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป" | สสป | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรับมือเศรษฐกิจไทยจากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมสรรพากร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดูแลสภาพคล่องและสนับสนุนการประกันส่งออก ให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ๒. ดูแลเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน และร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ ๓.๐ หรือต่ำกว่านี้ไปจนถึงสิ้นปี รวมทั้งสนับสนุนให้ใช้เงินสกุลต่างประเทศในการชำระค่าระวางเรือ (Freight Charge) ๓. ให้หน่วยงานราชการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้า-ส่งออก ๔. ให้กรมสรรพากรพิจารณาในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีนำเข้าเพื่อการส่งออกให้รวดเร็ว ๕. ส่งเสริมการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้มีระบบสินเชื่อให้กับคู่ค้า รวมทั้งสนับสนุนและแก้ไขอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกให้สินค้าเข้า-ออกชายแดน ๖. ส่งเสริมการส่งออกทดแทนตลาดหลัก ๗. ส่งเสริมให้มีการจัดหาวัตถุดิบซึ่งขาดแคลนเพื่อผลิตและส่งออก (Global Sourcing) ๘. ให้มีการเจรจาขอสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GPS) กลับคืนมา ๙. เร่งแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเข้มข้นในภาคอุตสาหกรรม และควรมีมาตรการเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบ ๑๐. ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและมีความชัดเจน ๑๑. กำหนดเป้าหมายการส่งออกให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
582 | ขอส่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี (คำสั่ง นร ที่ 55/2556) | นร04 | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๕๕/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี โดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในการกำกับดูแลการดำเนินกิจการของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
583 | การประเมินผลโครงการความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านของ สพพ. | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สพพ. ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๑๐,๖๘๓.๗๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน รวม ๑๘ โครงการ วงเงิน ๑๐,๕๔๗.๘๐ ล้านบาท และโครงการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ รวม ๒๐ โครงการ วงเงิน ๑๓๕.๙๐ ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีโครงการที่แล้วเสร็จและครบกำหนดเวลาที่สามารถประเมินผลโครงการได้ จำนวน ๔ โครงการ คือ ๑.๑.๑ โครงการเชื่อมโยงคมนาคมระหว่างไทย-เมียนมาร์ จากเมียวดี-เชิงเขาตะนาวศรี (โครงการถนนเมียวดี) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ๑.๑.๒ โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดหนองคาย-ท่านาแล้ง (โครงการรถไฟท่านาแล้ง) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ๑.๑.๓ โครงการปรับปรุงสนามบินระหว่างประเทศวัดไต (โครงการสนามบินวัดไต) สปป.ลาว ๑.๑.๔ โครงการก่อสร้างร่องระบายน้ำฮ่องวัดไต (โครงการร่องระบายน้ำฮ่องวัดไต) สปป.ลาว ๑.๒ ผลการประเมินโครงการความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านที่แล้วเสร็จทั้ง ๔ โครงการ พบว่า อยู่ในระดับดี-ดีมาก โดยทุกโครงการสอดคล้องกับความต้องการของประเทศเพื่อนบ้าน และนโยบายของไทยในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค นอกจากนี้ ทุกโครงการก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และผู้ใช้ประโยชน์จากโครงการ ๑.๓ ข้อเสนอแนวทางเชิงนโยบายในการร่วมมือเพื่อพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้านของ สพพ. ในอนาคต เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานต่อไป ๑.๓.๑ ยุทธศาสตร์การร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้านของ สพพ. ยังคงให้ความสำคัญกับ ๓ ด้านหลัก คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาค (Connectivity) การสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการขยายตัวทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว และการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (Relationship) ๑.๓.๒ การร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้านบริเวณชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน จะนำรูปแบบการพัฒนาโครงการเชื่อมโยงคมนาคมระหว่างไทย-เมียนมาร์ จากเมียวดี-เชิงเขาตะนาวศรี ซึ่งพัฒนาโครงข่ายถนน เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่างกัน (Connectivity) มาเป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อพัฒนาเป็นประตูการค้า (Gateway) สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการขยายตัวทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และประเพณีระหว่างกัน ๑.๓.