ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 28 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 541 - 560 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
541 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกันยายน 2556 | นร | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ ดังนี้
๑. รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) การเร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ การสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. การดำเนินการตามนโยบายสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์ในการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) เป็นงานที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม หารือร่วมกันเพื่อพิจารณาแนวทางการบูรณาการการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมและผลสำเร็จของการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมต่อไป ๓. การดำเนินการตามนโยบายด้านการปฏิรูปการจัดการที่ดิน เป็นเรื่องสำคัญที่เป็นประเด็นปัญหาที่มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ประเทศในการลดความเหลื่อมล้ำ แต่ผลการดำเนินการยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ร่วมกันพิจารณาแนวทางการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร กรณีขอขยายเวลาโครงการรับจำนำข้าว ประจำปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ เนื่องจากเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ทัน
|
|||||||||||||||||||||
542 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงาน เรื่อง กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ | ศธ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๖ [เรื่อง (ร่าง) กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ] โดยกระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและได้ดำเนินการ รวมทั้งกำหนดแนวทางการดำเนินการจัดทำแผนการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติตามข้อสังเกตของแต่ละหน่วยงาน ดังนี้
๑. กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดแนวทางการดำเนินการจัดทำแผนการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ โดยจัดประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เน้นการดำเนินงานในลักษณะการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภายในกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องที่มีศักยภาพและความพร้อมเพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดการนำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ และได้เชิญผู้แทนจากกระทรวงแรงงานเข้าร่วมดำเนินงานและให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อกำหนดทางวิชาการที่ใช้เป็นเกณฑ์วัดระดับฝีมือที่มีอยู่ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ นำไปประกอบในการกำหนดความรู้และทักษะอันเป็นรายละเอียดองค์ประกอบคุณวุฒิแห่งชาติแต่ละระดับ เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย ตลอดจนทรัพยากรของประเทศ ตามข้อสังเกตของกระทรวงแรงงาน ๒. กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาเห็นควรสนับสนุนภารกิจของ “สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน” ให้ทำหน้าที่ในการควบคุม ดูแลการนำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติไปปฏิบัติ รวมทั้งติดตามตรวจสอบและประเมินเพื่อทำการรับรองคุณวุฒิที่เป็นไปตามเกณฑ์และมาตรฐานที่กำหนดไว้ และพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการเทียบโอนคุณวุฒิ และประสบการณ์การเรียนรู้ ตลอดจนเป็นศูนย์กลางข้อมูลเกี่ยวกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติต่อไป โดยไม่ต้องตั้งหน่วยงานใหม่ ตามข้อสังเกตเพิ่มเติมของสำนักงบประมาณ ๓. กระทรวงศึกษาธิการได้จัดประชุม จัดนิทรรศการ และจัดพิมพ์เอกสารเผยแพร่ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักในความจำเป็นของการมีกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ รวมทั้งตระหนักถึงคุณค่าของสมรรถนะในการปฏิบัติงานตามระดับคุณวุฒิให้แก่บุคลากร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้เรียน ผู้ปกครอง และสังคม ๔. กระทรวงศึกษาธิการได้จัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ” เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานการประชุมได้มอบนโยบาย “แนวทางในการนำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ” ซึ่งได้เชิญหน่วยงานภายในกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ และร่วมกันกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งได้มอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจัดประชุมเรื่องดังกล่าวเพื่อเป็นการเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์จังหวัดใน ๔ ภูมิภาค ประกอบด้วย ครั้งที่ ๑ ณ จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๓ ณ กรุงเทพมหานคร วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๔ ณ จังหวัดอุดรธานี วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๕. กระทรวงศึกษาธิการได้ประสานงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ซึ่งแต่ละหน่วยงานได้มีการจัดทำข้อมูลความต้องการกำลังคนในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยกระทรวงศึกษาธิการจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อนำไปวางแผนการผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคตต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
