ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 23 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 441 - 460 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
441 | ศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ (Govermment Application Center : GAC) และระบบแจ้งข้อมูลข่าวสารภาครัฐ (G - News) | นร | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่ผู้แทนสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้จัดทำ “โครงการ GovChannel ศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน” ซึ่งเป็นบริการในรูปแบบใหม่ของภาครัฐที่อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐ สามารถใช้งานแบบออนไลน์ได้ ๓ ช่องทาง คือ ช่องทางที่ ๑ ผ่านคอมพิวเตอร์ทางเว็บไซต์ ช่องทางที่ ๒ ผ่านอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และช่องทางที่ ๓ ผ่านอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ตู้ Government Kiosk, Government Smart Box โดยภายใต้การดำเนินการในช่องทางที่ ๒ จะมีศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ (Government Application Center : GAC) ที่รวบรวมแอปพลิเคชันต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐไว้ด้วยกัน เพื่อให้ประชาชนสามารถค้นหาแอปพลิเคชันและดาวน์โหลดลงบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และได้เปิดตัวบริการ G-News ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันกลางที่หน่วยงานภาครัฐสามารถใช้เป็นช่องทางในการให้ข้อมูลข่าวสารและบริการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์รองรับการแจ้งเตือนข้อมูลเฉพาะรายบุคคล เช่น การแจ้งเตือนการชำระภาษี การชำระค่าสาธารณูปโภค โดยประชาชนสามารถเลือกรับข้อมูลข่าวสารภาครัฐที่สนใจหรือเฉพาะพื้นที่ที่ต้องการได้ ปัจจุบันได้เปิดให้บริการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน G-News สำหรับอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ในระบบ Android แล้ว ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ดำเนินการ ๒.๑ พิจารณาดำเนินโครงการ GovChannel ศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Data Center) และให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ และพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒.๒ ให้จัดหมวดหมู่ของข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านทางแอปพลิเคชัน GAC และเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกระดับได้รับทราบวิธีการติดตั้งและการใช้งานอย่างง่ายผ่านผู้นำชุมชนและสื่อต่าง ๆ เช่น สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) สถานีวิทยุ หรือจัดทำเป็นแผ่นพับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแจกจ่ายในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ศูนย์การค้า ทั้งนี้ ให้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวนผู้ใช้งาน และประเมินผลการใช้งานอย่างต่อเนื่องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
442 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีศรีลังกา | กต | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายไมตรีปาละ สิริเสนา ประธานาธิบดีศรีลังกาในฐานะแขกของรัฐบาลตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑-๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ซึ่งการเยือนครั้งนี้ตรงกับโอกาสการฉลองครบรอบ ๖๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับศรีลังกา ที่ครบรอบในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยสาระสำคัญของการเยือนได้มีการหารือข้อราชการกลุ่มเล็กและการหารือข้อราชการเต็มคณะเกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์ในภาพรวม ความร่วมมือด้านความมั่นคง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความร่วมมือทางศาสนาและวัฒนธรรม ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านการเกษตรและการประมง ความร่วมมือทางวิชาการ และความร่วมมือในกรอบพหุภาคี นอกจากนี้ ประธานาธิบดีศรีลังกาและรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้ร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในงานสัมมนาทางธุรกิจ ไทย-ศรีลังกา (Thailand-Sri Lanka Business Forum) ที่กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน จัดงานสัมมนาดังกล่าวขึ้นเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ โรงแรมอนันตรา สยาม ในงานมีคณะนักธุรกิจไทยและศรีลังกาเข้าร่วมประมาณ ๑๐๐ คน มีกิจกรรมการจับคู่ทางธุรกิจ (business matching) ระหว่างภาคเอกชนไทยกับศรีลังกาในสาขาอุตสาหกรรมต่าง ๆ และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) ก่อนที่จะดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในภายหลัง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานรัฐบาลศรีลังกาให้มีหนังสือขอรับความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ (Formal Request) ถึงสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) เพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
443 | การขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบจากปัญหาการบินพลเรือน ความคืบหน้า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการดำเนินการของศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (GovChannel) | นร | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ในเรื่องการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบจากปัญหาการบินพลเรือน ความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการดำเนินการของศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (Government Access Channel : GovChannel) ของคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของ กขร. ดังนี้