๓ การร่วมมือเพื่อการพัฒนาโดยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย โดย สพพ. เป็นโอกาสหนึ่งที่สินค้าและบริการจากประเทศไทยสามารถกระจายไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นการขยายกำลังการผลิตของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง จึงสมควรให้หน่วยงานต่างๆ ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยได้รับความสะดวกและรวดเร็วในพิธีการทางด้านการค้าระหว่างประเทศและการขนส่งสินค้าข้ามแดน ๒. ให้ สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ควรให้ความสำคัญกับแผนงาน/โครงการซึ่งจะดำเนินการตามแนวระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ และตามแนวชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน (Regional Investment Forum : RIF) ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) เป็นลำดับแรก และดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้าง พร้อมทั้งประมาณการวงเงินค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินของโครงการแล้วเสร็จ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
584 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (จำนวน 3 คน 1. นายชุมพร พลรักษ์ ฯลฯ) | ทก | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) จำนวน ๓ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายชุมพร พลรักษ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๒. นายปกรณ์ อาภาพันธุ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
585 | โครงการอบรมหลักสูตรรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริหารระดับสูง | ทก | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการโครงการอบรมหลักสูตรรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริหารระดับสูง (รอส.) ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรมีหลักสูตรภาคปฏิบัติในการพัฒนาทักษะพื้นฐานการใช้คอมพิวเตอร์สำหรับผู้บริหาร ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ในด้านเนื้อหาหลักสูตรการอบรม ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปรับปรุงแก้ไขให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายใน ๒ ระดับ คือ ระดับปฏิบัติการ และระดับบริหาร เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงานได้โดยตรง รวมทั้งนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการนำไปใช้ในการกำกับติดตาม ตรวจสอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบด้วย ๒. เห็นชอบให้หัวหน้าส่วนราชการที่เข้าร่วมการอบรมหลักสูตรรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริหารระดับสูงมีสิทธิเบิกจ่ายค่าลงทะเบียนได้จากหน่วยงานต้นสังกัดตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๙ และเข้าร่วมอบรมโดยไม่ถือเป็นวันลา ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการฝึกอบรมหลักสูตรผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (Chief Information Officer : CIO) ด้วย ไปพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
586 | การจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพสำหรับการจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ร่วมกับ สำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) | ยธ | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพสำหรับการจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) จำนวน ๔ รายการ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (ข้อกำหนดกรุงเทพฯ) ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๑.๒ การประชุมผู้เชี่ยวชาญสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เพื่อการพัฒนาหลักสูตรในการฝึกอบรมตามข้อกำหนดกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ๑.๓ การประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อการพัฒนาเอกสารการฝึกอบรมสำหรับอัยการและผู้พิพากษาในด้านการขจัดความรุนแรงต่อหญิง ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ ๑.๔ การประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อการพัฒนาแผนปฏิบัติการต้นแบบเพื่อป้องกันและตอบสนองต่อการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง เพื่อบรรลุเป้าหมายของการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทย ประจำสำนักงานสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา เป็นผู้ลงนามในหนังสือตอบรับความตกลงประเทศเจ้าภาพสำหรับการจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับประเด็นสารัตถะของหนังสือแลกเปลี่ยนของ UNODC ที่เห็นว่าในส่วนของเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของผู้เข้าร่วมการประชุมและบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการประชุม รวมทั้งบุคลากรที่รัฐบาลจัดให้ตามความตกลงนี้ UNODC ควรส่งสำเนารายชื่อผู้เข้าร่วมการประชุมและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประชุมทั้งหมดข้างต้นให้รัฐบาลไทยทราบล่วงหน้า และประเด็นมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่เห็นว่าหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทยประกอบกับหนังสือแลกเปลี่ยนของ UNODC ก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ จึงเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ วรรค ๒ ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เนื่องจากหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดพันธกรณีเกี่ยวกับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับการประชุมทั้ง ๔ รายการในประเทศไทย ซึ่งมีพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๐๔ รองรับให้กระทำได้อยู่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