543 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการสำหรับการนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ ด้วยวิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... | กค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการสำหรับการนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... เพื่อเป็นกรอบกฎหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถออกระเบียบเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน ตลอดจนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการด้านการทำงานร่วมกันโดยมีวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบเดียวกันได้ คือ ระบบ National Single Window (NSW) ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ซึ่งระบบดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานของระบบการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างประเทศ หรือ ASEAN Single Window (ASW) ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรี กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และให้คำนึงถึงการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลด้วย รวมทั้งควรกำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจัดทำระบบของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดในเชิงปฏิบัติ เพื่อช่วยให้คำแนะนำหรือกำหนดกรอบแนวทางในการพัฒนา เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เห็นควรให้มีการดำเนินงานในการบริหารจัดการระบบ NSW โดยทำในรูปแบบ PMO (Project Management Office) ที่มีบุคลากรจากส่วนงานสำคัญที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ เช่น กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)] สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมทำงานแบบเต็มเวลาเพื่อนำไปสู่การผลักดันระบบ NSW ที่มีความพร้อมและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเลขานุการของคณะกรรมการฯ เพื่อผลักดันนโยบายของคณะกรรมการฯ ให้นำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
544 | การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการสถาบันอนุญาโตตุลาการ | ยธ | 29/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. จัดให้สถาบันอนุญาโตตุลาการอยู่ในกลุ่มองค์การมหาชน กลุ่มที่ ๒ กลุ่มบริการที่ใช้เทคนิควิชาการเฉพาะด้านหรือสหวิทยาการ ซึ่งกำหนดอัตราเงินเดือนผู้อำนวยการองค์การมหาชน ขั้นต่ำและขั้นสูง อยู่ระหว่าง ๑๐๐,๐๐๐-๒๕๐,๐๐๐ บาท ประโยชน์ตอบแทน และค่าตอบแทนพิเศษให้เป็นไปตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนฯ หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมฯ และการพัฒนาการดำเนินงานและการประเมินผลองค์การมหาชน) ๒. ให้สถาบันอนุญาโตตุลาการรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. เมื่อสถาบันอนุญาโตตุลาการมีผลการปฏิบัติงานครบ ๑ ปี สมควรให้เข้าสู่ระบบการประเมินผลตามกรอบการประเมินผลหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนฯ หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมฯ และการพัฒนาการดำเนินงานและการประเมินผลองค์การมหาชน) และเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง กรอบการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
545 | การโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในส่วนของ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ให้กับสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) | นร04 | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในส่วนของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา ประกอบด้วย อาคาร สิ่งปลูกสร้าง และระบบสุขาภิบาล จำนวน ๑๕ รายการ มูลค่ารวม ๒,๔๕๙,๘๖๗,๗๗๙ บาท ครุภัณฑ์ จำนวน ๓๙๖ รายการ (ประเภท) มูลค่ารวม ๑๑๑,๙๐๐,๐๐๐ บาท สัญญาก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้าง หนังสือค้ำประกันสัญญา พร้อมทั้งการรับประกันผลงานตามสัญญา จำนวน ๖ สัญญา และสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินราชพัสดุแปลงทะเบียนหมายเลข ชม.๑๗๔๕ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ ๓๓๕ ไร่-งาน-ตารางวา ไปเป็นของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ตามความในมาตรา ๔๐ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
546 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)เกี่ยวกับการกำหนดให้มีระบบการรับรองความสามารถ และการกำหนดให้มีศูนย์ประเมินความสามารถทั้งภาครัฐและเอกชน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นศูนย์ประเมินความสามารถกลางนั้น เป็นบทบาทที่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) จะเป็นการเพิ่มภาระงบประมาณของประเทศ และอาจสร้างความสับสนให้กับประชาชนผู้รับบริการ จึงควรให้ความสำคัญกับการสร้างระบบการรับรองความสามารถที่เป็นเอกภาพ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเพิ่มขีดความสามารถของแรงงานไทยเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