๑. การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบจากปัญหาการบินพลเรือน กขร. เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน (ศบปพ.) โดยให้กระทรวงคมนาคมแต่งตั้งผู้รับผิดชอบ (Project Manager) โดยให้มีอำนาจตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนโดยเฉพาะและให้ผู้บริหารทุกระดับของกระทรวงคมนาคมกำกับดูแลบุคลากรให้ปฏิบัติตามแผนที่กำหนด และให้ความร่วมมือกับ ศบปพ. อย่างเคร่งครัด รวมถึงการดำเนินการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนทั้ง ๘ ด้าน ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยต้องได้รับความเห็นชอบจาก ศบปพ. ทุกครั้ง ๒. ความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กขร. เห็นว่า โครงการตำบลละ ๕ ล้านบาท ยังมีการเบิกจ่ายที่ต่ำกว่าเป้าหมายมาก (กรอบเงิน ๓๖,๒๗๕ ล้านบาท อนุมัติแล้ว ๓๒,๗๕๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วเพียง ๗.๓ ล้านบาท) จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการและรายงานผลความคืบหน้าให้ทราบต่อไป ๓. การดำเนินการของศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (GovChannel) กขร. ได้เร่งรัดและขอให้ส่วนราชการให้การสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลและบริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มาเผยแพร่และให้บริการผ่าน GovChannel ในช่องทางต่าง ๆ อาทิ Government e-Service Website Government Mobile Application Portal Government Kiosk & Government Smart Box เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
444 | ผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 23 การประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 27 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กต | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๓ การประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามผลการประชุมดังกล่าวดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๓ ประเด็นที่ต้องดำเนินการ ได้แก่ การสนับสนุนการค้าระบบพหุภาคี การดำเนินการตามเป้าหมายโบกอร์ การสร้างเศรษฐกิจที่ครอบคลุม การบ่มเพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตลาดภูมิภาคและตลาดโลก การสร้างชุมชนที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมวาระการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจภูมิภาค และการเสริมสร้างความร่วมมือภายในกรอบเอเปค และระหว่างเอเปคกับองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๑.๒ การประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๗ ประเด็นที่ต้องดำเนินการ ได้แก่ การสนับสนุนการค้าระบบพหุภาคี การดำเนินการตามเป้าหมายโบกอร์ ยุทธศาสตร์เอเปคเพื่อเสริมสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ การต่อต้านการคอร์รัปชัน กรอบความร่วมมือภาคบริการเอเปค การส่งเสริมการบูรณาการของเศรษฐกิจในภูมิภาค การบ่มเพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การสร้างสังคมที่ยั่งยืนและสามารถปรับตัวต่อความท้าทาย และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของ APEC ในฐานะองค์กร ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับประเด็นการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อม ๕๔ รายการ (ที่พิกัดศุลกากร ระดับ ๖ หลัก) ให้เหลือไม่เกินร้อยละ ๕ ภายในปี ๒๕๕๘ มีสินค้าบางรายการที่พิจารณาไม่ปรับลดอัตราภาษีลงเหลือร้อยละ ๕ เนื่องจากสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของเครื่องจักรที่ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท ซึ่งไม่มีความชัดเจนว่าเป็นสินค้าสิ่งแวดล้อมหรือไม่ และเห็นควรปรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครอบคลุมกับการดำเนินงานในหัวข้อการส่งเสริมการบูรณาการของเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเพิ่มกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงแรงงาน ในการติดตามและให้ความเห็นต่อการศึกษาเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน-แปซิฟิก เพิ่มหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้าบริการในการดำเนินการส่งเสริมการดำเนินการภายใต้กรอบความร่วมมือภาคบริการของเอเปค และติดตามผลการดำเนินการจัดทำแนวทางการแข่งขันภาคบริการเอเปค ๒๐๑๖ (APEC Services Competitiveness Roadmap in 2016) รวมทั้งมอบสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำ TiVA Database ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๐๑๘ สำหรับหัวข้อการสร้างชุมชนที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น ประเด็นการรับมือการขยายตัวของเมืองในข้อ ๗ หน่วยงานหลัก คือ กระทรวงพลังงาน และการแก้ไขตารางสรุปการติดตามผลการหารือของนายกรัฐมนตรีกับผู้นำเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๓ ในส่วนของประเทศรัสเซีย ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามข้อ ๑๑ การผลักดันบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติให้เป็นรูปธรรม ให้แก้ไขหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจาก สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็น สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
445 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ และกำหนดให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ รวมถึงมีหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำนโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการให้เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติในการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ ตลอดจนแผนแม่บทการพัฒนาบุคลากรด้านวัคซีนของประเทศไทย รวมทั้งการเบิกจ่ายอัตราเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนอื่น ๆ ของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน และผู้เข้าร่วมประชุมฯ ควรกำหนดให้ชัดเจนด้วยว่าให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