587 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม" | สสป | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษา เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ ได้แก่ รัฐบาลควรจัดให้มีการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ โดยปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ รวมทั้งควรจัดทำแผนแม่บทการปฏิรูปการศึกษาของชาติ โดยกำหนดระยะเวลาไว้ ๕ ปี หรือ ๑๐ ปี และควรออกเป็นพระราชบัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ควรนำพุทธปรัชญาการศึกษา และน้อมนำพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า "พระผู้ทรงเป็นครูของแผ่นดิน" มาประกอบการพิจารณาในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ ทั้งนี้ การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่จะต้องนำไปสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม รวมทั้งสอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมและของโลก ๒. การศึกษากับการพัฒนาคนที่พึงประสงค์ ได้แก่ รัฐบาลควรน้อมนำคุณธรรม ๔ ประการ ที่พระราชทานในวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ และวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ รวมทั้งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมากำหนดเป็นคุณธรรมประจำชาติ และคุณลักษณะของไทยที่พึงประสงค์ และการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่จะต้องปลูกฝังคนไทยให้มีคุณธรรมประจำชาติ หรือคุณลักษณะของไทยที่พึงประสงค์ตามที่กำหนด ๓. การศึกษากับการพัฒนาสังคมที่เข้มแข็ง ได้แก่ สถาบันการศึกษาจะต้องดำเนินการอบรมนักเรียน นักศึกษาให้เป็นผู้ที่พร้อมด้วยความเก่งและความดี ถือเป็นหน้าที่ในการช่วยพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง จัดทำโครงการและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสังคมและการพัฒนาสังคม และส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน โดยมีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับวิทยาลัยชุมชนโดยเฉพาะ ๔. การศึกษากับการพัฒนาประเทศให้มั่นคง ได้แก่ การศึกษาจะต้องช่วยให้สถาบันหลักแห่งความมั่นคงของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข ให้มีความมั่นคง การศึกษาจะต้องสร้าง "พลเมืองดี" ให้เป็นกำลังที่สำคัญชาติบ้านเมือง ๕. ศาสนากับการศึกษา ได้แก่ รัฐบาลจะต้องถือเป็นนโยบายที่จะให้คนไทยมีทั้งศาสนาและการศึกษาตามพระบรมราโขวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ควรนำวิชาศีลธรรมและวิชาหน้าที่พลเมืองกลับคืนมา ให้ความสำคัญกับการสอนวิชาศีลธรรม และวิชาหน้าที่พลเมือง ควรให้การส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของโรงเรียนวิถีพุทธอย่างจริงจัง ทั้งในด้านงบประมาณ บุคลากร ขวัญและกำลังใจ รวมทั้งควรจัดสรรงบประมาณให้สถานศึกษาต่าง ๆ โดยเฉพาะโรงเรียนวิถีพุทธพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญของพระพุทธศาสนาไว้ประจำโรงเรียน ๖. การพัฒนาครูเพื่อให้ได้ครูที่พึงประสงค์ ได้แก่ ครูที่พึงประสงค์ คือ ครูที่ทำหน้าที่ของครูอย่างสมบูรณ์ ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรของศิษย์ รัฐบาลควรจัดให้มีการฝึกอบรมครูให้เป็นครูที่พึงประสงค์ มีจิตใจของการเป็นครู และควรจัดให้สถาบันผลิตครูใน ๕ ภูมิภาค และกรุงเทพมหานคร รวมเป็น ๖ สถาบัน แต่ละสถาบันสามารถรองรับนักศึกษาสถาบันละ ๒๐๐ คน ๗. การอาชีวศึกษากับค่านิยมของสังคม ได้แก่ เปลี่ยนค่านิยมของสังคมให้เข้าใจว่าการประกอบอาชีพสุจริตถือว่าเป็นพลเมืองที่มีเกียรติ มิใช่ผู้ได้รับปริญญาเท่านั้นจึงมีเกียรติหรือได้รับความสำเร็จและความสุขในชีวิต ควรจัดให้ผู้เรียนในสถานศึกษาด้านอาชีวศึกษาได้มีโอกาสฝึกงานในสถานประกอบการเพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์ในการทำงาน นอกเหนือจากความรู้ทางทฤษฎีที่ได้จากสถานศึกษา และควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการสั่งสอนอบรมนักเรียนอาชีวศึกษาให้เป็นผู้มีความประพฤติดี มีพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ เป็นผู้มีระเบียบวินัย มีจิตอาสาหรือจิตสาธารณะ พร้อมที่จะทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น สังคม และประเทศชาติ ๘. สถาบันการศึกษาเอกชน ได้แก่ รัฐบาลควรให้การส่งเสริมสนับสนุนสถาบันการศึกษาเอกชน ทั้งในด้านงบประมาณ และเงินอุดหนุน เพื่อให้ครูในสถาบันการศึกษาเอกชนมีเงินเดือนและสวัสดิการเท่าเทียมกับครูในสถาบันการศึกษาของรัฐ ๙. การบริหารจัดการการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ รัฐบาลควรระวังไม่ให้การเมืองเข้ามาทำลายประสิทธิภาพการบริหารจัดการการศึกษา ไม่ให้การศึกษาตกเป็นเครื่องมือของการเมือง ควรพิจารณาการปรับปรุงโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการให้เหมาะสม รวมทั้งการฟื้นฟูกรมวิชาการให้กลับคืนมา ควรให้มีการกระจายอำนาจบริหารการศึกษาไปสู่ท้องถิ่น ควรส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน เนื่องจากการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ควรพิจารณาว่าจะรวมงานทั้ง ๓ ด้าน ให้อยู่ในกระทรวงเดียวกันหรือไม่ โดยใช้ชื่อกระทรวงศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และควรส่งเสริมและสนับสนุนศูนย์การศึกษาพิเศษเพื่อรองรับและส่งเสริมกลุ่มผู้ด้อยโอกาสหรือกลุ่มผู้พิการ ให้สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและมีทรัพยากรรองรับตามความต้องการของผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