547 | รายงานความคืบหน้าการติดตามการดำเนินการตามแผนนิติบัญญัติ พ.ศ. 2555 - 2558 | นร04 | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการติดตามการดำเนินการตามแผนนิติบัญญัติ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานจัดทำแผนนิติบัญญัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๗ เสนอ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุมจัดทำแผนนิติบัญญัติฯ แล้วรายงานให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานจัดทำแผนนิติบัญญัติฯ ทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป ๒. เห็นชอบให้ถอนร่างกฎหมายออกจากแผนนิติบัญญัติ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ตามที่ส่วนราชการเสนอ รวม ๔ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการทุจริตของเจ้าพนักงานของรัฐบาลต่างประเทศและเจ้าพนักงานขององค์การภาครัฐระหว่างประเทศ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาระบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ๓. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับใดที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรที่มีความจำเป็นต้องผลักดันให้เป็นกฎหมายตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้ทันสมัยประชุมสามัญทั่วไป หรือสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ แล้วให้ประสานรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) และคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดลำดับความสำคัญต่อไป ๔. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) รวบรวมข้อร้องเรียนจากผู้มีส่วนได้เสียที่ส่งมายังสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วส่งให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๕. กรณีข้อร้องเรียนที่ส่วนราชการได้รับจากผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ให้ส่วนราชการดังกล่าวเร่งดำเนินการพิจารณาข้อมูลที่ได้รับการร้องเรียน เพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
548 | จัดการประชุมข้าวนานาชาติ ปี 2557 (International Rice Congress 2014 : IRC 2014) ร่วมกับสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) | กษ | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้จัดงานประชุมข้าวนานาชาติ ปี ๒๕๕๗ (International Rice Congress 2014 : IRC 2014) ร่วมกับสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (International Rice Research Institute : IRRI) โดยให้กรมการข้าว สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบจัดประชุม ๑.๒ เห็นชอบค่าใช้จ่ายการจัดงานประชุม IRC 2014 ร่วมกับ IRRI ได้แก่ ๑.๒.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๗ ของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับใช้ดำเนินการเตรียมการจัดการประชุม IRC 2014 ๑.๒.๒ จัดตั้งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๘ ของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำหรับใช้ในการจัดงานการประชุม IRC 2014 ร่วมกับ IRRI วงเงินทั้งสิ้น ๙,๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท แยกเป็น ค่าใช้จ่ายที่ต้องสนับสนุนงบประมาณให้กับ IRRI สำหรับจัดประชุม IRC 2014 รวมทั้งสนับสนุนการจัดการประชุมสภาความร่วมมือการวิจัยข้าวแห่งเอเชีย (Council for Partnership in Rice Research in Asia : CORRA) วงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท (โอนเงินให้ IRRI โดยตรง) และค่าดำเนินการจัดประชุมข้าวนานาชาติโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๖,๒๕๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรใช้โอกาสดังกล่าวเป็นเวทีในการสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตข้าวชั้นนำของโลกที่ได้คุณภาพและมาตรฐาน แสวงหาความร่วมมือด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการตลาดกับประเทศต่าง ๆ การผลักดันให้เกิดความร่วมมือที่ส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียวเพื่อปกป้องสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ และการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิตข้าวและผู้บริโภคข้าวที่ยากจนได้อย่างแท้จริง การบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ข้าวไทยที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าข้าว ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การแปรรูป ตลอดจนไปถึงการส่งออกข้าวคุณภาพดี ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมที่ทำจากข้าวไปสู่ตลาดโลก เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมข้าวไทยอย่างยั่งยืน และเปิดโอกาสให้ผู้แทนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้เข้าร่วมและนำเสนอผลงานวิจัยในระดับท้องถิ่นในการประชุมในครั้งนี้ด้วย เพื่อสร้างโอกาสในการนำเสนอผลงานด้านการพัฒนาสินค้าข้าวในระดับท้องถิ่นของปราชญ์ชาวบ้าน รวมทั้งใช้โอกาสจากการจัดงานเพื่อสร้างความร่วมมือในด้านการตลาดให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยเฉพาะประชาคมอาเซียนซึ่งมีการผลิตข้าวเช่นเดียวกัน เพื่อเชื่อมโยงการค้าระหว่างประชาคมอาเซียนกับประเทศต่างๆ ของโลก เพื่อนำไปสู่การสร้างผลประโยชน์โดยรวมร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดงานให้กรมการข้าวเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