446 | การแต่งตั้งโฆษกกระทรวง/หน่วยงาน (เพิ่มเติม) (จำนวน 13 หน่วยงาน) | นร05 | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการแต่งตั้งโฆษกกระทรวง/หน่วยงาน (เพิ่มเติม) จำนวน ๑๓ หน่วยงาน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ เป็นโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ๑.๒ นายสุรพล จารุพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๑.๓ นายดรุณ แสงฉาย รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นโฆษกกระทรวงคมนาคม ๑.๔ นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เป็นโฆษกกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๑.๕ นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นโฆษกกระทรวงพลังงาน ๑.๖ นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม ๑.๗ นายสมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม ๑.๘ นางเสาวนีย์ โขมพัตร หัวหน้าผู้ตรวจราชการ เป็นโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๑.๙ นายธีรพล ขุนเมือง ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็นโฆษกกระทรวงแรงงาน ๑.๑๐ นายประพันธ์ มุสิกพันธ์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน เป็นโฆษกสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๑๑ นางสาวชลิดา โชไชย ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงระหว่างประเทศ ปฏิบัติราชการที่ปรึกษาด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง เป็นโฆษกสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๑.๑๒ นายสมชาย สุรชาตรี ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๑.๑๓ พลตำรวจเอก เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ที่ปรึกษา (สบ ๑๐) เป็นโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๒. ให้โฆษกกระทรวง/หน่วยงาน เร่งจ้ดการประชุมร่วมกันเพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์บูรณาการเชื่อมโยงการประชาสัมพันธ์โครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้นำภาพหรือกราฟิกเพื่อการสื่อสาร (Infographics) มาใช้ในการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับนโยบาย การขับเคลื่อน การดำเนินงาน และรายละเอียดการปฏิบัติต่าง ๆ ให้ถูกต้องเหมาะสมและเป็นที่น่าสนใจด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
447 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการเกี่ยวกับด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อจัดตั้งเครือข่ายในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามกลไกประชารัฐ เช่น อาสาสมัครของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) พัฒนากร ครูอาจารย์ ปราชญ์ชาวบ้านซึ่งเป็นบุคคลที่ทำงานใกล้ชิดกับประชาชนและได้รับการยอมรับนับถือจากคนในชุมชน เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ซึ่งจะเป็นตัวอย่างในการร่วมขับเคลื่อนกลไกประชารัฐในพื้นที่และช่วยสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนอื่นในพื้นที่ด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ จัดทำแผนงานเพื่อสร้างกลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นผู้นำในการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป โดยในการคัดเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถพิเศษ (ช้างเผือก) ในสาขาต่าง ๆ เช่น นักเรียนรุ่นใหม่ เกษตรกรรุ่นใหม่ ให้คัดเลือกจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ๓. ให้ทุกส่วนราชการจัดกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาคนรุ่นใหม่ในลักษณะที่เป็นความร่วมมือระหว่างส่วนราชการเพื่อให้เกิดการบูรณาการ เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดกิจกรรมการเดินป่า กิจกรรมการแข่งขันไตรกีฬา กิจกรรมประกวดภาพถ่ายทัศนียภาพทางธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งนี้ ในการจัดกิจกรรมดังกล่าวให้คำนึงถึงความสอดคล้องเชื่อมโยงกันระหว่างกิจกรรม และความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งให้นำกลไกประชารัฐมาใช้ในการดำเนินการด้วย ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ และทุกส่วนราชการที่จะจัดทำโครงการในลักษณะที่เป็นการให้ทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา (ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก) ทั้งในและต่างประเทศร่วมกันบูรณาการการจัดสรรทุนการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะในสาขาที่ขาดแคลน เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ครู นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เป็นต้น โดยให้จัดสัดส่วนทุนให้เหมาะสมระหว่างทุนการศึกษาปกติและทุนการศึกษาพิเศษที่กำหนดให้ผู้ได้รับทุนเมื่อจบการศึกษาแล้วต้องเข้ารับราชการกลับไปทำงานในภูมิลำเนา หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านหรือนักวิจัย ๕. ให้กระทรงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทวงศึกษาธิการ จัดทำแผนงานเพื่อพัฒนาผู้ด้อยโอกาสทั่วประเทศ เช่น ผู้ที่มีฐานะยากจน เด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง ทั้งด้านชีวิตและความเป็นอยู่และการศึกษา รวมทั้งให้เด็กด้อยโอกาสเหล่านี้ได้พัฒนาให้เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ และคัดเลือกให้เป็นแบบอย่างและสร้างแรงจูงใจให้แก่เด็กด้อยโอกาสอื่น ๆ ต่อไป ๖. ให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงกฎหมายงบประมาณเพื่อให้มีลักษณะเป็นการบูรณาการงบประมาณระหว่างหน่วยงานที่สอดคล้องกับภารกิจหลักของหน่วยงานและภารกิจที่เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณไม่ซ้ำซ้อน มีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด ๗. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ : สวทช.) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคิดค้นเครื่องมือที่สนับสนุนการดำเนินงานของส่วนราชการ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการติดตามตัวผู้ที่อยู่ระหว่างการคุมประพฤติ (Electronic Monitoring : EM) และอุปกรณ์/ครุภัณฑ์ด้านการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เช่น เครื่องรีดยางพาราแผ่นเพื่อลดต้นทุนการผลิตและการนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