588 | ขออนุมัติหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการ Market Readiness Proposal Partnership for Market Readiness (PMR) Multi-Donor Trust Fund และขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท | กค | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการที่กำหนดไว้ในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกสำหรับโครงการ Market Readiness Proposal Partnership for Market Readiness (PMR) Multi-Donor Trust Fund ซึ่งมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการดังกล่าว โดยธนาคารโลกได้ส่งหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ เพื่อกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามยืนยันรับความช่วยเหลือฯ สำหรับโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๑๗ ที่กำหนดให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้ดำเนินการเจรจาและลงนามขอรับความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการที่ไม่มีดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจากแหล่งเงินกู้ เช่น ธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเชีย ๑.๒ เห็นชอบหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ออกหนังสือมอบอำนาจเต็มให้นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (Ms. Chularat Suteethorn Director-General, Public Debt Management Office)เป็นผู้ลงนามในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ จากธนาคารโลกในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรจัดให้มีหน่วยงานหรือระบบการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อสัญญาเพื่อให้การปฏิบัติตามข้อสัญญามีความต่อเนื่องและถูกต้องตามสัญญา และเมื่อพบว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือมีความล่าช้าในการดำเนินงานให้รีบแจ้งคู่สัญญาทราบเพื่อเป็นการดำเนินการแก้ไขปัญหาและระงับข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นต่อไป รวมทั้งการพิจารณาคัดเลือกบุคคลเพื่อทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการจะต้องคัดเลือกอนุญาโตตุลาการที่มีความเป็นกลางและเป็นอิสระ มีความรอบรู้และเชี่ยวชาญในสัญญาภาครัฐ นอกจากนี้ โดยที่หนังสือข้อตกลงฯ เป็นสัญญาในระดับรัฐบาลระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ มิใช่เป็นสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชนซึ่งประกอบธุรกิจโดยทั่วไป อาจพิจารณากำหนดเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าสัญญาระหว่างรัฐกับธนาคารโลกหรือองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ควรอยู่ในขอบเขตและวัตถุประสงค์ของการบังคับตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทสำหรับสัญญาทุกประเภทที่หน่วยงานของรัฐทำกับเอกชน) ด้วยหรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
589 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้าระหว่างไทยและเมียนมาร์ ครั้งที่ 6 | พณ | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission-JTC) ระหว่างไทยและเมียนมาร์ ครั้งที่ ๖ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพฯ เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงพาณิชย์ติดตามการขยายตัวการค้าไทย-เมียนมาร์ให้เพิ่มขึ้นเป็น ๓ เท่าภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จากมูลค่าการค้าปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๒ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน ติดตามประเด็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎระเบียบการค้าและการลงทุน การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างสม่ำเสมอของผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การจัดงานแสดงสินค้า นิทรรศการ และการจับคู่/สร้างเครือข่ายธุรกิจให้บ่อยครั้งขึ้นในสถานที่ที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงในจังหวัดชายแดน การส่งเสริมการจัดกิจกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนเป็นครั้งคราว การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการออกไปลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการส่งเสริมให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์จากสภาธุรกิจไทย-เมียนมาร์ ๑.๓ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ติดตามประเด็นการผลักดันความร่วมมือด้านตลาดข้าวอาเซียน (ASEAN5-E) ของ ๕ ประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าว (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ ไทย และเวียดนาม) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และการจัดกิจกรรมร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนในสาขาต่างๆ ๑.