549 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันพลังงานนิวเคลียร์แห่งสาธารณรัฐเปรูกับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) แห่งราชอาณาจักรไทย | วท | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันพลังงานนิวเคลียร์แห่งสาธารณรัฐเปรู [The Peruvian Institute of Nuclear Energy (IPEN)] กับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) แห่งราชอาณาจักรไทย ๑.๒ อนุมัติให้ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการระบุเงื่อนไขในการจัดสรรสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาในหนังสือข้อตกลง (สัญญา) ที่จะจัดทำขึ้น เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย และในการดำเนินกิจกรรมภายใต้บันทึกความตกลงฯ ให้ดำเนินการอย่างรอบคอบและระมัดระวังเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการแก้ไขสารัตถะของร่างบันทึกความเข้าใจฯ และข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับคู่ฉบับภาษาไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
550 | เตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์น้ำปี 2556 และการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนกรณีจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครนายก | นร01 | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเตรียมความพร้อมการเผชิญสถานการณ์น้ำปี ๒๕๕๖ และการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนกรณีจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครนายก ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการเตรียมความพร้อมการเผชิญสถานการณ์น้ำปี ๒๕๕๖ ๑.๑ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยได้มีคำสั่งจัดตั้ง “ศูนย์เตรียมพร้อมเฉพาะกิจรับสถานการณ์อุทกภัย ปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗” ปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง และสั่งการให้หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) กระทรวงกลาโหม และกรุงเทพมหานคร ส่งเจ้าหน้าที่มาประจำศูนย์ดังกล่าว ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ Stand by เฮลิคอปเตอร์ รวม ๒ ลำ และเรือเร็วไว้ให้พร้อมเพื่อสามารถใช้ปฏิบัติงานได้ทันที ๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตรียมความพร้อมชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่ (Mobile Unit) เพื่อการบริหารจัดการอุทกภัย เพื่อให้การติดตามและแก้ไขปัญหาอุทกภัยกรณีเกิดเหตุวิกฤตในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ที่มีระบบการประชุมทางไกล VDO conference และมีอากาศยานไร้คนขับเพื่อบินสำรวจสถานการณ์ ๒. การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนกรณีจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครนายก ๒.๑ ประชุมหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เบื้องต้นได้ข้อสรุปให้เปิดประตูน้ำเพชรชะเอมขึ้น ๓๐ เซนติเมตร เพื่อระบายน้ำผ่านทุ่งวังดาล อันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ๒.๒ ประชุมหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายกและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ณ เขื่อนขุนด่านปราการชล ได้ข้อสรุปว่าจะเน้นการระบายน้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีก่อน จึงยังจะไม่ระบายน้ำจากเขื่อนขุนด่านปราการชลในอีก ๔๘ ชั่วโมงข้างหน้า และการสูบน้ำจากคลองรังสิตผ่านประตูเสาวภาผ่องศรีให้กระทำในระดับจำกัดเท่านั้น โดยหลังจาก ๔๘ ชั่วโมงแล้ว จะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง เพราะปัจจุบันเขื่อนมีปริมาณน้ำอยู่ถึง ๙๒% แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
551 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (จำนวน 6 ราย 1. นายมณฑล สงวนเสริมศรี ฯลฯ) [การพิจารณาแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน)] | สมศ | 17/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) เสนอ ดังนี้
๑. นายมณฑล สงวนเสริมศรี ประธานกรรมการ ๒. นางเพ็ชรากรณ์ วัชรพล สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายเลอศักดิ์ จุลเทศ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นางวัลลิยา ปังศรีวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายสมบัติ สุวรรณพิทักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายอรรถพล ใหญ่สว่าง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||
552 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) แห่งราชอาณาจักรไทยกับ State Atomic Energy Corporation of the Russian Federation (ROSATOM) สหพันธรัฐรัสเซีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการใช้พลังงานปรมาณูในทางสันติ | วท | 10/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) แห่งราชอาณาจักรไทยกับ State Atomic Energy Corporation of the Russian Federation (ROSATOM) สหพันธรัฐรัสเซีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการใช้พลังงานปรมาณูในทางสันติ ๑.๒ อนุมัติให้ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ ควรมีขอบเขตที่เน้นเฉพาะเรื่องการวิจัย การศึกษา และการพัฒนาบุคลากร โดยระมัดระวังที่จะไม่ให้มีผลผูกมัดในอนาคตในการรับเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจง และควรให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรผู้ปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ด้านความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของบุคลากร รวมทั้งประชาชนและสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