448 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์กลางเกี่ยวกับการสรรหากรรมการในคณะกรรมการขององค์การมหาชน โดยเห็นว่าตามที่ร่างมาตรา ๘ (เพิ่มมาตรา ๑๙/๑) บัญญัติให้ผู้ใดจะดำรงตำแหน่งกรรมการในองค์การมหาชนเกินกว่าสามแห่งไม่ได้ โดยให้นับรวมการเป็นกรรมการโดยตำแหน่งและการได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติราชการแทนในตำแหน่งกรรมการด้วยนั้น ถือว่ามีความเหมาะสมและเป็นไปตามแนวทางเดียวกับพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่บัญญัติให้เป็นกรรมการของรัฐวิสาหกิจไม่เกินสามแห่งเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อาจปรากฏข้อเท็จจริงว่าบุคคลอาจดำรงตำแหน่งกรรมการทั้งในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจจำนวนสามแห่ง และเป็นกรรมการในคณะกรรมการขององค์การมหาชนอีกสามแห่ง ทำให้บุคคลนั้นเป็นกรรมการในหน่วยงานของรัฐถึงหกแห่งในเวลาเดียวกัน ซึ่งกระทบต่อประสิทธิภาพของการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนควรคำนึงถึงสภาพปัญหาดังกล่าว และกำหนดหลักเกณฑ์กลางเกี่ยวกับการสรรหากรรมการในคณะกรรมการขององค์การมหาชนโดยคำนึงถึงการที่ผู้นั้นดำรงตำแหน่งกรรมการของรัฐวิสาหกิจอยู่แล้วโดยรวมทุกแห่งไม่เกินสามแห่งด้วย ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
449 | ข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก โครงการเตรียมความพร้อมด้านกลไกตลาดเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก (Partnership for Market Readiness: PMR) | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก โครงการเตรียมความพร้อมด้านกลไกตลาดเพี่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก (Partnership for Market Readiness : PMR) มีสาระสำคัญเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขมาตรฐานของการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าของธนาคารโลก ซึ่งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการฯ ได้พิจารณาขอบเขตในการดำเนินกิจกรรมแล้วว่าอยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ และวัตถุประสงค์ที่จะสามารถดำเนินการได้ โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เงินสนับสนุนในการศึกษา วิเคราะห์ และพัฒนากลไกตลาดภายในประเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและลดก๊าซเรือนกระจก ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ออกหนังสือมอบอำนาจให้ กระทรวงการคลัง โดยนางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน เป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่ากระทรวงการคลังและ อบก. ต้องระมัดระวังมิให้ข้อตกลงฉบับนี้ส่งผลให้เกิดข้อผูกพันให้ประเทศไทยต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งในอนาคต รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการพิจารณาในรายละเอียดของโครงการให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของ อบก. ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๐ การพิจารณากลไกตลาดที่สามารถกระตุ้นการดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างรอบคอบ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจก การระบุถึงเรื่องการเปิดเผยข้อมูลให้กับธนาคารโลกให้ชัดเจนในข้อตกลงฯ ว่ามีรายละเอียดถึงเรื่องใดบ้าง และเห็นควรให้ อบก. ในฐานะหน่วยงานบริหารโครงการ ดำเนินการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ แผนงานโครงการ และเงื่อนไขตามมาตรฐานของธนาคารโลก รวมทั้งจะต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับภารกิจที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ตลอดจนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
450 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะทางการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ (ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ จังหวัด กลุ่มจังหวัด หน่วยงานอิสระ องค์การมหาชน และมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ) กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะ ๑.๒.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความสำคัญ ควบคุม กำกับ ดูแล หน่วยงานภายใต้สังกัดส่งรายงานการเงินของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด เนื่องจากรายงานการเงินเป็นรายงานที่แสดงข้อมูลฐานะทางการเงินและการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานภาครัฐที่หัวหน้าส่วนราชการจะต้องรับผิดชอบในการจัดทำและส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ให้ทันภายในเวลาที่กำหนด เพื่อให้การจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความครบถ้วนและรวดเร็ว ในอันที่จะช่วยให้รัฐบาลได้มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายและการบริหารด้านการคลังให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ยังคงมีหน่วยงานภาครัฐ และ อปท. ที่ไม่ได้ส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ภายใน ๖๐ วัน นับจากวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีหรือภายใน ๙๐ วัน (สำหรับ อปท.) จำนวน ๒๒๙ หน่วยงาน ๑.