๔ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ ติดตามประเด็นการผลักดันและติดตามการจัดทำแผนงานการปรับปรุงและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จุดผ่านแดนที่มีอยู่ การผลักดันการยกระดับและการเปิดจุดผ่านแดนที่ถูกปิดไปขึ้นใหม่ รวมถึงการเปิดจุดผ่านแดนแห่งใหม่ในพื้นที่ที่เหมาะสมและจำเป็น การสนับสนุนการนำอุปกรณ์และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ในจุดผ่านแดนต่างๆ ๑.๕ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ติดตามประเด็นการผลักดันให้มีการหารืออย่างสม่ำเสมอระหว่างธนาคารกลางของทั้งสองประเทศ การผลักดันการพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำเงินบาทมาใช้ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการของเมียนมาร์ และการสนับสนุนความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างธนาคารกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่าย ๑.๖ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ สมาคมวิชาชีพสาธารณสุข สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ติดตามประเด็นการผลักดันความร่วมมือด้านบริการสุขภาพเพื่อขยายโอกาสการทำธุรกิจบริการสุขภาพของไทยในเมียนมาร์ และหาแนวทางการจัดทำความร่วมมือด้านการบริหารจัดการ ประชุม และสัมมนา (Meetings, Incentives, Conferencing and Exhibitions : MICE) ๑.๗ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ติดตามประเด็นการจัดทำความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเดียว (Single tourist destination) การสนับสนุนการใช้วีซ่าเดียว (Single visa) ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศ และการสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการที่มีกลไกคณะกรรมการกำกับดูแล อาทิ โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งมีคณะกรรมการร่วมระดับสูงและคณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกลไกหลัก และการเปิดจุดผ่านแดน ซึ่งมีคณะอนุกรรมการพิจารณาการเปิดจุดผ่านแดนภายใต้การดูแลของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นกลไกหลักและเกี่ยวข้องกับกระทรวงการต่างประเทศ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ในการยกระดับจุดผ่านแดนที่มีอยู่และการเปิดจุดผ่านแดนใหม่ ต้องพิจารณาในภาพรวมอย่างสมดุลทั้งมิติด้านเศรษฐกิจและมิติด้านความมั่นคง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
590 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ | สสป | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มีความเห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของประเทศไทย เช่น พัฒนาเทคโนโลยีของหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศให้มีเทคโนโลยีทัดเทียมต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน พัฒนาระบบการจัดเก็บและสำรองข้อมูล และให้มีการทดสอบระบบอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกหน่วยงาน ควรมีศูนย์จัดเก็บข้อมูลและสำรองข้อมูลกลางที่มีมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อจัดเก็บข้อมูล ติดตั้งระบบและอุปกรณ์ป้องกันให้มีประสิทธิภาพและทันสมัย เป็นต้น ๒. ด้านข้อกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ เช่น กำหนดนโยบายให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอเล็กทรอนิกส์เป็นศูนย์กลางในการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ สนับสนุนงบประมาณ เพิ่มบุคลากรการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินการ ปรับโครงสร้างการบริหารงานให้เหมาะสมกับภารกิจในด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ โดยให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเป็นเอกภาพของคณะกรรมการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ปรับปรุงบทบัญญัติ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับอื่นใด รวมถึง การตรากฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับใหม่ ให้มีความสอดคล้องเหมาะสมกับการดำเนินกิจการของศูนย์กลางในการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ มีมาตรการเพิ่มบทลงโทษกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิด เกี่ยวกับกฎหมาย การรักษาข้อมูลสารสนเทศของรัฐ เป็นต้น ๓. ด้านการบริการจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ เช่น ฝึกอบรมผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมให้มีความรู้ความเข้าใจ เตรียมพร้อมกับกฎหมายการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ให้มีนโยบายการเข้าถึงและป้องกันแหล่งข้อมูลสารสนเทศเป็นระดับชั้น กำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีแผนในการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ พัฒนาระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศของรัฐตามชั้นความลับ กำหนดแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยระบบสารสนเทศในระยะยาวให้ชัดเจน ตลอดจนแผนระยะกลางและแผนระยะสั้น จัดสรรงบประมาณและเพิ่มจำนวนอัตราบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระบบสารสนเทศให้เพียงพอต่อความต้องการของหน่วยงาน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