553 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการพัฒนาระบบประปา | กค | 10/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการพัฒนาระบบประปาใน ๕ เมือง ประกอบด้วย เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว (เมืองตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้) เมืองคอบ แขวงไชยะบุรี (เมืองยากจน) เมืองแบ่ง แขวงอุดมไชย (เมืองยากจน) เมืองไชบุรี แขวงสะหวันนะเขต (เมืองตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก) และเมืองโขง แขวงจำปาสัก (เมืองยากจน) ในวงเงิน ๓๑๐ ล้านบาท ๑.๒ รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขทางการเงินสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว กำหนดให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว เป็นเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน จำนวน ๓๐๕ ล้านบาท และเงินให้เปล่า จำนวน ๕ ล้านบาท ซึ่งเงินให้เปล่าดังกล่าวจะเป็นค่าใช้จ่ายเฉพาะในส่วนของค่าฝึกอบรม ๒. สำหรับแหล่งเงินทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการฯ วงเงินรวม ๓๑๐ ล้านบาท นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ใช้เงินสะสม จำนวน ๑๑๐ ล้านบาท เป็นแหล่งเงินทุนในลำดับแรกก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในปีต่อ ๆ ไป ให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
554 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จังหวัดพะเยา) - เมืองคอบ - เมืองเชียงฮ่อน และ เมืองคอบ - บ้านปากคอบ - บ้านก้อนตื้น สปป. ลาว | กค | 10/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จังหวัดพะเยา)-เมืองคอบ-เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ-เมืองปากคอบ-บ้านก้อนตื้น สปป.ลาว ระยะทางโดยรวมประมาณ ๑๑๐ กิโลเมตร ในวงเงินรวม ๑,๓๙๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ในส่วนของที่มาของแหล่งเงินทุน เนื่องจาก สพพ. ไม่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รองรับโครงการดังกล่าวไว้ จึงเห็นควรให้ สพพ. พิจารณาแหล่งเงินทุนอื่นเป็นลำดับแรกก่อน อาทิ เงินสะสมของหน่วยงานหรือการกู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศ และขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีในปีงบประมาณต่อไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า ช่วงถนนบนภูเขาควรพิจารณาออกแบบ Climbing lane เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางแก่ผู้ใช้ทาง และให้ สพพ. จัดทำรายงานติดตามและประเมินผลโครงการการให้ความช่วยเหลือดังกล่าว เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินความสัมพันธ์อย่างมั่นคงและยั่งยืนร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
555 | ยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ | รง | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๓ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มีมติเห็นชอบผลการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังแรงงานฯ โดยกรอบแนวคิดการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ มีปัจจัยสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ ๓ ประการ ได้แก่ การพัฒนาคน การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการพัฒนา Supply Chain ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังแรงงานให้มีสมรรถนะในระดับมาตรฐานสากล ยุทธศาสตร์การพัฒนามาตรฐานวิชาชีพ/มาตรฐานฝีมือแรงงานและมาตรฐานสมรรถนะ ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านแรงงานของตลาดแรงงานและความต้องการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานและการพัฒนาเครือข่ายการพัฒนาฝีมือแรงงาน และยุทธศาสตร์การจัดตั้งสถาบันพัฒนาทรัพยากรบุคคลระดับกลางและสูงในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานและบูรณาการเพื่อดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ที่เห็นควรให้แต่ละยุทธศาสตร์มีการเตรียมมาตรการรองรับหากเกิดกรณีการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีภายหลังเปิดประชาคมอาเซียนปี ๒๕๕๘ การเปิดโอกาสและสนับสนุนให้หน่วยงานในภาคเอกชนที่มีความพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้นเพื่อสามารถผลิตคนในเชิงปริมาณและคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาด การส่งเสริมความร่วมมือในรูปแบบทวิภาคีระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์กับสถาบันการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและด้านพัฒนาฝีมือแรงงานอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง รวมทั้งการเร่งเพิ่มผลิตภาพแรงงานให้สอดคล้องกับค่าตอบแทนและการนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตที่ทันสมัยขึ้น การส่งเสริมบทบาทผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ให้เป็นผู้นำการกำหนดทิศทางความต้องการกำลังคนทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และการประสานความร่วมมือและการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อหลีกเลี่ยงการมีกลไกระดับชาติที่ซ้ำซ้อนกัน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