๒.๒ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียนที่มีเงินที่ปลอดภาระผูกพันจำนวนมาก ควรพิจารณาให้มีการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เต็มศักยภาพเป็นลำดับแรกก่อนที่จะขอใช้งบประมาณแผ่นดินเพิ่มเติม ๑.๒.๓ ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นซึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการกำกับดูแลการปกครองท้องถิ่น ผลักดันให้ อปท. กู้ยืมเงินจากเงินฝากกองทุนในกลุ่ม อปท. เช่น เงินฝากเงินทุนส่งเสริมกิจการองค์การบริหารส่วนจังหวัด เงินฝากเงินทุนส่งเสริมกิจการเทศบาล ซึ่งเป็นกองทุนเงินสะสมของกลุ่ม อปท. มากกว่ากู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้กลุ่ม อปท. ได้รับผลประโยชน์รายได้ดอกเบี้ยการกู้ยืมดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง โดยในส่วนของหน่วยงานที่ไม่สามารถส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลังได้ตามกำหนด ต้องรายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรคต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบเพื่อประกอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี สำหรับการบริหารการเงินของ อปท. เห็นควรให้ อปท. ที่มีเงินสะสมจำนวนมากและไม่มีภาระผูกพัน พิจารณานำเงินดังกล่าวมาดำเนินการตามภารกิจและขั้นตอนของกฎหมายของ อปท. ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ส่วน อปท. ที่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินเพื่อนำมาดำเนินภารกิจตามกฎหมายจะต้องดำเนินการเท่าที่จำเป็นและประหยัดต้นทุนทางการเงินให้มากที่สุด โดยเห็นควรให้กู้ยืมเงินจากเงินฝากจากกองทุนในกลุ่ม อปท. เพื่อให้กลุ่ม อปท. ได้รับผลประโยชน์รายได้ดอกเบี้ยการกู้ยืมดังกล่าว รวมทั้งเป็นการสนับสนุนการบริหารจัดการการเงินของท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ กระทรวงการคลังควรพิจารณาปรับปรุงลักษณะการวิเคราะห์ให้สามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และความเสี่ยงทางการคลังของภาครัฐในภาพรวม เพื่อใช้ประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการการเงินการคลังภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
451 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สำหรับโครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในวงเงินรวม ๓๑๓.๓๗ ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติแหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขทางการเงินสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว อย่างไรก็ดี กรณีที่ สพพ. สามารถจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินการดังกล่าวในอัตราที่เหมาะสมตามหลักการประหยัดต้นทุนทางการเงินได้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๒ กรณีการชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้ สพพ. นั้น ให้ใช้เงินสะสมเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอก็ขอให้ สพพ. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า สพพ. ควรมีข้อมูลวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงื่อนไขผ่อนปรน (Soft Loan) จากองค์กรระหว่างประเทศอื่น เช่น ธนาคารโลก (World Bank) หรือธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เพื่อใช้อ้างอิงประกอบการพิจารณาในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
452 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แผนปฏิรูปสัมมาชีพชุมชน) | พม | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง แผนปฏิรูปสัมมาชีพชุมชน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นด้วยกับข้อเสนอของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนฐานราก ควรจัดระบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง เป็นรูปธรรม โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ไม่ขัดข้องในการจัดตั้งสำนักส่งเสริมสัมมาชีพชุมชนขึ้นภายในสถาบันฯ และตราพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การขึ้นทำหน้าที่โดยเฉพาะ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งรายงานผลการพิจารณาฯ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
453 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับโครงการพัฒนาจุดผ่านแดนถาวรสตึงบทและถนนเชื่อมโยงไปกับถนนหมายเลข 5 ราชอาณาจักรกัมพูชา | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กัมพูชา เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการพัฒนาจุดผ่านแดนถาวรสตึงบทและถนนเชื่อมโยงไปยังถนนหมายเลข ๕ ราชอาณาจักรกัมพูชา ในรูปแบบเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน ในวงเงินรวม ๙๒๘,๑๑๐,๖๘๑ บาท ตามขอบเขตของโครงการฯ ๑.๒ อนุมัติแหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขทางการเงินสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กัมพูชา และเห็นชอบให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีให้ สพพ. ๒. สำหรับการขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือการชำระคืนให้แก่แหล่งเงินทุนกรณีที่กัมพูชาผิดนัดชำระนั้น เห็นควรให้ สพพ. ใช้เงินสะสมเป็นแหล่งเงินทุนในลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