591 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการในกระทรวงศึกษาธิการ รวม 3 ฉบับ | ศธ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการในกระทรวงศึกษาธิการ รวม ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหารขึ้นในสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินงาน สนับสนุนการปฏิบัติงาน และพัฒนาการบริหารของสำนักงานปลัดกระทรวง และกระทรวง ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหารขึ้นในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินงาน สนับสนุนการปฏิบัติงาน และพัฒนาการบริหารของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๓. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงินงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักทดสอบกลางไปเป็นของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ และกำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหารขึ้นในสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินงาน สนับสนุนการปฏิบัติงาน และพัฒนาการบริหารของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
592 | แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) | นร | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การจัดงานหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ OTOP MIDYEAR 2012 สู่ประชาคมอาเซียน) ที่มอบหมายให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินการร่วมกันในการเพิ่มช่องทางการตลาดและการส่งออกผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) จากระดับชุมชนไปสู่ตลาดทั่วโลก ตลอดจนขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP นั้น การจัดทำอาหารกล่องสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน “ชุดปิ่นโต” เป็นตัวอย่างผลิตภัณฑ์ OTOP ชนิดหนึ่งที่ได้มีการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพ รูปแบบและบรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ซื้อสินค้ามากขึ้น โดยในส่วนของอาหารสำเร็จรูป ควรพิจารณานำอาหารที่ผู้ผลิตได้รับการยอมรับว่าผลิตอาหารที่มีรสชาติอร่อยเป็นต้นตำรับหรือเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นมาดำเนินการและออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมสวยงาม สะดวกแก่การรับประทานระหว่างการเดินทางและเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ณ สถานีรถไฟและบนรถไฟสายต่างๆ จึงขอให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) รับแนวทางดังกล่าวไปบูรณาการการปรับปรุงพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ OTOP ชนิดต่างๆ ร่วมกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) [ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (Thailand Creative & Design Center : TCDC)] กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
593 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร09 | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนครขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน ๑.๒ กำหนดการจัดตั้ง วัตถุประสงค์ และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ๑.๓ กำหนดลักษณะของทุน รายได้และทรัพย์สินในการดำเนินกิจการ ๑.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารพัฒนาพิงคนครเพื่อบริหารและดำเนินกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ๑.๕ กำหนดผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ๑.๖ กำหนดลักษณะการจัดทำการบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผลงาน ๑.๗ กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินกิจการของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ให้เป็นไปตามกฎหมาย ๒. เห็นชอบให้เพิ่มเติมหน้าที่ในด้านการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โครงการหลวง และเกษตรทฤษฎีใหม่ในวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เมื่อพระราชกฤษฎีกาฯ มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
594 | การโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณ ไปเป็นของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) | สธ | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มีการโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของหน่วยงานภายในกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เฉพาะในส่วนที่ทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ไปเป็นของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
595 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการลงนามในสัญญาเงินกู้ระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ โดยมีวงเงินกู้ ๙๕.๔๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) กำหนดชำระดอกเบี้ย ๒๐ กุมภาพันธ์ และ ๒๐ สิงหาคมของทุกปี การชำระคืนเงินกู้ เริ่มชำระคืนวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และสิ้นสุดวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๗๕ ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่าย ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘ ๑.๒ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อ สปป.