556 | การจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) | รง | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนชื่อภาษาอังกฤษของสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งมีความหมายไม่ตรงกับชื่อที่เป็นภาษาไทย และในช่วงแรกของแผนการดำเนินงานในส่วนของแรงงานนอกระบบ ควรมีแผนงาน/โครงการด้านการตรวจประเมินความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สามารถนำมาวิเคราะห์ร่วมกับผลทางด้านสุขภาพที่กระทรวงสาธารณสุขจัดให้มีแผนงาน/โครงการจัดบริการอาชีวอนามัยให้กับกลุ่มแรงงานนอกระบบแบบเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกร รวมทั้งกำหนดอำนาจและหน้าที่ในการทำงานของสถาบันฯ ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานของรัฐและสถาบันอื่นที่มีการทำงานในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้ เห็นควรจำแนกวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของสถาบันฯ ให้มีความชัดเจนในแต่ละมาตรา ตลอดจนการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้าง กรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการบริหารสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรมีการยุบเลิกบางตำแหน่งในสำนักความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เมื่อมีการโอนภารกิจบางส่วนของสำนักความปลอดภัยแรงงาน ไปเป็นของสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
557 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2555 | นร12 | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยสาระสำคัญของรายงานฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาระบบราชการไทยตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๑-พ.ศ. ๒๕๕๕) บรรลุเป้าหมายในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ส่วนใหญ่มีผลการดำเนินการสูงกว่าค่าเป้าหมาย เช่น ประชาชนมีความพึงพอใจในระบบราชการ ร้อยละ ๘๒.๖๕ ส่วนราชการมีการปรับปรุงรูปแบบหรือวิธีการทำงาน ร้อยละ ๘๙.๕๐ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐยังไม่สามารถบรรลุตามค่าเป้าหมายการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ในการบริการประชาชน ดังนั้น ควรให้ความสำคัญในการส่งเสริมให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้บริการประชาชน ผ่านรูปแบบของการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ให้บริการประชาชนมากขึ้น ๒. ความก้าวหน้าของการพัฒนาระบบราชการไทย ๒.๑ ผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการจากการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ การปฏิบัติราชการของกระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา และองค์การมหาชน มีผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองฯ ที่สูงกว่าค่าเป้าหมาย โดยส่วนราชการมีคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมค่อนข้างสูงซึ่งสูงกว่าค่าเป้าหมาย ในส่วนของจังหวัดในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน สถาบันอุดมศึกษาในภาพรวมมีผลคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าเป้าหมาย รวมทั้งองค์การมหาชนในภาพรวมการปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ๒.๒ การผลักดันการพัฒนาระบบราชการไทย ในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๒.๑ การสนับสนุนให้มีการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน การมอบรางวัลระดับชาติให้แก่หน่วยงานที่มีนวัตกรรมหรือมีพัฒนาการในการบริการประชาชน และสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการให้บริการ (e-Services) พร้อมทั้งเผยแพร่ผลงานการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ๒.๒.๒ การปรับรูปแบบการทำงานให้มีลักษณะเชิงบูรณาการ และเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ปรับกลยุทธ์การบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ การพัฒนาและส่งเสริมให้มีการแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะและการเปิดให้องค์กรในภาคส่วนอื่นเสนอตัวเข้ามาให้บริการของรัฐ การส่งเสริมการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม และความร่วมมือการทำงานในลักษณะเครือข่าย รวมทั้งปรับปรุงระบบการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการให้เกิดการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวง ๒.๒.๓ การปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของส่วนราชการ เพื่อเปิดให้ภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีความพร้อมเข้ามาจัดบริการสาธารณะแทนภาครัฐ การพัฒนาเสริมสร้างขีดสมรรถนะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในระบบราชการ ทั้งกลุ่มผู้นำการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Chief Change Officer : CCO) กลุ่มพัฒนาระบบบริหารของกระทรวงและกรม และนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกการบริหารองค์การมหาชน เพื่อให้องค์การมหาชนมีแนวทางในการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานตามกรอบการประเมินผลที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับองค์การมหาชนสู่สาธารณะ นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมผลักดันให้ภาครัฐมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน และการรับมือกับสภาวะวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อให้การปฏิบัติงานของภาครัฐสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่สะดุดหยุดลง ๒.๒.๔ การสร้างระบบการกำกับดูแลตนเองที่ดี เกิดความโปร่งใส มั่นใจ และสามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งทำให้บุคลากรปฏิบัติงานอย่างมีจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อประชาชน และต่อสังคมโดยรวม ทั้งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน การสร้างการกำกับดูแลองค์การที่ดีของส่วนราชการ การจัดทำแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมระบบการตรวจสอบที่ให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์ที่ประชาชนจะได้รับจากหน่วยงานผ่านทางคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ |
|||||||||||||||||||||
558 | ร่างหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) | กษ | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ที่ได้แก้ไขปรับปรุงให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างหลักเกณฑ์ฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดนิยามคำว่า “สำนักงาน” “คณะกรรมการ” “รัฐมนตรี” “การร่วมทุน” ๒. กำหนดวัตถุประสงค์การร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น ๓. กำหนดลักษณะในการเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น ๔. กำหนดให้การร่วมทุน หากเข้าลักษณะตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ให้สำนักงานปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว ๕. กำหนดวงเงินการเข้าร่วมทุนของ สวก. ในแต่ละปีงบประมาณ ๖. การร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นให้ทำเป็นโครงการ โดยวงเงินการเข้าร่วมทุนต้องไม่เกินร้อยละห้าสิบของมูลค่าโครงการและให้อยู่ในอำนาจการอนุมัติ ๗. ในการเข้าร่วมทุน สวก. ต้องจัดให้มีการลงนามในสัญญาการเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น โดยร่างสัญญาการร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นจะต้องผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดก่อนการลงนามสัญญา ๘. ให้ สวก. ติดตาม กำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามที่กำหนดในสัญญา โดยให้มีการรายงานผลการดำเนินงาน ความก้าวหน้าของโครงการ ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการแก้ไขต่อคณะกรรมการอย่างต่อเนื่อง |
|||||||||||||||||||||
559 | ผลการดำเนินงานในการติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง | กก | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานในการติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและสอบถามข้อมูล ข้อเท็จจริง เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่เกาะเสม็ด เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม-๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ และได้ร่วมประชุมกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ ผลการประชุม สรุปได้ว่า ๑.๑ ผู้ประกอบการด้านที่พัก โรงแรม รีสอร์ท อพาร์ทเมนท์ แจ้งว่า มีการยกเลิกของนักท่องเที่ยวในเดือนสิงหาคม-กันยายน ๒๕๕๖ แล้ว ประมาณ ๓๐% รายได้ของผู้ประกอบการร้านอาหารทะเลลดลง ๑๐ เท่า จากขายได้วันละ ๑๐,๐๐๐ บาท เหลือเพียงวันละ ๑,๐๐๐ บาท ธุรกิจรถจักรยานยนต์รับจ้างซึ่งมีอยู่บนเกาะประมาณ ๖๖๐ คัน จากเดิมในช่วง Low Season จะมีรายได้ประมาณ ๕๐% ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง ๒๐% และธุรกิจการดำน้ำถูกยกเลิกทั้งหมด ๑.๒ ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวบนเกาะเสม็ดได้ยื่นข้อเสนอขอรับความช่วยเหลือ โดยขอให้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการท่องเที่ยวให้กลับคืนมา ช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความเสียหาย และช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านที่พักบนเกาะเสม็ดซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ SME ผ่อนผันการส่งเงินกับบริษัทการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ ๑.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้มอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวกลับคืนมาท่องเที่ยวที่เกาะเสม็ดโดยเร็ว โดยให้สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในต่างประเทศประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศทราบข้อเท็จจริงว่าความเสียหายของเกาะเสม็ดมีเพียง ๕% อีก ๙๕% ยังสามารถมาท่องเที่ยวได้ และให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนำผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจากภาคต่าง ๆ มาพบปะเจรจาซื้อขายธุรกิจท่องเที่ยวกับผู้ประกอบการบนเกาะเสม็ด (Table Top Sale) ในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่เกาะเสม็ดเพื่อให้เกิดการซื้อขายได้จริงทั้งในวันนี้และในอนาคตข้างหน้า ๒. การดำเนินการขั้นต่อไป ระยะเร่งด่วน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะเป็นหน่วยงานกลางประสานให้กับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวบนเกาะเสม็ดเจรจาขอรับความช่วยเหลือและเยียวยาจาก ปตท. ส่วนความเสียหายของระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งทะเล รวมทั้งปัญหาเรื่องสารปนเปื้อนในอาหารทะเล ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป สำหรับระยะยาว จะบูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) เพื่อทำให้พื้นที่เกาะเสม็ดเป็นพื้นที่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