454 | รายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ระหว่างเดือนกรกฎาคม - กันยายน 2558) | ทส | 08/12/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นเรื่องที่เป็นหลักการ ๑.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ผลการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ของส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ/องค์การมหาชน จากงบประมาณทั้งสิ้น ๓๑,๙๗๕.๕๔๑๕ ล้านบาท เบิกจ่ายได้ ๒๘,๔๘๗.๖๖๖๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๙ ๑.๒ การเจรจาหรือจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ได้แก่ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๒๖ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย การจัดทำแผนงานความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ การเข้าเป็นภาคีองค์กรความร่วมมือด้านไม้ไผ่และหวายระหว่างประเทศ และการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในสาขาทรัพยากรน้ำระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๓ การจัดทำโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการ ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ อย่างเคร่งครัด การประกาศเชิญชวนผู้ที่สนใจได้ทราบล่วงหน้าในระบบ e-GP และเว็บไซต์ของหน่วยงานให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้องและดำเนินการอย่างโปร่งใส การจัดทำมาตรการป้องกันและลดโอกาสการทุจริตและประพฤติมิชอบ และแจ้งเวียนขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ๑.๔ การเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีการเสนอกฎหมาย รวมจำนวน ๒๐ ฉบับ ประกอบด้วย ร่างพระราชบัญญัติ ๑๘ ฉบับ และร่างพระราชกฤษฎีกา ๒ ฉบับ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการทั้ง ๓ ประการ คือ (๑) ต้องเป็นการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่แท้จริงของการบังคับใช้กฎหมาย (๒) พึงระวังการแก้ไขกฎหมายที่เป็นการเพิ่มอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และ (๓) ให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจถึงหลักการและเหตุผลด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ๑.๕ การแต่งตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ได้แจ้งรัฐวิสาหกิจในสังกัดถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีเวลาเพียงพอที่จะช่วยพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเคร่งครัด ๒. เรื่อง/โครงการที่สำคัญเร่งด่วน ๒.๑ การปรับโครงสร้างและการบริหารจัดการด้านพลังงาน ได้จัดทำบันทึกความตกลง (MOU) ร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การนำร่องการจัดการขยะมูลฝอยเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ [Refuse Derived Fuel (RDF)] และต่อยอดสู่การผลิตพลังงานทดแทน ๒.๒ การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของประเทศ กรมทรัพยากรน้ำได้ดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ำเพื่อแก้ปัญหาการตื้นเขินและเสื่อมสภาพของแหล่งน้ำพื้นที่ชุ่มน้ำให้คืนสู่ความสมบูรณ์บรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำและปัญหาน้ำท่วม ๒.๓ การแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรในระยะยาวและการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) การดำเนินการกำหนดแนวทางและมาตรการเชิงรุกในการดำเนินการแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรในระยะยาวเป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒.๔ การจัดหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร ได้แก่ การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และกลไกอื่น ๆ เพื่อจัดหาพื้นที่แก่ผู้ไร้ที่ทำกินเข้าใช้ประโยชน์และการพัฒนาคุณภาพชีวิต การดำเนินการตามกฎหมายของหน่วยงานตามประเภทที่ดินของรัฐภายใต้การกำกับของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ การกำหนดพื้นที่เป้าหมายการดำเนินงาน การส่งข้อมูลพื้นที่เป้าหมายที่จะนำไปจัดเป็นที่ดินทำกินให้ชุมชน การจัดทำข้อมูลการสำรวจพื้นที่ ๔ จังหวัด การเตรียมพื้นที่ดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๕๘ และมอบ “หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ” ๒.๕ การจัดการขยะมูลฝอยและน้ำเสีย องค์การจัดการน้ำเสียได้ดำเนินการโครงการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย โดยสามารถบำบัดน้ำได้ตามมาตรฐานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดไว้ก่อนระบายลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และกรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติงานการดำเนินงานตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ๒.๖ การจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม ได้ดำเนินงานร่วมกับศูนย์บริการร่วม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการให้บริการประชาชนเกี่ยวกับการรับแจ้งเรื่องร้องเรียน และประสานส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขตามอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๗ การรวบรวมกฎหมายระเบียบที่ล้าสมัยหรือเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและพิจารณาความจำเป็นเร่งด่วนและจัดลำดับความสำคัญของร่างกฎหมาย ดำเนินการปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย รวมจำนวน ๒๐ ฉบับ ประกอบด้วยร่างพระราชบัญญัติ ๑๘ ฉบับ และร่างพระราชกฤษฎีกา ๒ ฉบับ โดยมีร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประกาศใช้เป็นกฎหมาย จำนวน ๕ ฉบับ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