ลาว และประเทศไทย โดยโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์จะทำให้โครงข่ายการระบายน้ำจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปยังแม่น้ำโขงมีความสมบูรณ์และมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทำให้ประชาชนในบริเวณพื้นที่โครงการฯ คือ เมืองจันทบุรีและเมืองศรีโคตรบอง ประมาณ ๓ แสนคน ได้รับประโยชน์ ไม่ต้องประสบปัญหาน้ำท่วมขังและน้ำเน่าเสียในช่วงฤดูฝนอันมีสาเหตุจากระบบระบายน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลได้โดยตรง และเป็นการสนับสนุนการใช้สินค้าไทย เนื่องจากเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ดังกล่าวกำหนดให้ใช้สินค้าจากประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการฯ ๒. ให้ สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการคัดเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีศักยภาพและคุณภาพ ไม่มีประวัติการทำงานที่ล่าช้าและไม่มีคุณภาพ ก่อให้เกิดการชำรุดและซ่อมแซมที่เร็วกว่ากำหนดเวลาอันสมควร และกำกับการดำเนินงานก่อสร้างให้ได้มาตรฐานและเป็นไปตามกำหนดเวลา ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
596 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (จำนวน 6 ราย 1. นายสันทัด สมชีวิตา ฯลฯ) | ทส | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก จำนวน ๖ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายสันทัด สมชีวิตา ประธานกรรมการ ๒. นายเจน นำชัยศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจ ๓. นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงาน ๔. นางสาวแสงจันทร์ ลิ้มจิรกาล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕. นายดำรงค์ ศรีพระราม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านป่าไม้ ๖. นายรัชดา สิงคาลวณิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
597 | รายงานผลการดำเนินงานการเข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประจำปี พ.ศ. 2555 | ทก | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานการเข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยสำนักงานฯ ได้ดำเนินการร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นวงเงินไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของมูลค่าโครงการ และไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔ โครงการ งบประมาณจำนวน ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ดังนี้
๑. พัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคลและเงินเดือน โดยบริษัทฮิวแมนิก้า จำกัด ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓-วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ งบประมาณที่ใช้ลงทุนโครงการ ๑๔,๒๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติร่วมทุนจากสำนักงานฯ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่เกินร้อยละ ๒๕) ๒. โครงการภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง Gabriel and the Christmas โดยบริษัท ดิ จิ ดรีม จำกัด ระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓-วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ งบประมาณที่ใช้ลงทุนโครงการ ๔๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติร่วมทุนจากสำนักงานฯ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่เกินร้อยละ ๒๕) ๓. โครงการภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง ปังปอนด์ จอมป่วน โดยบริษัทวิธิตาแอนิเมชั่น จำกัด ระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓-วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ งบประมาณที่ใช้ลงทุนโครงการ ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติร่วมทุนจากสำนักงานฯ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่เกินร้อยละ ๒๕) ๔. โครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบ Internet Billing System โดยบริษัท เทอร์ราไบท์ เน็ท โซลูชั่น จำกัด ระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๔-วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ งบประมาณที่ใช้ลงทุนโครงการ ๑๓,๕๓๖,๙๔๕ บาท งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติร่วมทุนจากสำนักงานฯ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่เกินร้อยละ ๒๕)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
598 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จ.พะเยา) - เมืองคอบ - เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ - เมืองปากคอบ - บ้านก้อนตื้น สปป. ลาว | กค | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จ.พะเยา)-เมืองคอบ-เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ-เมืองปากคอบ-บ้านก้อนตื้น สปป.ลาว ตามประมาณการราคาเบื้องต้น จำนวน ๑,๔๗๓.๘๘ ล้านบาท และสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) จะได้ศึกษา สำรวจออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างให้เสร็จเรียบร้อย และจะได้นำผลศึกษาประมาณราคาค่าใช้จ่ายเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติรูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่เหมาะสมแก่โครงการฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างพร้อมทั้งประมาณการวงเงินค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินของโครงการฯ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งก่อนดำเนินการ และพิจารณากำหนดลำดับความสำคัญของประเทศเพื่อนบ้านที่จะให้ความช่วยเหลือ รวมถึงสัดส่วนของการให้ความช่วยเหลือของ สพพ. ทั้งทางด้านการเงินและวิชาการ โดยแยกออกเป็นเงินกู้ เงินให้เปล่า และอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานด้านการให้ความช่วยเหลือกับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