560 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 2 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint High-level Committee : JHC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย (Dawei Special Economic Zone : DSEZ) และพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกันเกี่ยวกับโครงสร้างการจัดตั้งกลไกการลงทุนระหว่างประเทศในลักษณะของนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) และการจัดตั้งบริษัท ทวาย เอส อี แซด ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด (Dawei SEZ Development Co., Ltd.) โดย SPV จะทำหน้าที่พิจารณาและคัดเลือกข้อเสนอของผู้ที่จะมาลงทุนในโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในรูปของบริษัทเฉพาะกิจ (Special Purpose Company : SPC) ของแต่ละโครงการย่อย รวมทั้งกำกับดูแลภาพรวมการดำเนินงานของโครงการทวายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบร่างสัญญาข้อตกลงผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreemment) ของบริษัท ทวาย เอส อี แซดฯ ซึ่งระบุให้ฝ่ายเมียนมาร์และไทยถือหุ้นของบริษัทในสัดส่วนเท่ากันผ่านทางสำนักงานพัฒนาความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) สำหรับฝ่ายไทย และกรมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (Foreign Economic Relations Department : FERD) สำหรับฝ่ายเมียนมาร์ ภายใต้ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น ๑๒ ล้านบาท ๓. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการของร่างข้อตกลง Framework Agreement ฉบับใหม่ ระหว่างบริษัท ทวาย เอส อี แซดฯ กับ DSEZMC และมอบให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมาร์ จัดประชุมเพื่อหาข้อสรุปในรายละเอียดของร่างข้อตกลงฯ ภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่ของเมียนมาร์ โดยคาดว่าจะสามารถลงนามในร่างข้อตกลงฯ เมื่อเมียนมาร์ผ่านกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่เป็นที่เรียบร้อย ๔. ที่ประชุมรับทราบแผนพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายอย่างเป็นขั้นตอน โดยระยะเริ่มต้น ๕ ปีแรก (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ (๑) ถนนทางเข้า (Access Road) ขนาด ๒ ช่องทางจราจร เชื่อมต่อโครงการทวายมายังบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี (๒) ท่าเรือขนาดเล็กเพื่อรองรับเรือบรรทุกสินค้าที่ความจุของเรือ ๑๓,๐๐๐ DWT (๓) โรงงานผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติขนาด ๓๖ เมกะวัตต์ (๔) อ่างเก็บน้ำสำหรับจ่ายน้ำปริมาตร ๓๖,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และ (๕) พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในระยะแรก เช่น อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมาร์ จัดประชุมเพื่อร่วมกันพิจารณารายละเอียดของแผนพัฒนาโครงการ พร้อมทั้งหารือเกี่ยวกับบทบาทของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ในการดำเนินงานต่อไปในระหว่างที่ SPV ยังอยู่ในช่วงระดมทุน ๕. ที่ประชุมรับทราบแนวทางการกำหนดขอบเขตในบริเวณโครงการทวายใหม่ ตามที่ผู้แทนฝ่ายเมียนมาร์เสนอ ซึ่งสามารถลดผลกระทบด้านจำนวนครัวเรือนที่ต้องโยกย้ายออกจากพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่ง โดยมอบให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมาร์จัดประชุมเพื่อร่วมกันพิจารณารายละเอียดของแผนการดำเนินงานโยกย้ายประชาชน รวมทั้งงบประมาณในการชดเชยและจัดหาที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อให้กระบวนการได้มาซึ่งที่ดินอยู่ภายใต้งบประมาณที่ควบคุมได้ ๖. ที่ประชุมเห็นชอบให้หน่วยงานจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการอย่างเป็นทางการ และรับทราบข้อเสนอของคณะผู้แทนจากญี่ปุ่นในการจัดประชุมหารือไตรภาคีระหว่างเมียนมาร์ ไทย และญี่ปุ่น โดยฝ่ายเมียนมาร์ได้เน้นย้ำความสำคัญของโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเทียบเท่ากับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา และโครงการทวายยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของเมียนมาร์ พร้อมทั้งระบุขอความช่วยเหลือจากญี่ปุ่น (Official Development Assistance : ODA) ทั้งในด้านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าเพื่อการพัฒนาประเทศ และการสนับสนุนทางเทคนิค (Technical Assistance) ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมาร์เตรียมการในรายละเอียดของประเด็นหารือต่าง ๆ เพื่อจัดประชุมหารือไตรภาคีอย่างเป็นทางการระหว่างเมียนมาร์ ไทย และญี่ปุ่น ในกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ๗. ที่ประชุมเป็นสักขีพยานในการลงนามสัญญาข้อตกลงผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) ของบริษัท ทวาย เอส อี แซดฯ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญสำหรับขับเคลื่อนโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายต่อไป ๘. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการประชุม JHC ครั้งต่อไปในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ที่เมียนมาร์ โดยประธานร่วมจะกำหนดวันที่ชัดเจนในภายหลัง
|
.....