455 | การเข้าร่วมทุนของญี่ปุ่นในบริษัท ทวาย เอสอีแซด ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด | กค | 08/12/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง ผลการประชุมคณะทำงานฝ่ายไทย-เมียนมา (Myanmar-Thailand Taskforce) เพื่อวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๒] โดยให้กระทรวงการคลัง [สำนักงานพัฒนาความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.)] เข้าร่วมจัดตั้งและร่วมลงทุนในบริษัท ทวาย เอสอีแซด ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (Special Purpose Vehicle : SPV) กับหน่วยงานของญี่ปุ่นและเมียนมาในสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากัน คือ ร้อยละ ๓๓.๓๓ ภายใต้วงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จำนวนไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท สำหรับการเพิ่มทุนใน SPV ขอให้พิจารณาใช้เงินรายได้ของ SPV ที่ได้รับจากคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย (Dawei special Economic Zone Management Committee : DSEZMC) เป็นลำดับแรกก่อน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. เห็นชอบร่างสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัท ทวาย เอสอีแซด ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ฉบับที่ ๒ (Shareholders Agreement II Relating to Dawei SEZ Development Company Limited) มีสาระสำคัญโดยสรุปคือ ให้ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) สพพ. และ Foreign Economic Relations Department (FERD) ของเมียนมา ร่วมถือหุ้นใน SPV ในสัดส่วนการถือหุ้นเท่าเทียมกันคือ ร้อยละ ๓๓.๓๓ และมีจำนวนกรรมการบริหารบริษัท (Board of Directors) ฝ่ายละ ๓ คน รวมทั้งสิ้น ๙ คน และกำหนดให้จัดตั้งบริษัทลูก (Subsidiary) หรือสาขา (Branch) ของ SPV ในเมียนมา เพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงานเพื่อสนับสนุนโครงการทวายระยะสมบูรณ์ ๓. เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. ร่วมลงนามในร่างสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นฯ ฉบับที่ ๒ ๔. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างสัญญาฯ ฉบับที่ ๒ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. ดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการแก้ไขดังกล่าวด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการเพิ่มทุนจดทะเบียน วัตถุประสงค์หลักของธุรกิจ และระยะเวลาของสัญญา รวมทั้งการกำหนดขอบเขตการดำเนินงานและเงินทุนของ SPV ให้เหมาะสมกับบทบาทการเป็นที่ปรึกษาให้แก่ DSEZMC และการเป็นหน่วยงานบริหารจัดการโครงการทวาย สำหรับการเพิ่มทุนใน SPV ให้พิจารณาใช้เงินรายได้ของ SPV ที่ได้รับจาก DSEZMC เป็นลำดับแรกก่อน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
456 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 01/12/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติ รวม ๓ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๒๖ เกี่ยวกับการโอนคดี) ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับคดีปกครอง) ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... (คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ) โดยให้เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน พร้อมกับร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... (นายมณเฑียร บุญตัน กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ซึ่งคณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาแล้ว ให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ทราบ หากมีความเห็นเพิ่มเติมให้แจ้งมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๗ วัน และกรณีมีการเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมที่เป็นนัยสำคัญ ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง กรณีที่เห็นชอบด้วยหรือมิได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมที่เป็นนัยสำคัญ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงกำชับให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบศึกษาและทำความเข้าใจหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ถูกต้อง เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความโปร่งใส
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
457 | ร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 01/12/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาแล้ว ให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ทราบ หากมีความเห็นเพิ่มเติมให้แจ้งมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๗ วัน และกรณีมีการเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมที่เป็นนัยสำคัญ ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง กรณีที่เห็นชอบด้วยหรือมิได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมที่เป็นนัยสำคัญ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงกำชับให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบศึกษาและทำความเข้าใจหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ถูกต้อง เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความโปร่งใส
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
458 | รายงานผลการพิจารณาข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปองค์การมหาชน) | นร10 | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปองค์การมหาชน) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นด้วยในประเด็นการแต่งตั้งประธานกรรมการมาจากผู้ทรงคุณวุฒิ และการกำหนดจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การดำรงตำแหน่งกรรมการในองค์การมหาชนหลายแห่ง การให้เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงานขององค์การมหาชนเป็นบุคคลซึ่งได้รับการจ้างตามสัญญาจ้าง การตรวจสอบภายในขององค์การมหาชน การดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชนฯ ที่จะแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ และการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการขององค์การมหาชนในระหว่างการประกาศใช้พระราชบัญญัติองค์การมหาชนฯ (ฉบับสภาปฏิรูปแห่งชาติ) และไม่เห็นด้วยในประเด็นการห้ามผู้แทนจากหน่วยงานกลางดำรงตำแหน่งคณะกรรมการขององค์การมหาชน การให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมาปฏิบัติงานเป็นเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างขององค์การมหาชนเป็นการชั่วคราวได้ และการให้องค์การมหาชนอยู่ภายใต้ระบบการประเมินผลขององค์การมหาชน ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ส่วนในประเด็นการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายขององค์การมหาชนให้เป็นไปตามหลักการรักษาวินัยทางการคลังและหลักธรรมาภิบาลนั้น เห็นว่ามีความซ้ำซ้อนกับพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ทั้งนี้ เห็นด้วยกับการกำหนดหลักการและแนวคิดในการจัดตั้งองค์การมหาชน กำหนดและจัดบทบาทภารกิจขององค์การมหาชนให้ชัดเจน และเห็นด้วยในหลักการที่จะจำแนกองค์การมหาชนออกเป็น ๓ ประเภทตามภารกิจ แต่การดำเนินการดังกล่าวเป็นการแก้ไขกฎหมายที่สามารถดำเนินการได้ในระยะยาว การแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าวในเรื่องที่เกี่ยวข้องจึงยังไม่ควรดำเนินการในชั้นนี้ ๑.๒ ไม่เห็นด้วยกับการกำหนดเบี้ยประชุมสำหรับกรรมการองค์การมหาชนและค่าตอบแทนสำหรับผู้อำนวยการองค์การมหาชน โดยเห็นว่าควรมีการทบทวนค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐทั้งระบบโดยคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนให้กับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ๑.๓ เห็นด้วยกับการกำหนดนโยบายการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณะของไทย โดยเห็นควรให้ดำเนินการในระยะยาว ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการระบบราชการให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
459 | ความเห็นต่อข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เรื่อง การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ ของไทย | นร | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมของคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยมีผลการพิจารณา ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะของสภารูปแห่งชาติทั้งหมด ๑๔ ประเด็น มี ๑๑ ประเด็น ที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่หน่วยงานดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งสามารถดำเนินการต่อเนื่องและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นตามแนวทางที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอได้ อาทิ การกำหนดให้นโยบายการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทยเป็นนโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญของชาติ การใช้การเจรจาต่อรองในระดับ G to G ในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย เป็นต้น ๒. ประเด็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่าควรต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบ ๓ ประเด็น ได้แก่ ๒.๑ การกำหนดให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศของไทยเป็นองค์กรถาวรที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ดูแลด้านเศรษฐกิจเป็นประธาน มีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง สมาคมธุรกิจ และผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการ นั้น ในประเด็นนี้เห็นควรจัดตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนไทยในต่างประเทศ” เพื่อให้มีกลไกบูรณาการในระดับนโยบายในด้านการค้าและการลงทุน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ผู้แทนกระทรวง/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นเลขานุการร่วม ๒.๒ การเสนอให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อรองรับการจัดตั้งองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของไทย (Thailand External Trade Organization : TETRO) ในประเด็นนี้มีข้อคิดเห็นว่ายังไม่ควรมีการจัดตั้งหน่วยงานอย่างเป็นการถาวร ๒.๓ การเสนอให้รัฐบาล กระทรวงการคลัง สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รัฐวิสาหกิจ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธุรกิจร่วมทุนต่าง ๆ มีมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค/เงินทุน และ/หรือร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค นิคมอุตสาหกรรม และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนอื่น ๆ ในประเทศเป้าหมายต่าง ๆ ในประเด็นนี้เห็นว่าการให้ภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจร่วมลงทุน นั้น ควรจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความเหมาะสมและกลไกของหน่วยงานภาครัฐที่จะเข้าไปร่วมลงทุน รวมถึงแหล่งที่มาของเงินทุนซึ่งควรนำมาเป็นประเด็นในการพิจารณาภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนไทยในต่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
460 | การทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่หรือการยุบเลิกองค์การมหาชน | นร | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เคยมีข้อสั่งการให้พิจารณาทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่หรือการยุบเลิกองค์การมหาชนนั้น เห็นควรให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวด้วยความรอบคอบ โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งหน่วยงานและผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการที่ผ่านมา รวมทั้งให้มีการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนและองค์การมหาชนให้เข้าใจถึงความจำเป็นในการดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวภายในระยะเวลา ๓ เดือน ก่อนเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
.....