599 | การจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) | นร10 | 02/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในการควบรวมและโอนกิจการเฉพาะโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จากองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ จากสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาก่อน ๑.๒ อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... เฉพาะในส่วนของการควบรวมโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จากองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ จากสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาก่อน และให้นำวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งของอุทยานหลวงราชพฤกษ์ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) โดยเฉพาะในส่วนที่จะทำหน้าที่เผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โครงการหลวงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ไปแก้ไขเพิ่มเติมในวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ตามร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... และดำเนินการขั้นตอนต่อไป ๒. ให้เพิ่มประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เป็นกรรมการทั้งในคณะกรรมการเตรียมการโครงการและในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนครตามบทเฉพาะกาลในร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ด้วย และเมื่อพระราชกฤษฎีกาที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาได้ประกาศใช้แล้ว ให้สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) พิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการควบรวมตามขั้นตอนและพิธีการที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓. เห็นชอบเงื่อนไขการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยมีการประเมินผลเพื่อแสดงความคุ้มค่าของการจัดตั้งหน่วยงานที่ชัดเจน กล่าวคือ เมื่อครบกำหนดระยะเวลา ๕ ปี หากสำนักงานฯ สามารถดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และแสดงถึงความคุ้มค่าในการจัดตั้งก็สมควรให้มีการขยายผลต่อไป แต่หากไม่สามารถดำเนินการตามเป้าหมายหรือไม่สามารถพิสูจน์ความคุ้มค่าในการจัดตั้งได้ ก็ให้ยุบเลิก หรืออาจโอนถ่ายไปให้หน่วยงานอื่น ๆ และให้ผู้อำนวยการของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) จัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์และร่างแผนการเงินเสนอต่อคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนครและคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาไม่เกิน ๖ เดือนหลังจากเข้าดำรงตำแหน่ง เพื่อขอความเห็นชอบและเสนองบประมาณในการดำเนินงาน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยยกเว้นในส่วนของอุทยานหลวงราชพฤกษ์ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
600 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 9/2555 | นร11 | 02/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๙/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ โดยคณะกรรมการ กยอ. มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบและวิจัยพัฒนารถยนต์และชิ้นส่วน ตามที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันยานยนต์แห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทบทวนในรายละเอียด ความเหมาะสม และความคุ้มค่าของโครงการ รวมทั้งรูปแบบการลงทุน การบริหารจัดการ และที่ตั้งโครงการ เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามในหนังสือถึงประธาน กยอ. เพื่อนำเสนอ กยอ. พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการให้มีการศึกษาโครงการบริหารจัดการกากของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรมครบวงจร โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดทำรายละเอียดข้อกำหนดโครงการ (TOR) และรายละเอียดงบประมาณตามแบบฟอร์มที่สำนักงบประมาณกำหนดเสนอต่อรัฐมนตรีต้นสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามถึงประธาน กยอ. เพื่อนำเสนอ กยอ. พิจารณาอีกครั้ง ก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๓. รับทราบผลการจัดงานแสดงร้านค้าต้นแบบ OTOP Store และนิทรรศการ Thai Pinto ตามที่ผู้แทนสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เสนอ ๔. รับทราบความคืบหน้าการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนได้ทราบและติดตามการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ๕. รับทราบความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตามที่ผู้แทน กนอ. เสนอ และให้ กนอ. รายงานความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมให้ กยอ. ทราบต่อไป ๖. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ตามที่ประธานคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และการบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศรายงาน
|
.....